Heaven Earth Hell
เขียนโดย LuvifrancSLawLia
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 18.29 น.
แก้ไขเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 18.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) รอยยิ้มในวันนี้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อยากโดนฉันต่อยขนาดนั้นเลยรึ??” ซีสจ์จ้องตาเขม็ง “ได้!!!” ระเบิดไฟพวยพุ่งจากทุกส่วนของร่างกาย สีสันที่ปรากฏต่อสายตาของวิลเลี่ยมคือสีเดียวกับที่กำลังลุกไหม้บนผิวดาบของเขา ซีสจ์พุ่งเข้าใส่ในขณะที่วิลเลี่ยมทำเพียงยืนมองร่างที่กำลังเข้าถึงตัว รอยยิ้มแห่งความอาฆาต คิดว่ามันจะไปถึงแต่สุดท้ายคือฝันที่คิดไปเอง มันถูกหยุดด้วยฝ่ามือสีดำ เป็นแรงที่เท่าเทียมหรือมากกว่าแต่ที่แน่ๆ สามารถปัดเป่าสีไฟออกจากกำปั้นไปจนหมด “....นี่มันไม่ใช่เรื่องของแก ถอยออกไป” ซีสจ์ถลึงตาใส่ร่างปริศนาผู้เข้ามาขัดขวางด้วยความอาฆาต “ไม่ใช่เรื่องของผมหรือครับ? เห็นได้ชัดว่านี่มันชั้นเรียนของผม” การต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งสองรังแต่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น “แล้วแกจะเสียใจ!!!” ซีสจ์รีดไฟบนกำปั้นก่อนจะลามไปทั่วแขนข้างนั้น ใบหน้าที่ดุดันขึ้นกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ใครที่มองหน้าเขาหากไม่เกิดความหวาดกลัวจนเป็นบ้าก็แทบจะล้มพับทั้งยืน
“เป็นแค่อาจารย์ชั้นต่ำ อย่าริอ่านมาขวางทาง ไอ้สวะ!!!” ซีสจ์สะบัดแขนออกจากกรงขังอันแข็งแกร่ง รัวหมัดฮุคเข้าใส่ร่างตรงหน้าอย่างรวดเร็ว รุนแรงและต่อเนื่อง ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่หมัดจะสร้างรอยขีดข่วนให้กับชุดหรือร่างกายของนิโคลัส สร้างความอับอายและน่าสมเพชจนนักเรียนคนหนึ่งหลุดขำออกมา ซีสจ์ที่กำลังเลือดร้อนถลึงตาใส่นักเรียนผู้โชคร้ายด้วยแววตาอาฆาตแค้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งไปที่ร่างนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่พวกนักเรียนเห็นว่าชายหัวร้อนกำลังวิ่งตรงเข้ามา “ไอ้สวะ!!” ซีสจ์กระโดดขึ้นฟ้า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในขณะที่ดวงตาสะท้อนภาพของนิโคลัสผู้ใช้มือข้างเดียวกำหมัดที่ลุกไหม้อย่างง่ายดาย ซีสจ์เตะอัดเข้าใส่ร่างที่ประจันหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังถูกสกัดไว้ได้ด้วยหลังมืออีกข้างที่ตั้งการ์ดรับอย่างชำนาญแต่เพียงชั่วครู่ นิโคลัสเริ่มสังเกตเห็นถุงมือกำลังมีควันลอยขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาที่เบิกกว้าง
แรงระเบิดแผ่รัศมีออกจากขาของนักเรียนตัวเล็ก ควันและกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ “เป็นไงบ้างวะ?” ซีสจ์ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จ้องกลุ่มควันที่กำลังบดบังการมองเห็นแต่เมื่อมันจางลง เสียงหัวเราะของเขาก็พลันหยุดลงไปด้วย แววตาที่มองทอดยาวออกไปกลับมาดุดันอีกครั้ง “วู้ว!! ไม่คิดเลยว่าจะมีกิฟท์ที่อันตรายแบบนี้ด้วย” นิโคลัสสะบัดเสื้อหนังที่เต็มไปด้วยรอยไหม้ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ เหมือนกับคนไม่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดเมื่อครู่สักนิด เขาจับปกเสื้อให้เข้าที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทมัสสังเกตเห็นถุงมือมีรอยแหว่งขนาดใหญ่แต่ไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำให้เห็นบนผิวหนัง
นิโคลัสเหลือบตามองซีสจ์ สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงออกถึงความสงสัยปนไม่พอใจ เพียงชั่วขณะที่ทั้งสองเล่นเกมจ้องตากัน ซีสจ์มีอาการประหลาด ริมฝีปาก แขนและขาสั่นด้วยความกลัว โทมัสสังเกตและคอยเก็บรายละเอียดอย่างสุขุม พวกนั้นยืนค้างอยู่กับที่พักใหญ่ก่อนที่ซีสจ์จะเริ่มง้างมือที่กำหมัดแน่นยกขึ้นอย่างยากลำบาก “โอ้! ด้วยสภาพแบบนั้นยังคิดที่จะสู้ต่ออีกหรือครับ?” นิโคลัสส่งสายตาอันเยือกเย็นดุจหอกน้ำแข็งที่กำลังเล็งปลายแหลมจี้ที่คอของนักเรียนโอหัง “...มัน...จะมาก...ไปแล้วนะเว้ย!!!!” อาการสั่นเทาหายเป็นปลิดทิ้ง ซีสจ์พุ่งเข้าใส่นิโคลัสด้วยไฟโทสะอันร้อนแรง
เปลวไฟสีเหลืองปกคลุมร่างกายซีสจ์ในขณะที่นิโคลัสทำเพียงแค่ยกแขนขึ้นจับที่ปลายหมวก ดึงมันลงจนบังนัยน์ตาจนมิด ไม่มีการตั้งการ์ดรับการจู่โจมที่กำลังจะมาถึงแต่ผู้ชมต่างรู้สึกว่าชายผู้นั้นจะสามารถหยุดการโจมตีจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นเหมือนที่ผ่านมา
การจู่โจมอันหนักหน่วงถูกขัดด้วยการปรากฏตัวของร่างปริศนาที่กำลังหยุดยืนที่เบื้องหน้าของนิโคลัส เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนทั่วไป ส่วนสูงมากกว่านิโคลัส ผมดำ ใบหน้าเรียวหวานได้รูปแต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก แขนเรียวยาวของเขายกขึ้น ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของซีสจ์ผู้กำลังวิ่งตรงเข้ามา “นี่แก...?!!” ซีสจ์หลุดอุทานออกมาได้แค่นั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนไร้สติและถูกนักเรียนคนนั้นรับไว้ได้ทันอย่างหวุดหวิด
“ผมขอโทษแทนเพื่อนของผมด้วยนะครับ” วินเซอร์โอบอุ้มร่างไร้สติด้วยแขนทั้งสองข้าง เขาและนักเรียนใต้อาณัติของซีสจ์จากไปอย่างเงียบสงบ นำพาบรรยากาศตึงเครียดให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” วิลเลี่ยมเดินตรงมาหาซาคาเรียส เปลวไฟบนผิวดาบสลายไป “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ” ซาคาเรียสกล่าว “ครับ” วิลเลี่ยมยิ้ม “ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ?” เสียงจากร่างที่ถูกบดบังสร้างความประหลาดใจให้ทั้งซาคาเรียสและวิลเลี่ยม โทมัสก้าวออกมา สายตาที่มองมาที่พวกเขาจากทั่วทุกมุมมันมากเกินไปแต่ก็ไม่แปลกที่จะกลายเป็นจุดสนใจโดยฉับพลันอย่างงี้ โทมัสเดินนำออกจากโคลอสเซียม
“คนเมื่อกี้คือ….ผู้คุมประชาชนหรือครับ?” เสียงกล่าวของโทมัสทำเอาวิลเลี่ยมหน้าถอดสีทันใด เสียงหัวเราะดังออกมาคล้ายจะช่วยให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียดจนเกินไป “แหม ผมละนึกว่าจะถูกคุณดุเรื่องที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องซะอีกนะครับ” วิลเลี่ยมเกาหัว ท่าทางและรอยยิ้มเหมือนกำลังพยายามเบี่ยงประเด็น ไม่อยากกล่าวถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ “ทำไมผู้คุมประชาชนถึงต้องตามหาผมครับ?” วิลเลี่ยมมองดวงตาคู่นั้นพลันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังเอนจนสัมผัสผิวกำแพง “ถ้าให้เล่าที่นี่คงใช้เวลานาน สนใจเปลี่ยนเป็นบ้านพักในป่าหลังนั้นแทนไหมครับ? วันจันทร์ช่วงเที่ยง….” “ก็ได้ครับ” โทมัสตัดบท เขาหันมองซาคาเรียส สื่อสารผ่านทางสายตาและความเงียบอันไร้เสียงกล่าว “ผมเรียกรถม้ามารอแล้วครับ ตามผมมาเลยครับ” ซาคาเรียสเดินนำไปสักพักก็หยุดลงเสียดื้อๆ เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “คุณวิลเลี่ยมกลับยังไงหรือครับ?”
เย็นวันนั้นโทมัส ซาคาเรียสและวิลเลี่ยมร่วมเดินทางกลับบ้านด้วยกัน จริงอยู่ที่มีคนขับรถม้าให้แล้วแต่ซาคาเรียสไม่ชอบให้ใครขับแทนตนเองจึงนั่งแท่นควบ ทุกวินาทีที่เดินผ่านภายนอกของรถม้าก็เหมือนกับการท่องมิติที่แตกต่างหากแต่อีกด้านกลับเป็นความเงียบที่แสนน่าอึดอัด “คุณซาคาเรียสเป็นคนที่ยิ้มง่ายและอัธยาศัยดีนะครับ” ทิ้งเวลาอยู่พักหนึ่ง “ครับ” วิลเลี่ยมพยายามไม่เหลือบมองขึ้นไปเพราะอาจเห็นใบหน้าเย็นชานั้นแต่ก็ฝืนไม่ได้ที่จะมองในบางครั้ง “หลังจากนี้ไปคุณซาคาเรียสจะยังมีความสุขแบบนี้ไหมครับ?” วิลเลี่ยมเอ่ย “หมายความว่ายังไงหรือครับ?” โทมัสขมวดคิ้ว “คุณก็น่าจะเห็นแล้วนะครับว่าผู้คุมประชาชนคนนั้นได้หมายหัวคุณซาคาเรียสในฐานะเจ้าชายตัวจริง แม้เจ้าชายตัวจริงจะถูกปกปิดไว้แต่หลังจากนี้ไปผมคิดว่าจะมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดครับ”
ภายในห้องอาหารตามฤดูกาล อาหารจำนวนมากถูกจัดแจงเป็นระเบียบบนโต๊ะอาหารทรงยาว ตัวห้องมีการตกแต่งโดยจิตรกรชำนาญเพราะสามารถเนรมิตให้ทั้งห้องกลายเป็นสุสานของใบเมเปิ้ลที่ทับถมบนพื้น ต้นเมเปิ้ลแต่งเติมบนผนังห้อง กลายเป็นความลงตัวที่ทำให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารเกิดความรู้สึกเสมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางป่าเมเปิ้ลจริงๆ หญิงสาวแต่งกายในชุดเดรสขาว นั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะและอีกคน ชายกำยำผู้สวมชุดหนังสีดำ นิโคลัสที่ในยามปกติจะไม่มีใครได้เห็นใบหน้าภายใต้เครื่องประดับและอาภรณ์สีหม่นที่บดบังอวัยวะทุกส่วนอย่างมิดชิดแต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ร่างนั้นไม่ได้สวมหมวกและผ้าปิดปากตัวโปรด เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาแม้จะดูมีอายุ เส้นผมหยักศกสีน้ำทะเลยามอาบรัตติกาลตัดกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลยามต้องทิวาที่ตัดกันอย่างลงตัว
“คุณนิโคลัสขอบคุณที่มานะคะ เรารู้สึกเกรงใจเหลือเกินที่ต้องไหว้วานให้คุณทำงานควบถึงสองตำแหน่ง” สเตฟานี่กล่าวทักทายผู้ร่วมโต๊ะอย่างสนิทสนม “หามิได้ขอรับฝ่าบาท การได้ถวายงานให้พระองค์ถือเป็นเกียรติสูงสุดและการได้สอนนักเรียนเป็นการผ่อนคลายจากงานประจำของกระผมเองด้วยขอรับฝ่าบาท” นิโคลัสตอบกลับอย่างถ่อมตัว “ได้ยินแบบนี้จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง...” ใบหน้าสวยได้รูปหากแต่คิ้วขมวดเข้าหากัน
“เรื่องราวในวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?” น้ำเสียงของเธอดูเป็นกังวล “กระผมไม่คิดว่าจะสามารถเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างละเอียด ฉะนั้นหากทรงไม่รังเกียจ จะทรงทอดพระเนตรด้วยตัวของพระองค์เองจะดีไหมขอรับฝ่าบาท?” นิโคลัสยื่นมือไปด้านหน้า เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางนิ้วลงบนฝ่ามือหยาบและหนาและหลับตาลง ทันใดนั้นทุกคนในห้องอาหารรับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เสียงแตกร้าวที่ดังขึ้น นัยน์ตาของผู้รับใช้ที่ยืนด้านหลังของเก้าอี้ของนิโคลัสเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเห็นโต๊ะอาหารกำลังมีรอยร้าว ผิวหลุดลอกและลอยขึ้นกลางอากาศ ปลดปล่อยแสงสว่างออกมาจนแสบตา
เช้าวันต่อมา มันคือวันหยุดของโทมัสและซาคาเรียส พวกเขาจึงหาเรื่องชวนกันออกไปเที่ยวนอกเขตพระราชฐานเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก่อนการเริ่มเรียนในสัปดาห์ถัดไป โทมัสสวมชุดคลุมผ้าปิดบังร่างกายทุกส่วนอย่างมิดชิด ยืนอยู่ด้านหน้าของชานพระราชวัง มีผู้รับใช้และราชินีสเตฟานี ผู้เป็นมารดาไม่ไกลกัน “แม่ได้จัดเตรียมองครักษ์คุ้มครองตลอดการเดินทางแล้ว แม่ให้สัญญาว่าลูกจะไม่สังเกตเห็นพวกเขาแน่นอนจ่ะ” โทมัสพยักหน้ารับหากแต่ไม่ส่งเสียงใดๆ “ข้อตกลงคือก่อนพระอาทิตย์ตกจ่ะ” เขาพยักหน้าเหมือนเดิม ไม่นานรถม้าที่ถูกขับเคลื่อนโดยร่างผู้สวมชุดคลุมผ้าชนิดเดียวกันก็ได้เคลื่อนตัวมาจอดที่ด้านหน้าของชานอาคารและรับตัวเขาไป
เส้นทางจากลานพระราชวังไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ค่อนข้างใช้เวลาแต่ที่สุดก็มาถึงยังลานจอดรถม้าของตลาดเอคเนลูโป ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักอาศัยของมหาเศรษฐีและถูกเรียกกันติดปากกว่าตลาดคนรวย “นายท่านจะไปที่ไหนก่อนดีขอรับ?” ซาคาเรียสลดระดับศัพท์ในการสนทนาลงมาเป็นการสนทนาระหว่างขุนนางและข้ารับใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่สัญจรผ่าน เกิดความเคลือบแคลงใจ “เริ่มจากตลาดของเก่าก่อนก็แล้วกันครับ” โทมัสตอบเสียงเรียบ เส้นทางไปยังตลาดของเก่าต้องผ่านถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินมุ่งหน้าไปยังตลาดยามสาย สองฝั่งคับคั่งไปด้วยอาคารบ้านเรือน มีไม้ประดับบ้านปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ใช้เวลาอยู่นานและกว่าที่จะหลุดออกจากฝูงชน เล่นเอาซะเหงื่อชุ่มหน้าและแผ่นหลัง พ้นจากถนนเส้นหลักแล้วจึงพบกับถนนย่อยซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 สาย แต่ละสายมีป้ายบอกชื่อโซนการค้าซึ่งเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดของเก่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ