เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“มึงคิดว่ากูโง่เหรอ?”
ผมคงจะดูหน้าโง่มากสินะ มันเลยกล้าทำกับผมแบบนี้ ผมจ้องมองหญิงสาวในกลางดึกคืนหนึ่ง เธอแต่งตัวสวยแอบย่องเข้าบ้านมาตอนใกล้รุ่งสางหลังจากที่เธอหนีออกไปข้างนอกยามที่ผมหลับ
โรสไม่ได้พูดสิ่งใดนอกจากก้มหน้ามองพื้นอยู่อย่างนั้น และมันก็ยิ่งทำให้ผมประสาทเสียมากจนผมอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการสั่งสอนเธอ ผมรีบเดินดิ่งเข้าไปหาโรสด้วยอาการเซเล็กน้อยจากการที่ผมยังไม่สร่างเมาดี
“กูถาม!?”
มือของผมกำไปที่กระจุกเส้นผมของโรส เธอยังคงเงียบแม้ว่าผมจะเห็นน้ำตาของเธอคลอออกมาเล็กน้อย
“พี่อยากให้ฉันตอบว่าอะไร?”
เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ และมันก็ยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้น ผมกระชากผมของเธอแล้วเหวี่ยงเธอลงบนพื้น โรสยังคงฟุบอยู่บนพื้นและก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
“มึงไปไหนมา!?”
นางแพศยาตัวน้อยยังคงปิดปากเงียบ การที่เธอทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดมันยิ่งปลุกไฟในตัวผมให้ลุกโชด ผมรู้ได้เลยว่าตอนนี้หน้าผมคงจะแดงเพราะเลือดที่สูบฉีดทั้งจากความเมาและความโกรธที่ผมถูกคนภายใต้ปกครองของผมท้าทายอำนาจ ผมก้าวเท้ายาวเพียงหนึ่งก้าวก็ถึงหญิงสาวคนนั้น แล้วผมก็ใช้มือเพียงข้างเดียวกำแน่นเข้าที่ลำคอของเธอ พร้อมกับยกตัวเธอลอยขึ้นอย่างง่ายดาย โรสดิ้นทุรนทุรายในขณะที่เท้าทั้งสองข้างของเธอแกว่งอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าหวานตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยรอยแผลและสีหน้าของความเจ็บปวด ตาเธอเหลือกมองตรงมาที่ผม ตอนนี้เลือดจากหน้าผากของเธอกำลังไหลย้อยลงมาจนเกือบจะเข้าดวงตา โรสช่างสวยงามเหลือเกินแม้แต่ตอนที่กำลังจะตาย ความเจ็บปวดกลายเป็นเหมือนเครื่องสำอางที่เติมแต่งให้เธอสวยงามจนยากที่จะลืมเลือน
แต่อยู่ ๆ ในห้วงความคิดของผมก็ผุดภาพใบหน้าหญิงสาวอีกคนที่กำลังจะหมดลมหายใจมองตรงมาทางผม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด กับเสียงกรีดร้องที่ดังโหยหวนสะท้อนไปมาในความทรงจำเหมือนมันไม่มีวันจบสิ้น และด้วยสิ่งนั้นเองที่มันทำให้ผมได้สติ ผมรีบปล่อยมือออกจากคอของโรส ก่อนที่เธอจะตกลงมานอนกองอยู่บนพื้น แล้วสูดเอาอากาศที่เธอต้องการมากที่สุดเข้าปอดเพื่อเอาตัวรอด
ผมเหมือนดั่งตกอยู่ในภวังค์ของความทรงจำอันโหดร้าย ก่อนที่ผมจะเดินอย่างสิ้นสติขึ้นมาบนห้องนอนชั้นสอง ผมเดินตรงต่อไปที่ระเบียง ที่ตอนนี้มันใกล้จะเช้าแล้ว ท้องฟ้าสีดำเริ่มมีแสงสีแดงอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เช่นเดียวกับท้องฟ้าในวันนั้น วันที่ผมไปพบเธอคนในความคิด ทำไมผมถึงยังไม่สามารถหลุดพ้นจากฝันร้ายนี่ไปได้สักที ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โยกริมระเบียง ก่อนที่จะถูกคลื่นของความทรงจำพัดกระหน่ำจนผมดำดิ่งลงไปสู่เบื้องล่างของมหาสมุทรแห่งความทรงจำ
“คุณต้องเลือกระหว่างฉันกับงานบ้า ๆ นั่น…ถ้าคุณเลือกฉัน เราก็ยังอยู่ด้วย แต่ถ้าไม่ คุณก็แค่เดินออกจากประตูนั่นไป”
เสียงของเมษาดังก้องอยู่ในหัวของผมในค่ำคืนแห่งทางแยกของชีวิต ผมยังจำดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาแต่สายตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวได้ดี ผมยอมรับเลยว่าตอนนั้นในหัวของผมมันมีแต่ความฝันที่จะได้เป็นคนยิ่งใหญ่ และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ผมกำลังแบกไว้ ถ้าคืนนั้นผมไม่ไปตามนัดกับพวกพ้องของผม เดวิดคงเอาผมตายแน่ และผมอาจจะทำให้แผนการขนยาในครั้งนั้นพังไม่เป็นท่า
“ฉันเหลือคุณเพียงคนเดียวนะ”
เมษาร้องไห้ออกมาจนหมดคราบผู้หญิงที่แข็งแรงคนก่อนหน้านี้ไปจนหมด ผมรู้ว่าผมคือคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกของเธอ แต่ผมก็รู้เหมือนกันว่าถ้าผมไม่ไปคืนนี้ครอบครัวของเราคงจะตกอยู่ในอันตราย ผมจึงตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกประตูไป ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ฟูมฟายของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดดังขึ้นอยู่ข้างหลัง เธอเรียกชื่อผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่เธอจะล้มลงนอนตัวงออยู่บนพื้น
ผมตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปหาเธอ เมษายังคงเอามือกดท้องเธอไว้อยู่อย่างนั้น ผมรีบพาเธอไปโรงพยาบาลก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายเกินไป และในคืนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าผมกำลังจะได้เป็นพ่อคน พ่อที่ต้องปกป้องลูกให้พ้นจากภัยอันตรายทุกอย่าง ดังนั้นผมจึงรู้ได้ในทันทีแล้วว่ามันถึงเวลาที่ผมต้องวางมือจากวงการสีเทานี้เสียที ผมจะไม่มีวันเอาครอบครัวไปเสี่ยงเป็นอันเด็ดขาด ผมจึงลาออกจากการเป็นมือขวาของเดวิด แล้วผมก็ไม่ได้กลับเข้าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก จนกระทั่งไม่กี่เดือนต่อมาผมก็ได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำ
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายในขณะที่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียง ในตอนแรกผมก็ยังสับสนว่าผมมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เพราะเท่าที่ผมจำได้เมื่อคืนผมออกไปนั่งที่เก้าอี้โยกที่ระเบียงแล้วผมก็เผลอหลับไปตอนใกล้รุ่ง แต่เมื่อผมลองมาไตร่ตรองคิดทบทวนดูอีกทีผมก็คิดว่านั่นคงจะเป็นโรสที่พาผมกลับเข้ามานอนบนเตียงเหมือนทุกครั้ง
หลังจากที่ผมอาบน้ำเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอกเสร็จ ผมก็ลงมาข้างล่าง ก่อนที่จะเห็นโรสกำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับผมอย่างเงียบเชียบ เธอค่อย ๆ ขยับอย่างเชื่องช้าคงอาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการทำร้ายร่างกายของผมเมื่อคืน ผมรู้ว่ามันผิดแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อการกระทำนั้นมันมาจากตัวผมอีกคนที่ผมเองก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้
“วันนี้กูจะออกไปข้างนอกนะ…อยากได้อะไรไหม?”
โรสยังคงเงียบพลางพยายามกินขนมปังที่อยู่บนโต๊ะอย่างช้า ๆ เท่าที่ร่างกายที่บอบช้ำของเธอจะสามารถทำได้ในตอนนั้น
ผมวางแก้วกาแฟลง แล้วยื่นมือมาสัมผัสกับใบหน้าของเธอ โรสสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือที่เย็นเฉียบของผมสัมผัสเข้ากับผิวบาง ผมค่อย ๆ เชยคางของเธอขึ้นเพื่อสำรวจดูผลของการกระทำของผมบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของเธอ
“ขอโทษ”
ผมเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาจากสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในส่วนลึกของผม ก่อนที่โรสจะตอบผมเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก ผมค่อย ๆ พยุงเธอลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก แล้วผมก็เดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลจากตู้ยาสามัญประจำบ้านมาบรรจงทำแผลบริเวณใบหน้าของโรส ในระหว่างที่ผมนำสำลีชุบเบตาดีนเช็ดไปที่แผล โรสก็สะดุ้งอยู่บ่อยครั้ง คงอาจจะมาจากการที่ผมเผลอหนักมือมากเกินไป
“ครั้งหน้ากูจะพยายามให้มากกว่านี้นะ”
ผมเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกไป ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคำว่า ‘พยายาม’ หมายถึงพยายามสิ่งใดกันแน่ ผมเพียงอยากพยายามไม่ให้ใครอีกคนในร่างของผมออกมาอีกเหมือนในเมื่อคืน เพราะเขาทั้งโหดเหี้ยมและเดรัจฉานอย่างที่ผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
“ฉันเข้าใจค่ะ…ฉันไม่โกรธคุณหรอก”
โรสเงยหน้ามาสบตากับผม เธอช่างอ่อนหวานและดีเกินไปสำหรับผมจริง ๆ ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ทำแผลให้กับเธอจนเสร็จ ผมก้มดูนาฬิกาก็รู้ได้ว่าผมต้องออกไปจากบ้านได้แล้ว ไม่อย่างนั้นผมจะไปไม่ทันใครบางคนที่ผมตั้งตารอเจอมาทั้งอาทิตย์
ผมหยิบเงินปึกใหญ่ออกมาวางอยู่บนโต๊ะ จนผมรู้ว่ามันจะมากพอที่จะไม่ทำให้โรสต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก แล้วผมจะออกจากบ้านไป
ในตอนบ่ายแก่ ๆ ผมก็มาอยู่ที่หน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง โรงเรียนที่สร้างขึ้นมาด้วยหินนับร้อยนับพันก้อนจนรู้สึกถึงความแข็งแรงเหมือนเป็นปราการป้องกันความโหดร้ายจากโลกภายนอกไม่ให้สามารถเข้ามาทำร้ายสิ่งสดใสที่อยู่ภายในได้ สายตาของผมยังคงจับจ้องหาใครบางคนที่ผมกำลังเฝ้ารอมาทั้งอาทิตย์ ผมเดินเลาะขอบรั้วของโรงเรียนแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่รั้วเป็นเพียงซี่เหล็กบาง ๆ พอให้เห็นคนที่อยู่ภายใน
“คุณลุง!”
เสียงเด็กผู้ชายฟังดูเจื้อยแจ้วดังลอดรั้วเหล็กออกมา ไม่ทันไรเด็กน้อยคนนั้นก็วิ่งตรงเข้ามาหาผม โดยมีพื้นหลังเป็นภาพของสนามเด็กเล่นไร้ผู้คน
“ทำไมวันนี้คุณลุงใจดีมาช้าจังฮะ”
“ลุงติดธุระนิดหน่อย…เอ๋! อาทิตย์ที่แล้วใครบอกอยากได้ลูกอมชิ้นใหญ่ ๆ น้า”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เล็กกว่าความเป็นจริง
“ผมฮะ ๆ”
เด็กน้อยยิ้มตาหยีกระโดดเหยง ๆ ด้วยความดีใจ จนผมเองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมหยิบลูกอมที่อยู่ข้างหลังออกมาให้กับเด็กคนนั้น
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เด็กหนุ่มเล่าถึงเรื่องของเขาเป็นตุเป็นตะ โดยความเท่าที่ผมจับใจความได้จากการที่ผมหลุดสมาธิเพราะความน่ารักของเขา เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่าช่วงนี้เขากำลังซ้อมเต้นเพื่อจะทำการแสดงใหญ่ของโรงเรียนเป็นครั้งแรก และเขาก็ได้เป็นคนเต้นนำด้วย
ผมยอมรับเลยว่าตาของหนุ่มน้อยคนนี้เหมือนผมมากจริง ๆ เหมือนจนผมรู้สึกว่าผมกำลังส่องกระจกของกาลเวลาที่ฉายให้ผมเห็นตัวเองตอนเด็กอีกครั้ง โดยเรื่องทั้งหมดนี้มันใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเด็กน้อยคนนี้เขาเป็นลูกชายของผม ‘ซัมเมอร์’ ลูกชายที่ผมไม่มีโอกาสที่จะแสดงตัวว่าเป็นพ่อได้ เพราะจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ถูกกีดกันไม่ให้มาเจอหน้าลูกอีก จนผมต้องกลายเป็นคุณลุงแปลกหน้าที่แอบมาดักเจอแกทุกวันพฤหัสบดีไปโดยปริยาย เพราะมันเป็นวันที่โรงเรียนของซัมเมอร์จะเลิกเร็วมากกว่าทุกวัน จนทำให้เมษาภรรยาเก่าของผมเธอเธอยังทำงานไม่เสร็จ ซัมเมอร์จึงต้องรอผู้เป็นแม่จนกว่าจะถึงบ่าย 3 โมง และในช่วงเวลานี้เองที่ผมจะพอแอบมาเจอหน้าซัมเมอร์ได้
“แล้วคุณลุงจะมาดูผมเต้นไหมฮะ?”
“ถ้าลุงมีโอกาสนะ”
“ผมอยากให้ลุงมาดูผมเต้นที่สุดในโลกเลย”
“นี่คุณ!”
ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างพยายามไม่ให้เสียงของเธอดังมากเกินไป ซึ่งมันก็เป็นเสียงของ ‘เมษา’ผู้หญิงที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ เมษายืนหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง ผมรู้ว่าเธอไม่พอใจนักที่มาเจอผมอยู่ที่นี่
“ซัมเมอร์กลับบ้านกัน” เมษาน้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าว
“คุณแม่ ให้คุณลุงไปดูผมเต้นด้วยได้ไหมฮะ”
“ซัมเมอร์ไปเจอแม่ที่ประตูใหญ่”
ในขณะที่เด็กน้อยซัมเมอร์เดินหน้ามุ่ยไปรอเจอผู้เป็นแม่ที่ประตูใหญ่ทางเข้าออกของโรงเรียน ผมจึงไม่รอช้าที่จะใช้โอกาสนี้พูดกับภรรยาของผมให้รู้เรื่อง
“แกก็เป็นลูกของผมเหมือนกันนะ”
เมษาดูไม่มีท่าทีจะฟังผม เธอออกตัวเดินอย่างกับว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ ผมจึงคว้ามือเธอไว้เผื่อให้อย่างน้อยเธอก็หันมามองหน้าผมสักนิด
“คุณเห็นสภาพของตัวเองตอนนี้ไหม คุณไม่สมควรเป็นพ่อใครทั้งนั้น”
ผมเงียบเพราะรู้ว่าสิ่งเมษาเพิ่งพูดมามันเป็นความจริง ผมมันเป็นแค่ตาแก่ขี้เมาที่ชีวิตพังไม่เป็นท่า ผมรู้ว่าในสายตาของเมษาตอนนี้ผมมันก็ไม่ต่างไปจากเศษสวะชิ้นหนึ่งเพียงเท่านั้น
“ถ้าคุณรักซัมเมอร์คุณอยู่ห่าง ๆ แกไว้ดีกว่า”
ตอนนี้เมษาเดินห่างจากผมไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ไกลจนเหมือนผมไม่มีวันเอื้อมมือคว้าเธอไว้ได้อีก ในระหว่างนั้นจู่ ๆ ก็มีลมหอบใหญ่พัดมา ผมพยายามผลักก้อนคำพูดหนึ่งออกจำลำคอ แล้วเปล่งมันออกมาแข่งกับเสียงลมนั่น
“ให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม?”
เมษาหยุดเดิน แล้วลมหอบใหญ่ก็ทำให้ผมยาวของเธอกระจัดกระจาย ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ นำมือข้างหนึ่งจัดผมของเธอ โดยนำปอยผมพาดไว้อีกฝั่งหนึ่งอย่างตั้งใจ เผยให้เห็นหูที่ปราศจากใบหูและรอยแผลเป็นก่อนที่เธอจะเดินจากไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ