เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues

-

เขียนโดย Bluedoor

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.

  11 บท
  0 วิจารณ์
  3,198 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               “พี่เมามากแล้วนะ…กลับบ้านกันเถอะ”

               “ทำไมอยากให้กูรีบกลับ มึงนัดใครไว้เหรอ?”

               “จะบ้าเหรอ?”

               พี่ธีร์ยกแก้วเหล้าในขณะที่ดวงตาปรือยังมองมาที่ฉัน

               หัวใจฉันเต้นรัวเมื่อพี่ธีร์พูดประโยคนั้นออกมา ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่ธีร์รู้เรื่องโลกในความลับของฉันหรือไม่ เพราะจากเมื่อหลายคืนก่อนหลังจากที่จอห์นมาส่งฉันที่บ้าน ขณะที่ฉันกำลังแอบเข้าบ้านจากปกติที่พี่ธีร์จะเมาแล้วนอนอยู่บนโซฟา แต่วันนั้นเขากลับเดินขึ้นไปนอนบนเตียง ฉันจึงไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องของฉันหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้จริง ๆ เขาคงทำร้ายฉันไปแล้ว

               บาร์แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ผู้คนจอแจตัดกับแสงสีเขียวสลับกับสีแดงวิ่งวนอยู่ทั้งคืน และเช่นเคยฉันยังคงไม่สามารถละสายตาจากที่นั่งโซนเคาน์เตอร์บาร์ที่ฉันเจอจอห์นครั้งแรกได้ แม้ฉันจะรู้ว่ายังไงคืนนี้เราก็จะได้เจอกันอีก

               “มึงว่าความรักคืออะไร?”

               ฉันไม่เข้าใจคำถามที่พี่ธีร์เพิ่งถามฉันออกมา วันนี้เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ ทำไมอยู่ ๆ เขาก็พูดเยอะมากกว่าปกติ

               “ฉันไม่รู้หรอก” ฉันตอบออกไปง่าย ๆ อย่างนั้น

               “แล้วมึงเคยรักใครหรือเปล่า?”

               สายตาและรอยยิ้มของพี่ธีร์ทำเอาฉันไปต่อไม่ถูก ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ พี่ธีร์หยิบเอาบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะยื่นมาให้ ฉันหลุดจากความคิดตัวเองแล้วควานหาไฟแช็ก

               “มึงรักกูไหม?”

               ฉันจุดไฟแช็กให้ที่ปลายบุหรี่ของเขา ก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะค่อย ๆ ลุกลามเกิดเป็นดวงไฟสว่างวาบ แล้วพี่ธีร์ก็ค่อย ๆ เอนตัวอยู่ในท่าที่สบาย ก่อนที่เขาจะบรรจงสูบบุหรี่มวนนั้นอย่างแผ่วเบา และปล่อยกลุ่มควันก้อนใหญ่ออกมาปะปนกับหมอกควันในบาร์แห่งนี้

               “เฮ้ย! ตอบมาเถอะไม่ต้องกลัว”

               เขาย้ำเพื่อต้องการคำตอบด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง

               มือฉันสั่นจนอยากจะเอื้อมไปหยิบบุหรี่แทบใจจะขาด แต่มันก็มีหนึ่งความคิดที่สั่งให้ฉันหยิบเอาหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่มาเคี้ยวแทน

               “ฉันไม่รู้หรอก มันอธิบายยาก”

               “พูดมาเถอะ กูมีเวลาทั้งคืน”

               “ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ ฉันรู้ว่ามันไม่ดีกับฉัน” ฉันลอบมองสายตาของพี่ธีร์เพื่อดูการตอบโต้ของเขา แต่ก็เหมือนพี่ธีร์ยังคงนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูด “แต่พอนานไปฉันก็เริ่มชิน จนบางครั้งฉันรู้สึกว่ายิ่งพี่เย็นชาหรือยิ่งทำให้ฉันเจ็บมากเท่าไร มันก็ยิ่งเหมือนฉันได้เข้าใกล้คำว่ารักของพี่มากขึ้นเท่านั้น”

               พี่ธีร์ขำพรืดออกมาพร้อมกับควันบุหรี่ที่พุ่งออกมาเป็นสาย เหมือนเขากำลังขำกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดเรื่องความรัก

               “และฉันก็รู้ว่าถ้าฉันไม่มีพี่ ฉันคงอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้” ตอนนี้ฉันขำออกมาบ้าง “ก็ฉันมันเป็นเด็กใจแตกนี่เนอะ”

               “แล้วมึงไม่รู้สึกว่าเสียดายโอกาสที่จะมีความรักกับคนวัยเดียวกันบ้างเหรอ?” พี่ธีร์คีบบุหรี่อยู่ในมือ เขาถามด้วยสายตาหวานเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

               “มันก็น่าเสียดาย…แต่ฉันคิดว่าการอยู่ในโลกของความเป็นจริงมันสำคัญกว่า”

               ไม่ทันที่ฉันจะตั้งตัว พี่ธีร์ก็บีบเข้าที่แก้มของฉันและดึงฉันเข้ามาจูบอย่างหิวกระหาย

               ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในรถของพี่ธีร์ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพี่ธีร์อย่างที่ฉันไม่เคยรู้สึก มันอาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่พี่ธีร์ฟังฉันและเห็นว่าฉันมีตัวตน ตลอดเส้นทางฉันเอาแต่คิดเรื่องที่บาร์อยู่ในหัว จนกระทั่งฉันพาพี่ธีร์เข้านอนและเขาก็หลับไปด้วยอาการเมามายเหมือนเคย ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกันที่จอห์นขับรถมอเตอร์ไซค์มารับฉัน

               มันน่าแปลกเหมือนกันเวลาที่ฉันอยู่กับจอห์นมันคนละความรู้สึกกับเวลาอยู่กับพี่ธีร์ สำหรับจอห์นฉันรู้สึกว่าเราทั้งสองต่างโหยหาซึ่งกันและกัน ความอบอุ่นที่มีมันเหมือนเรากำลังอยู่ในความฝัน ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ ต่างจากความรู้สึกที่อยู่กับพี่ธีร์ที่เป็นเหมือนโลกของความเป็นจริง โลกที่ไม่สวยงามเหมือนในฝัน ทุกอย่างมันคือความโหดร้าย พี่ธีร์เป็นคนเดียวที่ฉันสามารถยึดไม่ให้ตัวเองหลงไปในโลกกว้าง เขาทำให้ฉันไม่โดดเดี่ยวท่ามกลางโลกที่ว่างเปล่า แต่ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องไล่ตามเขาอยู่เสมอ หรือไม่เขาก็จะเดินนำหน้าฉันอยู่ตลอด

               พวกเรามาจอดพักกันอยู่ที่จุดชมวิวแห่งหนึ่ง ที่ข้างหน้าเรามันคือหน้าผาที่สามารถเห็นทะเลที่อยู่เบื้องล่างได้ จอห์นพาฉันเดินต่อไปในทางที่รกชันที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดใกล้ ๆ บริเวณนั้น ระหว่างที่ฉันเดินตามหลังจอห์นฉันโดนหนามและกิ่งไม้พุ่มเตี้ย ๆ เกี่ยวตลอดทาง ในขณะเดียวกันพวกเราสองคนก็อยู่ภายใต้ฝุ่นที่มาจากดินที่ห้างผากจากการที่เมืองนี้ฝนไม่ตกมาเกือบ 4 เดือนแล้ว ทำให้ทุกครั้งเมื่อเราก้าวเท้าจะมีฝุ่นมหาศาลฟุ้งกระจายจนเรารับรู้ได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีแสงไฟใด ๆ เลยก็ตาม

               พวกเราเดินต่อกันไปจนจอห์นพาฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าผาหนึ่งซึ่งต่างจากที่แห่งแรกโดยสิ้นเชิง ที่นี่มันเป็นเพียงดินที่ไม่มีการปูพื้นซีเมนต์ใด ๆ แต่ความดิบเถื่อนนี้กลับทำให้ภาพที่ฉันเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าสวยงามจนไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ สวยงามจนไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้ ภาพทะเลอันมืดมิดได้ยินเสียงคลื่นซัดกระทบโขดหินเบื้องล่าง และดวงดาวนับร้อยที่เห็นได้ชัดเจนจนไม่น่าเชื่อว่าในเมืองนี้จะมีที่แห่ง               นี้อยู่ ที่ที่เหมือนความฝันของโลกความจริงอันโหดร้าย

               “โห! คุณเจอที่นี่ได้ไงเนี่ย?”

               ฉันพูดออกมาในขณะที่ฉันกำลังอ้าปากค้างตกตะลึงในความสวยของที่นี่

               “ตอนกลางคืนทุกที่มันคือที่ของผม”

               จอห์นตอบอย่างภาคภูมิใจ เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ค่อย ๆ เก็บทุกอณูของช่วงเวลา ในขณะที่ฉันเดินไปดูบริเวณโดยรอบและหยิบกล้องวิดีโอตัวโปรดของฉันออกมาถ่ายบรรยากาศทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เพราะที่นี่มันค่อนข้างมืด  ถึงแม้ว่ามันจะสวยงามแต่ก็มีความอันตรายซ่อนอยู่

               เมื่อฉันหันกลับมาก็เห็นจอห์นกำลังนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งราวกับว่านั่นคือที่นั่งพิเศษที่เขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทุกครั้งที่มา ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ

               “คุณชอบที่นี่ไหม?” จอห์นถาม

               “ชอบสิ! มันสวยมาก…เหมือนฝันเลย”

               “แล้วคุณเคยมีความฝันไหม?” จอห์นถามต่อ

               “ความฝันแบบไหน?...แบบเวลานอนหลับอะไรประมาณนี้เหรอ?”

               จอห์นหัวเราะออกมาด้วยคำตอบเชิงคำถามกวนประสาทของฉัน

               “ไม่ใช่!...ความฝันแบบ ครั้งหนึ่งคุณต้องทำมันให้ได้”

               ฉันยกกล้องวิดีโอที่อยู่ในมือขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา

               “ฉันอยากเป็นผู้กำกับ” แม้ว่าฉันจะเขินไม่น้อยเมื่อต้องพูดถึงความฝันของตัวเอง “เอาแบบเพ้อเจ้อที่สุดนะ ฉันอยากมีหนังเป็นของตัวเอง และฉันก็อยากไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย”

               จอห์นตกตะลึงในความฝันที่มันฟังดูบ้าสุด ๆ ของฉัน

               “แล้วทำไมต้องแคลิฟอร์เนียด้วย?”

               “ก็แคลิฟอร์เนียมันคือสวรรค์ของคนทำหนังไง…ฮอลลีวูด”

               “ฝันของคุณแม่งสุดยอด…เอ้อ! ผมจะถามคุณตั้งนานแล้ว คุณถ่ายวิดีโอพวกนี้ไปทำอะไร?”

               “เอาจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเวลาที่ฉันเป็นคนถ่ายวิดีโอฉันเหมือนเป็นพระเจ้า ที่จะคอยเลือกว่าอยากให้มีสิ่งใดอยู่ในโลกของฉันบ้าง”

               ฉันหันหน้าไปลอบมองใบหน้าของจอห์น และเห็นว่าเขากำลังสนใจในสิ่งที่ฉันพูดจากแววตาที่เป็นประกายของเขา แม้ความมืดกำลังปกคลุมเราทั้งสอง

               “แต่ทั้งหมดมันก็เป็นแค่ฝัน มันไกลจนมันเป็นได้แค่นั้น” ฉันมองตรงไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดแต่ปรากฏแสงดาวที่ฉายแสงตรงมาทางเรา

               “ผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณต้องทำได้”

               “ขอบคุณนะ” สายตาของเราสองคนประสานกันโดยบังเอิญจนฉันเผลอหลุดเข้าไปในสายตาหม่นของเขาอีกครั้ง “แล้วคุณล่ะ มีความฝันอะไร?”

               จอห์นละสายตาเขาเพียงก้มหน้าและตอบอย่างเรียบง่ายระคนกับความเศร้า

               “ผมไม่มีหรอก”

               “ทำไม?”

               “แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันยังยากเลย” เขาเงยหน้าขึ้นสบตา “จะมีเวลาไหนไปฝัน”

               ฉันเอื้อมมือไปกุมมือของจอห์นเพียงอยากให้เขารู้ว่าฉันยังอยู่ตรงนี้

               “แต่พอคิดไปคิดมามันก็มีอยู่อย่างหนึ่งนะ…ผมอยากตายให้เร็วที่สุด” เขาแค่นหัวเราะออกมาจากหยาดน้ำตาภายในจิตใจ

               “บางครั้งฉันก็เคยรู้สึกนะ”

               ฉันหยิบหมากฝรั่งรสสตอเบอรี่ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เพราะว่าอันที่ฉันกำลังเคี้ยวอยู่ตอนนี้มันจืดไปแล้ว ฉันยื่นหมากฝรั่งไปทางจอห์นแต่เขาก็ยิ้มปฏิเสธ ฉันค่อย ๆ แกะซองโลหะแวววาวของมันออก ก่อนที่จะนำหมากฝรั่งอันใหม่เข้าปาก

               “บางครั้งชีวิตมันก็โคตรเหนื่อย เหมือนเราพยายามทำให้มันดีขึ้นเท่าไร แต่สุดท้ายมันก็กลับไปแย่เหมือนเดิม…คุณรู้ไหมทำไมฉันชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง”

               “ทำไม?”

               ฉันหัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบ

               “เพราะฉันเคยอ่านเจอเขาบอกว่าหมากฝรั่งจะทำให้ลดความอยากบุหรี่ได้ แต่สุดท้ายชีวิตมันก็ห่วยจนในที่สุดฉันก็กลับไปสูบบุหรี่เหมือนเดิม…บางครั้งฉันเลยสูบบุหรี่ไปด้วยเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยเลย”

               จอห์นหัวเราะร่าออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของจอห์น เวลาเขายิ้มมันเหมือนฉันกำลังส่องหน้าต่างบานหนึ่งที่มีแสงสว่างส่องผ่านความมืดที่อยู่ห่างไกลลิบ ๆ

               “เรื่องจริงนะคุณ หัวเราะทำไมเนี่ย?”

               “ขอโทษ ๆ ” จอห์นยังคงหัวเราะและพยายามยกมือขึ้นมาปัดป้องรอยยิ้มของเขา

               “แต่พอวันหนึ่ง ฉันก็มาคิดได้ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกันนะที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อคอยดูว่าโลกมันจะทำอะไรห่วย ๆ กับเรามากแค่ไหน…อารมณ์เหมือนอยู่ให้โลกช้ำใจเล่น ว่าสุดท้ายกูยังไม่ตายนะเว้ย!”

               “คุณรู้ตัวปะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่เท่ห์มากกว่าผู้ชายอย่างผมอีกนะ”

               ฉันค่อย ๆ เอนตัวลงซุกอยู่ที่แผงอกของจอห์น ความอบอุ่นของเราทั้งสองคนมันทำให้คืนนี้สวยงามเป็นพิเศษ จอห์นค่อย ๆ ลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาจนเหมือนนั่นเป็นบทเพลงที่ขับกล่อมให้คืนนี้พวกเราสองคนได้อยู่ในโลกแห่งความฝันโดยสมบูรณ์

               “แต่ถึงอย่างไงฉันก็อยากให้คุณมีชีวิตต่อนะ”

               ฉันเผลอพูดออกมากึ่งละเมอยามที่ฉันอยู่ในวงแขนของเขา

               ไม่กี่นาทีต่อมาพวกเราสองคนก็อยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่เป็นเหมือนพรมวิเศษของเราอีกครั้ง พรมวิเศษที่พาพวกเราให้ไปเจอโลกใบใหม่ในโลกใบเก่า บางครั้งสายตาของเราเมื่ออยู่กับสิ่งใดนานเกินไป เราก็จะเกิดความชินชาจนลืมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในที่สุด จนกระทั่งพวกเราเจอใครบางคนที่จะทำให้ความชินชาเหล่านั้นถูกหยิบยกขึ้นมามองในมุมมองใหม่ มุมมองที่มีเขาอยู่เคียงข้าง

               ฉันกับจอห์นกลับมาเดินพลุกพล่านในเมืองแห่งไฟนีออนสีเขียวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จอห์นรับบทเป็นนักแสดงหลักในภาพยนตร์ของฉัน ทุกครั้งที่ฉันยกกล้องขึ้นมา ฉันจะเห็นแววตาเขินอายเหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่ประสากับโลกอยู่เสมอ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ฉันอยากจะถ่ายเขาเก็บไว้ ฉันอยากเห็นสายตานั้น รอยยิ้มนั้นอยู่ในโลกของฉันตลอดไป

               พวกเราทำเรื่องที่บ้าบอกันจนเหมือนว่าทั้งเมืองคือสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่ที่มีหัวใจเด็กอย่างพวกเรา เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ เมาบาร์นู้น เกือบมีเรื่องบาร์นี้ จนสุดท้ายพวกเราก็มาหยุดนั่งอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่ทุกครั้งที่เรากินชีวิตเราจะสั้นลง 24 ชั่วโมงเช่นกัน

               “คุณแม่งโคตรบ้า!”

               จอห์นพูดกับฉันในขณะที่แฮมเบอเกอร์ยังอยู่เต็มปาก

               “อะไร!?”

               ฉันแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งได้ทำลงไป ฉันเดาว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กำลังวิ่งอยู่ในกระแสเลือดของฉันมากเกินไป ไม่รอช้าฉันรีบหยิบผลงานชิ้นโบว์แดงของฉันขึ้นมาโชว์ ซึ่งมันคือ วิทยุสื่อสารของตำรวจนายหนึ่งที่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปขโมยมาทำไม เพียงแค่คำท้าของจอห์น

               แต่ในขณะที่ฉันกำลังชูสิ่งนั้นก็มีเสียงจากอีกฝั่งดังมาจากวิทยุสื่อสารพอดี ฉันตกใจจนแทบจะทำมันตก

               “เชี่ย!”

               “คุณแม่ง! แล้วทำอย่างไงต่อ?” จอห์นพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน

               ฉันนึกอยู่สักพัก ก่อนที่จะมีไอเดียหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ไม่รอช้าฉันหันไปหยิบปากกาบนโต๊ะกับกระดาษทิชชู่ที่อยู่ในมือของจอห์น ฉันก้มหน้าเขียนข้อความบางอย่าง

               จอห์นถึงกับหลุดขำจนแทบจะสำลักแฮมเบอเกอร์ที่อยู่ในปากจากข้อความที่ฉันเขียนขอโทษตำรวจคนนั้น แต่เป็นคำขอโทษที่ใครอ่านก็รู้สึกได้ว่าคนเขียนต้องไม่ปกติ และคนเขียนคงประกอบสร้างมาจากความกวนประสาททุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน

               ฉันเดินออกไปนอกร้านในขณะที่สายตาของจอห์นก็ยังคงจ้องมองฉันผ่านทางกระจกบานใหญ่จากภายในร้าน วิทยุสื่อสารกับข้อความกวนประสาทอยู่ในมือฉัน ก่อนที่ฉันจะหาจุดเหมาะที่จะวางวิทยุสื่อสารนั่นเพื่อรอเจ้าของมาพบ และนั่นก็คงเป็นอีกไม่นาน ฉันวางวิทยุสื่อสารไว้ข้างถังขยะหน้าร้าน ก่อนจะนำเอาหมากฝรั่งที่กำลังเคี้ยวมาแปะกับกระดาษพร้อมประกบมันกับวิทยุสื่อสารก่อนจะวางทิ้งไว้

               จอห์นนั่งขำตัวงอเมื่อเห็นฉันทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้น จนฉันเดินกลับเข้าไปในร้านและหย่อนตัวนั่งลง

               “คุณชอบให้ฉันทำอะไรบ้า ๆ คนเดียวเลย”

               “อ่าวก็นึกว่าคุณชอบ”

               ฉันเกร็งหน้าแกล้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ก็เหมือนว่าจอห์นจะไม่ได้ตึงเครียดไปกับฉัน เขากลับขำหนักมากขึ้นกว่าเดิม

               “ไม่ได้! คุณต้องทำบ้าง”

               “ฮะ! ทำอะไร?”

               “ก็ทำแบบที่ฉันทำ”

               จอห์นนิ่วหน้าแล้วเบือนหน้าหนีทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด

               “อะไรคุณ!”

               จอห์นยังคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฉันต่อไป

               “อะ ๆ คุณว่าฉันสวยไหม?”

               “ถามอะไรเนี่ย!”

               “ตอบมาเถอะ”

               “สวย” จอห์นพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความเขิน

               “อะไรนะ?”

               คราวนี้ถึงตาฉันทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดบ้าง ซึ่งนั่นมันก็ทำให้จอห์นรู้ได้ในทันทีว่าฉันกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ จอห์นส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางฉันก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันจะนึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้า จอห์นลุกขึ้นก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แล้วตะโกนออกมาพร้อมกับเต้นร่าราวกับเด็กน้อย

               “คุณสวยที่สุดเลย! โรสคุณสวยที่สุดเลย! สวย! สวย!...สวย!”

               ทุกสายที่อยู่ในร้านหันกลับมาจ้องจอห์นเป็นตาเดียว ทั้งลูกค้าที่นั่งอยู่เพียง 2 โต๊ะในร้าน รวมถึงพนักงานแคชเชียร์จนกระทั่งพ่อครัวที่อยู่หลังร้านก็ยื่นหน้าออกมาดู  ฉันไม่รอช้าที่จะหยิบเอากล้องวิดีโอขึ้นมาถ่ายการกระทำที่บ้าระห่ำของจอห์นอย่างไม่เขินอายสายตาของใครทั้งสิ้น…คงจะจริงที่เขาว่าตอนกลางคืนคนมักจะกลายเป็นบ้า

               แต่ทุกเสียงก็ต้องหยุดลงโดยเฉพาะกับจอห์น เมื่อชายวัยกลางคนที่ค่อนไปทางเกือบชรา ผลักประตูด้วยสีหน้าตื่น  เหงื่อของเขาแตกพลั่กจนเสื้อเชิ้ตขาวเปียกจนเห็นมัดกล้าม

               “เดวิด!”

               เสียงจอห์นพึมพำอยู่กับตัวเองก่อนที่เขาจะลงมากจากโต๊ะยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างล่าง ซึ่งเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ทำให้ฉันแทบจะสร่างในทันที ฉันเก็บกล้องวิดีโอลงและลุกขึ้นยืนอยู่ข้าง ๆ จอห์น แล้วชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาจอห์น

               “นายหายไปไหนมา?”

               จอห์นไม่ได้พูดอะไรแต่ฉันก็พอรู้ว่าตอนนี้เขาคงกำลังหวาดกลัว เพราะตัวเขาเริ่มสั่นพร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นจนมันแทบจะมีเลือดซิบ  ชายเกือบชราคนนั้นกำลังจะเอื้อมมือมาคว้ามือของจอห์น แต่จอห์นก็รีบสะบัดมือชายคนนั้นทิ้งไป ก่อนที่เขาจะหันมากุมมือฉัน ชายเกือบชราอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า และในอีกไม่กี่อึดใจ จอห์นก็รีบดึงมือฉันแล้ววิ่งออกจากร้านนั้นไปโดยที่เขาเกือบชนชายชราคนนั้นล้มลง

               พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว จอห์นดึงมือฉันเข้ามากอดอยู่ที่เอวของเขา เหมือนกับว่าเขาต้องการให้ฉันกอบกุมเขาไว้ในยามที่เขาแทบจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ที่มันพร้อมปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านเราทั้งสองคนในคืนนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา