แรงรัก แรงอาฆาต
เขียนโดย anawat
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.
แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่7 เรืองกับเพ็ญ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแรงรัก แรงอาฆาต
บทที่7 เรืองกับเพ็ญ
พ.ศ. 2435(ท่าเรือ)
“อ้าวไอ้หนุ่มทั้งสอง” ชายวัยกลางคน กล่าวทักชายหนุ่มทั้งสอง “วันนี้พวกเองจะไปไหนกันล่ะ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงยาว หน้าตางามแบบไทยแท้ ผิวเข้มร่างกายกำยำ ตามตัวประดับประดาไปด้วยเครื่องเพชรจำนวนมากมาย ที่ภายนอกใครเห็นต่างก็ต้องคิดว่า ชายหนุ่มทั้งสองเป็นลูกเจ้าฝหญ่นายโต ที่กำลังเร่งรีบขึ้นเรือ โดยในสมัยนั้น การเดินทางไปแต่ล่ะที่ ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้เท่าใดนัก การเดินทางที่ไวที่สุด ก็ต้องเป็นทางเรือ แต่ถ้าไม่ได้รีบร้อนอันใด ก็อาจจะไปทางเท้าเอา
ชายหนุ่มที่ได้ยินชายวัยกลางคนกล่าวทักทาย พวกเขาจึงหันไปมองตามเสียงนั้น พลางกล่าวขึ้นมากับชายวัยกลางคน
“อ้าวลุงปริก” ชายหนุ่มคนแรกกล่าว พรางมองไปที่ลุงปริก “วันนี้พวกชั้นจะไปอยุธยากันน่ะจ้ะ”
ลุงปริกได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสองไป
“กิจการพวกเองนิ มันดีวันดีคืนเลยนะ” ลุงปริกกล่าว พรางมองชายหนุ่มทั้งสองๆ “ไอ้เรือง ไอ้บุญ”
โดยชายหนุ่มคนที่รูปร่างกำยำ หล่อแบบไทยมีชื่อว่าเรือง ส่วนชายหนุ่มด้านหลังที่หล่อไม่แพ้กัน แต่เตี้ยกว่าเรืองมีชื่อว่าบุญ ซึ่งเขาทั้งสอง มีอายุยี่สิบเจ็ดปี เขาทั้งคู่ทำการค้าร่วมกัน ซึ่งก็คือการขายเพชรพลอย ที่คนสมัยนั้นนิยมนำมาประดับไว้ที่ตัว เพื่อแสดงถึงความมั้งมีของแต่ละบ้าน ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่ชายหนุ่มทั้งสอง จะจัดว่าเป็นคนที่มีฐานะดีมาก ก็คงไม่ใช่เรื่องที่โกหกแต่อย่างใด
เรืองกล่าวตอบลุงปริก เรื่องที่แกถามไป
“ไม่ขนาดนั้นหรอกลุง” เรืองกล่าว พรางโบกส่ายไปมา “พวกชั้นก็แค่พอมีพอกินน่ะจ้ะ”
ลุงปริกที่ได้ยินดังนั้น จึงแอบหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ ก่อนที่เขาจะกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง
“ไม่ต้องมาถ่อมตัวหรอกน่า” ลุงปริกกล่าว พรางผายมือไปด้านข้าง “ข้าดูการแต่งตัวของพวกเองก็รู้แล้ว เครื่องเพชรประดับประดาเต็มตัวอย่างนี้ ถ้ากิจการไม่ดีจริง พวกเองจะมีใส่กันได้อย่างไรวะ”
ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่เขาจะกล่าวตอบลุงปริกไป
“เป็นพ่อค้าขายเครื่องเพชร” เรืองกล่าว พรางผายมือไปด้านข้าง “การทำตัวให้ลูกค้าเชื่อถือ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอลุง อย่างลุงทำกิจการเรือ ลุงก็ต้องหาอุบายให้คนมาขึ้นเรือลุงเหมือนกัน จริงไหมล่ะลุง”
ลุงปริกที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง กับคำพูดที่ชาญฉลาดของชายหนุ่มทั้งสอง
“พวกเองเข้าใจตอบนี่หว่า” ลุงปริกกล่าว พรางโบกมือไล่ให้ชายหนุ่มรีบขึ้นเรือ “ไปๆงั้นพวกเองรีบไปขึ้นเรือเถอะ ใกล้จะได้เวลาออกแล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสอง ยิ้มตอบลุงปริก ก่อนที่เขาจะยื่นเงินให้ลุงปริก
“จ้ะลุง” เรืองกล่าว พรางล้วงกระเป๋า และหยิบเงินยื่นให้ลุงปริก “นี่จ้ะ ค่าโดยสาร ของชั้นกับไอ้บุญมัน”
ลุงปริกที่เห็นดังนั้น เขาจึงโวยวายขึ้นมายกใหญ่
“โอ้ยเก็บเงินของเองไปเถอะ” ลุงปริกกล่าว พรางปัดมือของเรืองออก “ทำมาค้าขายเหมือนกัน อะไรที่ช่วยกันได้ ก็ช่วยๆกันไป”
“แต่ลุงปริกเอง” เรืองกล่าว พรางยัดเยียดเงินให้ลุงปริก “ก็ทำมาค้าขายเหมือนกัน ชั้นไม่อยากเอาเปรียบลุงน่ะจ้ะ รับไปเถอะ”
ลุงปริกปัดป้องมือของเรืองยกใหญ่ พรางกล่าวกับเรืองอยู่ตลอด
“เก็บไปๆ” ลุงปริกกล่าว พรางปัดป้องมือของเรือง “แล้วรีบขึ้นเรือไปได้แล้ว เรือใกล้จะออกแล้ว”
เรืองกับบุญที่ได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงต้องยอมแพ้ให้กับลุงปริก ก่อนที่เข้าทั้งสองจะยกมือไหว้ลุงปริกเป็นการขอบคุณในน้ำใจของลุงปริก ที่เขาว่ากันว่าสมัยก่อน เมืองไทยมีแต่คนใจดี ก็มิได้เกินจริงแต่อย่างใดเลย เมื่อคนขึ้นเรือกันจนหมดแล้ว ลุงปริกจึงเตรียมเก็บสะพานที่ทอดเอาไว้ ลุงถอนสมอเรือขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเตรียมนำเรือออกจากท่า เพื่อเดินทางไปสงสัยผู้คนตามแต่จุดหมายของแต่ล่ะคน
ท่าเรือ(อยุธยา)
เรืองกับบุญมาถึงจุดหมายที่พวกเขาต้องการจะลง แต่เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว มันก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ถึงที่หมายที่พวกเขาต้องการมาเสนอขายเพชรเสียทีเดียว พวกเขาต้องเดินทางเท้าไปอีกระยะหนึ่ง กว่าจะถึงที่หมาย ที่มีการนัดกันเอาไว้ แต่นั่นยังไม่ใช่ปัญหาเสียทีเดียว เพราะสิ่งที่ทั้งคู่ต่างหวั่นใจกันคือ เมื่อไปเสนอขาย คนที่เขารอซื้ออยู่ เขาจะสนใจในสินค้าของทั้งคู่ไหม เพราะเมื่อทั้งคู่มาถึงที่หมาย แต่ขายไม่ได้เลยสักชิ้น ไม่คงไม่เป็นการดีกับการเดินทางในครั้งนี้เป็นแน่ พวกเขาได้แต่ภาวนา ให้สินค้าของเขาขายดีเป็นเทน้ำเททาเพียงเท่านั้น แต่ในขณะที่ทั้งคู่ต่างเดินไปสนทนากันไป และชมวิวนู้นวินนี่ และคิดอะไรกันไปต่างๆนาๆ บัดนี้ทั้งคู่ได้ย่ำเท้ามาถึงที่หมายแล้ว ซึ่งเมื่อทั้งคู่มองไปที่ตัวบ้าน ทั้งคู่ต่างตะลึงในความใหญ่โตโออาของบ้านยิ่งนัก เพราะมองดูดีบ้านหลังนี้ ใหญ่ไม่ต่างจากคฤหาสน์เลย ทั้งคู่เห็นดังนั้น เขาต่างยกมือขึ้นมารีบปาก เพราะนี่คงเป็นบ้านของเจาขุนมูลนายแน่นอน ซึ้งแสดงให้เห็นว่า ในวันพรุ่ง พวกเขาขายของได้แน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้น ทั้งคู่จึงมิรอช้า ที่จะเอื้อมมือไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน หมายให้เจ้าของบ้านได้รู้ ว่าบัดนี้พวกเขาได้มาถึงหน้าบ้านแล้ว
เมื่อกดกริ่งเรียบร้อย ทั้งคู่ต่างยืนรอกันอยู่ที่หน้าบ้านอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะมีชายวัยกลางคน เดินมาเปิดประตูให้คนทั้งคู่ได้เข้าไปเชยชมตังบ้านอย่างเต็มตา ก่อนที่ชายวัยกลางคนนั้น จะกล่าวกับคนทั้งคู่ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
“พวกคุณคนขายเครื่องประดับ” ชายวัยกลางคนกล่าว พรางมองหน้าคนทั้งคู่อย่างเป็นมิตร “ที่คุณผู้ชายนัดไว้ใช่ไหมขอรับ”
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน ก่อนที่บุญจะกล่าวตอบไป
“ใช่ขอรับ” บุญกล่าว พรางมองหน้าชายวัยกลางคน “พวกกระผมเป็นคนขายเครื่องประดับ ที่มาจากสยามขอรับ และนี่จดหมายที่คุณผู้ชายส่งไปหาพวกกระผมขอรับ”
สิ้นเสียงบุญ เขาหยิบจดหมายที่ได้รับมาจากเจ้าของบ้าน ยืนให้กับชายวัยกลางคนได้ดู เมื่อชายวัยกลางคนรับจดหมายมา เขาอ่านมันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพับจดหมายนั้น และยื่นคืนให้กับชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนที่เขาจะกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสอง
“ตามกระผมมาเลยขอรับ” ชายวัยกลางคนกล่าว พรางเดินนำหน้าชายหนุ่มทั้งสองไป “นี่ก็โพล้เพล้แล้ว จะให้พวกท่านไปหาโรงแรมนอน ก็เกรงว่าจะไม่สะดวก กระผมจึงให้คนรับใช้จัดที่นอนห้องหับเอาไว้ สำหรับให้พวกท่านทั้งสองแล้วขอรับ ส่วนอาหาร เดี๋ยวพวกท่านนำของไปเก็บ ชำระกายให้เรียบร้อย แล้วเชิญที่ห้องโถงได้เลยครับ คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงรอคุยกับพวกท่านอยู่ขอรับ”
สิ้นเสียงชายวัยกลางคน พวกเขาทั้งสองต่างกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก เขาขายเครื่องประดับมาห้า-หกปี แต่เขาไม่เคยเจอการต้อนรับที่ดีขนาดนี้มาก่อนเลย ส่วนใหญ่ เวลาที่เขาไปขายเครื่องประดับที่ไหน เขาทั้งคู่ มักจะต้องหาโรงแรมนอนกันเองทั้งนั้น ทั้งสามคนต่างเดินเข้าไปกันอีกพักใหญ่ กว่าจะถึงตัวบ้าน เมื่อทั้งคู่ย่ำเท้าเข้ามาตัวบ้าน ต่างก็ต้องตะลึงกันอีกครั้ง เพราะภายนอกที่ว่าใหญ่โตโออาแล้ว เมื่อเข้ามาภายในบ้าน กลับยิ่งใหญ่กว่าอีก แต่ทั้งคู่ยังมิทันที่จะตะลึงเสร็จดีเท่าไหร่ ก็มีเสียงชายวัยกลางคน ร้องทักพวกเขาขึ้นมา
“โอ้มากันแล้วหรือ พวกท่านทั้งสอง”
ทั้งคู่ต่างหันไปมองตามต้นเสียงนั้น เขาได้พบกับชายวัยกลางคน รูปร่างของชายคนนั้นอ้วนท้วม บวกกับศรีษะที่โล้นเตียน แสดงถึงบุคคลที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าจำนวนมหาศาลได้อย่างชัดเจน ทั้งคู่ที่เห็นดังนั้น เขาต่างวางกระเป๋าที่เขาถือมาตลอดลง พร้อมยกมือไหว้ชายคนนั้นเป็นการเคารพ เมื่อชายคนนั้นเห็นทั้งคู่ไหว้ เขาจึงกล่าวขึ้นมาต่อ
“ตามสบายเลยนะพวกท่าน เดี๋ยวชั้นให้คนพาพวกท่านไปที่ห้องเดี๋ยวนี้แหล่ะ เดินทางกันมาไกล คงจะเพลียสินะ”
สิ้นเสียงชายคนนั้น ชายวัยกลางคนที่เดินนำพวกเขามาตลอด เขาจึงบอกให้ชายหนุ่มทั้งสองเดินตามเขามา ชายวัยกลางคนนั้น พาชายหนุ่มทั้งสองมาที่ห้องพัก เมื่อสิ้นกิจของชายวัยกลางคนแล้ว เขาจึงขอตัวไปทำธุระต่อ ชายหนุ่มทั้งสอง ต่างวงกระเป๋าลง ก่อนที่พวกเขาจะไปทำกิจส่วนตัวกัน บุญขอตัวไปชำระร่างกายก่อน ส่วนเรือง เขาขอเดินชมบ้านที่ต้องเรียกว่าคฤหาสน์แห่งนี้ ให้ทั่วถึงเสียก่อน เพราะน้อยครั้งนัก ที่เขาจะได้มีโอกาสเข้ามาในบ้านหลังใหญ่แบบนี้
เขาเดินชมจนทั่วบ้าน เจ้าของบ้านหลังนี้ หรือชายวัยกลางคนคนนั้น ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา กลับกัน เขาแนะนำสถานที่วิวสวยๆ ให้กับเรืองได้ปพักผ่อน ซูดอากาศให้สบายใจ ให้หายเหนื่อยกับที่เดินทางมาไกลเสียด้วยซ้ำ เรืองที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงเดินไปหลังบ้านหลังนี้ ซึ่งติดกับแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งเมื่อเข้าเดินมาได้ครู่หนึ่ง เขากลับได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะ ที่ล่องลอยมากับอากาศ มาเข้าถึงหูเข้า ทำให้เขาต้องหยุดชะงักงัน และเดินตามเสียงดนตรีนั้นไป
เมื่อเข้าไปใกล้เสียงดนตรีนั้น เขาได้พบกับเรือนไทยหลังนึง เป็นเรื่องเล็กที่เอาไว้พักผ่อนหย่อนกาย แต่สิ่งที่ต้องทำให้เรืองตะลึง หาใช่เสียงดนตรี หรือเรือนไทยหลังนี้ไม่ กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ที่งามหยดย้อย รูปร่างหญิงสาวคนนั้นผอมเพียว ใบหน้าที่สวยหวานปานน้ำผึ้ง จนทำให้เรืองถึงกับต้องสบดคำพูดสุดน้ำเน่าออกมา
“โอ้แม่นาง” เรืองกล่าว พรางมองหน้ามองหน้าหญิงสาวคนนั้นอย่างมิรดระสายตา “ท่านเป็นคนใช่หรือไม่ ทำไมถึงงามได้เยี่ยงนี้”
หญิงสาวคนนั้น ได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เจ้าตัวที่เล่นดนตรีอยู่ ถึงกับต้องหยุดเล่น แล้วหลุดคำออกมาเบาๆไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป พรางกล่าวกับชายหนุ่ม
“แล้วท่านเห็นชั้นเป็นกระไรเล่า” หญิงสาวกล่าว พรางหัวเราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูด “นางฟ้า หรืออย่างอื่น”
ชายหนุ่มที่ได้ยินหญิงสาวทวนในสิ่งที่ตนพูด เขาจึงแสดงอาการเขิลอายออกมา ก่อนที่เขาจะกล่าวถามหญิงสาวต่อ
“แม่นางฟ้า” เรืองกล่าว พรางผายมือไปด้านข้าง ด้วยอาการอาย “ดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”
หญิงสาวที่ได้ยินชายหนุ่มเรียก เธอจึงแสดงสีหน้าเขิลอายออกมา พรางกล่าวตอบชายหนุ่มไป
“ชั้นชื่อเพ็ญ” เพ็ญกล่าว พรางมองหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “หาได้ชื่อนางฟ้าแต่อย่างใด”
“ส่วนชั้นชื่อเรืองจ้ะ” เรืองกล่าว พรางยิ้มให้กับเพ็ญ “แล้วแม่เพ็ญมาทำอะไรตรงนี้คนเดียวดึกๆดื่นๆเช่นนี้หรือ”
“ชั้นมาเล่นดนตรีน่ะ” เพ็ญกล่าว พรางกล่าวถามชายหนุ่มกลับไป “ท่านคือคนที่ท่านพ่อ เรียกมาเพื่อซื้อเครื่องประดับสินะ”
“ใช่จ้ะ...”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อไป ก็มีหญิงสาวที่หน้าตาน่ารักอีกคน วิ่งเข้ามาหาแม่เพ็ญ ทั้งคู่ต่างมองด้วยอาการตกใจ ก่อนที่แม่เพ็ญจะเอ่ยถามออกไป
“รีบกระไรขนาดนั้น” แม่เพ็ญกล่าว พรางมองไปที่หญิงสาวที่วิ่งมา “อายแขกบ้าง เดี๋ยวแขกเห็นเข้า มันจะมิงาม”
“ท่านพี่” หญิงสาวอีกคนกล่าว พรางหอบเหนื่อยไปด้วย “ท่านพ่อให้มาเรียกท่านพี่ไปที่โต๊ะอาหาร บอกว่าวันนี้จะมีแขกมาร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเราจ้ะ”
หญิงสาวอีกคนกล่าวขึ้นมา โดยที่เขามิได้ทันสังเกตเลย ว่าเรืองยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่แม่เพ็ญจะหันมามองเรือง ทำให้หญิงสาวอีกคนได้สังเกตเห็นเรือง และแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย เพ็ญที่ได้เห็นหญิงสาวมาตาม เขาจึงกล่าวกับเรืองขึ้นมา ด้วยรอยยิ้ม
“ไว้พบกันที่โต๊ะอาหารนะท่านเรือง”
หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ยกมือไหว้ชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะเดินตามเพ็ญไป ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้น เขารู้สึกเหมือนจิตใจของเขามันพองโต ขณะที่เขาเดินกลับมายังที่พักของเขา ตัวเขาเองหุบยิ้มไม่ได้ตลอดทาง เขาเดินยิ้มมาที่ห้อง บุญที่เห็นเพื่อนตนเองเดินกลับมา เขาจึงเอ่ยถามเพื่อนไป
“อ้าวไอ้เรือง” บุญกล่าว พรางมองไปที่เพื่อนของเขา “เองไปไหนมาวะ ข้าอาบน้ำออกมาแล้วไม่เห็นเอง”
“ข้าไปเดินเล่นแถวนี้มาน่ะ” เรืองกล่าว พรางชี้ไปทางด้านหลังบ้าน “นานๆทีมีโอกาสได้มานอนพักบ้านคนมีเงินทั้งที ข้าก็ขอเดินชมให้มันทั่วๆหน่อยสิวะ”
บุญที่เห็นเพื่อนตนเองเดินยิ้มกลับมา เขาจึงเอ่ยถามเพื่อนของเขาต่อ
“แล้วเองไปเจอกระไรมาวะ” บุญกล่าว พรางมองจดจองเพื่อนของเขาอย่างตั้งใจ “เองถึงเดินยิ้มไม่หุบมาเยี่ยงนี้”
เรืองที่ได้ยินเพื่อนของตนพูดเช่นนั้น เขาจึงมีอาการหน้าแดงออกมา แต่เขาเลี่ยงที่จะตอบในเรื่องของแม่เพ็ญ
“ข้าก็ไปเจอกับบรรยากาศธรรมชาติ” เรืองเริ่มกล่าว พรางมองไปที่หลังบ้าน “วิวแม่น้ำที่สวยและกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่มีที่สิ้นสุดมาน่ะสิ”
บุญได้ยินดังนั้น เขาจึงถามต่อด้วยคงามแปลกใจ
“แค่นั้นเองรึ?”
“แค่นั้นแหล่ะ” เรืองกล่าว พรางมองเพื่อนของเขา “ว่าแต่เองเถอะ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เดี๋ยวไปกินข้าวกัน เจ้าของบ้านหลังนี้ เขาจัดสำรับอาหารไว้รอแล้ว”
บุญที่ได้ยินเพื่อนของตนพูดถึงเรื่องแต่งตัว ทำให้เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยกับเพื่อนเขาไป พรางชวนให้เพื่อนของเขาเดินไปที่ห้องอาหารด้วย
“พูดถึงเรื่องแต่งตัว ข้านึกเรื่องนึงขึ้นมาได้” บุญกล่าว พรางเดินไปที่โต๊ะอาหารกับเพื่อนเขา “ข้าเจอแม่หญิงคนนึง วิ่งผ่านหน้าห้องไป ตอนที่เองไปเดินชมวิวที่หลังบ้าน แม่หญิงคนนั้นข้าเห็นหน้าไม่ชัดเท่าใดนัก แต่ที่ข้าเห็นแน่อนคือ ความงามของแม่หญิงผู้นั้น เขาช่างงามยิ่งนัก จนข้านิอดคิดไม่ได้ ว่านั่นคือคนหรือนางฟ้ากันแน่”
สิ้นเสียงเพื่อนของตน ทำให้เรื่องคิดไปถึงแม่หญิงอีกคนหนึ่ง ที่มาตามแม่เพ็ญให้ไปหาพ่อของเขา แต่เรืองกลับไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนเขากลับไป เขาทำเพียงพยักหน้าตอบรับเพียงเท่านั้น แต่ยังมิทันจะได้คุยอะไรกันต่อ ทั้งคู่ต่างก็เดินมาถึงห้องอาหารแล้ว เจ้าของบ้านที่เห็นดังนั้น เขาจึงกล่าวทักทายชายหนุ่มทั้งสอง
“อ้าวพงกท่าน มากันแล้วหรือ” เจ้าของบ้านกล่าว พรางเชิญให้ชายหนุ่มทั้งสอง นั่งลงที่เก้าอี้เพื่อรับประทานอาหาร “เชิญพวกท่านนั่งลงที่เก้าอี้ได้เลย พวกชั้นรอพวกท่านมาอยู่”
ทั้งคู่ต่างเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงไป ก่อนที่เจ้าของบ้าน จะเริ่มกล่าวแนะนำคนในบ้านให้กับเรืองและบุญได้รู้จัก
“ยังมิได้แน่ะนำตัวกันเลยนินะ” เจ้าของบ้านกล่าว “กระผมมีชื่อหมาย ส่วนข้างๆผมคือภรรยาผม ชื่อว่าออน ส่วนฝั่งตรงข้าของพวกท่านทั้งสอง คือลูกสาวของกระผม ด้านซ้ายชื่อเพ็ญ เป็นลูกสาวคนโตของกระผม ด้านขวาชื่อน้อย เป็นลูกสาวคนเล็กของกระผม”
สิ้นเสียงของหมาย ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงแน่ะนำตัวกันบ้าง
“กระผมชื่อเรืองขอรับ” เรืองเริ่มแนะนำตัว พรางมองไปที่หญิงสาวฝั่งตรงข้ามของตน สลับกับหมาย “ส่วนด้านขวามือของกระผม มีชื่อว่าบุญขอรับ พวกเราทั้งคู่ เป็นพ่อค้าขายเครื่องประดับขอรับ”
สิ้นเสียงของเรือง เขามิได้จับจ้องไปที่สิ่งใดอีก นอกจากแม่เพ็ญ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา เขามิได้ละสายตาไปทางใดเลย ส่วนแม่เพ็ญอีก ก็หลบหน้าเขาด้วยความเขิลอาย แต่ใบหน้าของแม่เพ็ญ ยังคงยิ้มตลอดเวลา แสดงถึงความพึงพอใจ เมื่อแน่ะนำตัวเสร็จ หมายจึงบอกให้ทั้งคู่รับประทานอาหารได้ตามสบาย บุญที่เมื่อได้เห็นแม่น้อย เขาจึงสะกิดเรือง พรางกระซิบที่ข้างหูเรือง
“เรือง” บุญกล่าว พรางกระซิบข้างหูเรือง “แม่หญิงน้อยนี่แหล่ะ ที่ข้าเห็นว่าวิ่งผ่านหน้าห้องของเราไปน่ะ”
สิ้นเสียงบุญ เรืองมิได้ตอบรับอะไร แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับอีกเช่นเคย ทั้งคู่ต่างนั่งรับประทานอาหารกันอย่างตั้งใจ สลับกับตอบคำถามต่างๆนาๆของหมาย ที่ยิงคำถามใส่พวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้มื้ออาหารนั้น มีแต่เสียงหัวเราะของหมาย เพราะคนทั้งคู่ต่างคุยถูกคอตามภาษาลูกผู้ชาย เพราะหากแต่บ้านนี้ มีแต่ผู้หญิงอิงเรือนเต็มไปหมด ทำให้หมาย มิได้สนทนาอย่างสนุกปากกับผู้ชายเท่าใดนัก
เมื่อสิ้นมื้ออาหารแล้ว คนทั้งคู่ต่างพากันเดินกลับมาที่ห้อง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน หากแต่ในค่ำคืนนี้ เรืองกลับนอนไม่หลับเอาเสียได้ เข้าจึงหยิบตะเกียงมา และจุดไฟเพื่อให้มันส่องแสงสว่างไสว และเดินออกนอกห้องไป เขาได้พบกับหญิงสาวในฝันของเขา ยืนเหม่อมองไปที่พระจันทร์ดวงโต ที่สว่างไสวอยู่เต็มท้องฟ้า ชายหนุ่มมิรอช้า เขากล่าวทักทายหญิงสาว
“ดึกดื่นขนาดนี้ เหตุใดท่านยังมินอนรึ”
หญิงสาวได้ยินชายหนุ่มกล่าวทักทาย เธอจึงหันมาตามเสียงนั้น พรางยิ้มให้ชายหนุ่ม
“แล้วเหตุใด” แม่เพ็ญกล่าว พรางมองยิ้มให้ชายหนุ่ม “ตัวท่านเอง ยังมินอนเล่า”
“ชั้นนอนมิหลับน่ะ” เรืองกล่าว พรางเดินมาที่ข้างๆแม่เพ็ญ และมองไปที่พระจันทร์ “เลยว่าจะมาชมพระจันทร์เสียหน่อย”
“ชั้นเองก็เช่นกัน” แม่เพ็ญกล่าว พรางมองไปที่พระจันทร์ “ข้าก็นอนมิหลับ แลเห็นพระจันทร์ในค่ำคืนนี้มันสวยงาม เลยออกมาชมเสียหน่อย”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลสนัย พรางมองไปที่หญิงสาว ก่อนที่เขาจะกล่าวกับหญิงสาว
“ชั้นตั้งใจจะออกมาชมพระจันทร์” เรืองกล่าว พรางมองไปที่หญิงสาว “แต่ดูเหมือน ชั้นจะได้สิ่งที่งดงามกว่าพระจันทร์เข้าเสียแล้ว”
แม่เพ็ญที่ได้ยินดังนั้น เธอก็หน้าแดงออกมา พรางกล่าวกับชายหนุ่ม
“ท่านก็ชมข้าเกินไป” แม่เพ็ญกล่าว พรางหลบหน้าชายหนุ่ม “หญิงสาวที่สยาม ต่างงดงามมากมาย หญิงสาวต่างจังหวัดอย่างชั้น จะหากระไรไปสู้พวกนางได้”
“ถึงหญิงสาวสยามจะงาม” เรืองกล่าว พรางมองหญิงสาว “แต่ก็ใช่ว่าจะต้องตาข้าไม่ หากแต่เป็นท่าน ที่ข้าเห็นเพียงครั้งแรก ข้าถึงกับต้องมนตร์สะกด ในตัวท่านเข้าให้เสียแล้ว”
หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้น เธอมิได้พูดอะไรต่อ ทั้งคู่ต่างชมจันทร์กันจนดึกดื่น จึงแยกย้ายกันไปนอน
วันต่อมา
วันต่อมา ชายหนุ่มทั้งคู่ต่างตื่นมากันแต่เช้า และเดินชมบ้านหลังนี้กันจนทั่วถึง ก่อนที่จะมีคนรับใช้ มาตามให้พวกเขาไปรับประทานอาหารเช้า และนำสินค้าเข้ามาให้หมายผู้เป็นเจ้าของบ้านได้รับชม หมายที่เห็นสินค้าของคนทั้งคู่ เขาไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาเหมาสินค้าของคนทั้งคู่จนหมดสิ้น แต่กว่าที่จะขายสิ้นค้าได้ เวลาก็ตกเย็นมากแล้ว ทำให้คนทั้งคู่ ต้องพักที่นี่อีกคืนหนึ่ง เป็นโอกาสให้เรือง ได้ทำความรู้จักแม่เพ็ญเพิ่มมากขึ้นไปอีก ยิ่งได้คุยกัน คนทั้งคู่ต่างยิ่งมีความรู้สึกดีๆให้กัน ในใจของเรืองคิดเพียงแค่ว่า ยังไงหลังจากที่แยกกันครานี้ เขาต้องทราบที่อยู่ของแม่หญิงคนนี้ให้ได้ ในค่ำคืนนั้นเขาเอาแต่นอนคิดถึงแม่เพ็ญ จนกระทั่งเขาพลอยหลับไป
วันต่อมา
ในตอนเช้า คนทั้งคู่ต่างเตรียมตัวที่จะกลับสยาม หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ โดยที่แม่เพ็ญกับแม่น้อย ขออาสาไปส่งคนทั้งคู่ที่หน้าประตูบ้าน หมายเองก็มิได้คัดค้านอันใด ที่หน้าประตูบ้าน เรืองได้กล่าวกับแม่เพ็ญ
“ชั้นจะติดต่อท่านได้ทางใดอีกบ้าง ถ้ามิรังเกียจ ข้าขอที่อยู่ของท่านไว้ได้หรือไม่”
แม่เพ็ญที่ได้ยินดังนั้น เธอจึงทำท่าเขิลอายอยู่พักหนึ่ง น้อยกับบุญที่เห็นดังนั้น พวกเขาต่างยิ้มให้กับคนทั้งคู่ เรืองมิรอช้าเขาหยิบกระดาษขึ้นมา เพื่อเตรียมจดที่อยู่ขอแม่เพ็ญ แม่เพ็ญจึงบอกที่อยู่ของตนไป ก่อนที่คนทั้งคู่จะขอตัวกลับก่อน เพราะมิอยากจะถึงสยามดึก
เมื่อออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ เรืองเองก็เงียบมาตลอดทาง แต่ใบหน้าของเขากับแสดงออก ถึงคนที่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด บุญที่เห็นดังนั้น เขาจึงแซวเพื่อนเขาออกมา
“คนมีความรักล่ะเนอะ” บุญกล่าว พรางตบไหล่เพื่อนเขา “มิมีอะไรดีๆก็สามารถยิ้มคนเดียวได้”
เรืองที่ได้ยินเพื่อนตนแซว เขาจึงหันมาตอบเพื่อนเขาเพื่อแก้เขิล
“กระไรของเองวะ ไอ้บุญ”
บุญยังมิหยุดแซวเรือง
“กูเข้าใจมึงดีเว้ย ไอ้เรือง”
สิ้นเสียงบุญ เรืองจึงกล่าวขึ้นมาต่อ
“พอเลยไอ้บุญ รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวจะขึ้นเรือมิทัน”
สิ้นเสียงเรื่อง บุญจึงหัวเราะออกมา ก่อนที่ทั้งคู่จะรีบเดินไปที่เรือ พวกเขาได้พบกับลุงปริกอีกเช่นเคยพวกเขากล่าวทักทายกันตามภาษาคนคุ้นเคย ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเรือไป และมุ่งหน้ากลับสยาม เมื่อถึงสยาม เรืองก็มิรอช้า ที่จะเขียนจดหมายหาแม่เพ็ญ ทุกๆสัปดาห์ จะต้องมีจดหมายของเรือง ส่งไปหาแม่เพ็ญ และจดหมายของแม่เพ็ญ ที่ตอบกลับมาหาเรือง โดยเนื้อความในจดหมาย บางครั้งก็จะหวานหยาดเยิ้ม บางครั้งก็จะถามความเป็นอยุ่ บางครั้งก็จะคุยเรื่องงาน และเรื่องต่างๆทั่วไป จะมีบ้างเป็นบางครั้ง บางครั้งที่จะมีจดหมายของบุญหลงมา จากที่ส่งจดหมายกัน ก็มีการไปหากัน ความสัมพันธ์ แต่ในทุกๆครั้งที่ออกไปไหนกับเรือง แม่เพ็ญก็จะพาแม่น้อยผู้เป็นน้องสาวไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเกลียดจนเกินไป และในบางครั้งที่ไม่มีงาน บุญก็จะมากับเรืองด้วยเช่นกัน จากคนแปลกหน้า ก็กลายเป็นคนรู้จัก จากคนรู้จัก ทั้งคู่เริ่มเกิดเป็นความรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป สองเดือนกว่า จู่ๆจดหมายของแม่เพ็ญก็ขาดหายไป ทำให้เรืองเกิดความประหลาดใจ จนเขาต้องเดินทางไปที่อยุธยาอีกครั้ง
อยุธยา(หน้าบ้านหมาย)
เรืองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านแม่เพ็ญ แต่ยังมิทันที่เขาจะได้กดกริ่งบ้าน ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งกล่าวกับเขาขึ้นมา
“ไม่ต้องกดหรอก”
เรืองที่ได้ยินเสียงหญิงสาว เขาเกิดอาการสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ก็เห็นเป็นแม่น้อย น้องสาวของแม่เพ็ญ เขาเห็นเช่นนั้น เขาจึงเอ่ยถามแม่น้อยไป
“แม่น้อย” เรืองกล่าว พรางมองไปที่แม่น้อย “พอดีเลย ทำไมแม่เพ็ญถึงเงียบไป เหตุใดนางจึงมิตอบจดหมายข้า”
แม่น้อยได้ยินดังนั้น เธอจึงเดินเข้ามาเรือง ก่อนที่จะกล่าวกับเรือง
“เป็นเพราะท่านพ่อน่ะ” แม่น้อยกล่าว พรางมองเรือง “ท่านพ่อรู้ว่าท่านพี่ คุยกับท่านเรือง ท่านพ่อก็รับมิได้ ที่จะให้ท่านพี่คบหากับพ่อค้าเร่ขายน่ะ จึงเก็บจดหมายทั้งหมดที่ท่านพี่เขียนถึงท่าน และนำไปทิ้ง และสั่งห้ามท่านพี่ ไม่ให้ติดต่อกับท่าน”
เรืองที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาจึงเกิดความโมโห เขากล่าวกับแม่น้อยต่อ
“เร่ขายแล้วกระไรกัน” เรืองกล่าว ด้วยสีหน้าที่โมโห “คนเร่ขายอย่างข้า อย่างน้อยๆ ก็ทำอาชีพสุจริต มิได้ไปรักขโมยใคร แบบนี้ข้ายอมมิได้หรอก”
สิ้นเสียงเรือง เขามิรอช้า เขารีบปีนรั้วบ้านของแม่เพ็ญ แม่น้อยที่เห็นดังนั้น จึงทำได้เพียงร้องห้าม ให้เรืองใจเย็นๆ แต่เมื่อเรืองได้ยินดังนั้นจากแม่น้อย มีหรือที่เขาจะหยุด เขาปีนเข้ามาในบ้านของแม่เพ็ญ และมุ่งหน้าไปหาหมายผู้เป็นพ่อของแม่เพ็ญ โดยทีมีแม่น้อยเดินตามมาที่ด้านหลังติดๆ แต่ในขณะที่เข้ากำลังวิ่งเข้ามาใกล้จถึงบ้านนั้น เหล่าบรรดาคนรับใช้ผู้ชาย ต่างวิ่งเข้ามาและล็อกตัวเขาเอาไว้ เรืองร้องโวยวายออกมา
“ปล่อยกู กูจะเข้าไปหาแม่เพ็ญ”
เสียงเอะอะโวยวายของเรือง ดังไปจนหมายผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ยิน เขารีบมุ่งตรงออกมาจากบ้านด้วยอาการโมโห และมุ่งตรงมาหาเรืองอย่างเร็วไว เมื่อเขาได้พบหน้าเรือง เขาจึงเอ่ยถามเรืองด้วยสีหน้าที่โมโหโกรทา พรางกล่าวกับคนรับใช้ ให้ปล่อยตัวเรือง
“เองมาหาลูกสาวกูรึ”
หมายกล่าวด้วยสายตาที่ดูถูกเรือง เรืองที่เห็นหน้าหมาย ผู้เป็นพ่อของคนที่ตนรัก อารมณ์ของเขาจึงโอนอ่อนลง เขานั่งขุกเข่าลงตรงหน้าหมาย ก่อนที่จะกล่าวกับหมาย อย่างขอร้อง
“กระผมทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว” เรืองกล่าว ด้วยน้ำเสียงขอร้อง “ขอให้ผมได้คบได้คุยกับแม่เพ็ญด้วยเถิดขอรับ”
หมายที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงถามเรืองกลับไป
“พ่อค้าอย่างเอง” หมายกล่าว พรางมองไปที่เรืองที่นั่งขุกเข่าอยู่ “จะเอาอะไรมาดูแลลูกสาวข้า ไหนเองลองบอกให้ข้าฟังซิ้”
“ในตอนนี้ ข้าอาจจะยังมิมีอะไรที่เทียบเท่ากับท่าน” เรืองกล่าว พรางมองไปที่หน้าของหมาย “แต่ข้าจะทำให้แม่เพ็ญมีความสุข มิให้แม่เพ็ญต้องลำบากแน่นอนขอรับ”
หมายที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ย แต่อารมณ์ของเขาที่โมโห ได้เบาบางลงบ้างแล้ว เมื่อเห็นหมายขุกเข่าตรงหน้าเขา
“แค่คำพูดใครก็พูดได้” หมายกล่าว พรางหัวเราะอย่างเยาะเย้ย “แต่การกระทำล่ะ ข้ายังไม่เห็นอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่เอาเถอะ ข้าเห็นแก่เอง ที่มีความกล้า เข้ามาคุยกับข้าตรงๆ ข้าจะให้เวลาเองหนึ่งเดือน หาเงินมาขอลูกสาวข้า หนึ่งแสนบาท ทองอีกหนึ่งเส้น แล้วข้าจะยอมรับในตัวเอง”
เรืองที่ได้ยินดังนั้น สายตาของเขามุ่งมั่นโดยที่ไม่คิดจะยอมแพ้ เขาตกปากรับคำของหมายไป หมายที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงเดินหายรับเข้าไปในบ้าน ก่อนที่แม่เพ็ญจะวิ่งเร่เข้ามาหาเรืองด้วยความเป็นห่วง เขาเข้ามาประคองร่างของเรือง ที่นั่งขุกเข่าอยู่ให้ลุกขึ้น ทั้งคู่ต่างแสดงความเป็นห่วงกัน แม่น้อยที่เห็นทางสว่างของทั้งคู่ เขาจึงยิ้มออกมา ก่อนที่แม่เพ็ญจะเดินมาส่งเรืองที่หน้าบ้าน เรืองจึงกล่าวกับแม่เพ็ญ
“ท่านไม่ต้องห่วงนะ” เรืองกล่าว พรางมองหน้าแม่เพ็ญ “ข้าจะหาเงินกับทอง ตามที่รับปากกับท่านพ่อมาหให้ได้เลย”
แม่เพ็ญที่ได้ยินดังนั้น เขาจึงพยักหน้ารับ พรางมองน้ำตาไหลออกมาจากใบหน้า ด้งยความปราบปลื้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันออกมาจากบ้าน แต่ตอนนั้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เรืองจึงต้องไปพักที่โรงแรมหนึ่งคืน ก่อนที่วันรุ่งขึ้น เขาจะตรงกลับสยามในทันที เพื่อที่จะเร่งทำงาน เพื่อจะหาเงินมาให้ได้ ตามที่ได้รับปากกับหมายผู้เป็นพ่อของแม่เพ็ญ โดยเขาโหมทำงานอย่างหนัก โดยไม่หยุดพัก จนเพื่อนของเขาต้องเตือนเขา
“ไอ้เรือง” บุญกล่าว พรางมองเพื่อนเขาด้วยความเป็นห่วง “ข้าว่าเองหยุดพักบ้างเถอะ ข้าเข้าใจว่าเองต้องหาเงินมา เพื่อไปแต่งกับแม่เพ็ญให้ได้ แต่โหมงานหนักขนาดนี้เดี๋ยวจะล้มป่วยเอาได้”
“ข้าขอบใจเองมากนะไอ้บุญ” เรืองกล่าว พรางมองหน้าเพื่อนเขา “แต่ข้าไหว มิต้องเป็นห่วงไป”
เมื่อบุญไม่สามารถที่จะห้ามเพื่อนของเขาได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วง ตัวบุญเองก็รับงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เขาอยากที่จะช่วยให้ความรักของเพื่อนเขาได้สมหวังเช่นกัน เงินทุกบ้านทุกสตางค์ที่เขาหามาได้ เขาได้เก็บเอาไว้แค่พอใช้ ส่วนที่เหลือทั้งหมด เขายกให้เพื่อนเขาเก็บไปเป็นเงินที่จะไปสู่ขอแม่เพ็ญ เพื่อนของเขาจึงซึ้งในน้ำใจของบุญเป็นอย่างมาก พระคุณในครั้งนี้ของบุญ เขาจะไม่มีทางลืมอย่างเด็ดขาด โดยเขาทั้งคู่พยายามอย่างหนัก จนรวบรวมเงินใกล้จะครบตามที่รับปากกับหมายเอาไว้
จนกระทั้งวันนึงที่เขาโหมงานอย่างหนัก จนสุดท้าย ร่างกายของเขาก็รับมันไม่ไหวอีกต่อไป โดยในขณะที่เขากำลังจะออกไปทำงานตามปกตินั้น ที่หน้าบ้านของเขา เขาได้มีอาการเวียนหัว และอาเจียนออกมา ก่อนที่เขาจะล้มลงที่หน้าบ้าน ซึ่งเรืองมารู้สึกตัวอีกที เขานอนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งมนสยาม โดยที่เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ที่ข้างเตียงของเขามีร่างชายวัยกลางคนคนหนึ่ง นั่งอยู่เฝ้าเขาอยู่ แต่เมื่อเขาเพ่งมองดูดีๆ ชายที่นั่งอยู่ข้างเขาในตอนนั้น คือหมาย เขาสะดุ้งโหยงออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือไหว้หมายอย่างน้อบน้อม หมายที่เห็นเรื่องฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นมา
“ฟื้นแล้วรึ” หมายกล่าว พรางมองหน้าเรือง “หลับไปสามวันเลยนิ ทำงานหนักจนร่างกายพักผ่อนไม่พอ ข้าถือว่าเจ้าใจสู้น่าดู”
“ท่านทราบได้เยี่ยงไรขอรับ” เรืองกล่าว พรางมองหมาย “ว่าชั้นเขาโรงพยาบาลน่ะ”
หมายที่ได้ยินเรื่องถาม เขาจึงหัวเราออกมา พรางกล่างกับเรือง
“ข้าให้คนคอยตามดูเจ้าอยู่ตลอด” หมายกล่าว พรางมองเรืองอย่างเคร่งครึม “ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร และเจ้าจะดูแลลูกสาวข้าได้จริงไหม แต่สิ่งที่ข้าได้เห็นก็คือ เจ้าเป็นคนสู้ชีวิต ขยันขันแข็ง เอาการเอางานน่าดู ข้ายอมรับในตัวเจ้า และถือว่าเรื่องที่เราเคยคุยกันไว้ ข้าถือว่าข้าตกลง ที่จะฝากให้เจ้าได้ดูแลลูกสาวข้า ตกลงนะ”
เรืองถามทวนคำถามหมายอีกครั้ง เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ท่านว่ากระไรนะขอรับ”
หมายหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะกล่าวกับเรืองอีกครั้ง
“เข้าโรงพยาบาลทีเดียว หูตึงเลยรึ” หมายกล่าว พรางมองหน้าเรือง “ข้าบอกว่า ข้าตกลงที่จะให้ลูกสาวข้า ได้ตกแต่งกับเองไง ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ มาคุยกับข้าได้เลย”
เรืองที่ได้ยินดังนั้น ในใบหน้าของเขา จึงแสดงสีหน้าของเขาที่เปี่ยมสุขออกมา ก่อนที่เข้าจะกล่าวกับหมาย พรางยกมือไหว้เป็นการใหญ่
“ข้าขอบพระคุณท่านมากขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก” หมายกล่าว พรางลุกจากเก้าอี้ เพื่อเตรียมจะกลับ “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเพียงเท่านี้แหล่ะ แต่มีอีกคน ที่อยากจะพบเจ้าเหลือเกินน่ะ”
สิ้นเสียงหมาย เขาเดินออกจากห้องของเรืองไป และแม่เพ็ญจึงเดินสวนเข้ามา พรางไถ่ถามอาการของเรืองด้วยสีหน้าท่าทาง ที่เป็นห่วงเรืองเอามากๆ พร้อมกับน้อยและบุญ ที่เดินตามหลังแม่เพ็ญเข้ามา พร้อมทั้งแซวเรือง
“มีกำลังใจคอยเป็นห่วงขนาดนี้ ต้องรีบหายเสียแล้วกระมั้ง ไอ้เรือง”
เรืองที่ได้ยินเพื่อนตนแซว เขาจึงหน้าแดงออกมาด้วยความเขิลอาย และในทุกๆวันที่เรืองอยู่ในโรงพยาบาล ที่ข้างกายของเขา จะมีแม่เพ็ญคอยดูอยู่มิห่างกาย เธอเฝ้าดูแลเรื่องจนเรืองออกจากโรงพยาบาล และตามที่หมายได้พูดเอาไว้ เมื่อเรืองออกจากโรงพยาบาล เขาจึงเดินทางไปหาหมาย และจัดการคุยเรื่องงานแต่งงาน โดยมีลุงปริก ผู้ใหญ่ที่เขาสนิทที่สุด ไปสู่ขอแม่เพ็ญให้ เพราะพ่อแม่ของเรืองและบุญ ได้เสียไปแล้วทั้งคู่ ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหนก็ไม่มี มีเพียงลุงปริกเพียงเท่านั้น ที่เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือเพียงเท่านั้น
โดยพิธีสู่ขอก็เป็นไปได้ด้วยดี ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ พิธีแต่งงานจึงเริ่มต้นขึ้น โดยงานจัดว่าเป็นงานที่ใหญ่ สมฐานะของหมาย แขกที่มาร่วมงาน ต่างแต่งตัวสวยงาม ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อ ทางด้านเจ้าบ่าวเจ้าสาว ทั้งคู่ต่างมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าที่แสดงถึงความสุขอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยพิธีการก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนขั้นตอนสุดท้าย คือการส่งตัวทั้งคู่เข้าเรือนหอ ทั้งคู่ต่างรู้หน้าที่ เมื่อเข้าเรือนหอ และค่ำคืนนั้น ต่างก็เป็นค่ำคืนอันแสนสุขของทั้งคู่ก็ว่าได้
By hikari…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ