นิล

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.16 น.

  11 ตอน
  66 วิจารณ์
  4,402 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่สิบ วันที่ฝนโรยลา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิล

ปริศนาโรงเรียนอาถรรพ์

บทที่สิบ  วันที่ฝนโรยลา

 

วันเดียวกัน(ตอนบ่าย)

   แม้ช่วงนี้จะอยู่ในหน้าฝน  แต่อากาศนั้น  ก็ช่างร้อนอบอ้าว  ชวนให้หลายๆคนบิดขี้เกียจกันเป็นไหนๆ  และในอากาศเช่นนี้เอง  บางคนก็เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉยๆไม่ออกไปไหน  บ้างก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกไปอย่างเช่นออกไปทำงาน  ส่วนสาวน้อยของเราใยนามนี้นั้น  หลังจากที่เสร็จจากคดีของเจน  ตัวของเธอเองก็เหมือนคนว่างงาน  ที่เอาแต่นั่งติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์  ถึงความเป็นไปของเหล่าคนในสังคม

                         “วันนี้ไม่มีคดีอะไรเลยนะค๊ะคุณแม่”

   นิลถอนหายใจออกมาเบาๆเฮือกหนึ่ง

                         “นั่นสิ  คดีที่ผ่านมาช่วยปลุกไฟในตัวแม่แล้วด้วย  อย่างน้อยคดีตามหาคนหายก็ยังดี  ดีกว่านอนอยู่เฉยๆ  แล้วนั่งดูข่าวเดิมในโลกออนไลน์แบบนี้น่ะนะ”

   สิ้นเสียงนิล  เสียงกริ่งที่หน้าบ้านของเธอก็ดังขึ้น  ทั้งลูกสะใภ้ของเธอ  และเธอต่างหันไปมองที่หน้าประตูพร้อมๆกัน  นิลจึงเตรียมที่จะลุกไปเปิดประตู  แต่ลูกสะใภ้ของเธอได้ห้ามเธอเอาไว้  และเธอก็เดินไปเปิดเอง

                         “อ้าวคุณนั่นเอง” ลูกสะใภ้กล่าว  ขณะที่อยู่ที่หน้าประตู “เชิญข้างในก่อนสิค๊ะ  คุณแม...  นิลอยู่ข้างในน่ะค่ะ”

   นิลได้ยินเสียงลูกสะใภ้คุยกับใครบางคน  เธอจึงลองแอบมองด้วยความประหลาดใจ  ซึ่งคนที่เดินเข้าประตูมานั้น  คือปุณ  ปุณที่พึ่งออกมาจากสน.เมื่อครู่นี้  เขาตรงมาหานิลโดยทันที

                         “อ้าวนาย  เชิญนั่งก่อนสิ” นิลผายมือไปที่เก้าอี้หน้าเธอ

                         “ขอบใจมากนะ” ปุณกล่าว  พลางเลื่อนเก้าอี้เพื่อนั่ง

                         “งั้นเดี๋ยวน้าไปเอาน้ำมาให้นะ” ลูกสะใภ้กล่าว  ปุณจึงหันไปมองตามลูกสะใภ้ของนิล  ก่อนที่เขาจะหันมากล่าวกับนิลด้วยสีหน้าประหลาดใจ

                         “คนบ้านนี้มีมารยาทกันทุกคนเลยนะ  เป็นบ้านชั้นนะ  ปกติคนเป็นเด็กกว่านิ  ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง  ไม่มีคนมาทั้งเปิดประตูให้  หรือหาน้ำให้แบบนี้แน่ๆ”

   นิลหัวเราะกลบเกลื่อนให้กับสิ่งที่ปุณสงสัย

                         “เขาคงเห็นชั้นติดธุระอยู่มั้ง  เขาเลยช่วยหาให้ไง”

   เป็นพยักหน้าตามในสิ่งที่นิลพูด  ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ

                         “ชั้นว่าก็คงจะเป็นแบบที่เธอพูด”

                         “ว่าแต่นายเถอะ  วันนี้มีคดีอะไรมาให้ชั้นช่วยทำเหรอ”

   ในขณะนั้นเอง  ลูกสะใภ้ของนิล  ได้เอาน้ำมาวางไว้ที่ข้างกายของทั้งคู่

                         “จริงสิ  ก่อนอื่นเลย” ปุณหยิบซองค่าตอบแทนขึ้นมา  พร้อมยื่นให้นิล “นี่เป็นค่าตอบแทน  ที่หัวหน้าชั้นอยากมอบให้กับเธอ”

   นิลยื่นมือไปหยิบซองนั้นขึ้นมา  และเปิดดูค่าตอบแทนข้างใน  พร้อมกล่าวขึ้นมาต่อ

                         “จริงๆไม่ต้องก็ได้นะ  ชั้นแค่อยากช่วยเหลือพวกคุณก็เท่านั้นแหล่ะ  และอีกอย่าง  ชั้นยังได้ประสบการณ์อะไรใหม่  แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับงานนี้แล้วล่ะ”

   สิ้นเสียงนิล  ปุณแอบหัวเราะเล็กน้อยกับคำตอบของนิล

                         “ถือเป็นสิ้นน้ำใจ  ให้กับคดีต่อไปที่อาจจะมีก็แล้วกันนะ  คนทำงานก็ต้องได้ค่าตอบแทนน่ะ  ถูกต้องแล้วล่ะ”

                         “อย่าพูดอะไรให้มันเป็นลางเลยน่า” นิลเก็บค่าตอบแทนใส่กระเป๋าเธอเอาไว้ “แต่ถ้านายพูดแบบนั้น  ชั้นจะขอรับเอาไว้แบบไม่เกรงใจล่ะ  แต่ชั้นเดาว่า  นายคงไม่ได้มาเพราะเรื่องแค่นี้หรอกจริงไหม  เพราะซองนั่น  มันคงจะมีอะไรที่มากกว่านั้น”

   นิลชี้ไปที่ซองอีกซองหนึ่ง  ที่ปุณถือติดตัวมาด้วย  ปุณยิ้มออกมาอย่างคนที่ไม่ผิดหวัง

                         “ยังช่างสังเกตุเหมือนเดิมเลยนะ  งั้นชั้นจะเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ” ปุณเอาซองวางไว้ตรงหน้านิล “เมื่อคืนนี้  หลังจากที่ชั้นสอบปากคำเจนจิราเสร็จ  ชั้นได้พาเธอไปยังที่พักในสน.  และตอนเช้าตั้งใจจะพาเธอไปยังสถานพินิจ  แต่เมื่อเช้านี้  เราพบว่าเจนจิราได้เสียชีวิตลงแล้ว”

   สิ้นเสียงปุณ  สีหน้าของนิลเปลี่ยนไป  จากที่มีสีหน้าที่เรียบเฉย  กลายเป็นสีหน้าที่ความตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

                         “สาเหตุล่ะ?”

   ปุณถอนหายใจออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ

                         “ยาพิษผสมอยู่ในอาหาร”

   นิลหย่อนร่างลงที่พนักพิงหลัง  เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว  เหมือนกับเธอตั้งใจจะให้น้ำที่เย็นเชียบ  ไปดับความรุ่มร้อนในใจของเธอก็มิปาน  ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในความเงียบสงัดแต่เพียงอึดใจ  นิลจึงพูดขึ้นมาต่อ

                         “หมายความว่า  ในสน.ของนาย  มีคนที่ไม่ประสงค์ดีอยู่อย่างนั้นเหรอ?”

                         “เป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหล่ะ  เราสอบปากคำเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายที่เข้าเวรในคืนนั้น  แต่ทั้งคู่ไม่มีใครยอมรับเลย”

   นิลยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย  พร้อมกับกล่าวกับปุณ

                         “สอบปากคำโดยที่มีหลักฐานไม่พร้อมน่ะ  ก็เหมือนการกล่าวหาผู้อื่นมั่วๆนั่นแหล่ะ  ชั้นทำให้คุณดูแล้วนิ  ว่าการจับคนร้ายน่ะ  มันต้องทำยังไง” นิลยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเป็นแก้วที่สอง  พร้อมทั้งเติมน้ำลงในแก้ว “และในครั้งนี้ชั้นเดาว่า  คนร้ายคงจะรู้มุมกล้องวงจรปิดทุกมุมในสน.เป็นอย่างดี  ส่วนถาดอาหารเอง  ก็คงจะหาลายนิ้วมือไม่ได้เลยสินะ”

   สีหน้าของปุณ  บ่งบอกถึงความผิดหวังกับเรื่องที่นิลพูด

                         “อาเป็นอย่างที่เธอพูดนั่นแหล่ะ”

   นิลที่ได้ยินเช่นนั้น  เธอจึงหยิบซองที่วางอยู่ตรงหน้าเธอขึ้นมา  และเปิดดูของที่อยู่ข้างในนั้น  มันเป็นรูปศพของเจน  ที่ถูกชันสูตรออกมา  แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจ  ก็คือรูปวงกลมดาวห้าแฉก  ที่สักอยู่ที่แขนข้างขวาของเจน  นั่นจึงทำให้นิลเพ่งมองดั่งกับว่า  เธอเคยเห็นสัญลักษณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน  เธอจึงเงยหน้าเพื่อที่จะถามปุณ  แต่ปุณในตอนนี้นั้น  เหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากก็ว่าได้

                         “นี่  จะซึมกระทืออีกนานไหม”

   เสียงของนิลในตอนนั้น  มันเหมือนกับการเรียกสติของปุณให้กลับมา

                         “เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ”

   นิลวางกระดาษหลักฐานลงตรงหน้าปุณ

                         “ชั้นจะถามเรื่องสัญลักษณ์นี่น่ะ  ในสน.คุณเขาว่ายังไงกันบ้าง”

                         “คิดว่าคงเป็นรอยสัก  ที่เด็กคนนึงไปสักมาด้วยความคะนองน่ะ” ปุณหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม “แต่ชั้นไม่คิดอย่างนั้นนะ  จากที่เจนเคยยอมรับว่ามีคนอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมของเธอ  มันทำให้ชั้นคิดว่า  นี่อาจจะเป็นกสนฆ่าปิดปากขององค์กร  องค์กรหนึ่งที่เธอทำงานด้วยน่ะ”

                         “และนั่นก็จะพอดีกับที่มีเจ้าหน้าที่วางยาเจนเลยสินะ” นิลเอามือไปจับที่คาง  ดั่งกับว่าเธอกำลังใช้ความคิด “ชั้นว่า  มันพอจะมีทางแล้วล่ะ  ที่สน.ของนาย  จะมีตัวกำหนดตารางเวรของแต่ล่ะคนสินะ”

   ปุณพยักหน้าตอบรับ

                         “และเวลาใครที่จะเข้ามาทำงาน  ไม่ว่าเวลาไหน  ก็ต้องมาเซ็นชื่อที่สมุดใช่ไหม”

                         “อา” ปุณเหมือนคิดอะไรออก “นี่อย่าบอกนะ  ว่าให้ชั้นลองไปตรวจสอบที่สมุดเซ็นชื่อ  ว่าคนที่เข้าเวรในคืนนั้น  ใช่ชื่อสองคนนั้นรึเปล่าน่ะ”

                         “ก็แบบนั้นแหล่ะ  แต่ชั้นคิดว่า  คงไม่ใช่ชื่อของหนึ่งในสองคนนั้นหรอก  และตอนที่หนึ่งในสองคนนั้นโดนสอบปากคำ  หนึ่งในสองคนนั้นคงจะให้การว่า  ‘แลกเวร  เพื่อที่ตอนเช้าจะไปทำธุระ’ ก็ประมาณนี้แหล่ะ  และชั้นคิดว่า  หัวหน้าของคุณคงจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว  เพียงแต่เขาคงจะไม่ได้บอกคุณก็เท่านั้น  เพราะสุดท้ายแล้ว  คำให้การแค่นี้  แต่มันก็มีน้ำหนักพอที่จะทำให้คนร้ายหลุดรอดไปได้น่ะนะ”

   สิ้นเสียงนิลปุณแอบทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย

                         “แล้วแบบนั้นเราจะเอาผิดคนร้ายยังไงล่ะ  เพราะสิ่งที่เราพูดกันมา  มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วนิ”

                         “วิธีเอาผิดคนร้ายน่ะ  คุณเองเป็นคนที่ถือมันมาตลอดไม่ใช่เหรอ”

   สิ้นเสียงนิล  ตัวของปุณทำหน้าสงสัยให้กับสิ่งที่เธอพูด  นิลจึงชี้ไปที่กระดาษหลักฐานที่วางอยู่ตรงหน้าเธอ

                         “ก็นี่ไงล่ะ  หลักฐานน่ะ”

   นั่นจึงเป็นอีกครั้ง  ที่ทำให้ปุณฉุกคิดขึ้นมาได้

                         “จริงสิ  ถ้านี่เป็นองค์กรล่ะก็  การที่คนในองค์กรจะมีสัญลักษณ์แบบเดียวกัน  เพื่อยืนยันตัวตน  นั่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  งั้นเธอก็หมายความว่า  จะให้ชั้นลองตรวจสอบร่างกายของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนสินะ  ถ้าใครที่มีสัญลักษณ์นี่อยู่  คนคนนั้นก็คือคนที่ลงมือฆ่าเจนจิราสินะ”

                         “ก็แบบนั้นแหล่ะ  แต่ว่าแค่นี้ยังไม่สามารถที่จะมัดตัวคนร้ายได้หรอก  แต่ถ้าพูดถึงหลักฐานทั้งกล้องวงจรปิดที่จับภาพของคนร้ายในขณะนั้นไม่ได้  และเรื่องถาดอาหาร  ที่ใครคนใดคนหนึ่งเอาไปให้เจนแล้วล่ะก็  แค่นั้นมันก็สามารถที่จะมัดตัวคนร้ายได้แล้วล่ะนะ  เพียงแต่ว่า  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการโน้มนาวของคุณนั่นแหล่ะ”

   คำพูดของนิล  ทำให้ปุณต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่  มันเป็นสถานการที่ค่อนข้างที่จะกดดัน  เพราะมันเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน  ที่เขาจะจับตัวคนร้ายด้วยตัวเอง

                         “อ้อ  แล้วสุดท้าย  บางทีคนร้ายในคดีนี้  อาจจะมีมากกว่าหนึ่งคนก็ได้นะ”

   สิ้นคำพูดของนิล  ทำให้ปุณเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

                         “เธอหมายความว่า  มีคนร่วมก่อการฆาตกรรมกับนายตำรวจนายนี้เหรอ?”

   นิลยิ้มอย่างกวนประสาท  ก่อนที่เธอจะตอบปุณด้วยท่าทางกวนๆ

                         “ไม่รู้สิ” นิลยกแก้วน้ำที่หน้าเธอขึ้นดื่ม  ก่อนที่เธอจะตอบน้ำลงไปเพิ่ม “ชั้นก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ  เพราะคนที่จะเปิดเผยเรื่องราวในครั้งนี้  ก็คือคุณนั่นแหล่ะ  แต่เมื่อคุณเลือกที่จะจับคนทำผิดในครั้งนี้แล้ว  อยากให้คุณเตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ  เพราะหลังจากนี้ชั้นมั่นใจ  ว่าคุณจะต้องเจอกับศึกหนักของความเงียบงันที่จะตามมาแน่  เพราะเราได้ไปลูบคมของปีศาจเข้าให้แล้วไง”

   ปุณกลืนน้ำลายให้กับคำพูดของนิล  ทั้งคู่นั่งอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่ง  ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามนิลต่อ

                         “จริงสิ  ชั้นอยากรู้น่ะ  ว่าเธอรู้ได้ยังไง  ว่าเจนจิราคือคนร้ายน่ะ  มันไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ไปที่เธอเลยนะ?”

                         “คุณจำพยานที่เห็นเหตุการณ์ของสุกัญญาได้ไหมล่ะ”

   ปุณพยักหน้าตอบ

                         “ครั้งแรก  เธอคนนั้นพูดใช่ไหมล่ะ  ว่ายังมีเพื่อนของสุกัญญาเคยฆ่าตัวตายในลักษณะเดียวกันน่ะ” ปุณพยักหน้าตอบรับอีกครั้ง “นั่นจึงเป็นจุดแรก  ที่ทำให้ชั้นเริ่มสงสัย  ว่านี่อาจจะเป็นการลงมือฆ่ากันเอง  ของคนที่เป็นเพื่อนกันก็ได้  แต่นั่นก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  ชั้นถึงบอกให้เรียกเพื่อนของสุกัญญามา  เพื่อที่จะดูและสังเกตท่าทางของพวกเธอ  แต่ในตอนนั้น  เจนเองแทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลย  ทำให้ชั้นยังมองท่าทางของเธอไม่ออกเท่าไหร่นัก  ชั้นจึงตัดสินใจที่จะปลอมตัวเข้าไปในโรงเรียนแห่งนั้น  เพื่อสืบดูว่า  ใครกันแน่ที่เป็นคนร้ายในสองคนนั้น  แต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเลือกเข้าข้างชั้นน่ะนะ  เพราะตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันในวิชาพละ  ชั้นเห็นรอยฟกช้ำบนตัวของเจน  นั่นจึงเป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจน  ว่าคนร้ายต้องเป็นเจนอย่างแน่นอน  ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ  นายลองคิดดูสิ  ว่ารอยฟกช้ำพวกนั้น  จะเกิดขึ้นมาได้ยังไง  ถ้าไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันอย่างรุนแรงน่ะ  และครั้งสุดท้ายที่ทำให้ชั้นมั่นใจที่สุด  คือตอนที่ชั้นไปหาหลักฐานของเงาดำบนตึกเก่านั่น  ตอนที่ชั้นไปที่หลังโรงเรียน  และจู่ๆเจนก็โผล่มาอย่างประหลาด  ถ้าไม่ใช่คนที่สะกดรอยตามชั้นมาตลอด  คงไม่มีทางที่จะโผล่ออกมาได้ในเวลาที่เหมาะขนาดนั้นหรอก  และเมื่อชั้นเข้าใกล้ตัวเธอมากขึ้น  เธอจึงหันเหเป้าหมายมาที่ชั้น  เพื่อที่จะปิดปากชั้นไง”

   ปุณทำหน้าตกใจในสิ่งที่นิลพูดออกมาทั้งหมด

                         “น่าทึ่งในความสามารถของเธอจริงๆเลยนะ”

                         “ไม่หรอก  ถ้าคนที่เป็นคู่หูของชั้น  ไม่ให้ความเชื่อใจในตัวชั้นแล้วล่ะก็  เรื่องในครั้งนี้คงทำสำเร็จไม่ได้หรอก  ขอบใจมากเลยนะ  คู่หู”

   นิลยืนมือไปทางปุณ  เป็นเครื่องหมายในความของคุณ  ปุณซึ้งใจในสิ่งที่นิลพูดออกมา  เขายืนมือไปจับมือกับนิลตอบ

                         “หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีกนะ” ปุณกล่าว

                         “มีครั้งที่หนึ่ง  ก็ต้องมีครั้งที่สองล่ะนะ”

                         “แล้วว่าแต่  เรื่องอาถรรพ์ของตึกเรียนเก่านั่น  จริงๆแล้วมันคืออะไรกันล่ะ?”

   นิลทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เขาจะตอบปุณ

                         “มันก็แค่  เรื่องที่เกิดยามเย็น  ตอนที่ยามเดินตรวจความเรียบร้อยเท่านั้นแหล่ะ  คนที่มองขึ้นไปจากข้างล่างน่ะ  ภาพที่เห็นมันจะไม่ชัดเจนได้หรอก  เพราะมันสะท้อนแสงของพระอาทิตย์  และเมื่อมันไม่ชัดเจน  ภาพที่ออกมา  มันจึงเป็นอะไรบางอย่างที่คนเรามักจะคิดไปเองน่ะนะ”

                         “ที่หน้ากลัวที่สุด  คงจะเป็นการสร้างเรื่องของคนเราเองสินะ?”

                         “ก็ประมาณนั้นแหล่ะ  การคิดไปเองว่าคนอื่นเด่นกว่าเราต่างๆนาๆ  ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวในคดีครั้งนี้ขึ้น  ถ้าคนเราไม่มีความอิจฉาริษยาแล้วล่ะก็  เรื่องการฆ่ากันในสังคมนี้เอง  ก็คงจะไม่มีตามมาเช่นกัน  เรื่องในครั้งนี้  สอนเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ”

   ปุณยิ้มออกมาเล็กน้อย  อย่างที่นิลบอก  ตัวของเขาได้บทเรียนจากคดีแรกของเขาอย่างมากมาย  ถึงชีวิตของมนุษย์  แค่ความอิจฉาเพียงเล็กน้อย  ก่อให้เกิดการฆ่ากันได้อย่างไร้เยื่อใย

                         “งั้นชั้นขอตัวไปเคลียเรื่องที่สน.ก่อนนะ”

    สิ้นเสียงปุณ  เขาลุกออกจากบ้านของนิลไป  เรามุ่งตรงไปยังสน.ของเขา  เพื่อจัดการในเรื่องที่เขามาขอคำปรึกษาจากนิล  ก่อนที่นิลจะอวยพรตามหลังเขาไป

                         “ขอให้โชคดีนะ”

   ปุณหันมายิ้มตอบ  ก่อนที่เขาจะเดินหายลับไปจากบ้านของนิล

สองวันต่อมา

   นิลเลื่อนดูข่าวบนเฟสบุ๊ค  สายตาของเธอก็ต้องไปสะดุดกับข่าวๆหนึ่ง  โดยเนื้อหาในข่าวได้เขียนเอาไว้ว่า

                         “คดีฆาตกรรมผู้ต้องหาสาว  เมื่อเวลา 00.30น. ของวันพุธที่19 กันยายน  นายตำรวจสองนายร่วมกันวางแผน  ฆ่าเด็กสาวผู้ต้องหาในคดีฆ่าเพื่อนของเธอ  ตำรวจสองนายได้นำอาหารไปให้กับเด็กสาว  โดยที่ในอาหารนั้น  ได้ใส่ยาพิษเอาไว้  และก่อนที่จะลงมือฆ่า  ตำรวจทั้งสองนายได้ทำให้กล้องวงจรปิดในสน.เสีย  และจึงค่อยลงมือก่อเหตุ”

   นั่นคือเนื้อหาทั้งหมดที่นิลอ่านได้  ลูกสะใภ้ของเธอได้เดินเข้ามาหาเธอ  ก่อนที่จะถามเรื่องราวของเนื้อหาในข่าว  เพราะในวันนั้นเอง  ตัวของเธอก็ได้ยินเรื่องที่ปุณมาปรึกษาเช่นกัน  นิลจึงยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม  ก่อนที่เธอจะหันไปตอบลูกสะใภ้

                         “จริงๆคดีนี้น่ะ  มันจบไปตั้งแต่ตอนที่นายตำรวจสองคนนั้น  คิดฆ่าผู้ต้องหาแล้วล่ะนะ” ลูกสะใภ้ทำสีหน้าสงสัย “ลองคิดดูสิ  ถ้ามีคนนอกเข้ามาในสน.จริงๆ  คนที่เป็นตำรวจเวรจะไม่เห็นเลยเหรอ  นั้นจึงเป็นช่องว่างอันใหญ่หลวง  ที่ทำให้คดีนี้มันง่ายเข้าไปอีก  เพราะเมื่อคิดได้แบบนั้น  คนร้ายที่จะลงมือก่อเหตุนี้ได้น่ะ  ก็มีเพียงแค่คนเดียวนั่นก็คือคนที่เป็นตำรวจเองนั่นแหล่ะ  โดยวีการลงมือก็ที่เขียนตามข่าว  ตอนที่ทั้งคู่เข้าเวร  ก็แค่ลงมือทำให้กล้งเสีย  เพราะทั้งคู่ต่างรู้มุมกล้องเป็นอย่างดีอยู่แล้ว  หลังจากนั้นก็รอเวลาให้ทุกคนกลับบ้านกันหมดก่อน  แล้วค่อยลงมือเอายาพิษใส่ในอาหาร  แล้วให้เจนกิน  เรื่องก็เท่านี้แหล่ะ”

                         “แล้วคุณแม่รู้ได้ยังไงค๊ะ  ว่าทั้งสองคนร่วมมือกันน่ะ?”

   นิลมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย

                         “ถ้าสมมุติคนร้ายมีแค่คนเดียว  แล้วรู้ว่าผู้ต้องหาที่ถูกคุมตัวเอาไว้  เพื่อที่จะนำไปสถานพินิจเสียชีวิตขึ้นมา  มีเหรอที่ตอนโดนสอบปากคำ  จะช่วยกันปกปิดน่ะ  คนที่ไม่มีความผิด  จะช่วยโกหกเพราะความรักเพื่อนน่ะเหรอ  เรื่องแบบนั้นมีแต่ในละครเท่านั้นแหล่ะ  หรือถ้าหนึ่งในคนใดคนหนึ่ง  เกิดรักความยุติธรรมขึ้นมา  และบอกเรื่องของอีกคนนึงออกไป  ทั้งคู่ที่ต่างกุมความลับของกันและกันอยู่  ก็คงต่างฝ่ายต่างแฉความลับของกันและกันแน่นอน  นั่นจึงทำให้ทั้งคู่ต่างเลือกที่จะปกปิดความลับของกันและกันเอาไว้  และเลือกที่จะปกป้องกันไง”

                         “งั้นทำไมตอนที่เด็กคนนั้นมาถามเรื่องนี้กับแม่  แม่ถึงไม่บอกเด็กคนนั้นไปตรงๆเลยล่ะค๊ะ”

                         “ถ้าบอกไปตรงๆ  หมอนั้นก็คงไม่ต้องเรียนรู้อะไรกันพอดี  พอมีคดี  ก็แค่เดินเข้ามาถามชั้น  แล้วก็เอาสิ่งที่ชั้นบอก  ไปจับคนร้าย  แบบนั้นคงไม่ต้องมีหน่วยสืบสวนแล้วล่ะ”

   ลูกสะใภ้หัวเราะออกมายกใหญ่

                         “คุณแม่คิดจะฝึกเด็กคนนั้นสินะค๊ะ”

                         “ก็ประมาณนั้นน่ะนะ” นิลเอาหลังพิงพนักเก้าอี้ “ดูเหมือนพวกนั้นจะเจอกับมือที่มองไม่เห็นเข้าแล้วล่ะนะ  ยังไงก็อดทนกันเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน”

   สิ้นเสียงนิล  เธอยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอย่างสบายอารมณ์  แต่ดูเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหยาดฝน  ในตอนนี้มันกลับสดใสขึ้นมาแล้ว

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา