เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
-
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
11 บท
0 วิจารณ์
5,004 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมกัดแฮมเบอเกอร์คำแล้วคำเล่าพลางจิบโคล่าตามไปด้วย จะว่าไปร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เปิด 24 ชั่วโมง ก็ดูเป็นธุรกิจที่น่าสนใจดี เพราะขนาดอีกไม่กี่ชั่วโมงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นก็ยังมีคนมาใช้บริการกันอยู่เลย โดยเฉพาะกับคู่รักหนุ่มสาว ผมอยากรู้ถึงความรู้สึกนั้นบ้างจัง ความรู้สึกที่ผมผ่านมันมาเกือบหลายสิบปีแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเดินไปสั่งชุดแฮมเบอเกอร์สุดคุ้มที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มโคล่ามานั่งกินอย่างโดดเดี่ยว ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะผมอยากกลับไปรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา หรือผมกำลังหิวกันแน่ เนื่องจากตลอดช่วงค่ำที่ผ่านมา ผมวุ่นวายในการตามหาใครบางคนไปทั่วเมือง เหตุเพราะเขาคนนั้นอยู่ ๆ ก็หายไปหลายคืนติดกัน ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามไม่กลับบ้านมาหลายวันเพื่อไม่ต้องการเห็นภาพเหล่านั้นแล้ว
โคล่าอึกใหญ่มันทำให้แก๊สในกระเพาะอาหารของผมมีมากเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกินฟาสต์ฟู้ดตอนเกือบจะตี 4 มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน ผมเดาว่าตอนนี้ลูกน้องของผมคงจะหยุดไล่ล่าพวกเขาทั้งสองแล้ว เพราะผมเพิ่งโทรบอกพวกมันว่าให้กลับไปพักผ่อนกันได้ ส่วนผมตอนนี้ก็กำลังพักผ่อนอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมการพักผ่อนของผมมันช่างดูหนักอึ้ง ในขณะที่คิดเรื่องทั้งหมด ผมก็รู้สึกถึงของเหลวใสที่คลออยู่ในดวงตา
ตอนตีห้าครึ่งเป็นเวลาที่ผมกลับมาถึงบ้าน และพบก็พบว่าจอห์นกำลังนอนอยู่บนเตียงเหมือนว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผมจึงล้มตัวนอนบนเตียงอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับดึงจอห์นเข้ามากอดในขณะที่เขานอนหันหลังให้กับผม ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันช่างดูน่าสมเพช เจ้าพ่อค้ายาที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่นกำลังอ้อนวอนขอความรักจากเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา
‘ฉันต้องให้นายอีกเท่าไรหรือ…นายถึงจะเป็นของฉัน’
“นายครับ! ผมว่านายพักก่อนดีกว่า”
ลูกน้องของเดวิดกล่าวขึ้นอย่างยำเกรง เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขาดูอ่อนเพลีย จากการที่เขาเห็นมือของเดวิดเริ่มสั่นเมื่อเขาจับปากกาเซ็นเอกสารสำคัญ
สายตาที่บาดคมเงยหน้าขึ้นจ้องลูกน้องเขาอย่างเชื่องช้า เหมือนเป็นสัญญาณให้มันหยุดพูด
“แล้วของมันจะมาวันไหนวะ?”
เดวิดพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เพราะเขาเริ่มจะขี้เกียจรอการมาของยาเสพติดล็อตใหม่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยทำธุรกิจมา และยาล็อตนั้นมันจะทำให้เงินกับอำนาจในมือเขามีมากขึ้นกว่าเดิม
“เห็นพวกมันบอกว่าอาทิตย์หน้าก็จะผลิตเสร็จ พร้อมส่งมาให้เราแล้วครับ”
“ดี!...แต่ช่วงนี้มึงต้องระวังตัว ดูแลคนของเราให้ดีนะ ตอนนี้พวกแก็งอื่นมันคิดว่าเราได้ยาล็อตนี้มาแล้ว มันอาจจะกลับมาเล่นงานพวกเราอีกก็ได้”
“ได้ครับ” ลูกน้องของเดวิดรับคำด้วยเสียงที่หนักแน่น ก่อนที่จะถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วตอนนี้นายจับหนอนบ่อนไส้ในคนของเราได้หรือยังครับ?”
“ตอนนี้กูยังไม่รู้” เดวิดเว้นหยุดคิดไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยกเอาบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบ “แต่อีกไม่นานหรอก”
ในคืนนั้นผมตรงไปที่บาร์อีกแห่งที่ผมเป็นเจ้าของ เพียงเพราะผมอยากจะผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย เครื่องดื่มดี ๆ กับเพลงบลูส์ที่ผมชอบ สิ่งเหล่านี้มันคงจะเป็นเหมือนยาที่คอยเยียวยาหัวใจผมได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงผมอยากจะกลับบ้านให้ช้าที่สุด เพื่อให้เห็นคนของผมอยู่บนเตียงนั้นแล้ว เพราะมันคงจะทำให้ผมเชื่อคำโกหกของตัวเองได้ยาวขึ้นอีกหน่อย
คืนนี้ผู้คนในบาร์ไม่ค่อยพลุกพล่าน คงอาจจะเพราะมันเป็นคืนวันจันทร์ แต่ก็ยังพอมีลูกค้าขาประจำนั่งเติมเต็มความเปลี่ยวเหงาของร้านนี้ได้พอสมควร เครื่องดื่มหน้าตาวิจิตรแก้วแล้วแก้วเหล่าที่ผมดื่มไป มันทำให้ผมเมามากพอที่จะเห็นทุกอย่างเป็นภาพสโลว์ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็วจนเกือบเห็นเป็นเส้นตรง
“นายครับ ดึกแล้ว นายจะกลับหรือยัง?”
เสียงของมือขวาผมดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมรู้ว่าภายนอกผมตอนนี้แทบจะดูปกติมากก็จริง แต่คนที่ทำงานกับผมมานานคงจะรู้ว่าผมกำลังเมามากแล้ว
“กูยังไม่กลับ มึงไม่ต้องรอกลับไปก่อนได้เลย”
“แต่ใครจะขับรถให้นายล่ะครับ?”
“กูขับไหว”
“แต่-”
ผมวางอำนาจเหมือนเคย ผมจ้องมองลูกน้องจนหัวหด ก่อนที่มันจะโค้งศีรษะเพื่อเป็นตอบรับคำสั่งและกำลังจะเดินออกไป
“ขอบคุณนะ…ไอ้กร”
ผมพูดชื่อของมือขวาของผมออกมา แม้ว่าโดยปกติผมจะไม่เรียกชื่อมันเลยก็ตาม แต่ถ้าให้พูดตามความเป็นจริง มันเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมมาโดยตลอด คอยระแวดระวังภัยให้ผม จะว่าไปมันก็เหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่งเหมือนกัน ไอ้กรหยุดชะงักด้วยการกระทำที่เหนือความคาดหมายของผม ก่อนที่มันจะหันมาบอกลาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฝันดีครับ”
เกือบเที่ยงคืนแล้วผมยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมในโซนที่นั่งพิเศษ ซึ่งมันทำให้ผมเบื่อความพิเศษกว่าคนอื่นของผมเต็มที ผมจึงเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ที่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่สองสามคน แสงสะท้อนสีทองอำพันจากขวดเครื่องดื่มที่วางอยู่บนเชล์ฟด้านหลังส่องสะท้อนเข้ามารบกวนการมองเห็นของผม ก่อนที่จะมีเสียงเจื้อยแจ้วของชายหนุ่มที่ฟังไม่คุ้นชินดังขึ้น
“รับอะไรดีครับ?”
ผมพยายามมองตามน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่ผมจะเห็นเด็กหนุ่มตาโตอยู่ในชุดบาร์เทนเดอร์กับหูกระต่ายที่ดูจะใหญ่กว่าตัวเขานิดหน่อย จนมันทำให้เด็กหนุ่มเหมือนกระต่ายในนิทานที่กำลังจะพาผมไปสู่โลกมหัศจรรย์ในโพรงใต้ดินของเขา
“แล้วคิดว่าผมควรสั่งอะไร?”
“แบบพี่…ผมคิดว่าเอาอะไรที่ขม ๆ หน่อยไหมครับ?”
ผมหลุดขำในการตอบไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มคนนี้ เด็กใหม่ที่ผู้จัดการร้านรับเข้าทำงานโดยไม่บอกผมอีกแน่ เพราะถ้าผมรู้ผมคงไม่รับเด็ดขาด เขาเด็กและสดใสเกินไปสำหรับสถานที่สีเทาแห่งนี้
“จะบอกว่าผมแก่?”
“ผมไม่ได้พูดนะ” เด็กน้อยหัวเราะตาหยีพร้อมยกมือเกาศีรษะ “ผมหมายถึงพี่น่าจะเจอเรื่องอะไรมาเยอะ”
ยอมรับเลยว่าผมแพ้ทางเด็กที่อายุน้อยกว่าผมจริง ๆ
“งั้นก็ลองทำมา”
เด็กหนุ่มขานรับด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะหันไปทำเครื่องดื่มให้กับผม ส่วนผสมเครื่องเทศต่าง ๆ กับเหล้าชนิดที่แรงที่สุดในร้านถูกผสมเทรวมกันในแก้วเชค ก่อนที่เขาจะเริ่มเขย่าด้วยแรงอันน้อยนิด ผมยอมรับว่าผมรู้สึกอดสูกับท่าทางเขย่าที่ดูเก้งก้างเหล่านั้น จนอดไม่ได้ที่ผมจะยื่นมือขอแก้วเชคมาเขย่าเอง
“อะไรครับ?”
“เดี๋ยวทำเอง”
“ไม่ได้ครับ ถ้าผู้จัดการมาเห็นผมคงถูกไล่ออกที่ให้ลูกค้ามาทำเครื่องดื่มเอง”
“ผมอยู่เขาไม่ไล่คุณหรอก”
“ถึงคุณจะใหญ่มาจากไหน แต่ไม่ได้หรอกครับ…ร้านนี้เห็นผู้จัดการบอกว่าเจ้าของโหดมาก ผมไม่อยากเสี่ยง” ในประโยคหลังเด็กหนุ่มคนนั้นพยายามพูดให้เสียงเบาที่สุด
ซึ่งมันทำให้ผมชะงัก…เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่รู้ว่าผมคือใคร
“ไม่ไล่ออกหรอก…ผมสัญญา”
ผมจ้องด้วยสายตาที่หนักแน่นเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มเพื่อเป็นการทำสัญญาให้เขาเชื่อมั่นในตัวผม
เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาก่อนที่จะยื่นแก้วเชคมาให้ ผมสอนเขาเขย่าแก้วเชคและเริ่มทำให้ดูในทันที ผมเห็นสายตาของเขาจับจ้องมาด้วยสายตาที่เป็นประกายในความกระหายใคร่รู้ จนกระทั่งมีเสียงของหญิงวัยกลางคนตะโกนด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้แผ่วเบาที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกในร้าน
“นี่เธอทำอะไร! ให้คุณ-”
ผมรีบหันหน้าไปมองหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้จัดการร้านให้หยุดพูด ผมไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มคนนี้รู้ว่าผมคือใคร ซึ่งก็เหมือนว่าเธอจะเข้าใจในความหมายของผม เธอจึงเพียงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาตีแขนเด็กหนุ่มคนนั้น
“ไม่ต้องไปว่ามันหรอก…ผมเป็นคนขอทำเอง”
“แต่คุณคะ-”
หญิงวัยกลางคนทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ผมจึงบอกเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้เธอเดินออกไปคุยกับผมที่อื่น เมื่อผมสังเกตว่าที่ตรงนี้ลับตาเด็กหนุ่มคนนั้นมากพอแล้ว ในขั้นแรกผมได้ตำหนิเธอที่รับคนโดยไม่บอกผม ซึ่งคนที่เธอรับมาฝีมือก็ไม่ได้เรื่อง
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณเดวิด ตอนนั้นดิฉันไม่ทันคิด คิดแค่ว่าน่าจะพอสอนได้อยู่”
“แล้วคุณคิดจะรับใครก็ได้มาสอนแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ? แล้วลูกค้าผมล่ะ?”
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ดิฉันสงสารเลยรับน้องมัน ตอนแรกดิฉันกะให้น้องมาฝึกตอนวันที่ไม่ค่อยมีลูกค้า หรือไม่ก็มาฝึกตอนกะดึก ๆ ค่ะ”
“คุณคิดว่าที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์เหรอ?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งของผมทำให้หญิงวัยกลางคนถึงกับก้มหน้าสำนึกผิด
“งั้นดิฉันจะไล่เขาออกค่ะ”
“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไล่มันออก”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นแล้วทำหน้าไม่เข้าใจ
“หลังจากนี้คุณก็คอยสอนมันแล้วกัน”
“ได้เลยค่ะ! หลังจากนี้ดิฉันจะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีกแน่นอนค่ะ” เธอค้อมตัวต่ำ
“แล้วอีกอย่าง…ห้ามบอกมันว่าผมเป็นใคร”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพร้อมที่จะเอ่ยคำถาม
“แค่ทำตามที่ผมบอก” ผมย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทุกคำ
“ผมคงโดนไล่ออกจริง ๆ แล้วใช่ไหมครับ?”
เด็กหนุ่มคอตกเหมือนกระต่ายหูลู่ ในขณะที่ผมเพิ่งเดินกลับมานั่งที่เดิมหลังจากที่ไปคุยกับผู้จัดการร้านเสร็จ
“ก็ผมสัญญาแล้วไง”
เด็กหนุ่มหนูตั้งขึ้นในทันที เขากลับมาเหมือนกระต่ายน้อยที่ดีใจยามเมื่อได้แครอท
“แสดงว่าผมก็ไม่โดนไล่ออกเหรอ?”
ผมเพียงยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“โห! แสดงว่าคุณนี่เส้นใหญ่จริง ๆ นะเนี่ย…คุณเป็นใครเหรอ?”
คำถามที่ฟังดูไร้เดียงสาทำให้ผมหัวใจเต้น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกรักใคร่แต่เพราะผมกำลังคิดคำโกหกไม่ทัน ตอนนี้ผมก็คงไม่ต่างไปจากจิ้งจอกเฒ่าแล้วสินะ
“ผมเป็นบอร์ดีการ์ดให้เจ้าของร้านนี้”
กระต่ายหนุ่มเบิกตาโพง
“ถามแต่ผม แล้วน้องชื่ออะไร?”
“ผมเจมส์ครับ…แล้วพี่ชื่ออะไร?”
“ผมกร” ผมโกหกออกไปอย่างไม่ทันคิด
“ห้ะ! หน้าฝรั่งขนาดเนี่ยนะ?”
ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมกำลังข่มความเลิ่กลั่กของผมอยู่
“พูดมาก…ไหนเครื่องดื่มผม?”
เจมส์เกาศีรษะพร้อมกับทำตาหยีอีกครั้งก่อนที่จะหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มมาให้ เครื่องดื่มสีทองที่มีอบเชยวางอยู่บนขอบแก้ว ผมค่อย ๆ จิบมันอย่างบรรจง
“เป็นไงบ้างครับ?”
“ไม่ได้เรื่อง!”
ในคืนนั้นผมอาสาขับรถไปส่งเจมส์ที่บ้าน ในตอนแรกเขาพยายามปฏิเสธ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากลัวผมหรือเขาเกรงใจกันแน่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมไปกับผมแต่โดยดี เนื่องจากรถประจำทางที่เขารอมาเกือบชั่วโมงมันยังไม่มาถึงสักที เจมส์เป็นคนพูดมากมากว่าที่ผมคิด ตลอดทางกลับบ้านเขาพูดถึงชีวิตเขาไม่หยุดปาก ผมเดาว่าเขาคงจะเป็นเด็กยากจนที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง เขาเล่าว่าเขาทำงานตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเขาขัดสนเพียงใด จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้คนเดียว เพียงเพราะเขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่และเขาไม่อยากจะเป็นภาระของพ่อแม่อีกแล้ว
ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องที่เขาเล่ามันมีจุดประสงค์เป็นสิ่งใด หรือเขาเห็นว่าผมอยู่ในจุดที่พอจะเลี้ยงดูเขาได้ เขาจึงเล่าเรื่องของตัวเองออกมาเพื่อขอความเห็นใจ แต่ถ้าจะให้ผมตัดสินจากประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาเกือบ 50 ปีของผม และประสบการณ์ผ่านเด็กที่เข้ามาเพราะเงิน ผมสามารถบอกได้เลยว่าเด็กคนนี้ต่างจากเด็กคนอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ต่างมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ หรือทั้งหมดมันเป็นเพียงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการหาคนเลี้ยงแบบที่ผมยังไม่เคยพบก็เท่านั้น ผมรู้แต่ว่าในขณะที่เขาเล่า ผมไม่สามารถจับความเสียใจหรือการก่นด่าโลกแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขาเล่าออกมาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสนุก เหมือนเขากำลังเล่นเกมที่ต้องผ่านแต่ละด่านไปให้ได้ จะหาว่าผมคิดเกินจริงไปก็ได้ แต่เด็กคนนี้เวลาที่ผมอยู่กับเขา ผมกลับได้รับแต่พลังงานด้านบวกอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครคนไหนมากมายเท่านี้ จนบางทีผมก็รู้สึกสว่างตามเขาไปด้วย อย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนในโลกสีเทาของผม
รถของผมจอดตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ที่มันดูไม่มีอะไรนอกจากเป็นแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองนี้ ป้ายชื่อที่บ่งบอกถึงสถานที่แห่งนี้เกินครึ่งอยู่ภายใต้สนิมเขอะ
“พี่ส่งผมตรงนี้ก็ได้ครับ”
ผมพยักหน้า พร้อมกับส่งเงินปึกหนึ่งให้กับเจมส์
“อะไรครับ?”
“ผมให้”
“ไม่รับครับ”
ผมตกใจที่ผมโดนปฏิเสธการให้เงินจำนวนมากขนาดนี้ ก่อนที่เจมส์จะเปิดประตูก้าวลงออกจากรถ
“รับไว้เถอะถือว่าเป็นทิปส์ที่นั่งคุยกับผม”
“ถ้าพี่อยากให้ทิปส์ผมพี่ก็มาร้านบ่อย ๆ สิครับ ถ้าร้านได้เงินเยอะ เดี๋ยวเขาก็แบ่งเงินเพิ่มให้ผมเองแหละ”
เจมส์ยิ้มตาหยีอยู่ข้างนอกตัวรถ
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ…ฝันดีครับ”
“ฝันดี”
แล้วเจมส์ก็เดินหายไปในความมืด ส่วนผมเองก็ออกรถไปอย่างปกติที่สุด ทำไมทุกอย่างมันถึงปกติได้ขนาดนี้ ปกติจนผมแปลกใจ ไม่มีค่ำคืนหฤหรรษ์ให้รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนค่ำคืนโดดเดี่ยวของผมกับเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ แต่ผมก็ไม่รู้สึกเสียดายที่ไม่มีมัน ในทางกลับกันผมกับรู้สึกสบายใจและมีความสุขเสียด้วยซ้ำ
ผมขับรถต่อไปเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เมื่อผมสังเกตแถวนี้จริง ๆ มันกลับเป็นที่ที่ผมเคยคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว ใครบางคนที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล ใครบางคนที่ทำให้ผมรู้ว่าอำนาจกับเงินเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่จีรังมากที่สุด
ผมขับรถมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่เป็นขนาดที่กำลังพอ พอดีที่จะอยู่ในความทรงจำสีเทาของผมตลอดไป
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเดินไปสั่งชุดแฮมเบอเกอร์สุดคุ้มที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มโคล่ามานั่งกินอย่างโดดเดี่ยว ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะผมอยากกลับไปรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา หรือผมกำลังหิวกันแน่ เนื่องจากตลอดช่วงค่ำที่ผ่านมา ผมวุ่นวายในการตามหาใครบางคนไปทั่วเมือง เหตุเพราะเขาคนนั้นอยู่ ๆ ก็หายไปหลายคืนติดกัน ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามไม่กลับบ้านมาหลายวันเพื่อไม่ต้องการเห็นภาพเหล่านั้นแล้ว
โคล่าอึกใหญ่มันทำให้แก๊สในกระเพาะอาหารของผมมีมากเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกินฟาสต์ฟู้ดตอนเกือบจะตี 4 มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน ผมเดาว่าตอนนี้ลูกน้องของผมคงจะหยุดไล่ล่าพวกเขาทั้งสองแล้ว เพราะผมเพิ่งโทรบอกพวกมันว่าให้กลับไปพักผ่อนกันได้ ส่วนผมตอนนี้ก็กำลังพักผ่อนอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมการพักผ่อนของผมมันช่างดูหนักอึ้ง ในขณะที่คิดเรื่องทั้งหมด ผมก็รู้สึกถึงของเหลวใสที่คลออยู่ในดวงตา
ตอนตีห้าครึ่งเป็นเวลาที่ผมกลับมาถึงบ้าน และพบก็พบว่าจอห์นกำลังนอนอยู่บนเตียงเหมือนว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผมจึงล้มตัวนอนบนเตียงอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับดึงจอห์นเข้ามากอดในขณะที่เขานอนหันหลังให้กับผม ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันช่างดูน่าสมเพช เจ้าพ่อค้ายาที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่นกำลังอ้อนวอนขอความรักจากเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา
‘ฉันต้องให้นายอีกเท่าไรหรือ…นายถึงจะเป็นของฉัน’
“นายครับ! ผมว่านายพักก่อนดีกว่า”
ลูกน้องของเดวิดกล่าวขึ้นอย่างยำเกรง เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขาดูอ่อนเพลีย จากการที่เขาเห็นมือของเดวิดเริ่มสั่นเมื่อเขาจับปากกาเซ็นเอกสารสำคัญ
สายตาที่บาดคมเงยหน้าขึ้นจ้องลูกน้องเขาอย่างเชื่องช้า เหมือนเป็นสัญญาณให้มันหยุดพูด
“แล้วของมันจะมาวันไหนวะ?”
เดวิดพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เพราะเขาเริ่มจะขี้เกียจรอการมาของยาเสพติดล็อตใหม่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยทำธุรกิจมา และยาล็อตนั้นมันจะทำให้เงินกับอำนาจในมือเขามีมากขึ้นกว่าเดิม
“เห็นพวกมันบอกว่าอาทิตย์หน้าก็จะผลิตเสร็จ พร้อมส่งมาให้เราแล้วครับ”
“ดี!...แต่ช่วงนี้มึงต้องระวังตัว ดูแลคนของเราให้ดีนะ ตอนนี้พวกแก็งอื่นมันคิดว่าเราได้ยาล็อตนี้มาแล้ว มันอาจจะกลับมาเล่นงานพวกเราอีกก็ได้”
“ได้ครับ” ลูกน้องของเดวิดรับคำด้วยเสียงที่หนักแน่น ก่อนที่จะถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วตอนนี้นายจับหนอนบ่อนไส้ในคนของเราได้หรือยังครับ?”
“ตอนนี้กูยังไม่รู้” เดวิดเว้นหยุดคิดไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยกเอาบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบ “แต่อีกไม่นานหรอก”
ในคืนนั้นผมตรงไปที่บาร์อีกแห่งที่ผมเป็นเจ้าของ เพียงเพราะผมอยากจะผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย เครื่องดื่มดี ๆ กับเพลงบลูส์ที่ผมชอบ สิ่งเหล่านี้มันคงจะเป็นเหมือนยาที่คอยเยียวยาหัวใจผมได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงผมอยากจะกลับบ้านให้ช้าที่สุด เพื่อให้เห็นคนของผมอยู่บนเตียงนั้นแล้ว เพราะมันคงจะทำให้ผมเชื่อคำโกหกของตัวเองได้ยาวขึ้นอีกหน่อย
คืนนี้ผู้คนในบาร์ไม่ค่อยพลุกพล่าน คงอาจจะเพราะมันเป็นคืนวันจันทร์ แต่ก็ยังพอมีลูกค้าขาประจำนั่งเติมเต็มความเปลี่ยวเหงาของร้านนี้ได้พอสมควร เครื่องดื่มหน้าตาวิจิตรแก้วแล้วแก้วเหล่าที่ผมดื่มไป มันทำให้ผมเมามากพอที่จะเห็นทุกอย่างเป็นภาพสโลว์ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็วจนเกือบเห็นเป็นเส้นตรง
“นายครับ ดึกแล้ว นายจะกลับหรือยัง?”
เสียงของมือขวาผมดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมรู้ว่าภายนอกผมตอนนี้แทบจะดูปกติมากก็จริง แต่คนที่ทำงานกับผมมานานคงจะรู้ว่าผมกำลังเมามากแล้ว
“กูยังไม่กลับ มึงไม่ต้องรอกลับไปก่อนได้เลย”
“แต่ใครจะขับรถให้นายล่ะครับ?”
“กูขับไหว”
“แต่-”
ผมวางอำนาจเหมือนเคย ผมจ้องมองลูกน้องจนหัวหด ก่อนที่มันจะโค้งศีรษะเพื่อเป็นตอบรับคำสั่งและกำลังจะเดินออกไป
“ขอบคุณนะ…ไอ้กร”
ผมพูดชื่อของมือขวาของผมออกมา แม้ว่าโดยปกติผมจะไม่เรียกชื่อมันเลยก็ตาม แต่ถ้าให้พูดตามความเป็นจริง มันเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมมาโดยตลอด คอยระแวดระวังภัยให้ผม จะว่าไปมันก็เหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่งเหมือนกัน ไอ้กรหยุดชะงักด้วยการกระทำที่เหนือความคาดหมายของผม ก่อนที่มันจะหันมาบอกลาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฝันดีครับ”
เกือบเที่ยงคืนแล้วผมยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมในโซนที่นั่งพิเศษ ซึ่งมันทำให้ผมเบื่อความพิเศษกว่าคนอื่นของผมเต็มที ผมจึงเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ที่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่สองสามคน แสงสะท้อนสีทองอำพันจากขวดเครื่องดื่มที่วางอยู่บนเชล์ฟด้านหลังส่องสะท้อนเข้ามารบกวนการมองเห็นของผม ก่อนที่จะมีเสียงเจื้อยแจ้วของชายหนุ่มที่ฟังไม่คุ้นชินดังขึ้น
“รับอะไรดีครับ?”
ผมพยายามมองตามน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่ผมจะเห็นเด็กหนุ่มตาโตอยู่ในชุดบาร์เทนเดอร์กับหูกระต่ายที่ดูจะใหญ่กว่าตัวเขานิดหน่อย จนมันทำให้เด็กหนุ่มเหมือนกระต่ายในนิทานที่กำลังจะพาผมไปสู่โลกมหัศจรรย์ในโพรงใต้ดินของเขา
“แล้วคิดว่าผมควรสั่งอะไร?”
“แบบพี่…ผมคิดว่าเอาอะไรที่ขม ๆ หน่อยไหมครับ?”
ผมหลุดขำในการตอบไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มคนนี้ เด็กใหม่ที่ผู้จัดการร้านรับเข้าทำงานโดยไม่บอกผมอีกแน่ เพราะถ้าผมรู้ผมคงไม่รับเด็ดขาด เขาเด็กและสดใสเกินไปสำหรับสถานที่สีเทาแห่งนี้
“จะบอกว่าผมแก่?”
“ผมไม่ได้พูดนะ” เด็กน้อยหัวเราะตาหยีพร้อมยกมือเกาศีรษะ “ผมหมายถึงพี่น่าจะเจอเรื่องอะไรมาเยอะ”
ยอมรับเลยว่าผมแพ้ทางเด็กที่อายุน้อยกว่าผมจริง ๆ
“งั้นก็ลองทำมา”
เด็กหนุ่มขานรับด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะหันไปทำเครื่องดื่มให้กับผม ส่วนผสมเครื่องเทศต่าง ๆ กับเหล้าชนิดที่แรงที่สุดในร้านถูกผสมเทรวมกันในแก้วเชค ก่อนที่เขาจะเริ่มเขย่าด้วยแรงอันน้อยนิด ผมยอมรับว่าผมรู้สึกอดสูกับท่าทางเขย่าที่ดูเก้งก้างเหล่านั้น จนอดไม่ได้ที่ผมจะยื่นมือขอแก้วเชคมาเขย่าเอง
“อะไรครับ?”
“เดี๋ยวทำเอง”
“ไม่ได้ครับ ถ้าผู้จัดการมาเห็นผมคงถูกไล่ออกที่ให้ลูกค้ามาทำเครื่องดื่มเอง”
“ผมอยู่เขาไม่ไล่คุณหรอก”
“ถึงคุณจะใหญ่มาจากไหน แต่ไม่ได้หรอกครับ…ร้านนี้เห็นผู้จัดการบอกว่าเจ้าของโหดมาก ผมไม่อยากเสี่ยง” ในประโยคหลังเด็กหนุ่มคนนั้นพยายามพูดให้เสียงเบาที่สุด
ซึ่งมันทำให้ผมชะงัก…เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่รู้ว่าผมคือใคร
“ไม่ไล่ออกหรอก…ผมสัญญา”
ผมจ้องด้วยสายตาที่หนักแน่นเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มเพื่อเป็นการทำสัญญาให้เขาเชื่อมั่นในตัวผม
เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาก่อนที่จะยื่นแก้วเชคมาให้ ผมสอนเขาเขย่าแก้วเชคและเริ่มทำให้ดูในทันที ผมเห็นสายตาของเขาจับจ้องมาด้วยสายตาที่เป็นประกายในความกระหายใคร่รู้ จนกระทั่งมีเสียงของหญิงวัยกลางคนตะโกนด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้แผ่วเบาที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกในร้าน
“นี่เธอทำอะไร! ให้คุณ-”
ผมรีบหันหน้าไปมองหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้จัดการร้านให้หยุดพูด ผมไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มคนนี้รู้ว่าผมคือใคร ซึ่งก็เหมือนว่าเธอจะเข้าใจในความหมายของผม เธอจึงเพียงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาตีแขนเด็กหนุ่มคนนั้น
“ไม่ต้องไปว่ามันหรอก…ผมเป็นคนขอทำเอง”
“แต่คุณคะ-”
หญิงวัยกลางคนทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ผมจึงบอกเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้เธอเดินออกไปคุยกับผมที่อื่น เมื่อผมสังเกตว่าที่ตรงนี้ลับตาเด็กหนุ่มคนนั้นมากพอแล้ว ในขั้นแรกผมได้ตำหนิเธอที่รับคนโดยไม่บอกผม ซึ่งคนที่เธอรับมาฝีมือก็ไม่ได้เรื่อง
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณเดวิด ตอนนั้นดิฉันไม่ทันคิด คิดแค่ว่าน่าจะพอสอนได้อยู่”
“แล้วคุณคิดจะรับใครก็ได้มาสอนแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ? แล้วลูกค้าผมล่ะ?”
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ดิฉันสงสารเลยรับน้องมัน ตอนแรกดิฉันกะให้น้องมาฝึกตอนวันที่ไม่ค่อยมีลูกค้า หรือไม่ก็มาฝึกตอนกะดึก ๆ ค่ะ”
“คุณคิดว่าที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์เหรอ?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งของผมทำให้หญิงวัยกลางคนถึงกับก้มหน้าสำนึกผิด
“งั้นดิฉันจะไล่เขาออกค่ะ”
“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไล่มันออก”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นแล้วทำหน้าไม่เข้าใจ
“หลังจากนี้คุณก็คอยสอนมันแล้วกัน”
“ได้เลยค่ะ! หลังจากนี้ดิฉันจะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีกแน่นอนค่ะ” เธอค้อมตัวต่ำ
“แล้วอีกอย่าง…ห้ามบอกมันว่าผมเป็นใคร”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพร้อมที่จะเอ่ยคำถาม
“แค่ทำตามที่ผมบอก” ผมย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทุกคำ
“ผมคงโดนไล่ออกจริง ๆ แล้วใช่ไหมครับ?”
เด็กหนุ่มคอตกเหมือนกระต่ายหูลู่ ในขณะที่ผมเพิ่งเดินกลับมานั่งที่เดิมหลังจากที่ไปคุยกับผู้จัดการร้านเสร็จ
“ก็ผมสัญญาแล้วไง”
เด็กหนุ่มหนูตั้งขึ้นในทันที เขากลับมาเหมือนกระต่ายน้อยที่ดีใจยามเมื่อได้แครอท
“แสดงว่าผมก็ไม่โดนไล่ออกเหรอ?”
ผมเพียงยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“โห! แสดงว่าคุณนี่เส้นใหญ่จริง ๆ นะเนี่ย…คุณเป็นใครเหรอ?”
คำถามที่ฟังดูไร้เดียงสาทำให้ผมหัวใจเต้น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกรักใคร่แต่เพราะผมกำลังคิดคำโกหกไม่ทัน ตอนนี้ผมก็คงไม่ต่างไปจากจิ้งจอกเฒ่าแล้วสินะ
“ผมเป็นบอร์ดีการ์ดให้เจ้าของร้านนี้”
กระต่ายหนุ่มเบิกตาโพง
“ถามแต่ผม แล้วน้องชื่ออะไร?”
“ผมเจมส์ครับ…แล้วพี่ชื่ออะไร?”
“ผมกร” ผมโกหกออกไปอย่างไม่ทันคิด
“ห้ะ! หน้าฝรั่งขนาดเนี่ยนะ?”
ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมกำลังข่มความเลิ่กลั่กของผมอยู่
“พูดมาก…ไหนเครื่องดื่มผม?”
เจมส์เกาศีรษะพร้อมกับทำตาหยีอีกครั้งก่อนที่จะหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มมาให้ เครื่องดื่มสีทองที่มีอบเชยวางอยู่บนขอบแก้ว ผมค่อย ๆ จิบมันอย่างบรรจง
“เป็นไงบ้างครับ?”
“ไม่ได้เรื่อง!”
ในคืนนั้นผมอาสาขับรถไปส่งเจมส์ที่บ้าน ในตอนแรกเขาพยายามปฏิเสธ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากลัวผมหรือเขาเกรงใจกันแน่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมไปกับผมแต่โดยดี เนื่องจากรถประจำทางที่เขารอมาเกือบชั่วโมงมันยังไม่มาถึงสักที เจมส์เป็นคนพูดมากมากว่าที่ผมคิด ตลอดทางกลับบ้านเขาพูดถึงชีวิตเขาไม่หยุดปาก ผมเดาว่าเขาคงจะเป็นเด็กยากจนที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง เขาเล่าว่าเขาทำงานตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเขาขัดสนเพียงใด จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้คนเดียว เพียงเพราะเขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่และเขาไม่อยากจะเป็นภาระของพ่อแม่อีกแล้ว
ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องที่เขาเล่ามันมีจุดประสงค์เป็นสิ่งใด หรือเขาเห็นว่าผมอยู่ในจุดที่พอจะเลี้ยงดูเขาได้ เขาจึงเล่าเรื่องของตัวเองออกมาเพื่อขอความเห็นใจ แต่ถ้าจะให้ผมตัดสินจากประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาเกือบ 50 ปีของผม และประสบการณ์ผ่านเด็กที่เข้ามาเพราะเงิน ผมสามารถบอกได้เลยว่าเด็กคนนี้ต่างจากเด็กคนอื่นอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ต่างมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ หรือทั้งหมดมันเป็นเพียงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการหาคนเลี้ยงแบบที่ผมยังไม่เคยพบก็เท่านั้น ผมรู้แต่ว่าในขณะที่เขาเล่า ผมไม่สามารถจับความเสียใจหรือการก่นด่าโลกแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขาเล่าออกมาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสนุก เหมือนเขากำลังเล่นเกมที่ต้องผ่านแต่ละด่านไปให้ได้ จะหาว่าผมคิดเกินจริงไปก็ได้ แต่เด็กคนนี้เวลาที่ผมอยู่กับเขา ผมกลับได้รับแต่พลังงานด้านบวกอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครคนไหนมากมายเท่านี้ จนบางทีผมก็รู้สึกสว่างตามเขาไปด้วย อย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อนในโลกสีเทาของผม
รถของผมจอดตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ที่มันดูไม่มีอะไรนอกจากเป็นแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองนี้ ป้ายชื่อที่บ่งบอกถึงสถานที่แห่งนี้เกินครึ่งอยู่ภายใต้สนิมเขอะ
“พี่ส่งผมตรงนี้ก็ได้ครับ”
ผมพยักหน้า พร้อมกับส่งเงินปึกหนึ่งให้กับเจมส์
“อะไรครับ?”
“ผมให้”
“ไม่รับครับ”
ผมตกใจที่ผมโดนปฏิเสธการให้เงินจำนวนมากขนาดนี้ ก่อนที่เจมส์จะเปิดประตูก้าวลงออกจากรถ
“รับไว้เถอะถือว่าเป็นทิปส์ที่นั่งคุยกับผม”
“ถ้าพี่อยากให้ทิปส์ผมพี่ก็มาร้านบ่อย ๆ สิครับ ถ้าร้านได้เงินเยอะ เดี๋ยวเขาก็แบ่งเงินเพิ่มให้ผมเองแหละ”
เจมส์ยิ้มตาหยีอยู่ข้างนอกตัวรถ
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ…ฝันดีครับ”
“ฝันดี”
แล้วเจมส์ก็เดินหายไปในความมืด ส่วนผมเองก็ออกรถไปอย่างปกติที่สุด ทำไมทุกอย่างมันถึงปกติได้ขนาดนี้ ปกติจนผมแปลกใจ ไม่มีค่ำคืนหฤหรรษ์ให้รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนค่ำคืนโดดเดี่ยวของผมกับเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ แต่ผมก็ไม่รู้สึกเสียดายที่ไม่มีมัน ในทางกลับกันผมกับรู้สึกสบายใจและมีความสุขเสียด้วยซ้ำ
ผมขับรถต่อไปเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เมื่อผมสังเกตแถวนี้จริง ๆ มันกลับเป็นที่ที่ผมเคยคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว ใครบางคนที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล ใครบางคนที่ทำให้ผมรู้ว่าอำนาจกับเงินเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่จีรังมากที่สุด
ผมขับรถมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่เป็นขนาดที่กำลังพอ พอดีที่จะอยู่ในความทรงจำสีเทาของผมตลอดไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ