นิล

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.16 น.

  11 ตอน
  66 วิจารณ์
  4,374 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทส่งท้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิล

ปริศนาโรงเรียนอาถรรพ์

บทส่งท้าย

 

สองสัปดาห์ต่อมา

   ในยามเช้าที่อากาศสดใส  ใครบางคนไม่อยากจะย่างกรายออกมาจากผ้าห่ม  ที่ช่างเย็นสบายไปด้วยอากาศของแอร์อันเย็นฉ่ำ  แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้  ว่าค่ำคืนอันแสนสุขของพวกเขานั้น  ได้ผ่านพ้นไปแล้ว  เหลือแต่ความจริงที่ว่า  พวกเขาต้องตื่นเช้าไปทำงาน  ด้วยร่างกายที่ยังไม่พร้อมเต็มที่เท่าใดนัก  ดั่งเช่นแฟนสาวคนหนึ่ง  ที่ต้องตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้กับแฟนหนุ่มและลูกทั้งสองของเธอ  พร้อมกับส่งแฟนหนุ่มและลูกๆของเธอไปทำงานที่หน้าประตูบ้าน  ส่วนตัวเธอในวันนี้นั้น  เป็นวันที่เธอต้องไปขึ้นเวรตอนกลางคืน  ทำให้วันนี้ทั้งวัน  เธอเหมือนกับคนว่างงานก็ว่าได้

                         “วัยนี้เป็นวัยที่หน้าจดจำหน้าดูเลยนะ  ได้ส่งสามีไปทำงาน  ได้ล่ำลาลูกๆตอนที่เขาจะไปโรงเรียน  พูดแล้วก็ย้อนคิดถึงวันวานเหมือนกันนะ” นิลกล่าว  เช้านี้เธอเองก็ไม่ได้มีคดีอะไรที่ต้องตามเป็นพิเศษ  ทำให้เช้านี้เอง  เธอได้มีเวลาจิบกาแฟ  และน้องดูข่าวทางทีวี  พร้อมทอดกายที่เหนื่อยล้าลงบาโซฟาตัวโปรดของเธออย่างสบายกาย  ลูกสะใภ้ที่ได้ยินแบบนั้น  เธอแอบขำนิลเบาๆ  ก่อนที่เธอจะกล่าวตอบนิลกลับมา

                         “แต่ตอนนี้คุณแม่ก็มีเวลาไปทำอะไรแบบนั้นอีกครั้งแล้วนิคะ  โอกาสแบบคุณแม่  ไม่ใช่ใครจะได้มันกลับมาทุกคนนะค๊ะ”

   นิลที่ได้ยินแบบนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

                         “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ  แต่แม่เอง  ก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาใส่ใจไอ้เรื่องรักๆใคร่ๆของหญิงสาวหรอกนะ  จะบอกว่ามันหมดวัยแบบนั้นไปแล้วก็ได้  แล้วดูสิ  สองสามวันมานี่  คดีแบบ  กระเป๋าหาย  คนหาย  แมวหาย  ก็กองอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด  ถึงจะบอกว่าใช่เวลาไม่ถึงหนึ่งวันในการสืบหา  แต่มันก็เป็นคดีที่แทบหาความน่าสนใจไม่ได้เลย”

                         “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  หนูว่าคุณแม่รีบจัดการให้มันจบไปจะดีกว่าไหมคะ  เพราะดูเหมือนเจ้าทุกข์เอง  เขาก็คงต้องการคำตอบของเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะ”

   นิลที่ได้ยินสิ่งที่ลูกสะใภ้พูด  ทำให้เธอต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

                         “นั่นสินะ  ของๆใคร  เขาต้องการของๆเขาคืนล่ะนะ” นิลเริ่มขยับร่างกายของเธอลุกออกมาจากโซฟา  พร้อมหยิบแฟ้มคดีที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาไล่ดู  แต่ดูเหมือนคดีเก่าจะไม่ทันได้เคลีย  เจ้าทุกข์รายใหม่จะมาโผล่อยู่ที่หน้าประตูแล้วเช่นกัน  เพราะเสียงกริ๊งที่ดังสนั่นไปทั่วบ้าน  ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดลง

                         “ดูเหมือนเราจะมีแขกกันอีกแล้วล่ะนะ  และหวังว่าคราวนี้จะมีอะไรที่หน้าสนใจมาให้เราได้ตื่นเต้นกันบ้างล่ะนะ” นิลกล่าวด้วยความตื่นเต้น  เธอหวังเป็นอย่างมาก  ว่าเจ้าทุกข์ในครั้งนี้  จะมอบความตื่นเต้นในคดีที่นำมาให้เธอ

                         “เดี๋ยวหนูไปเปิดให้ค่ะ”

                         “ไม่ต้องหรอก  ลูกไปเตรียมน้ำท่าให้แขกเถอะ”

   สิ้นเสียงนิล  เธอย่างกรายไปที่หน้าประตู  เธอเอื้อมมือไปเปิดประตูบ้าน  ที่หน้าบ้านของเธอในยามนี้  มีร่างของชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่  คนแรกเป็นคนร่างกายผอมเพียว  ดูไม่มีกำลังวังชาเอาเสียเลย  ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านหลังมีร่างกายกำยำ  สูงโปร่ง  และที่คอของเขาทั้งคู่  มีบัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจแคว้นไว้อยู่  นั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี  ว่าเขาทั้งคู่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ  แต่เมื่อทั้งคู่ได้เห็นหน้าของนิล  พวกเขาทั้งคู่ต่างทำหน้าแปลกใจ  ชายร่างผอมได้หันไปมองหน้าชายร่างกำยำ  พร้อมทั้งกระซิบชายร่างกำยำ  แต่เสียงที่ทั้งคู่กระซิบกันนั้น  นิลกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน

                         “ใช่เด็กคนนี้ไหม”

   จากเหตุการณ์ของเจนที่ผ่านมา  ทำให้ชื่อเสียงของเธอนั้นมีมากขึ้น  บวกกับคดีเล็กน้อยต่างๆ  ที่ผู้คนทั่วไปต่างแห่แหนมาขอความช่วยเหลือจากเธอ  ทำให้ในตอนนี้  ผู้คนต่างรู้จักเธอมากขึ้น  รวมทั้งนายตำรวจสองคนนี้ด้วย  แต่ดูเหมือนในตอนนี้เอง  สิ่งที่พวกเขากระทำต่อหน้าเธอนั้น  มันเหมือนจะเป็นการทำให้เธอไม่พอใจเท่าใดนัก  เพราะมันเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในยามนี้  เมื่อนิลเห็นดังนั้น  เธอจึงเอ่ยถามทั้งคู่ไปตามมารยาท 

                         “ไม่ทราบว่ามาหาใครกันค๊ะ”

   ทั้งคู่ที่ปรึกษากันอยู่นั้น  ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย  เหมือนคำพูดของนิลที่ทำให้พวกเขา  ที่อยู่ในโลกของพวกเขากันสองคน  มันถูกปลุกขึ้นมา  ชายร่างผอมบางหันมาตอบนิล

                         “ต้องขออภัยด้วย  เธอคือนิลใช่ไหม?”

   นิลถอนหายใจเล็กน้อย  แต่ฝบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจ  เธอแอบคิดเล็กน้อย  ว่าถ้าถามเธอตั้งแต่ต้น  ทั้งคู่คงได้คำตอบไปตั้งนานแล้ว

                         “ใช่ค่ะ  ชั้นนิล  และจากที่ชั้นดู  พวกคุณคงจะมีคดีที่ต้องการให้ชั้นช่วยสินะค๊ะ”

                         “ก็เห็นจะเป็นแบบนั้นแหล่ะสาวน้อย”

                         “งั้นเชิญข้างในก่อนค่ะ” นิลกล่าว  พลางผายมือซ้ายของเธอไปในบ้าน  เป็นการบ่งบอกให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน  เพื่อคุยถึงรายละเอียดต่างๆ  นายตำรวจทั้งสองนาย  ต่างเดินเข้ามาในบ้านของนิล  ซึ่งมีลูกสะใภ้ของนิล  ที่จัดเตรียมน้ำวางไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                         “เชิญนั่งก่อนค่ะ”

   นิลกล่าวพลางเอนกายนั่งที่โซฟาของเธอ  ส่วนนายตำรวจร่างผอมบางนั่งทางฝั่งซ้ายมือ  และนายตำรวจร่างกำยำนั่งทางฝั่งขวามือ  นิลที่สังเกตุเห็นหน้าของทั้งคู่มีความเคร่งเครียด 

                         “เชิญดื่มน้ำให้ใจเย็นๆก่อนค่ะ”

   ทั้งคู่มองหน้านิล  แต่มือของทั้งคู่ก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มตามที่นิลบอก  ก่อนที่นิลจะกล่าวกับทั้งคู่

                         “ถ้าสบายใจแล้ว  เชิญพวกคุณเล่าเหตุการณ์มาได้เลยนะค๊ะ”

   นายตำรวจร่างผอมบางวางแก้วน้ำลง  ก่อนที่เขาจะกล่าวออกมา

                         “ผมชื่อว่าชาย  ส่วนนี่คู่หูผม  เขามีชื่อว่ากายครับ  ส่วนที่เรามาในวันนี้  เมื่อเช้านี้เรามีคดีด่วนมากที่ได้รับแจ้งมา” เมื่อนายตำรวจเริ่มเล่า  ดูเหมือนความเครียดจะประดังเข้ามาหาเขา  เข้ายกน้ำที่ถูกเติมจนเต็มแก้วอีกครั้งขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว  และเขาจึงเริ่มเล่าต่อ “ว่ามีชายปริศนาคนหนึ่งเสียชีวิตที่บ้านของเขา  มันเป็นคดีที่ค่อนข้างประหลาดมากเลยล่ะ” เมื่อสิ้นคำว่าประหลาด  ท่าทีของนิลจึงมีความสนใจขึ้นมาในทันที “เมื่อเราได้รับแจ้งจากชายปริศนา  ตอนเวลาแปดโมงเช้า  ว่ามีชายคนหนึ่งเสียชีวิตในบ้านเลขที่ 12/11  เมื่อพวกเราได้ยินเช่นนั้น  เราจึงรีบมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังนั้นในทันที  และเมื่อเราไปถึงที่เกิดเหตุ  มันคือหมู่บ้านทาวเฮ้าส์แห่งหนึ่ง  และเราพบเรื่องประหลาดอย่างแรก  มีเพียงบ้านหลังนั้นปลูกอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นเป็นอย่างมาก  จนแทบจะคิดได้ว่า  เจ้าของบ้านหลังนี้  อาจจะรักความสงบ  หรือเขาอาจจะเบื่อความวุ่นวายในสังคมก็เป็นได้”

   ขณะที่นายตำรวจกำลังเล่าอยู่นั้น  นิลได้พูดสวนขึ้นมา

                         “ไกลจนแทบมองไม่เห็นบ้านหลังอื่นเลยไหม?”

                         “เป็นเช่นนั้นแหล่ะ”

                         “เชิญคุณเล่าต่อเถอะ”

                         “หลังจากที่เราไปถึงบ้านหลังนั้น  เราพบว่าบ้านหลังนั้นถูกล็อกอย่างแน่นหนา  เราจึงเสียมารยาทด้วยการพังประตูเข้าไป  และเป็นอย่างที่ชายปริศนาที่โทรมาแจ้งเหตุบอก...”

                         “คุณไม่ได้ถามเลยเหรอ  ว่าชายคนที่โทรมาชื่ออะไร?”

   ชายทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน

                         “ขอโทษที  แต่ตอนนั้นเรารีบมากจนลืมไปเลย”

   นิลพยักหน้าตอบรับ

                         “เชิญคุณเล่าต่อเถอะ”

                         “ข้างในบ้าน  เราพบศพของชายวัยกลางคนนอนจมกองเลือดอยู่  เราจึงเข้าไปดูศพใกล้ๆ  เพื่อที่จะได้รู้ว่าศพโดนอะไรมาเสียชีวิต  แต่พอเราเดินเข้าไปใกล้ๆศพ  เรากลับได้กลิ่นของเหล้าโชยหึ่งออกมาจากตัวศพ  แต่เธอรู้ไหมที่น่าประหลาดที่สุดคือ  ที่ข้างตัวศพกลับไม่มีขวดเหล้าอยู่แม้แต่ขวดเดียว...”

                         “สักขวดก็ไม่มีเหรอ?”

                         “ไม่เลย”

                         “แล้วข้างในบ้าน  ไม่มีใครอยู่สักคนเลยเหรอ?”

                         “ไม่อีกเช่นกัน  แต่เราพบว่าทีวีเปิดอยู่”

                         “และชั้นเดาว่า  นั่นแหล่ะคือเรื่องประหลาดอย่างที่สองของวันนี้แหล่ะ  เชิญคุณเล่าต่อเถอะ  ขออภัยที่เสียมารยาท”

                         “หลังจากนั้นเราจึงทำการตรวจสอบศพ  เราพบว่าผู้ตายชื่อนาย นิรุจ  อายุ61ปี  เป็นคนเกษียณอายุน่ะ  ผู้ตายถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนสั้น  ผู้ตายถูกยิงเข้าที่กลางหน้าอกเพียงนัดเดียว  และเสียชีวิตในทันที  และเราคาดว่า  นี่อาจจะเป็นการปล้นบ้าน  เมื่อได้ความดังนั้น  เราจึงลองไปสอบถามเพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียง  แต่เพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียงกลับบอกว่า  ไม่พบใครเข้ามาบริเวณบ้านของผู้เสียชีวิตเลย  และอีกอย่าง  ผู้ตายค่อนข้างเป็นคนรักความสงบ  เราจึงคาดว่าเขาอาจจะอยากใช้ชีวิตหลังเกษียณเงียบๆเพียงลำพัง”

                         “แล้วผู้ตายมีครอบครัวไหม”

                         “เราสอบถามจากเพื่อนบ้านได้ความว่า  ผู้ตายไม่มีครอบครัวแต่อย่างใด  และที่ผ่านมาเห็นเขาใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตลอด”

   สิ้นเสียงนายตำรวจ  นิลพยักหน้าตอบรับ  นายตำรวจจึงเริ่มเล่าต่อ

                         “และที่น่าแปลกอีกอย่าง  เพื่อนบ้านบริเวณใกล้เคียงกลับบอกว่า  พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรตอนที่ผู้ตายโดนยิงเลยแม้แต่นิดเดียว  และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องมาขอให้เธอช่วยนี่แหล่ะสาวน้อย”

   สิ้นเสียงนายตำรวจ  นิลทำท่าคิดด้วยการเอามือจับที่ปลายค้าง  และเหม่อมองไปบนเพดานอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เธอจะกลับมาคุยกับนายตำรวจต่อ

                         “เป็นคดีที่ค่อนข้างเร่งด่วนจริงๆล่ะนะ” นิลกล่าว  พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มยกใหญ่ “งั้นพวกคุณจะช่วยทำตามที่ชั้นบอกสักเรื่องนึงได้ไหม”

   ทั้งคู่มองหน้ากัน  ก่อนที่จะหันมาตอบนิล

                         “ได้สิ  เธออยากให้เราทำอะไรเหรอ?”

                         “ที่เกิดเหตุ  ยังมีนายตำรวจอยู่บ้างไหม”

                         “มีสิ”

   นิลเอามือตบลงไปที่หน้าขาของเธอ

                         “งั้นดีเลย  ชั้นอยากให้พวกคุณโทรไปที่เกิดเหตุ  บอกให้คนที่นั่นตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ  คุณจะได้พบกับชายวัยเกษียณเช่นเดียวกับผู้เสียชีวิต  ที่รอบตัวของเขาจะมีขวดเหล้าอยู่เต็มตัวไปหมด  เมื่อพบเขาแล้ว  ให้จับเขาเอาไว้ในทันที  นั่นแหล่ะคือคนที่พวกคุณตามหาล่ะ”

   สิ้นเสียงนิล  ชายทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย

                         “เธอมั่นใจขนาดนั้นได้ยังไงสาวน้อย?”

                         “เชื่อชั้นสิค๊ะ  นี่เป็นคดีเร่งด่วนนะค๊ะ  แล้วชั้นจะอธิบายให้คุณฟังอีกที”

   ชายทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง  ก่อนที่ชายร่างผอมบางจะพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณอะไรบางอย่างกับชายร่างกำยำ  และเพียงครู่เดียวชายร่างกำยำได้ลุกออกไปจากบ้านของนิล  และชายร่างผอมบางได้หันกับมามองหน้านิลด้วยความสงสัยอีกครั้ง  แต่นิลยังคงไม่ได้อธิบายอะไรออกมา  จนกระทั่งชายร่างกำยำเดินกลับเข้ามาในบ้าน  ชายร่างผอมบางจึงเอ่ยถามชายร่างกำยำไป

                         “เรียบร้อยไหม”

                         “เรียบร้อยดีครับ  ทางนั้นเริ่มออกค้นหากันแล้ว”

   สิ้นเสียงชายร่างกำยำ  ชายร่างผอมบางได้หันกลับมาถามนิล

                         “เราทำตามที่เธอบอกแล้วสาวน้อย  ทีนี้เธอจะอธิบายให้เราฟังได้หรือยัง”

   นิลที่ดื่มน้ำอย่างสบายใจอยู่  เธอวางแก้วน้ำลง  ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย

                         “จริงๆเรื่องนี้  ตัวคุณเองพาคำตอบทุกอย่างมาด้วยแล้วนิคะ  คุณตำรวจ”

   สิ้นเสียงนิล  เป็นอีกครั้งที่ทำให้นายตำรวจทั้งคู่ต่างสงสัย

                         “ยังไงเหรอสาวน้อย?”

   นิลยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย  เธอเริ่มพูดกับทั้งคู่ต่อ

                         “ลองคุณดูดีๆสิค๊ะ  ประเด็นแรก  คุณบอกว่า  บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่น  จนมองบ้านหลังอื่นแทบจะไม่เห็น  แล้วการที่มีคนยิงกันอยู่ในบ้าน  คนที่บ้านอยู่ไกลขนาดนั้น  จะได้ยินเสียงปืนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย  ปนะเด็นที่สอง  ที่ตัวของศพมีกลิ่นเหล้าอยู่คละคลุ้งเต็มไปหมด  แต่น่าแปลกที่ไม่มีขวดเหล้าอยู่ข้างตัวศพเลยสักขวด  ประเด็นต่อมาถ้านี่เป็นการปล้นบ้านจริงๆ  คุณคิดว่าคนร้ายจะโทรมาแจ้งความให้ตัวเองโดนจับเหรอ  แล้วถ้าเป็นการปล้นจริงๆ  บ้านจะถูกล็อกเป็นระเบียบแบบนั้นเหรอ  คนร้ายที่ฆ่าเสร็จ  คงจะรีบวิ่งออกจากบ้านไปทันที  เมื่อรู้ว่าตัวเองฆ่าคนเป็นแน่  เว้นเสียแต่ว่านี่อาจจะ...”

                         “เป็นคนที่ผู้ตายรู้จักเป็นอย่างดี  อย่างนั้นสินะ”

                         “ใช่แล้วล่ะ  ผู้ตายรู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ”

   ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยอะไรกันต่อ  เพียงครู่เดียวก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาในเครื่องของชายร่างกำยำ  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  และทำการรับสายในทันที

                         “ว่าไงนะ  เจอชายคนที่ว่านั่นจิรงๆเหรอ”

   ชายร่างผอมบางหันไปมองหน้าชายร่างกำยำ  และทั้งคู่ก็หันมามองหน้านิล  ที่นั่งอมยิ้มอยู่เล็กน้อย  ก่อนที่ทั้งคู่จะลุกออกจากเก้าอี้  ชายร่างกำยำวิ่งออกจากบ้านไปก่อน  ส่วนชายร่างผอมบางหันมากล่าวกับนิล

                         “ถ้านี่เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ  เราจะส่งค่าตอบแทนในคดีนี้มาให้เธอทีหลังนะสาวน้อย”

                         “ขอให้คุณโชคดีกับคดีนี้นะ”

   ชายร่างผอมบางก้มคำนับนิล  ก่อนที่เขาจะขอตัว  และออกจากบ้านหลังนี้ไป  ลูกสะใภ้ที่ฟังอยู่ตลอด  จึงเดินออกมาพูดกับแม่ของเธอ

                         “ครั้งนี้ก็เป็นคดีที่น่าเบื่ออีกสินะค๊ะ”

   นิลหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว

                         “ก็พอตื่นเต้นได้อยู่บ้างแหล่ะนะ  แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ต้องออกไปสืบด้วยตัวเอง”

                         “แบบนี้พอจะมีไฟในการทำคดีที่ค้างอยู่ได้หรือยังค๊ะ”

   นิลเอนหลังพิงโซฟา  ก่อนที่เธอจะหันมาตอบลูกสะใภ้ของเธอ

                         “ก็ดีนะ  เคลียคดีที่ข้างอยู่ให้มันหมดๆไป  เผื่อจะมีอะไรที่มันน่าตื่นเต้นกว่านี้เข้ามาอีกบ้าง”

   สิ้นเสียงนิล  เธอหยิบแฟ้มคดีที่ค้างอยู่ขึ้นมานั่งไล่จัดการจนหมด

สามวันต่อมา

   ในเช้าของวันนั้น  เป็นอีกครั้งที่เธอเห็นภาพของคู่รักไปส่งกันยังที่ทำงาน  แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของเธอ  แต่เป็นลูกชายของเธอที่ได้หยุดอยู่บ้านแทน

                         “วัยหนุ่มสาวก็ดีแบบนี้แหล่ะน้า”

                         “ถึงจะพูดแบบนั้น  แต่แม่ก็ผ่านวัยนี้มาเหมือนกันนิ”

                         “นั่นก็จริงของแกแหล่ะนะ”

   นิลพูดไป  มือของเธอก็กดเปลี่ยนช่องทีวีไป  จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ช่องหนึ่ง  ที่เป็นข่าวตอนเช้า  ซึ่งเนื้อความในข่าวคือ

                         “ฆ่าโหด  หมู่บ้านใจกลางเมือง

                         ชายวัยเกษียณ  ลงมือฆ่าโหดเพื่อนของตนเอง  ขณะนั่งดื่มสุราด้วยกัน  เพียงเพราะฤทธิ์ของ                    สุรา  หลังฆ่าเกิดความเสียใจ  ไม่หนีไปไหน  ตำรวจรวบตัวได้แถวบ้านของผู้เสียชีวิต...”

                         “นี่มันคดีเมื่อสามวันก่อนนิครับ”

                         “อืม”

   ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรกันต่อ  ที่หน้าประตูบ้านของนิลได้มีเสียงกริ่งดังขึ้น 

                         “เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ”

   สิ้นเสียงลูกชาย  เขาเดินไปที่หน้าบ้าน  ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้ามาพร้อมซองจดหมายในมือ  เขายืนซองนั้นให้นิล  นิลจึงเปิดขึ้นมาดู  ก่อนที่เธอจะพบว่า  ข้างในซองนั้น  มีเงินจำนวนหนึ่งใส่ไว้อยู่  และถัดมามีจดหมายหนึ่งฉบับ  ถูกเขียนและใส่มาด้วยกัน  นิลจึงเปิดมันอ่าน  โดยเนื้อความในจดหมายได้ถูกเขียนเอาไว้ว่า

                         “ถึงคุณมณีนิล

                         เราต้องขอบคุณคุณเป็นอย่างมาก  ที่ช่วยให้คดีของเราคลี่คลายไปได้อย่างราบรื่น  และเงินในซองนั่น  ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ  ที่พวกเราอยากตอบแทนให้กับคุณ  ขอให้คุณช่วยรับมันเอาไว้ด้วย

 

ปล. สมชาย  กลั่นเพชร”

                         “เขาว่าอย่างนี้แหล่ะนะ”

   นิลอ่านจดหมายนั้นจนจบ  ก่อนที่เธอจะเอามันไปเก็บไว้ในช่องเก็บกระดาษที่บ้านของเธอ  ลูกชายของเธอจึงกล่าวถามเธอต่อ

                         “ผมก็ได้ฟังเรื่องนี้มาคร่าวๆแล้วล่ะนะ  แล้วแม่รู้ได้ยังไง  ว่าคนร้ายคือเพื่อนของผู้ตายน่ะ”

   นิลหันมาด้วยใบหน้าที่อมยิ้มเล็กน้อย

                         “อย่างที่แม่บอกนายตำรวจสองคนนั้นไปล่ะนะ  คดีนี้น่ะ  ทั้งคู่ต่างพกคำตอบมาอยู่แล้ว  เพียงแต่ว่าทั้งคู่ไม่ได้สังเกตุมันก็เท่านั้น...”

   ลูกชายของเธอพูดสวนขึ้นมา

                         “นั่นหมายความว่า  ถ้าทั้งคู่สังเกตุสักนิด  อาจจะไม่ต้องมาหาแม่ก็ได้เหรอ”

                         “ก็ประมาณนั้นแหล่ะนะ” นิลหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม  ก่อนที่เธอจะวางมันลง  และเริ่มอธิบายต่อ “คดีนี้เกิดขึ้นตอน08.00น.  นั่นหมายความว่า  คืนก่อนที่จะเกิดเหตุ  ผู้ตายได้คุยกับเพื่อนของเขา  ว่าในตอนเช้าของวันนี้  ทั้งคู่จะฉลองกันด้วยเหตุผลที่พึ่งเกษียณ  และเมื่อมีการฉลอง  มันก็ต้องมีอะไรล่ะ”

   ลูกชายตอบในทันที

                         “เหล้า”

                         “ใช่  และผู้ตายไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมากมาย  นั่นจึงเป็นเหตุที่ผู้ตายสนิท  และไว้ใจเพื่อนคนนี้มาก”

                         “อะไรเป็นเหตุที่ทำให้แม่คิดแบบนั้น?”

                         “การที่ผู้ตายสร้างบ้านในหมู่บ้านหนึ่งแยกออกมาจากบ้านหลังอื่นๆไง  นั่นแสดงถึงว่า  ผู้ตายเป็นคนที่ชอบเก็บตัว  หรืออยู่เงียบๆคนเดียว  การที่จะมีใครสักคนที่ไปยังบ้านของผู้ตายได้  ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว  ก็ต้องเป็นคนที่ผู้ตายไว้ใจเป็นอย่างมาก”

                         “จริงด้วยสินะ”

                         “และหลังจากที่นัดแนะกันจนเสร็จเรียบร้อย  ในตอนเช้าของเมื่อสามวันก่อน  คนร้ายได้จัดแจ้งซื้อเหล้าพร้อมกับแกล้มมา  และมุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้เสียชีวิต  ทั้งคู่ต่างดื่มกันจนเริ่มมาอาการเมามาย  และแน่นอน  การพูดจาของคนเมามักจะรุนแรงเสมอ  นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการไม่พอใจกัน  และเชื่อเถอะ  ผู้ตายน่ะ  จะต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว  เพราะเขาอยู่คนเดียว  เกิดมีโจรปล้นบ้าน  หรือใครบุกรุกเข้ามา  เขาจะได้ไว้ใช้ป้องกันตัว  และอาวุธที่ลงมือสังหารผู้ตาย  ก็คืออาวุธของเขาเองนั่นแหล่ะ”

   ลูกชายทำท่าคิดตาม  ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามแม่ของเขาต่อ

                         “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  ทำไมคนร้ายถึงต้องโทรแจ้งตำรวจให้มาจับตนเองด้วยล่ะ  สู้หนีไปเลย  นั่นอาจจะเป็นทางรอดที่ดีก็ได้  เพราะบ้านที่อยู่ห่างไกลผู้คน  กว่าจะมีคนมาพบศพ  เขาก็คงจะหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วแหล่ะ”

   นิลยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง

                         “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไง”

   ลูกชายมองหน้านิลด้วยความสงสัย

                         “คนเราทุกคนน่ะ  มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกันทุกคนนั่นแหล่ะ  อยู่ที่ว่าใครจะมีมันมากหรือน้อยเท่านั้นเอง  อย่างคดีนี้น่ะ  คนร้ายหลังจากที่ลงมือสังหารเหยื่อแล้ว  ฤทธิ์ของเหล้าคงจะหมดลงในทันที  และเกิดความคิดที่ว่า  ชั้นทำอะไรลงไป  และคงจะเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่ตนจะคิดได้  ว่าตนควรจะหนีออกมาจากที่ตรงนั้น  จึงลงมือจัดฉากให้ดูเหมือนว่า  นี่คือการปล้นและเผลอลงมือฆ่า  แต่ในเสี้ยวนาทีหนึ่ง  ตนเองเกิดความรู้สึกผิดต่อเพื่อน  จึงโทรไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ  และหลังจากนั้นตนได้เก็บข้าวของทั้งหมดไปไว้ที่หลังบ้าน  ส่วนขวดเหล้า  เขาได้เอามันออกมาจากบ้านด้วย  หลังจากนั้นก็จัดการล็อกประตูบ้าน  ให้เหมือนกับว่าไม่มีใครเข้ามา  แต่ระหว่างที่กำลังจะหนีไปทางหลังบ้านนั้น  เขาเกิดความเสียใจขึ้นมา  เพราะนั่นคือเพื่อนสนิทของเขา  เขาจึงไม่ไปไหน  และอยู่บริเวณแถวบ้านของผู้ตายนั่นแหล่ะ” นิลยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว “แต่คนร้ายดันลืมไปอย่าง  ว่าเหล้าที่ตนดื่มไปน่ะ  กลิ่นของมันจะคละคลุ้งไปทั่ว  จนคนที่แค่เดินสวนไปสวนมาเอง  ยังได้กลิ่นเลยล่ะ  และจุดนั้นเอง  ที่ทำให้แม่รู้ได้ในทันที  ว่าคดีนี้ไม่ใช่ใครอื่น  แต่เป็นเพื่อนของผู้เสียชีวิตเองก็ประมาณนี้”

   ลูกชายพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

                         “แบบนี้นี่เอง  ช่างล้ำลึกสมเป็นแม่จริงๆ”

                         “ก็นะ  แต่แม่เอง  ก็เริ่มที่จะชอบในการกลับมาเป็นเด็กแบบนี้แล้วล่ะนะ  เพราะมันทำให้หัวสมองในการคิดอะไร  มันแล่นไว้ดีเลยล่ะ”

                         “แสดงว่าการที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เสมอไปใช่ไหมล่ะ”

                         “ก็เห็นจะเป็นแบบนั้น”

   สิ้นเสียงนิล  เสียงกริ่งที่หน้าบ้านของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง

                         “ดูเหมือนจะมีคดีให้ต้องสะสางอีกแล้วล่ะนะ”

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา