หน่วยลับมังกรทมิฬ (The black Dragon Team)
เขียนโดย Yuanjinxia
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 19.26 น.
แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 20.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) โลกิแห่งอินทรีเงา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเหตุการณ์ปะทะกันของทั้งสองหน่วยถึงหูผู้บัญชาการใหญ่ ก็ได้มีการเรียกตัวมายาและอาเธอร์ไปเข้าพบเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ออตโต้คุยกับเธอเพียงไม่นานโดยยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนเองที่ออกคำสั่งซ้ำซ้อน และยังได้สั่งไม่ให้เธอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่หลังจากที่ให้เธอกลับ ได้มีการพูดคุยกับอาเธอร์เป็นการส่วนตัวต่อหลังจากนั้น ส่วนชายคนที่ถูกนำตัวมาจากคุกหลวง หญิงสาวไม่แน่ใจว่าปัจจุบันถูกขังอยู่ ณ ที่แห่งใด
ในจดหมายภารกิจที่มายาได้รับมาตอนแรก ได้มีคำสั่งให้นำตัวนักโทษไปขังไว้ที่ ‘คุกเหมือง’ ซึ่งเป็นคุกที่ใหญ่ที่สุดและมีการป้องกันแน่นหนาที่สุดของอาณาจักร คุกนี้อยู่ในเขตเมืองหุบเขา รัฐจันทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งเหมืองทองคำเก่าของอารยธรรมมณีมานโบราณ
ระหว่างการต่อสู้มายาก็นึกขึ้นได้ว่าได้ว่า การปล้นนักโทษครั้งนี้คงเป็นเพราะ ‘เขา’ ผู้นั้นต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่ผู้บัญชาการออตโต้ต้องการ แต่ไม่อยากให้ข้อมูลนั้นรั่วไหลไปถึงหูคนอื่น จึงออกคำสั่งปล้นตัวมาเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของพวกศาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงหน่วยอื่น
ดังนั้นการปล้นคุกทางการเพื่อนำนักโทษไปขังที่คุกทางการอีกแห่ง จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นตอนสู้กับอาเธอร์ เธอเองก็พอจะรู้แล้วว่าคำสั่งที่ตนเองได้รับมาไม่ใช่ของจริง แต่สาเหตุที่ยังดึงดันต่อสู้ไปคงเป็นเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะและความโกรธเคืองที่มีต่อกันเท่านั้น
“หัวหน้า ท่านจะไปไหน” ปราณทักหลังจากเห็นมายาก้าวฉับๆ ไปที่คอกม้า
“ตะวันตก” เธอตอบสั้นๆ สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบไปมองผู้ถาม ก่อนจะเดินไปจูงม้าตัวเก่งออกมา
“ให้ข้าไปด้วยไหม”
“ไม่ต้อง!”
สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของหญิงสาวเป็นมาหลายวัน หลังจากที่ได้เข้าพบผู้บัญชาการออตโต้ คล้ายกับมีเรื่องอัดอั้นบางอย่างภายในใจ เมื่อเธอขึ้นม้าได้ก็รีบควบออกไปอย่างรวดเร็ว
เมืองอนันตนครมีตึกบัญชาการหลักของหน่วยลับประจำการอยู่ทั้งสี่ทิศของเมือง โดยทิศใต้เป็นที่ตั้งของหน่วยมังกรทมิฬ ทิศเหนือเป็นของพยัคฆ์กร้าว ทิศตะวันออกเป็นของเต่าแห่งปราชญ์ และทิศตะวันตกเป็นของอินทรีเงา
มองจากภายนอกแต่ละตึกไม่ได้แตกต่างจากตึกทำงานของหน่วยราชการอื่นทั่วไป แต่สำหรับภายในแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้บุคคลภายนอกไม่อาจรับรู้ได้เลยว่า กิจกรรมภายในตึกมีไว้เพื่อการใด
ทิศที่มายากำลังมุ่งหน้าไปคือทิศตะวันตกของเมืองหลวง ซึ่งถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่สวยงามและสงบที่สุดของเมือง เพราะที่แห่งนั้นมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่และสวนสาธารณะมากมาย ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าทิศเหนือและทิศใต้ จึงเหมาะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง
ตึกอีเกิลอาย
มายาที่เดินอาดๆ ผ่านคนเฝ้าประตูมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทุกคนในตึกตกใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าบางคนในที่นี้จะรู้ดีว่าเธอเป็นใคร แต่การมาหน่วยอื่นนอกสังกัดไม่สามารถเดินเข้าออกได้ตามใจ อย่างน้อยต้องมีการส่งจดหมายนัดพบล่วงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากหอสมุดหลวงของหน่วยเต่าแห่งปราชญ์ ก็แทบไม่เคยมีการติดต่อพบปะกันโดยตรงระหว่างบุคคลต่างหน่วย ส่วนใหญ่จะใช้เพียงจดหมายเท่านั้น
“ข้ามาพบโลกิ” มายาบอกใครก็ตามที่ยืนมองท่าทีของเธอด้วยความประหม่า
“ทะ...ท่านเข้ามาได้ยังไง หัวหน้าได้นัดท่านไว้หรือ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นอย่างนึกเกรง ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าเธอผู้นี้เป็นใคร
“ให้นางเข้ามา!” เสียงทรงอำนาจตะโกนดังมาจากบันไดชั้นสองเป็นเชิงอนุญาต
มายาหันไปมองยังเจ้าของเสียง ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววตึงจัด ทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยอินทรีเงารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศอึมครึมนี้ไปตามๆ กัน
ผู้เป็นแขกไม่รอช้า รีบแหวกบรรดาลูกน้องในหน่วยของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดเกรงใจ แล้วพาตนเองเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของโลกิโดยไม่สนใจสายตารอบข้างแม้แต่นิด
มายาจ้องจิกไปยังหน้ากากสีขาวที่ปิดบังใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่พูดจา แต่ความรู้สึกที่โลกิสัมผัสได้กลับเต็มไปด้วยความจ้องจับผิดของหญิงตรงหน้า
ชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดผ้าคลุมสีขาวผู้นี้ไม่เคยมีใครได้เห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน นอกเสียจากหัวหน้าหน่วยคนเก่าของอินทรีเงา แม้แต่ท่านผู้บัญชาการสูงสุดอย่างออตโต้ ที่มายาเคยถามอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘ไม่รู้ ไม่เคยเห็น’
“จะจ้องให้ทะลุผ้าข้าเลยเหรอ” โลกิถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แม้หญิงสาวจะพยายามสร้างความตึงเครียดใส่เขามากแค่ไหน
“สายข่าวท่านดีขนาดนี้ คงรู้เรื่องของข้ากับอาเธอร์แล้วสินะ” น้ำเสียงของเธอยังคงราบเรียบไร้อารมณ์เช่นเดิม
“ฮ่า ฮ่า ข้ารู้แล้ว” ชายใต้ผ้าคลุมที่ไม่ทราบอายุแน่ชัดหัวเราะเบาๆ
“ข้าอยากถามความเห็นท่านเรื่องนี้ ท่านคิดอย่างไร”
“อืม คิดอย่างไรนะเหรอ ออตโต้สั่งภารกิจซ้ำซ้อน อืม...” เขาพูดพลางเอามือขึ้นมาจับคาง “อาจจะผิดพลาดจริงๆ ก็ได้” โลกิพูดหน้าตาเฉย
“อย่ามาเล่นตลกกับข้า!!” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มเข้มขึ้น คล้ายกำลังตวาด
“อะไรกัน นี่เจ้าสงสัยข้าเหรอ!?” โลกิเลิกคิ้วเข้มของตนเองขึ้น
“ถ้าไม่ใช่ท่านแล้วจะเป็นใคร ผู้ที่ปลอมลายมือคนได้แนบเนียนชนิดที่เจ้าของลายมือตัวจริงยังแทบแยกไม่ออก ข้านึกออกแค่ท่านเท่านั้น!” มายากอดอก สายตาจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา
“เจ้าก็ชมข้าเกินไป” อีกฝ่ายยังตอบติดตลก
“ท่านเคยปลอมลายมือข้าแล้วส่งมันให้อาเธอร์ จนเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้วครั้งหนึ่ง คิดว่าข้าจะลืมงั้นเหรอ”
“นั่นมัน…ครั้งนั้นข้าหวังดีกับเจ้านะ แหะๆ” เขากล่าวเสียงอ่อนพลางเอามือลูบท้ายทอย ที่มีฮู้ดคลุมอยู่
“นั่นสินะ เพราะงั้นข้ากับเจ้านั่นเลยต้องตีกันแทบทุกครั้งที่เจอหน้า” นัยน์ตาคมเข้มของสาวเจ้า มองบุรุษตรงไม่วางตาพยายามหาพิรุธเต็มที่ จนเขาต้องยกมือขึ้นยอมแพ้
“นี่! ฟังให้ดีนะ! ข้าไม่บ้าพอจะปลอมลายมือของท่านออตโต้หรอก อีกอย่างข้าได้ยินแว่วๆ มาว่าเขาเองก็ยอมรับแล้วว่าคำสั่งพลาดจริง” โลกิกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถไล่ต้อนคนผู้นี้ได้ มายาจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวมั่นใจมากว่าคนระดับออตโต้ไม่มีทางสั่งภารกิจผิดพลาดเช่นนี้ จึงคิดว่ามีบางอย่างที่ยังขัดแย้งกันอยู่ เพียงแต่ยังไม่อาจหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าเหตุใดผู้บัญชาการถึงต้องยอมรับว่าตนเองเป็นคนสั่งพลาด
“ช่างเถอะ ข้ามีเรื่องอื่นอยากให้ท่านช่วย” เธอกล่าวพร้อมดึงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในเสื้อคลุมแล้วยื่นให้คนตรงหน้า
“นี่อะไร?” เขารับมันมาพินิจดู
“ไม่รู้”
“หืม! แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง” ชายใต้ผ้าคลุมหยิบมันมาส่องดูใกล้ๆ “เป็นอักษรหรือภาพวาดกันละเนี่ย”
“ข้าไม่รู้ ถึงได้เอามันมาให้ท่านช่วยดู”
“มาผิดที่รึเปล่า ของแบบนี้เอาไปถามท่านคาลอสไม่ดีกว่าเหรอ พวกเต่าชำนาญเรื่องอักษร ภาพวาด กับสัญลักษณ์แปลกๆ ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เจ้าเองก็รู้”
“ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ โดยเฉพาะท่านผู้บัญชาการ”
ชายตรงหน้าหรี่ตามมองหญิงสาว แม้จะมีหน้ากากปิดและฮู้ดคลุม ก็ซ่อนดวงตาคู่งามใสกระจ่างได้ไม่มิด
“เพราะผู้เฒ่าคาลอสสนิทกับท่านออตโต้สินะ เจ้าถึงได้มาหาข้าแทน” เขาถามพลางซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใน
“ข้ามั่นใจว่าท่านจะไม่บอกใครเรื่องนี้ โดยเฉพาะท่านออตโต้”
“เจ้าไม่ควรเชื่อใจใครนะสาวน้อย” โลกิตอบพลางส่งสายตาเอ็นดูให้หญิงสาวตรงหน้า “แต่เอาเป็นว่าตกลง ข้าจะช่วยเจ้า แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้เรื่องเมื่อไหร่”
“ก็ได้” เธอตอบสั้นๆ
“มีอะไรอีกไหม” โลกิมองดูหญิงสาวที่มีสีหน้านิ่งพยายามเก็บความรู้สึก แต่ด้วยความที่รู้จักกันมานานจึงรู้ว่านี่คืออาการวิตกกังวลของคนตรงหน้า
“ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น” พูดจบก็จับมือหญิงสาวพาเดินออกจากห้องไป
แทบทุกคนในหน่วยอินทรีเงาตอนนี้นิ่งอึ้งตะลึงงันไปตามๆ กัน ด้วยไม่คิดว่าหัวหน้าหน่วยทั้งสองจะสนิทสนมกันถึงขั้นจูงมือกันไปเดินเล่นได้ แถมหัวหน้าหน่วยอินทรีเงาของพวกเขาก็เป็นพวกไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร แม้แต่ลูกน้องก็ยังไม่เคยมีใครได้เป็นมือซ้ายและมือขวา
โลกิพามายามาเดินเล่นที่สวนสาธารณะขึ้นชื่อของเมือง สวนนี้มีชื่อว่า 'บุปผาจันทรา' สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เป็นเพราะว่า ดอกไม้ทุกชนิดที่ถูกปลูกเอาไว้บริเวณนี้ล้วนเป็นดอกไม้งามที่จะเบ่งบานในยามราตรี หรือเมื่อยามที่พระจันทร์ขึ้นเด่นบนท้องฟ้า
“เจ้าไม่โผล่มาที่นี่อีกเลย ตั้งแต่โดนย้ายออกไปเมื่อสิบปีก่อน” โลกิพูดขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินผ่านสวนดอกไม้ด้วยกัน
“ข้าก็สงสัยมาตลอด ว่าเหตุใดท่านไม่ให้ข้าอยู่หน่วยนี้ต่อ” มายาถามในสิ่งที่ค้างคาใจตลอด
“เจ้าเป็นเด็กที่เก่งที่สุดที่ข้าเคยสอน ความสามารถของเจ้าหลากหลายและมากเกินกว่าจะอยู่เป็นเงาที่นี่” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม
แท้จริงแล้วทั้งสองคนไม่เพียงแต่สนิทกัน แต่ยังเคยมีฐานะเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันมาก่อน มีคนไม่มากนักที่รู้ว่า ครั้งหนึ่งมายาเคยเป็นสมาชิกของหน่วยอินทรีเงา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่หญิงสาวเข้ามาเป็นเด็กฝึกครั้งแรกตอนอายุได้เพียงห้าขวบ ก็มีโลกิที่ในตอนนั้นได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยอินทรีเงาแล้วคอยให้การช่วยเหลือ จนสามารถผ่านการฝึกแสนทรหดมาได้โดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่าทุกคนที่เคยฝึกมา อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอชื่อเธอกับออตโต้ให้ได้รับการคัดเลือกเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรทมิฬคนปัจจุบัน
“ข้ากำลังนึกถึงตอนได้ไปสืบข่าวกับท่านครั้งแรก” หญิงสาวมาดเข้มยิ้มออกมาได้ในรอบหลายวัน
“แล้วนั่นก็เป็นครั้งเดียวของเจ้า หึหึ” เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าเมื่อนึกถึงวีรกรรมเก่าที่เคยทำไว้ ในครั้งอดีตที่เคยเป็นเด็กฝึกหัดของหน่วยอินทรีเงาแห่งนี้ เพียงแค่คดีเดียวที่เธอเคยสืบ ก็มีอันต้องกระเด็นไปหน่วยอื่น เป็นเพราะความใจกล้าและความไม่ยั้งคิดของตัวเธอเองในตอนนั้น
“ข้าอยู่ที่ไหนไม่ได้นานจริงๆ” หญิงสาวยิ้มจางๆ
“จงภูมิใจเถอะ เจ้าเป็นเด็กคนเดียวที่เคยฝึกงานกับทุกหน่วย แล้วสุดท้ายก็ได้ไปจบลงที่มังกรทมิฬ ซึ่งมันเหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้ว” เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมาจ้องหน้าหญิงสาว พลางจับไหล่บางเอาไว้แน่นเป็นเชิงให้กำลังใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ