เมืองในไฟนีออนสีเขียว Daddy Issues
-
เขียนโดย Bluedoor
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 08.55 น.
11 บท
0 วิจารณ์
5,014 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ คุณคิดว่าสิ่งใดที่ทำให้คนเหลวแหลกอย่างฉันยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันยอมรับว่าเมื่อก่อนมีหลายครั้งที่ฉันอยากจะฆ่าตัวตายให้พ้นจากชีวิตที่เส็งเคร็ง ชีวิตที่เหมือนว่าพระเจ้าจงเกลียดจงชังฉันโดยเฉพาะ ฉันไม่เคยควบคุมเรื่องใดในชีวิตของตัวเองได้เลย จนกระทั่งฉันค้นพบโลกใบใหม่ที่มันทำให้เข้าใกล้กับการเป็นพระเจ้าได้มากที่สุด ในวันเกิดครบ 20 ปี พี่ธีร์ได้ซื้อกล้องถ่ายวิดีโอมาให้หลังจากที่ฉันมักจะคะยั้นคะยอขอทุกครั้งหลังจากที่เราดูภาพยนตร์ด้วยกัน ฉันหลงไหลความรู้สึกเมื่อได้ดูภาพยนตร์มันเหมือนกับว่าเราได้หลุดไปอยู่อีกโลกใบหนึ่ง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็มักถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ตั้งแต่การถ่ายชีวิตประจำวันของตัวเอง บางทีก็เป็นการแอบถ่ายชีวิตประจำวันของคนอื่น อย่างเช่นวันนี้ วันที่ฉันได้หนีออกมาเหมือนทุกครั้งตอนที่พี่ธีร์เมาจนหลับไม่รู้เรื่อง ฉันมักจะแอบมาเดินเตร็ดเตร่ในเมือง ถ่ายวิดีโอผู้คนที่เมามายไปกับแสงสี ถึงแม้ว่าฉันยังไม่รู้ว่าฉันจะถ่ายพวกเขาไปทำไมก็ตาม ฉันรู้เพียงแต่ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้าที่สามารถเลือกที่จะเก็บใครไว้ในนั้น หรือต้องการกำจัดใครออกไปจากโลกของฉันก็ได้
คืนนี้ก็เช่นกัน ในขณะที่ฉันกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งรสสตอเบอรีโดยที่ริมฝีปากของฉันก็กำลังคาบบุหรี่ไปด้วย ฉันแทบจะเดินไปทุกตรอกซอกซอย ถนนทุกสาย ฉันมั่นใจว่าคืนนี้ฉันไม่ได้เมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศและแสงนีออนสีเขียวอมเหลืองของเมืองนี้กำลังมัวเมาฉัน ทุกป้ายไฟ ทุกดวงไฟบนอาคาร ทุกสัญญาณจราจร ที่ฉันเห็นมันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เห็นมัน ฉันมักจะเจอความรู้สึกใหม่อยู่เสมอ
จะว่าไปหลายคนคงจะตีค่าว่าเมืองใหญ่หรือเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยชีวิตกลางคืน ทุกอย่างมันคือมายา และทุกอย่างกำลังนับถอยหลังสู่ความเสื่อมสลายทั้งกับสิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่จิตวิญญาณ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือไม่ บางครั้งฉันก็รักโลกมายาแห่งนี้ แต่บางทีฉันก็รู้สึกได้ถึงความเสื่อมสลายที่เป็นเหมือนเงาของความศิวิไลซ์ที่พบได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน
ฉันเดินต่อไปกับกล้องที่อยู่ในมือจนมาหยุดอยู่ที่สะพานแห่งหนึ่ง เสียงของฝูงชนค่อย ๆ เบาลง อาจจะเพราะสะพานตรงนี้ค่อนข้างออกมาไกลจากย่านเมามายในเมืองแล้ว แสงไฟสีส้มบนสะพานมันทำให้จิตใจของฉันสงบขึ้น ลมทะเลพัดมากระทบกับตัวฉัน ความเงียบของที่นี่มันทำให้ฉันอยากจะหยุดยืนและพักหายใจอยู่ตรงนี้สักพัก ฉันสูดหายใจลึกทุกอย่างมันดูเบาสบายจนเหมือนฉันได้เข้าใกล้คำว่าอิสระมากขึ้นทุกที แต่ไม่ทันไรสายตาของฉันก็ไปจับกับบุคคลหรือวัตถุบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป ฉันยกกล้องขึ้นมากดถ่ายแล้วค่อย ๆ ซูมดูจากในกล้องเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือสิ่งใดกันแน่
รถจักรยานยนต์คันใหญ่ถูกจอดทิ้งไว้อยู่แถวนั้น ก่อนที่สายตาและสมองของฉันจะบอกว่าสิ่งที่ฉันกำลังเห็น และตอนนี้สิ่งนั้นมันกำลังปีนขึ้นไปบนราวสะพานนั้นคือมนุษย์ ที่สำคัญมนุษย์คนนั้นคือชายที่ฉันเจอในบาร์แห่งนั้น ฉันจำเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นและมั่นใจว่าต้องใช่เขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มตัวบางที่ตอนนี้กำลังสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลแต่ก็ยังคงสวมกางเกงยีนส์ขาด ๆ เหมือนเดิม
“น้ำตอนนี้มันเย็นนะคุณ”
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นมากพอ
ชายหนุ่มไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาเพียงก้มหน้าลงมามองด้วยสายตาหม่นหมอง และกลับไปอยู่กับความเงียบของเขาเหมือนเดิม
ฉันค่อย ๆ หยิบซองบุหรี่ออกมา พร้อมยื่นซองบุหรี่ให้กับเขา แต่ก็เหมือนว่าความเงียบนั้นคงเป็นจะคำตอบที่ชัดเจน ฉันทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากจุดบุหรี่มวนหนึ่งแล้วสูบมันเข้าเต็มปอด
“ฉันเคยเจอคุณมาก่อน” ฉันพูดขึ้นในขณะที่ฉันยังจับจ้องทะเลกว้างที่อยู่ตรงหน้า
“ผมรู้” เขาตอบอย่างเสียงเรียบและยังคงยืนนิ่งอยู่บนราวสะพาน ไม่แม้จะหันลงมามองฉันเลยด้วยซ้ำ
“ฉันอยากรู้จักคุณ”
“คุณไปเถอะ!”
คราวนี้เขาหันลงมาสบตากับฉัน เหมือนว่านั่นเป็นคำไล่ที่หม่นหมองที่สุดเท่าที่เห็นจากคนคนหนึ่ง
ฉันไม่ได้ตอบสิ่งใด แถมยังทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด ฉันยังคงพ่นควันบุหรี่ออกมาอยู่อย่างนั้น และฉันเดาว่าการทำเป็นเมินเฉยของฉันคงกำลังทำให้เขาเป็นบ้า
“คุณแม่ง!”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะลงมาจากราวสะพาน และหันหลังกลับไปทางรถจักรยานยนต์ของเขาที่จอดอยู่
“คุณจะไปไหน?” ฉันตะโกนถามไล่หลัง
“ไปหาที่ใหม่”
“ไหน ๆ คุณก็จะตายแล้ว ไปหาอะไรทำสนุก ๆ ก่อนตายไหม?”
ฉันไม่รู้ว่าเพราะคำพูดบ้า ๆ ของฉันที่พูดออกไปอย่างไม่คิด หรือความบ้าของชายคนนั้นกันแน่ที่ทำให้ตอนนี้ฉันกำลังซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขา พวกเราขับเข้าเมืองไปด้วยความเร็วสูงจนฉันรู้สึกชาบนใบหน้าเพราะลมเย็นที่พัดมากระทบ ฉันค่อย ๆ กอดจากข้างหลังชายคนนั้นพร้อมเอาหน้าไปซุกอยู่ที่แผ่นหลังของเขา
เมื่อถึงในเมืองพวกเราเข้าไปแทบทุกบาร์ บางครั้งเหมือนพวกเราแค่เข้าไปเต้นกันเฉย ๆ และก็ออกมาพร้อมเครื่องดื่ม ก่อนที่พวกเราจะไปต่ออีกที่ ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนฉันเห็นทุกอย่างเป็นภาพเร่งความเร็วในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงเป็นภาพสโลโมชั่น
รู้ตัวอีกทีพวกเราก็เมาจนไม่มีสติมากพอที่จะหยุดตัวเองไม่ให้เต้นบนโต๊ะและกลายเป็นจุดสนใจของทั้งร้านได้ พวกเราเต้นกันด้วยท่าตลก ๆ จนคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะมาถึงจุดจุดนี้ ทุกเสียงปรบมือ ทุกเสียงเชียร์มันยิ่งทำให้ความมึนเมาของเราทวีคูณจนเหมือนโดนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา รู้ตัวอีกทีพวกเราก็อยู่ที่บาร์ที่ไหนสักที่ โดยที่ฉันกำลังซุกอยู่ที่อกของชายคนนั้น และพวกเรากำลังนั่งอยู่ที่เค้าน์เตอร์บาร์กับเครื่องดื่มที่ผสมสับปะรดแก้วหนึ่ง
“ทำไมคุณแม่งอยากตายวะ!”
ฉันพูดกึ่งละเมอออกมา และก็เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือกำแพงที่จะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว
“คุณก็ลองมาเป็นผมดูสิ”
“คุณจะบอกว่าชีวิตคุณมันแย่คนเดียวเหรอ?”
“ก็คงงั้นมั้ง…แล้วคุณล่ะ อะไรที่ทำให้มาเมากับคนที่อยากตายแบบผม?”
“ก็คุณหล่อไง”
ฉันผลักตัวเองขึ้นเพื่อให้สามารถมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้อย่างถนัด ก่อนที่จะเอานิ้วชี้จิ้มไปที่จมูกของเขาด้วยความเอ็นดู
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปัดอย่างลวก ๆ พร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฉันโรสนะ” ฉันยกมือขึ้นเตรียมรอจับมือกับฝ่ายตรงข้าม แต่ก็มีเพียงความเงียบตอบกลับมา
“เสียมารยาทนะคุณ”
ฉันย้ำด้วยสายตาเว้าวอนอีกครั้ง
เขาขำพรืดออกมาในขณะที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่ม ก่อนที่จะยกมือมาจับมือกับฉัน
“ผมจอห์น”
ฉันรู้ได้ในทันทีในตอนที่เราจับมือกันว่าพวกเราต่างรอวันที่จะได้เจอกัน และวันนั้นก็มาถึง สายตาหม่น ๆ ของเขาทำให้ฉันหลงเข้าไปอยู่ในนั้น แต่ก็รู้ว่าเรื่องของเรามันคงจะเป็นความจริงได้เพียงในที่แห่งความลับแห่งนี้ แต่แค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับฉัน
ฉันยังคงซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขาต่อไป และพยายามเก็บเอาทุกความอบอุ่นในค่ำคืนนี้เข้าปอดของฉันเท่าที่สามารถทำได้ จนกระทั่งพวกเราขับกันมาถึงชายหาดที่ตอนนี้ร้างผู้คน ความหยาบกร้านของพื้นทรายคงเป็นสิ่งหนึ่งที่สติของฉันพอจะรับรู้ถึงมันได้ พวกเราวิ่งกันบนชายหาดด้วยเท้าเปล่าอย่างกับเด็ก ตอนนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะทุกอย่างมันช่างมะลังมะเลืองผิดกับชีวิตขาวดำเหมือนอยู่ในภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ของฉันอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งจอห์นล้มลงกับพื้นทรายอย่างจัง ฉันรู้ว่าฉันคงจะเป็นคนที่แย่มากเพราะแทนที่ฉันจะยื่นมือไปดึงเขาขึ้น ฉันกลับยืนหัวเราะเขาอยู่อย่างนั้น แต่จอห์นก็ไม่ปล่อยเวลาให้ฉันเป็นต่อนานเกินไป เขาเอื้อมมือมาคว้ามือฉันให้ล้มลงไปกับเขาด้วย
ฉันล้มลงไปอยู่ในวงแขนของจอห์น หน้าของพวกเราใกล้กันจนเห็นทุกรายละเอียดบนใบหน้าของกันและกัน หัวใจฉันเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอก จอห์นค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าเขามาใกล้ใบหน้าฉันมากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเรื่องของพวกเรามันจะเลยเถิดไปถึงตรงไหน ฉันจึงตัดสินใจบอกเรื่องบางอย่างที่มันจะยุติธรรมกับตัวของจอห์นเอง
“ตอนนี้ฉันยังเป็นของคนอื่น”
จอห์นหยุดใบหน้าของเขา เหมือนกับเขากำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ผมก็ด้วย”
“แล้วเรา…?”
ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราควรทำอย่างไรกับเรื่องของเราต่อ
“ถ้าผมจะขอเก็บคุณไว้ในโลกความลับของผมได้ไหม”
“ของเรา”
ฉันสวนจอห์นโดยฉับพลัน
แม้จอห์นจะชะงักตอนที่ฉันพูดสวนเขาไปแต่ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นรอยยิ้ม ไม่รอช้าเขาบรรจงจูบมาที่ริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความร้อนรุ่ม ฉันรู้ว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์คงกำลังจะขึ้น และโลกในความลับของเราก็คงจะต้องจบลง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะถึงอย่างไรในทุกวันก็ยังมีตอนกลางคืนที่รอให้เป็นโลกของเราอยู่ดี เช่นเดียวกับโลกภายใต้แสงจันทร์และไฟนีออนของค่ำคืนนี้
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็มักถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ตั้งแต่การถ่ายชีวิตประจำวันของตัวเอง บางทีก็เป็นการแอบถ่ายชีวิตประจำวันของคนอื่น อย่างเช่นวันนี้ วันที่ฉันได้หนีออกมาเหมือนทุกครั้งตอนที่พี่ธีร์เมาจนหลับไม่รู้เรื่อง ฉันมักจะแอบมาเดินเตร็ดเตร่ในเมือง ถ่ายวิดีโอผู้คนที่เมามายไปกับแสงสี ถึงแม้ว่าฉันยังไม่รู้ว่าฉันจะถ่ายพวกเขาไปทำไมก็ตาม ฉันรู้เพียงแต่ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้าที่สามารถเลือกที่จะเก็บใครไว้ในนั้น หรือต้องการกำจัดใครออกไปจากโลกของฉันก็ได้
คืนนี้ก็เช่นกัน ในขณะที่ฉันกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งรสสตอเบอรีโดยที่ริมฝีปากของฉันก็กำลังคาบบุหรี่ไปด้วย ฉันแทบจะเดินไปทุกตรอกซอกซอย ถนนทุกสาย ฉันมั่นใจว่าคืนนี้ฉันไม่ได้เมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศและแสงนีออนสีเขียวอมเหลืองของเมืองนี้กำลังมัวเมาฉัน ทุกป้ายไฟ ทุกดวงไฟบนอาคาร ทุกสัญญาณจราจร ที่ฉันเห็นมันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เห็นมัน ฉันมักจะเจอความรู้สึกใหม่อยู่เสมอ
จะว่าไปหลายคนคงจะตีค่าว่าเมืองใหญ่หรือเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยชีวิตกลางคืน ทุกอย่างมันคือมายา และทุกอย่างกำลังนับถอยหลังสู่ความเสื่อมสลายทั้งกับสิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่จิตวิญญาณ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือไม่ บางครั้งฉันก็รักโลกมายาแห่งนี้ แต่บางทีฉันก็รู้สึกได้ถึงความเสื่อมสลายที่เป็นเหมือนเงาของความศิวิไลซ์ที่พบได้ในชีวิตประจำวันเช่นกัน
ฉันเดินต่อไปกับกล้องที่อยู่ในมือจนมาหยุดอยู่ที่สะพานแห่งหนึ่ง เสียงของฝูงชนค่อย ๆ เบาลง อาจจะเพราะสะพานตรงนี้ค่อนข้างออกมาไกลจากย่านเมามายในเมืองแล้ว แสงไฟสีส้มบนสะพานมันทำให้จิตใจของฉันสงบขึ้น ลมทะเลพัดมากระทบกับตัวฉัน ความเงียบของที่นี่มันทำให้ฉันอยากจะหยุดยืนและพักหายใจอยู่ตรงนี้สักพัก ฉันสูดหายใจลึกทุกอย่างมันดูเบาสบายจนเหมือนฉันได้เข้าใกล้คำว่าอิสระมากขึ้นทุกที แต่ไม่ทันไรสายตาของฉันก็ไปจับกับบุคคลหรือวัตถุบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป ฉันยกกล้องขึ้นมากดถ่ายแล้วค่อย ๆ ซูมดูจากในกล้องเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือสิ่งใดกันแน่
รถจักรยานยนต์คันใหญ่ถูกจอดทิ้งไว้อยู่แถวนั้น ก่อนที่สายตาและสมองของฉันจะบอกว่าสิ่งที่ฉันกำลังเห็น และตอนนี้สิ่งนั้นมันกำลังปีนขึ้นไปบนราวสะพานนั้นคือมนุษย์ ที่สำคัญมนุษย์คนนั้นคือชายที่ฉันเจอในบาร์แห่งนั้น ฉันจำเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นและมั่นใจว่าต้องใช่เขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มตัวบางที่ตอนนี้กำลังสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลแต่ก็ยังคงสวมกางเกงยีนส์ขาด ๆ เหมือนเดิม
“น้ำตอนนี้มันเย็นนะคุณ”
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นมากพอ
ชายหนุ่มไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาเพียงก้มหน้าลงมามองด้วยสายตาหม่นหมอง และกลับไปอยู่กับความเงียบของเขาเหมือนเดิม
ฉันค่อย ๆ หยิบซองบุหรี่ออกมา พร้อมยื่นซองบุหรี่ให้กับเขา แต่ก็เหมือนว่าความเงียบนั้นคงเป็นจะคำตอบที่ชัดเจน ฉันทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากจุดบุหรี่มวนหนึ่งแล้วสูบมันเข้าเต็มปอด
“ฉันเคยเจอคุณมาก่อน” ฉันพูดขึ้นในขณะที่ฉันยังจับจ้องทะเลกว้างที่อยู่ตรงหน้า
“ผมรู้” เขาตอบอย่างเสียงเรียบและยังคงยืนนิ่งอยู่บนราวสะพาน ไม่แม้จะหันลงมามองฉันเลยด้วยซ้ำ
“ฉันอยากรู้จักคุณ”
“คุณไปเถอะ!”
คราวนี้เขาหันลงมาสบตากับฉัน เหมือนว่านั่นเป็นคำไล่ที่หม่นหมองที่สุดเท่าที่เห็นจากคนคนหนึ่ง
ฉันไม่ได้ตอบสิ่งใด แถมยังทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด ฉันยังคงพ่นควันบุหรี่ออกมาอยู่อย่างนั้น และฉันเดาว่าการทำเป็นเมินเฉยของฉันคงกำลังทำให้เขาเป็นบ้า
“คุณแม่ง!”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะลงมาจากราวสะพาน และหันหลังกลับไปทางรถจักรยานยนต์ของเขาที่จอดอยู่
“คุณจะไปไหน?” ฉันตะโกนถามไล่หลัง
“ไปหาที่ใหม่”
“ไหน ๆ คุณก็จะตายแล้ว ไปหาอะไรทำสนุก ๆ ก่อนตายไหม?”
ฉันไม่รู้ว่าเพราะคำพูดบ้า ๆ ของฉันที่พูดออกไปอย่างไม่คิด หรือความบ้าของชายคนนั้นกันแน่ที่ทำให้ตอนนี้ฉันกำลังซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขา พวกเราขับเข้าเมืองไปด้วยความเร็วสูงจนฉันรู้สึกชาบนใบหน้าเพราะลมเย็นที่พัดมากระทบ ฉันค่อย ๆ กอดจากข้างหลังชายคนนั้นพร้อมเอาหน้าไปซุกอยู่ที่แผ่นหลังของเขา
เมื่อถึงในเมืองพวกเราเข้าไปแทบทุกบาร์ บางครั้งเหมือนพวกเราแค่เข้าไปเต้นกันเฉย ๆ และก็ออกมาพร้อมเครื่องดื่ม ก่อนที่พวกเราจะไปต่ออีกที่ ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนฉันเห็นทุกอย่างเป็นภาพเร่งความเร็วในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงเป็นภาพสโลโมชั่น
รู้ตัวอีกทีพวกเราก็เมาจนไม่มีสติมากพอที่จะหยุดตัวเองไม่ให้เต้นบนโต๊ะและกลายเป็นจุดสนใจของทั้งร้านได้ พวกเราเต้นกันด้วยท่าตลก ๆ จนคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะมาถึงจุดจุดนี้ ทุกเสียงปรบมือ ทุกเสียงเชียร์มันยิ่งทำให้ความมึนเมาของเราทวีคูณจนเหมือนโดนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา รู้ตัวอีกทีพวกเราก็อยู่ที่บาร์ที่ไหนสักที่ โดยที่ฉันกำลังซุกอยู่ที่อกของชายคนนั้น และพวกเรากำลังนั่งอยู่ที่เค้าน์เตอร์บาร์กับเครื่องดื่มที่ผสมสับปะรดแก้วหนึ่ง
“ทำไมคุณแม่งอยากตายวะ!”
ฉันพูดกึ่งละเมอออกมา และก็เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือกำแพงที่จะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว
“คุณก็ลองมาเป็นผมดูสิ”
“คุณจะบอกว่าชีวิตคุณมันแย่คนเดียวเหรอ?”
“ก็คงงั้นมั้ง…แล้วคุณล่ะ อะไรที่ทำให้มาเมากับคนที่อยากตายแบบผม?”
“ก็คุณหล่อไง”
ฉันผลักตัวเองขึ้นเพื่อให้สามารถมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้อย่างถนัด ก่อนที่จะเอานิ้วชี้จิ้มไปที่จมูกของเขาด้วยความเอ็นดู
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปัดอย่างลวก ๆ พร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฉันโรสนะ” ฉันยกมือขึ้นเตรียมรอจับมือกับฝ่ายตรงข้าม แต่ก็มีเพียงความเงียบตอบกลับมา
“เสียมารยาทนะคุณ”
ฉันย้ำด้วยสายตาเว้าวอนอีกครั้ง
เขาขำพรืดออกมาในขณะที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่ม ก่อนที่จะยกมือมาจับมือกับฉัน
“ผมจอห์น”
ฉันรู้ได้ในทันทีในตอนที่เราจับมือกันว่าพวกเราต่างรอวันที่จะได้เจอกัน และวันนั้นก็มาถึง สายตาหม่น ๆ ของเขาทำให้ฉันหลงเข้าไปอยู่ในนั้น แต่ก็รู้ว่าเรื่องของเรามันคงจะเป็นความจริงได้เพียงในที่แห่งความลับแห่งนี้ แต่แค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับฉัน
ฉันยังคงซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเขาต่อไป และพยายามเก็บเอาทุกความอบอุ่นในค่ำคืนนี้เข้าปอดของฉันเท่าที่สามารถทำได้ จนกระทั่งพวกเราขับกันมาถึงชายหาดที่ตอนนี้ร้างผู้คน ความหยาบกร้านของพื้นทรายคงเป็นสิ่งหนึ่งที่สติของฉันพอจะรับรู้ถึงมันได้ พวกเราวิ่งกันบนชายหาดด้วยเท้าเปล่าอย่างกับเด็ก ตอนนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะทุกอย่างมันช่างมะลังมะเลืองผิดกับชีวิตขาวดำเหมือนอยู่ในภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ของฉันอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งจอห์นล้มลงกับพื้นทรายอย่างจัง ฉันรู้ว่าฉันคงจะเป็นคนที่แย่มากเพราะแทนที่ฉันจะยื่นมือไปดึงเขาขึ้น ฉันกลับยืนหัวเราะเขาอยู่อย่างนั้น แต่จอห์นก็ไม่ปล่อยเวลาให้ฉันเป็นต่อนานเกินไป เขาเอื้อมมือมาคว้ามือฉันให้ล้มลงไปกับเขาด้วย
ฉันล้มลงไปอยู่ในวงแขนของจอห์น หน้าของพวกเราใกล้กันจนเห็นทุกรายละเอียดบนใบหน้าของกันและกัน หัวใจฉันเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอก จอห์นค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าเขามาใกล้ใบหน้าฉันมากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเรื่องของพวกเรามันจะเลยเถิดไปถึงตรงไหน ฉันจึงตัดสินใจบอกเรื่องบางอย่างที่มันจะยุติธรรมกับตัวของจอห์นเอง
“ตอนนี้ฉันยังเป็นของคนอื่น”
จอห์นหยุดใบหน้าของเขา เหมือนกับเขากำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ผมก็ด้วย”
“แล้วเรา…?”
ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราควรทำอย่างไรกับเรื่องของเราต่อ
“ถ้าผมจะขอเก็บคุณไว้ในโลกความลับของผมได้ไหม”
“ของเรา”
ฉันสวนจอห์นโดยฉับพลัน
แม้จอห์นจะชะงักตอนที่ฉันพูดสวนเขาไปแต่ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นรอยยิ้ม ไม่รอช้าเขาบรรจงจูบมาที่ริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความร้อนรุ่ม ฉันรู้ว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์คงกำลังจะขึ้น และโลกในความลับของเราก็คงจะต้องจบลง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะถึงอย่างไรในทุกวันก็ยังมีตอนกลางคืนที่รอให้เป็นโลกของเราอยู่ดี เช่นเดียวกับโลกภายใต้แสงจันทร์และไฟนีออนของค่ำคืนนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ