แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  36 วิจารณ์
  4,700 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่8 คำสาบาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่8 คำสาบาน

 

พ.ศ.2439

   ในตอนนั้นประเทศสยาม  ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง  ทั้งความเจริญที่เพิ่มมากขึ้น  อย่างเช่นได้มีการก่อตั้งการรถไฟขึ้นมา  ทำให้คนในประเทศสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น  ตึกรามบ้านช่องมากมาย  ทั้งใหญ่และเล็ก  ต่างสร้างขึ้นมามากมาย  ให้ได้เห็นกันตามท้องถนน 

   ส่วนตัวพวกเราเอง  ในยามนั้นฐานะทางบ้านของพวกเราก็จัดว่าดีขึ้นไปด้วย  บุญเองไม่กี่ปีต่อมา  ก็ได้แต่งงานกับแม่น้อย  น้องสาวแม่เพ็ญ  พวกเราทั้งคู่ต่างตกลงที่จะสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง  เป็นบ้านที่ใหญ่พอตัว  พวกเราตกลงกันว่า  จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้น  ทั้งเรื่องงาน  เรื่องอะไรต่างๆมากมาย  ถ้าอยู่ร่วมกัน  มันจะเป็นการดีที่สุด  สำคัญที่สุดคือ  อย่างที่เคยบอกไป  ผมกับบุญไม่เหลือใครในครอบครัวแล้ว  ทั้งญาติพี่น้องของทั้งคู่  ต่างก็ไม่มีอีกด้วย  เราทั้งคู่จึงเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน  และในตอนนี้  เราทั้งคู่ต่างมีเจ้าตัวน้อยกันแล้วด้วย  ตัวผมกับแม่เพ็ญ  มีเจ้าตัวน้อยกันสามคน  โดยมีชายหนึ่งหญิงสอง  ส่วนบุญมีชายหนึ่งคน  ทำให้ตอนนี้ครอบครัวเรา  ขยายใหญ่ขึ้นมีอีกระดับหยึ่ง

   ส่วนเรื่องงานของพวกเราในยามนี้  ต้องเรียกว่า  ค่อนข้างที่จะดีเลยทีเดียว  ชื่อเสียงของพวกเรา  ขยายเป็นวงกว้างไปทั่ว ผู้คนมากหน้าหลายตา  ต่างรู้จักพวกเรา  และเมื่อพวกเขาต้องการเครื่องประดับคราใด  ก็มักจะเรียกใช้พวกเราอยู่เสมอ  ทำให้เรื่องเงินในยามนี้ของพวกเรา  เรียกว่าอยู่สุขสบายกันได้จนเหลือล้นเลยก็มิปาน

                      “งั้นข้าขอตัวไปทำงานก่อนหนา”

   แม่เพ็ญที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงยิ้มตอบรับผู้เป็นสามี  พรางกล่าวกับเรือง

                      “เดินทางปลอดภัยหนา”

   สิ้นเสียงแม่เพ็ญ  ทั้งคู่ต่างร่ำรากัน  โดยที่แม่น้อย  น้องสาวของแม่เพ็ญ  บอกกับพี่เขยของเขาว่า

                      “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก  ข้าจะดูแลพี่สาวของข้าเป็นอย่างดี” แม่น้อยกล่าว  พรางมองหน้าเรือง “ท่านไปทำงานให้สบายใจเถิด”

   ได้ยินดังนั้น  เรืองจึงพยักหน้าตอบรับ  ก่อนที่เขาจะขอตัวออกจากบ้าน  และมุ่งหน้าไปทำงาน  ส่วนบุญในยามนั้น  ตอนนี้ตัวเขาพึ่งเดินทางกลับมาถึงพระนคร  แต่ตัวเขาเอง  ก็ได้ยินข่าวที่ไม่สู้ดีนัก  มาจากลุงปริก  ผู้เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ของคนทั้งคู่  โดยลุงปริกบอกกับบุญว่า

                      “ตอนที่ข้าพามันไปส่งที่ประจวบ” ลุงปริกกล่าว  พรางขับเรือไปด้วย “ข้าเห็นตอนที่มันลงจากเรือไป  มีผู้หญิงมารับมันด้วย  ข้าว่าเองลองไถ่ถามมันเสียหน่อยดีกว่าว่ะ  ไอ้บุญ”

   ระหว่างทางที่บุญเดินกลับมาบ้าน  เขาคิดมาตลอดทาง  ว่าจะบอกเรื่องนี้กับหญิงสาวงทั้งคู่ดีไหม  เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สู้ดีเท่าใดนัก  แต่ถ้าหากไม่บอก  แล้วมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา  มันจะไม่เป็นผลดีกับแม่เพ็ญเลย  แต่ในขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่นั้น  บัดนี้ตัวเขาได้เดินมาจนถึงที่หน้าบ้านแล้ว  นั่นทำให้ตัวเขาต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง  สุดท้าย  เขาเลือกที่จะบอกมันกับแม่น้อย  จะเป็นการดีที่สุด  เมื่อคิดได้เช่นนั้น  เขาจึงกดกริ่งที่หน้าบ้าน  เพียงแค่ครู่เดียว  ก็มีคนใช้มาเปิดประตูบ้านให้

                      “กลับมาแล้วหรือขอรับ  คุณบุญ”

   บุญที่ได้ยินเช่นนั้น  เขาจึงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของคนในบ้านไป

                      “แม่น้อยกับแม่เพ็ญเป็นเช่นไรบ้าง”

                      “ทั้งคู่สบายดีขอรับ”

   ได้ยินเช่นนั้น  บุญก็ทำหน้ายิ้มออกมาจางๆบนใบหน้า  ก่อนที่เขาจะถามถึงเพื่อนของเขา

                      “แล้วไอ้เรืองล่ะ?”

                      “คุณเรือง  พึ่งออกไปทำงานเมื่อสักครู่เองขอรับ”

                      “เช่นนั้นหรือ” บุญกล่าว  พรางทำท่าครุ่นคิด “แสดงว่าไอ้เรืองมันไปทางรถไฟสิหนา”

                      “เห็นจะเป็นเช่นนั้นนะขอรับ”

   คนทั้งคู่ต่างเดินคุยกันไปตลอดทาง  ซึ่งด้วยกิจการที่ดีขึ้นของทั้งคู่ในยามนี้  ทำให้ทั้งคู่  ต่างต้องแยกย้ายกันไปค้าขาย  ในแต่ล่ะที่  เพราะด้วยชื่อเสียงที่มีมากขึ้น  ทำให้ผู้คนต่างไว้ใจ  ที่จะใช้บริการสินค้าของคนทั้งคู่  เมื่อเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน  บุญมิรอช้า  เขารีบตรงดิ่งเดินเข้าไปหาภรรยาและลูกของเขา  ด้วยความคิดถึง  เพราะเขาได้จากบ้านเขาไปถึงสามวัน  เขากล่าวทักทายภรรยา  และพี่สะใภ้ของเขา  แม่น้อยที่เห็นบุญกลับมา  เธอจึงเอาน้ำเอาท่ามาให้ผู้เป็นสามีได้ดื่มกินให้หายเหนื่อย  ก่อนที่บุญจะเดินเข้าไปสวมกอดลูกๆและหลานๆของเขา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับแม่เพ็ญ  ขอตัวแม่น้อยไปคุยเป็นการส่วนตัว

                      “ท่านพี่มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือ” แม่น้อยกล่าว  พรางมองบุญอย่างสงสัย “ถึงได้เร่งรีบให้ข้าออกมาคุยส่วนตัวเยี่ยงนี้”

   บุญได้ยินเช่นนั้น  เขาจึงถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้ง  ก่อนที่เขาจะเริ่มกล่าวออกมา

                      “ข้าได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก” บุญกล่าว  พรางมองหน้าภรรยาของเขาอย่างตั้งใจ “เกี่ยวกับไอ้เรืองมาน่ะ  ข้าจึงอยากจะนำเรื่องนี้มาปรึกษาแม่น้อย”

                      “เรื่องกระไรรึ?”

   บุญได้ยินแม่น้อยกล่าว  เขาจึงถอนหายใจอีกครั้ง  ถึงความลำบากใจที่จะเล่าเรื่องในครั้งนี้

                      “ข้าได้ยินมาจากลุงปริกว่า” บุญกล่าว  พรางทำสีหน้าลำบากใจ “ตอนที่แกไปส่งไอ้เรืองในแต่ล่ะจังหวัด  ลุงแกเห็นว่า  ไอ้เรืองมักจะมีหญิงสาวไม่ซ้ำหน้า  มารับในทุกๆครั้งที่มันลงจากเรือไป  ลุงปริกแกก็เหมือนญาติผู้ใหญ่  แกจะมาโกหกพวกเราก็ใช่เรื่อง  ข้าจึงลำบากใจอยู่เช่นนี้แล”

   แม่น้อยได้ยินเช่นนั้น  เธอจึงทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง  ก่อนที่เธอจะตอบกลับสามีเธอ

                      “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง” แม่น้อยกล่าว  พรางทำท่าครุ่นคิด “ข้าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เลยเชียวล่ะ  แต่จะให้เราไปปรักปรำท่านพี่เรืองเลยก็มิได้  ข้าจึงคิดว่า  ควรรอให้ท่านพี่เรืองกลับมาเสียก่อน  แล้วเราค่อยสอบถามเรื่องนี้ก็ยังมิสาย”

   บุญที่ได้ยินภรรยาพูดเช่นนั้น  เขาจึงทำท่าคิดตาม  ก่อนที่เขาจะตอบแม่น้อยกลับไป

                      “ถ้าแม่น้อยเห็นเป็นเช่นนั้น” บุญกล่าว  พรางผายมือไปด้านข้าง “ข้าเองก็เห็นตามแม่น้อย”

   สิ้นเสียงบุญ  แม่น้อยจึงกล่าวขึ้นมาต่อ

                      “งั้นเรารีบกลับเข้าไปข้างในกันเถิด” แม่น้อยกล่าว “ออกมานานเกินไป  เดี๋ยวท่านพี่เพ็ญจะส่งสัยเอาได้”

   บุญได้ยินดังนั้น  เขาจึงพยักหน้าตอบรับภรรยาของเขา  ก่อนที่เขาจะเดินตามภรรยาของเขา  กลับเข้าไปข้างในบ้าน  และทำตัวตามปกติ  แต่แม่เพ็ญที่เห็นทั้งคู่ออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัว  แม่เพ็ญจึงอดมิได้  ที่จะสอบถามทั้งคู่

                      “มีเรื่องกระไรกันรึ  ถึงต้องออกไปคุยกันข้างนอก”

   แม่น้อยกับบุญที่ได้ยินดังนั้น  พวกเขาทั้งคู่จึงมองหน้ากัน  ก่อนที่แม่น้อยจะกล่าวตอบกับพี่สาวของเธอ

                      “มิมีกระไรหรอกจ้ะ” แม่น้อยกล่าว  พรางมองหน้าพี่สาว  ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้ากับพี่บุญ  ออกไปคุยเรื่องลูกมานิดหน่อยน่ะจ้ะ”

                      “ลูกของพวกเจ้า?  ทำไมกันรึ”

   เมื่อแม่เพ็ญถามดังนั้น  ทั้งคู่จึงมองหน้ากันอีกครั้ง

                      “ไม่มีอันใดหรอกจ้ะ  เรารีบร้อยมาลัยต่อเถิดจ้ะ”

   สิ้นเสียงแม่น้อย  แม่น้อยจึงทำตัวกลบเกลื่อน  ชวนคุยเรื่องอื่น  เพื่อให้แม่เพ็ญลืมเรื่องที่ตนกับบุญ  ออกไปคุยกันสองคนไปเสีย  แล้วบุญกับแม่น้อย  ก็ทำได้เพียงรอเรืองกลับมาเพียงเท่านั้น  ตัวเรื่องนั้นออกจากบ้านไป  โดยมิได้ส่งข่าวอะไรมาเลย  จนกระทั้งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน

หนึ่งเดือนต่อมา

   เรืองได้เดินมาถึงหน้าบ้าน  และกดกริ่งเพื่อเรียกให้คนในบ้านเปิดประตู  ก็เป็นคนรับใช้ผู้ชาย  ที่เดินออกมาเปิดประตูบ้านอีกเช่นเคย  โดยเมื่อเรืองเห็นหน้าคนรับใช้ผู้ชาย  เขาจึงได้เอ่ยถามออกไป  ว่ามีใครอยู่บ้านบ้าง  คนรับใช้ผู้ชายจึงบอกว่า

                      “อยู่กันครบเลยครับ  และคุยบุญ  กับคุณน้อย  กำลังรอคุณเรืองอยู่เลยครับ”

                      “รอเหรอ?  พวกนั้นมีเรื่องกระไรจะคุยกับข้ากันนะ”

   สิ้นเสียงเรือง  เขาจึงเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปในบ้าน  ก่อนที่เขาจะกล่าวทักทายทุกคนในบ้านตามปกติ  บุญกับแม่น้อยที่รอเรืองอยู่แล้ว  พวกเขาจึงบอกกับเรืองว่า

                      “เสร็จธุระของเองแล้ว  ข้ากับแม่น้อยขอคุยด้วยหน่อย”

   เรืองที่เห็นดังนั้น  เขาจึงได้แต่สงสัย  ว่าบุญมีเรื่องอันใดจะคุยกับเขากันนะ  แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร  ได้แต่ทำธุระกับแม่เพ็ญและลูกๆให้เสร็จ  ก่อนที่เขาจะเดินตามบุญกับแม่น้อยไป  เมื่อพบกับทั้งคู่  เขาจึงเอ่ยถามทั้งคู่ไป

                      “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดจะคุยกับข้ากันรึ?”

   แม่น้อยกับบุญมองหน้ากัน  ก่อนที่เขาทั้งคู่จะเริ่มกล่าวกับเรือง

                      “ไอ้เรือง  ข้าได้ยินข่าวไม่ค่อยสู้ดี  จากคนแถวนี้เกี่ยวกับเอง” บุญกล่าว  พรางมองหน้าเรือง  ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เองมีผู้หญิงอื่น  ตามต่างจังหวัดเหรอวะ”

   เรืองที่ได้ยินเช่นนั้น  เขามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย  แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่มีพิรุธอะไรออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเพื่อนเขา  พรางหัวเราะไปด้วย

                      “ชาวบ้านก็ว่ากันไปเรื่อย” เรืองกล่าว  ด้วยสีหน้าของคนที่ไม่มีพิรุธอันใด “คนอื่นๆ  อาจจะเห็นข้าไปค้าขายทีเป็นแรมเดือน  อาจจะทำให้คิดว่าข้ามีคนอื่นก็เป็นได้  แต่เองเป็นเพื่อนข้า  เองน่าจะรู้ดีที่สุด  ว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร  จริงไหมไอ้บุญ”

   บุญที่ได้ยินเช่นนั้น  เขาจึงคิดไปถึงเรื่องราว  ครั้งที่ไอ้เรืองพยายามตามจีบแม่เพ็ญ  เมื่อคิดได้เช่นนั้น  เขาจึงตอบเพื่อนเขาไป

                      “เป็นเช่นที่เองว่าจริงๆ”

                      “ไม่มีเรื่องกระไรแล้ว” เรืองกล่าว  พรางเดินเข้าไปในบ้าน “งั้นข้าขอตัว  มิได้เจอแม่เพ็ญนาน  ข้าคิดถึงจะแย่”

   เมื่อเรืองเดินเข้าไปในบ้าน  แม่น้อยจึงกล่าวถามขึ้นมา

                      “ท่านเชื่อที่ท่านพี่เรืองพูดเช่นนั้นรึ?”

   บุญที่ได้ยินเช่นนั้น  เขาจึงทำท่าครุ่นคิด  พรางตอบแม่น้อย

                      “มิเชื่อหรอก” บุญกล่าว  พรางทำท่าครุ่นคิด “แต่เราไม่มีหลักฐานอันใด  ที่จะไปเอาผิดกับไอ้เรืองได้  ยิ่งไอ้เรือง  มันเป็นคนที่ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขา  มันมิยอมรับเป็นแน่  เดี๋ยวครั้งหน้าที่มันออกไปค้าขาย  ข้าจะแอบตามมันไปด้วย”

   แม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น  เธอจึงแอบทำหน้าตกใจเล็กน้อย  ก่อนที่เขาจะหันมากล่าวกับบุญ

                      “ท่านแน่ใจรึ  ว่าจะทำเช่นนั้น”

                      “ถ้าจะจับโจร  ก็ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา” บุญกล่าว  พรางมองหน้าแม่น้อย  ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มิเช่นนั้น  โจรมิยอมรับผิดหรอก”

                      “ถ้าท่านเห็นเช่นนั้น  ข้าก็ว่าตามท่าน”

   เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น  ไม่กี่วันต่อมา  ก็มีจดหมายขอให้เรืองไปค้าขายที่จังหวัดชลบุรี  เรืองที่เห็นดังนั้น  เขาจึงรีบเก็บกระเป๋า  เพื่อเตรียมเดินทาง  เขารีบกล่าวร่ำลาแม่เพ็ญ  บุญที่เห็นเพื่อนของตน  เตรียมของไปอย่างเร่งรีบ  โดยมิบอกกล่าว  เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมา  ด้วยสีหน้าที่สงสัย

                      “นั่นเองจะรีบไปไหนรึ?”

   เรืองที่อยู่ในอาการรีบร้อน  เขาจึงหยุด  และหันมาตอบกับบุญ

                      “ข้ารีบไป  จนลืมบอกเองน่ะ” เรืองกล่าว  พรางมองหน้าบุญ  ด้วยสีหน้าอย่างคนเปี่ยมสุข “มีคนติดต่อ  ให้ข้าไปค้าขายที่จังหวัดชลบุรีน่ะ  ข้าจึงต้องรีบไป  มิเช่นนั้น  เดี๋ยวจะมิทันเรือเอา”

                      “เช่นนั้นรึ  แต่ดูใบหน้าของเอง  จะมีความสุขเหลือเกินนะ”

                      “จักได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว” เรืองกล่าว  ด้วยสีหน้าแปลกใจ “ทำไมข้าจะมิมีความสุขเล่า  เองเถอะสงสัยอันใดกัน”

   บุญที่ได้ยินเรืองถามดังนั้น  เขาจึงตกใจเล็กน้อย  เพราะกลัวว่า  ที่เขาจับตาดูเรือง  เรืองจะจับได้เสียก่อน

                      “เปล่าหรอก” บุญกล่าว  พรางทำตัวปกติ “เช่นนั้นข้าขอให้เองเดินทางปลอดภัย”

   สิ้นเสียงบุญ  เรืองจึงยิ้มให้เพื่อนเขาเล็กน้อย  ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไป  พรางกล่าวกับเพื่อนเขา

                      “งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ”

   เมื่อเรืองเดินออกไปจากบ้าน  บุญจึงรีบวิ่งตามไปหยิบกระเป๋า  ที่เตรียมไว้กับแม่น้อยหลายวันแล้ว  แม่น้อยที่อยู่ในห้อง  เมื่อเห็นบุญมาหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้  เธอจึงทราบได้ทันที  ว่าบุญมีเหตุอันใด  จึงได้รีบร้อนเช่นนี้  เขาจึงกล่าวถามบุญไป

                      “คราวนี้  ท่านพี่เรืองไปจังหวัดใดรึ?”

                      “ชลบุรีน่ะ” บุญกล่าว  พรางเร่งรีบแต่งตัว “ได้ข่าวอันใด  ข้าจักรีบกลับมาบอกโดยทันที”

   สิ้นเสียงบุญ  เขารีบมุ่งหน้าออกจากบ้านไป  เพื่อเร่งรีบตามเรืองให้ทัน  แม่น้อยที่เห็นดังนั้น  เขาจึงตะโกนไล่หลังมา

                      “เดินทางปลอดภัยนะท่านพี่บุญ”

   แม่เพ็ญที่ได้ยินเสียงของน้องสาว  เขาจึงเดินออกมาจากห้อง  และกล่าวถามแม่น้อย

                      “บุญก็ไปด้วยรึแม่น้อย?”

   แม่น้อยที่เห็นพี่สาวตกเองออกมาถาม  เขาพยักหน้ารับไป  เป็นการตกลง  เพื่อไม่ให้พี่สาวของตนสงสัยไปมากกว่านี้  ส่วนบุญ  ที่เก็บกระเป๋า  และรีบไล่ตามเรืองมานั้น  บัดนี้ตัวของเขา  เหมือนกับนักสืบ  ที่แอบไล่ตามจับคนร้ายก็มิปาน  โดยตัวเขาแอบตามโดยเว้นระยะแค่พอให้มองเห็นเรืองเดิน  และใช้มุมตึก  กับตนไม้ในการแอบเรือง  เมื่อยามที่เรืองหันมามอง  โดยเรืองได้มุ่งหน้าตรงไปที่เรือ  โดยเขาคุยกับลุงปริกอยู่พักหนึ่ง  ก่อนที่จะเดินขึ้นเรือไป  ส่วนบุญที่แอบตามมานั้น  ลุงปริกก็ได้ถามเขาไป

                      “อ้าวทำไมวันนี้เองไม่มาพร้อมไอ้เรืองมันวะ”

   โดยบุญก็ได้ทำปากจุ๊ๆ  ก่อนที่เขาจะบอกลุงปริกไป

                      “ข้ากำลังแอบตามไอ้เรืองมันอยู่น่ะลุง”

                      “แอบตาม?” ลุงปริกกล่าว  พรางมองหน้าบุญอย่างสงสัย “นี่เองอย่าบอกนะ  ว่าที่เองตามมัน  เพราะเรื่องที่ข้าบอกเองน่ะ”

   บุญพยักหน้าตอบรับ  ลุงปริกที่เห็นดังนั้น  เขาจึงกล่าวกับบุญต่อ

                      “งั้นเองรีบขึ้นเรือมา  และไปหาที่กำบังโดยเร็วเลย  ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน  ว่าผู้หญิงที่มารับไอ้เรืองมันที่ท่าเรือคือใคร”

   สิ้นเสียงลุงปริก  บุญจึงรีบเดินขึ้นมาบนรถ  พรางไปหาที่หลบ  ที่พอมองเห็นเรืองได้  จนเรือออก  บุญก็ยังคงเฝ้าจับตามองเรืองอยู่ตลอดเวลา  โดยที่ไม่ขยับไปไหน  จนกระทั่งเรือมาถึงที่หมาย  เรืองจึงเตรียมข้าวของ  เพื่อจะลงจากเรือ  บุญที่เห็นดังนั้น  ตัวเขาเองก็มิรอช้า  เขารีบเก็บข้าวของตาม  เมื่อเรืองเดินลงจากเรือไป  บุญจึงเดินตามไป  ก่อนที่ลุงปริกจะเรียกบุญ  ให้มองลงไปที่ด่านล่างของเรือ  บุญจึงมองตามไป

                      “นั่นไง  เองลองดูนั่นสิ” ลุงปริกกล่าว  พรางชี้ไปที่ด่านล่างของเรือ  โดยที่บุญก็มองตามนนิ้วลุงปริกไป  ภาพที่เขาได้เห็นที่ด่านล่าง  เป็นภาพหญิงสาววัยรุ่น  ที่หน้าตาสะสวย  กำลังเดินมารับเรือง  ก่อนที่ลุงปริกจะกล่าวกับบุญต่อ

                      “และข้าก็ไม่ได้เห็นที่จังหวัดนี้  จังหวัดเดียวนะ” ลุงปริกกล่าว  พรางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ “ข้าเห็นมันมีแบบนี้ทุกจังหวัด  ที่มันไปเลยแหล่ะ”

   บุญที่ได้ยินดังนั้น  เขาก็ถึงกับทำหน้าตกใจ  พรางกล่าวกับลุงปริก

                      “ทุกจังหวัดเลยเหรอจ๊ะลุง”

   ลุงปริกดูดบุหรี่เข้าไปจดเต็มปอด  พรางพ้นควันออกมาเฮือกใหญ่  ก่อนที่เขาจะหันมากล่าวกับบุญต่อ

                      “ใช่ทุกจังหวัด  แต่” ลุงปริกกล่าว  ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าก็ไม่อยากจะโทษว่า  ที่ไอ้เรืองมันเป็นแบบนี้  เพราะมันหลงใหลในอำนาจของเงินทองหรอกนะ  เพราะคนดีๆแบบเองก็มี  เพียงแต่ว่า  คนส่วนใหญ่เมื่อมีเงิน  ก็ต้องมีผู้หญิง  พวกผู้หญิงที่เห็นแก่เงินน่ะนะ  เองลองปรามมันดูหน่อยก็ดี  ไม่อย่างนั้นสุดท้าน  ตัวมันจะไม่เหลืออะไรเลย”

   บุญที่ได้ยินลุงปริกพูดเช่นนั้น  เขาก็เกลื่อนน้ำลายลงคอ  จนมีเสียงดังเอื้อก  แต่เมื่อเขาหันไปคุยกับลุงปริกแพลบเดียว  เรืองกับผู้หญิงคนนั้น  ก็ได้เดินออกไปแล้ว  บุญจึงขอตัวจากลุงปริก  รีบตามเรืองไป  เขาทำเช่นเดิม  แอบสะกดรอยตามอยู่ห่างๆ  ไม่ให้สะดุดตาจนเกินไป  จนกระทั่ง  เขาเห็นเรืองเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง  ตัวเขาจึงรีบวิ่งตามไปที่บ้านหลังนั้น  โดยที่บ้านหลังนั้น  เป็นบ้านหลังเล็กๆ  ไม่ใหญ่มากนัก  ถึงตอนนี้  ตัวเขานักได้ตระหนักแล้ว  ว่าเพื่อนของเขา  มีผู้หญิงอื่นเป็นแน่แท้แล้ว  เขาผิดหวังในตัวเพื่อนของเขาเป็นอย่างมาก  แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  เขาไม่แม้แต่จะกดกริ่งเพื่อคุยกับเพื่อนของเขาด้วยซ้ำ  เขาเลือกที่จะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น  และตรงดิ่งกลับพระนครในค่ำคืนนั้นเลย  โดยเขาเลือกที่จะอาศัยไปนอนบนเรือของลุงปริกเอา

                      “ผิดหวังรึ” ลุงปริกกล่าว  บุญที่ได้ยินเช่นนั้น  เขาจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับลุงปริก

                      “นิดหน่อยน่ะจ้ะ” บุญกล่าว  ด้วยสายตาที่เหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย “ไอ้เรืองมันเป็นเหมือนครอบครัวของชั้น  ในวันที่มันตัดสินใจเลือกแม่เพ็ญมาเป็นภรรยาของมัน  ชั้นดีใจมากเลยนะ  เพราะมันแสดงออก  ถึงความรักที่มีให้แม่เพ็ญอย่างเต็มเปี่ยม  เท่าที่ผู้ชายคนนึงจะมีให้หญิงสาวได้เลยล่ะลุง  แต่พอมาวันนี้  ชั้นเห็นว่ามันมีคนอื่น  ชั้นอธิบายความรู้สึกของตัวชั้นเองไม่ถูกเลยน่ะจ้ะ”

   ลุงปริกได้ยินดังนั้น  เขาจึงตอบบุญกลับไปทันที

                      “อย่างที่ข้าบอกเองไปเมื่อเย็นนั่นแหล่ะ” ลุงปริกกล่าว “ตอนนี้ไอ้เรืองมันกำลังหลงมัวเมาในอำนาจของเงิน  เองไปพูดอะไรห้ามอะไร  มันก็ไม่ฟังเองหรอก  เองต้องลองเอาน้ำเย็นเข้าลูบมัน  บางทีมันอาจจะฟังเองบ้างก็ได้  หรือถ้ามันไม่ฟังเอง  อย่างร้ายที่สุด  มันก็หมดตัว  แล้วสุดท้ายมันจะคิดได้เอง”

   ค่ำคืนนั้น  บุญแทบจะไม่ได้นอนเลย  เขาคุยเรื่องต่างๆกับลุงปริกตลอดทาง  จนถึงพระนคร  เมื่อถึงพระนคร  เขารีบมุ่งหน้าตรงกลับไปที่บ้าน  และนำเรื่องนี้ไปบอกกับแม่น้อยแต่โดยไว  เมื่อแม่น้อยได้ยินดังนั้น  ตัวเธอเองก็ตกใจมิใช่น้อย  เธอรีบไปเรียกแม่เพ็ญมา  เพื่อคุยเรื่องนี้  ในตอนแรกแม่เพ็ญเองก็ไม่เชื่อเท่าใดนัก  บุญจึงเลือกพาแม่เพ็ญไปดูด้วยตาตัวเองที่ชลบุรีอีกครั้ง  โดยครั้งนี้เขากับแม่เพ็ญ  ตัดสินใจยืนรอที่หน้าบ้านหลังนั้น  จนเรืองกับผู้หญิงคนนั้นออกมาจากบ้าน  แม่เพ็ญจึงเชื่อในสิ่งที่บุญพูด  โดยตลอดทางแม่เพ็ญเอาแต่ร้องไห้  ลุงปริกกับบุญทำได้เพียงปลอบใจเท่านั้น  จนกลับมาถึงพระนคร  แม่เพ็ญก็ยังไม่หยุดร้องไห้  แม่น้อยจึงต้องเข้ามาช่วยปลอบประโลมด้วยอีกคน

   แต่ต่อให้แม่เพ็ญจะร้องไห้ให้ตายยังไง  แต่ตัวของเรืองเอง  ก็ยังไม่ยอมกลับมภายในวันสองวันนี้อยู่ดี  แม่เพ็ยเฝ้ารอคอยผู้เป็นสามีให้กลับมา  จนสุขภาพของแม่เพ็ญทรุดโทรมลง  จนตัวเธอล้มป่วยลง  จนแม่น้อยกับบุญ  ต้องผลัดกันมาเฝ้าคอยโดยอาการ  โดยไร้เงาของผู้เป็นสามี  จนเวลาผ่านไปนานถึงสองเดือน  เรืองจึงกลับมาถึงบ้านของเขา  โดยที่เขากลับมา  เขาทำตัวตามปกติ  แต่หารู้ไม่  ว่าในยามนี้  คนในบ้านเฝ้ารอเขากลับมา  ด้วยอารมณ์ที่มีแต่ความโมโหอยู่เต็มเปี่ยม  เมื่อเรืองกลับมา  บุญจึงเริ่มกล่าวกับเพื่อนเขาในทันที

                      “เองกลับมาแล้วรึไอ้เพื่อนชั่ว”

   เรืองที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงมีอาการงง  ว่าเพื่อนของเขาเป็นอะไร  เขาจึงถามเพื่อนกลับไป

                      “เองเป็นอะไรของเองไอ้บุญ” เรืองกล่าว  ด้วยสีหน้าที่งุนงง “เองไปโมโหใครมา  เหตุใดจึงมาลงที่ข้า”

                      “ข้าก็โมโหเองนั่นแหล่ะ” บุญกล่าว  พรางดึงตัวของเรืองให้ตามมา “เองตามข้ามานี่  มีคนที่เขาเฝ้ารอเอง  จนตัวของเขาต้องล้มป่วย  เองมาดูให้เห็นกับตาเองนี่”

   บุญลากเรืองให้มาดูอาการของแม่เพ็ญ  ที่ในยามนั้น  แม่เพ็ญป่วยหนัก  ไข้ขึ้นสูง  จนนอนซมไม่รู้เรื่อง  โดยที่ข้างเตียงของเธอ  มีแม่น้อยคอยดูอาการอยู่  แต่ในตอนนั้น  จิตใจของเรือง  มิได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย  เหมือนเขาได้หมดรักในตัวภรรยาคนนี้ไปเสียแล้ว  เมื่อแม่น้อยเห็นหน้าเรือง  เขาจึงเอ่ยถามออกไป  อย่างตรงไปตรงมา

                      “เหตุใดท่านพี่” แม่น้อยกล่าว  พรางมองหน้าเรืองอย่างโมโห “ถึงทำกับท่านพี่ของข้าเช่นนี้  ท่านพี่คนอื่น  จนทำให้พี่ของข้าต้องล้มป่วย  จิตใจของท่านทำด้วยกระไรกัน”

   เรืองที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงมีอาการตกใจเล็กน้อย  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับแม่น้อยและบุญ

                      “พวกเองพูดกระไรกัน” เรืองกล่าว  ด้วยสีหน้าที่โมโห “เองจะบอกว่า  ที่แม่เพ็ญไม่สบายเช่นนี้  เป็นเพราะข้ามีคนอื่นเยี่ยงนั้นรึ”

                      “หรือมันไม่จริงล่ะวะไอ้เรือง” บุญกล่าว  ด้วยสีหน้าที่โมโห “เองมีหญิงสาวมากมายไปทั่ว  ตามต่างจังหวัด  จนทำให้เองไม่อยู่บ้านอยู่ช่องเช่นนี้  ตอนแรกข้าก็มิเชื่อหรอกนะ  จนข้าได้ลองตามเองไปที่ชลบุรีนั่น  ข้าถึงได้เชื่อสนิทใจ  ว่าเองน่ะมีคนอื่น”

   เรืองที่ได้ยินดังนั้น  จึงทำให้เขาตกใจถึงขนาดที่หน้าถอดสีออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับบุญ

                      “นี่เองแอบตามข้ารึไอ้บุญ”

                      “ใช่ข้าแอบตามเจ้า” บุญกล่าว  ด้วยอาการโมโห “ถ้าข้ามัวแต่เชื่อคำพูดของเจ้า  เช่นนั้นพวกข้าคงเป็นควายดักดานอยู่เป็นแน่”

   เรืองที่ได้ยินดังนั้น  เขาจึงเกิดความโมโหขึ้นมาบ้าง  เขาจึงกล่าวกับเพื่อนเขาด้วยความโมโห

                      “ก็ดี  ในเมื่อพวกเองรู้แล้ว” เรืองกล่าว  ด้วยอาการโมโห “งั้นข้าก็มิจำเป็นต้องมีอะไรปิดบังอีกต่อไป  ข้าก็จักไปอยู่กับคนที่ข้ารักเช่นกัน  ส่วนที่นี่พวกเองก็อยู่กันไปเถิด”

   สิ้นเสียงเรือง  เขาจึงหันหลังเพื่อจะออกไปจากบ้านหลังนี้  แต่ก็มีเสียงเสียงหนึ่ง  ที่เรียกให้เขาหันกลับมาอีกครั้ง

                      “อย่าไปเลยนะท่านพี่”

   โดยเรืองหันกลับมาดู  ต้นเสียงนั้น  ก็คือแม่เพ็ญ  ที่ตอนนี้ตัวเธอได้สติกลับมาแล้ว  แต่เรืองก็มิได้สนใจอะไร  เขาเดินออกจากบ้านไป  อย่างไม่สนใจใยดีอาการของแม่เพ็ญเลย  ปม่เพ็ญที่เห็นดังนั้น  ตัวเขาจึงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง  และหลังจากวันนั้น  เรืองก็ไม่เคยกลับมาเหยียบพระนครอีกเลย  โดยที่เขาได้ไปอยู่กับหญิงสาวที่ตัวเขาเองรักหมดใจอีกคน  นั้นคือหญิงสาวที่อยู่ที่ชลบุรี  โดยที่ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตสามีภรรยากันอย่างมีความสุข  จนเวลาผ่านไปหลายเดือน  ส่วนอาการของแม่เพ็ญในยามนั้น  ก็มีแต่ทรุดลง  ไม่ดีขึ้นมาอีกเลย  เธอหวังแต่เพียงว่า  สามีของเธอ  จะกลับมาหาเธอในสักวันหนึ่ง  แต่ดูเหมือนความหวังนั้น  จะมีแต่ความริบหรี่  เพราะนับวัน  อาการของแม่เพ็ญ  มีแต่จะทรุดลงไป  มีเพียงแค่บุญกับแม่น้อยเท่านั้น  ที่อยู่เคียงข้างเธอ  จนในวันหนึ่ง  ที่แม่เพ็ญตระหนักได้  ว่าตนคงมิรอดแล้วเป็นแน่  เธอได้ยื่นจดหมายฉบับหนึ่ง  ที่จ่าหน้าซองถึงผู้เป็นสามีของเธอ  ให้กับแม่น้อยเอาไว้  และกำชับกับแม่น้อย  ว่าให้ยืนจดหมายฉบับนี้  ให้กับผู้เป็นสามีของเธอ  เพียงคนเดียวเท่านั้น  ห้ามให้คนอื่นเปิดอ่านเป็นอันขาด  แม่น้อยจึงรับมาแต่โดยดี  และเมื่อแม่น้อยรับจดหมายฉบับนั้นมาแล้ว  แม่น้อยบอกว่า  เธอได้เห็นรอยยิ้มของพี่สาวของเธอเป็นครั้งสุดท้าย  และเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที  พี่สาวของเธอ  ก็ค่อยๆสิ้นใจลงตรงหน้าเธอ  ตัวเธอเองมิมีคำพูดใดๆ  แต่น้ำตาบนใบหน้าของเธอ  มันค่อยๆไหลลินออกมาจนเต็มใบหน้าไปหมด  เธอเดินออกจากห้องมี  และร้องเรียกสามีของเธอจนลั้นบ้าน  สามีของเธอที่ได้ยินเสียง  จึงรีบวิ่งมาหาภรรยา  ก่อนที่ภรรยาของเขา  จะพาไปดูร่างของพี่สะใภ้  เมื่อบุญเห็นเช่นนั้น  เขาถึงกับเข่าอ่อน  และทรุดตัวลงตรงนั้น  โดยมิมีคำพุดอันใด  มีเพียงภรรยาของเขา  เข้ามาสวมกอด  ทั้งคู่ต่างกอดกันด้วยความเสียใจ  ก่อนที่จำดำเนินการ  จัดงานพิธีให้กับแม่เพ็ญ

   ส่วนทางด้านของเรืองในยามนั้น  เป็นอย่างที่ลุงปริกได้กล่าวเอาไว้  หญิงสาวที่เขารักหมดใจ  เมื่อเขาหมดเงินแล้ว  หญิงสาวคนนั้น  จึงได้บอกเลิกกับตัวเรือง  และไล่เรืองออกมาจากบ้าน  เยี่ยงสุนัขตัวนึง  โดยหญิงสาวคนนั้นให้คำตอบว่า  “ข้ามิได้รักท่าน  ข้ารักเพียงเงินของท่านเท่านั้น”  นั่นจึงทำให้เรืองถึงกับหน้าชา  และหมดสิ้นซึ่งทุกอย่างในตัว  เขาเดินอย่างคนหมดแรงมาที่ท่าเรือ  เขาได้พบกับลุงปริก  ลุงปริกจึงกล่าวกับเขาว่า “ไงข้าเตือนเองแล้วใช่ไหม  ว่าอย่าไปมัวเมากับไอ้ของพวกนี้” น่ะนมันจึงตอบย้ำเรืองเข้าไปใหญ่  ที่ผ่านมาเขาปล่อยให้คนในครอบครัวต้องอยู่อย่างเดี่ยว  และตอนนี้ที่ออกมา  เขาได้ประกาศเกล้าแล้ว  ว่าจะไม่กลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีก  แต่ในยามนี้  เขาเหมือนสุนัขที่หมดหนทางไป  เขาคิดถึงภรรยากับลูกของเขา  เขาตรงกลับไปที่บ้าน  แต่เขาก็ต้องพบกับบ้านที่มันล็อกกลอนอยู่  เขาจึงเดินไปถามที่ข้างบ้าน  จึงได้ความว่า “คนในบ้านไปงานศพ  อยู่ที่วัดนู้น” ซึ่งวัดที่คนข้างบ้านชี้ไปนั้น  เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆบ้านของพวกเขา  มีงานอะไรก็ต้องไปวัดนี้  เมื่อทราบเรื่องเช่นนั้น  เรืองจึงตรงดิ่งไปที่วัดแห่งนั้น  เมื่อเขาเข้ามาในวัด  เขารีบตามหาลูกภรรยาของเขา  และเพื่อนของเขา  ซึ่งก็เป็นดังใจหมาย  เขาได้พบหน้าของบุญ  เขาตรงเข้าไปหาบุญ  และถามหาลูกเมียของเขา  บุญจึงถามสวนกลับมาด้วยความโมโห

                      “มึงมาทำไมตอนนี้  ไอ้เรือง”

                      “ข้า...” เรืองกล่าว  ด้วยสีหน้าอย่างคนหมดหนทาง “ข้า...ข้าขอโทษ  กับสิ่งที่ผ่านมา”

   บุญได้ยินดังนั้น  เขาจึงหัวเราะที่มุมปากออกมา  ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเรือง

                      “มึงขอโทษเหรอ” บุญกล่าว  พรางชี้เข้าไปในตัววัด “ถ้ามึงจะขอโทษ  มึงควรขอโทษกับคนนู้น”

   บุญกล่าวพรางชี้เข้าไปในตัววัด  เรืองจึงมองตามที่บุญชี้ไป  ภาพที่เขาเห็นในตัววัด  ถึงกับทำให้เขาต้องนั่งทรุดลง  เพราะมันคือภาพของคนที่เขาอยากจะกลับมาหาเป็นที่สุด  แต่บัดนี้  มันสายไปเสียแล้ว  เพราะภรรยาของเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว  แม่น้อยที่เห็นเรืองมา  เขาจึงเดินมา  และเอาจดหมาย  ที่พี่สาวของเขาสั่งเสียเอาไว้  มอบให้กับเรือง  เรืองจึงค่อยๆแกะมันอ่าน  เมื่อเขาเห็นข้อความในจดหมาย  มันทำให้เขาถึงกับร้องไห้ออกมาผสมกับความตกใจ  เพราะข้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า

กูขอให้มึงกับกู

เกิดมาเจอกัน  และรักกันทุกชาติไป

แต่มึงกับกู  จะไม่มีวันได้สมหวังกัน  ทุกชาติไป

   ข้อความนั้น  ทำให้เรืองร้องไห้ออกมาอย่างหนัก  เขาได้แต่เพียงคิดว่า  ภรรยาของเขาคงจะแค้นเขามาก  เพราข้อความที่ถูกเขียนนั้น  มันถูกเขียนด้วยเลือด  บุญที่เห็นดังนั้น  เขาจึงพูดกับเพื่อนเขาก่อนไป

                      “กูขอโทษนะ” บุญกล่าว  พรางมองเพื่อนเขา  ด้วยสายตาที่ผิดหวัง “แต่กูกับมึง  ควต้องจบความเป็นเพื่อนกันเท่านี้ว่ะ  กูไม่อยากจะคบหากับฆาตรกรอย่างมึงอีกแล้ว”

   สิ้นเสียงบุญ  เขากับแม่น้อย  จึงเดินออกจากวัดไป  เหลือแค่เพียงเรือง  ที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงนั้น  ในตอนนี้  ตัวเขานั้น  ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว  ทั้งบ้าน  ทั้งเพื่อน  ทั้งคนในครอบครัว  เขาเหลือเพียงตัวเปล่าๆเท่านั้น  เขาจึงตัดสินใจที่จะบวชตลอดชีวิต  เพื่อชดเชยในสิ่งที่เคยทำไม่ได้เอาไว้กับทุกๆคนตลอดไป

 

By  hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา