ถ้ารักฉัน แล้วจะฆ่าฉันทำไม?
-
เขียนโดย tianyouxiaomei
วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 23.31 น.
5 chapter
0 วิจารณ์
2,591 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565 17.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4 เขาปรากฎตัวแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแน่ละว่ามีบังกะโลอยู่ริมทะเลสาบนี้เช่นกัน แต่ไม่มีหลังไหนอยู่ในระยะมองเห็นกันเลย ที่นี่เน้นความเป็นส่วนตัวมาก ตลอดระยะทางที่นั่งรถกอล์ฟมาเธอเห็นบังกะโลเบาบางตามาก
เธอไม่ได้ยินเสียงรถกอล์ฟ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย อาจเพราะเธอหลับ หรืออาจเพราะเขาเดินมา แน่ล่ะว่าตอนนี้เป็นช่วงที่โรงแรมแห่งนี้ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ดังนั้นแขกจึงมีน้อยมาก เป็นไปได้ว่าเขาอาจเป็นแขกที่มาพักบังกะโลหลังใกล้ๆ แล้วเห็นเธอตอนเดินเข้ามา ไม่สิ หากเขาเป็นแขกแล้วต้องการความช่วยเหลือเขาก็ต้องติดต่อหาพนักงานหน้าฟร้อนท์ ไม่ใช่เดินมาเคาะประตูบังกะโลของเธอแบบนี้ หรือจะเป็นพนักงาน แต่เธอไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะทำให้พวกเขาถึงขั้นมาเคาะประตูบังกะโลได้
จิตนาการของเธอเตลิดเปิดเปิงไปไกลเพราะสติที่ยังกลับมาไม่ครบถ้วน บวกกับความตกใจที่พึ่งตื่นจากนิทรา หญิงสาวคิด แต่ไม่อาจสะกดลมหายใจซึ่งถี่กระชั้นหรือหัวใจที่เต้นระรัวกว่าเดิมได้ ทั้งหมดที่เธอทำได้คือยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ จับจ้องมองเงาเลือนลางใต้ช่องด้านล่างของประตู เหมือนสัตว์ที่ตกใจกลัวจนเป็นอัมพาดเมื่อเห็นผู้ล่าคืบคลานเข้ามาหา
โชคดีที่ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวด ประตูถูกลอคโดยอัตโนมัติ เขาไม่สามารถเดินเข้ามาถึงข้างในได้
ถ้าเธอตกอยู่ในอันตราย สภาพตอนนี้ก็ถือได้ว่าเธอติดกับเสียแล้ว เธอไม่มีอาวุธใด นอกจากขวดน้ำแบบแก้วที่ตั้งอยู่ในแพนทรี แต่เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะเดินออกไปหยิบมันได้ มินตรามองไปที่โทรศัพท์หน้าในห้อง เป็นไปได้ไหมที่เธอจะโทรไปที่ฟร้อนแล้วขอความช่วยเหลือโดยไม่ส่งเสียงดัง แต่เมื่อนึกถึงความเงียบสงัดภายในบ้าน หล่อนก็ตระหนักได้ว่านั่นคงทำได้ยาก เขายืนอยู่แค่หน้าประตูนี่เอง
แล้วก็มีเสียงเคาะหนักๆ ดังขึ้นอีกสองครั้งซ้อน
มินตราส่ายศรีษะเรียกสติ บางทีเธออาจจะบ้าบอไปเองก็ได้ เธอรู้ได้อย่างไรว่าคนที่มาเป็นผู้ชาย จากเสียงฝีเท้าหนักๆ น่ะเหรอ นั่นอาจจะเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ก็ได้
ไม่หรอก เขาเป็นผู้ชาย เธอมั่นใจ แม้แต่เสียงเคาะประตูก็บ่งบอกถึงความเป็นบุรุษเพศ เสียงเคาะนั้นหนักหน่วงหว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากมือนุ่มๆ ของผู้หญิง
“สวัสดีครับ มีใครอยู่บ้านไหมครับ”
ร่างของมินตราสั่นสะท้านไปกับเสียงทุ้มลึกที่ดังกังวาลทั่วบ้าน ผ่านลึกมาถึงกระดูกกระเดี้ยวของเธอ มันเป็นเสียงของผู้ชายชัดๆ เลย และฟังคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แม้หญิงสาวจะรู้แก่ใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนก็ตาม
ให้ตายสิ
เธอคิดได้ในทันทีและนึกโมโหตัวเองอย่างแรง นี่เธอเป็นบ้าอะไรไป ถ้าผู้ชายที่ระเบียงหน้าบ้านมีเจตนาจะทำอันตราย การหดหัวอยู่บนโซฟาใกล้ๆ ประตูแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย นอกจากนี้ถ้าเขาเป็นคนร้าย เขาคงจะแอบเข้ามาทางหน้าต่างระเบียง ไม่ยืนเคาะห้องอยู่ด้านหน้าหรอก
เขาอาจจะเป็นแขกซักสักคนที่ออกมาเดินเล่นแล้วเกิดปัญหาขึ้นแต่ไม่สะดวกเดินไปที่ฟร้อนท์เพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือก็ได้ จริงสินะ ตรงนี้ก็ค่อนข้างไกลจากส่วนกลางพอตัว หากเธอลืมกุญแจหรือเกิดเหตุฉุกเฉินก็คงอาจจะเลือกขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านก่อน
ถึงจะคิดได้แบบนั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้ความหวาดหวั่นของหญิงสาวสงบลงได้ มินตราต้องใช้พลังควบคุมใจอย่างแรงจึงจะสามารถยืดไหล่และบังคับให้ลมหายใจกลับคืนสู่จังหวะปกติได้ รวมถึงการสาวเท้าไปที่ประตูบ้าน เธอชะงักอยู่ตรงนั้นอีกหน เพื่อรวบรวมความกล้า แล้วจึงก้าวไปที่ประตู
เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเธออยู่หลังประตูนี่เอง มินตราคว้าลูกบิดประตู เปิดออกโดยไม่เอาโซ่คล้องเพื่อความปลอดภัยออก เพราะเธอยังไม่ได้เปิดไฟในบ้าน แสงไฟจากระเบียงจึงสว่างมาก จนผู้ชายด้านนอกดูเป็นเงาดำๆ สูงใหญ่ เธอหรี่ตาของตัวเอง พยายามมองเงาทึบทะมึนที่อยู่กลางแสงจ้าเบื้องนอก เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขา นอกจากความสูงใหญ่ราวๆ ร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรเป็นอย่างน้อย พร้อมกับแผงไหล่กว้าง เธอจะต้องคิดไปเองแน่ๆ เพราะหญิงสาวรู้สึกราวกับว่ามีความเคร่งเครียดแฝงอยู่ในแนวบ่าเหยียดกว้างทั้งสองข้างนั้น
เขาแต่งตัวดี เสื้อผ้าเนี้ยบจัด เป็นของแบรนเนม อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่น่าจะใช่โจรจริงๆ อย่างที่เธอนึกกลัว แค่นาฬิกาเรือนนั้นของเขาก็ราคามากกว่ารายได้คนชนชั้นกลางทั้งปีรวมกันแล้ว
แต่ไม่มีทางที่เธอจะเปิดประตูโดยไม่มีโซ่ป้องกันความปลอดภัยแน่ และหากเขาพยายามจะเปิดประตูเข้ามา เธอก็จะรีบเผ่นไปที่โทรศัพท์ รีบโทรแจ้งฟร้อนท์ทันที อย่างน้อยโซ่นั่นก็คงจะป้องกันเขาได้ซักพัก
มินตรากระแอมเบาๆ
“คะ” เธอฝืนพูดออกไปจนได้ “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ”
ทั้งที่พยายามสุดความสามารถ ทว่าสุ่มเสียงที่เธอใช้ก็ยังแผ่วต่ำและแหบพร่า มินตราโมโหตัวเอง เพราะเสียงแบบนี้ฟังเกือบเป็นเสียงอ่อยเชิญชวน ถึงมันอาจจะฟังดูดีกว่าเสียงแห่งความขลาดกลัว แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าระหว่างเสียงส่อความหวาดกลัวกับเสียงส่อนัยเชิญชวนทางเพศ เสียงไหนจะกระตุ้นนักล่าเหยื่อมากกว่ากัน
หยุดเดี๋ยวนี้ มินตราเอ็ดตัวเอง ผู้มาเยือนยังไม่ได้พูดหรือทำอะไรให้เธอควรกลัวจนประสาทเสียอย่างนี้เลย
“ผมชื่อติณณ์ วินแชสเตอร์” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มลึกที่บาดลึกลงไปในผิวกายเธอแล้วลามลงไปถึงกระดูก
“ผมมาได้รับแจ้งว่าคุณมาถึงแล้วตั้งแต่บ่าย เมื่อครู่ผมมาตรวจสอบความเรียบร้อยในโรงแรม ขับผ่านที่พักของคุณตั้งแต่เมื่อเย็นจนค่ำเห็นบ้านยังปิดเงียบสนิทไม่เปิดไฟ เลยไม่แน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในที่พักหรือเกิดเหตุใดขึ้นระหว่างการพักหรือเปล่า”
ความโล่งใจเข้ามาแทนที่ทันที มินตราเพิ่งรู้สึกตัวว่ากล้ามเนื้อของเธอคลายความเกร็งลงจนเข่าอ่อนเกือบทรุดลง และต้องรีบยื่นมือที่ยังสั่นเทาออกไปค้ำไว้กับผนังบ้าน นามสกุลของเขา…เขาน่าจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมแห่งนี้
บ้าจริง เธอเกือบจะสติแตกบ้าบอไปเองแล้ว
“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณติณณ์ ฉันโอเคค่ะแค่เผลอหลับไปเท่านั้น”
“ด้วยความยินดีครับคุณมินตรา” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน วิธีที่เขาเรียกชื่อหล่อยทำให้เสียวซ่านหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ ขอให้มีความสุขกับวันพักผ่อนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
สิ้นคำนั้น จู่ๆ เขาก็ก้มตัวลง ราวกับอยากจะพิจารณาใบหน้าเธอให้ชัดกว่านี้ มินตราผงะ แสงสว่างจ้าลดลงคราวนี้นัยน์ตาของเขามองสบตากับหล่อน ด้วยอารมณ์ปริศนา จากนั้นจึงขยับยิ้มที่อ่านไม่ออกขึ้นที่มุมปากได้รูปงามของเขา
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
มินตรามองเขาจากไปในอาการที่เรียกว่ายืนนิ่งไม่ไวติง สีเลือดเหือดหายไปจากใบหน้าเมื่อเธอคิดว่าอาจจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น เสียงหึ่งๆ ดังอยู่ในหู ริมฝีปากของเธอชาหนึบ ครั้นความมืดมิดเริ่มเข้ามาครอบงำการมอง หญิงสาวจึงตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมจริงๆ เธอรีบวางมือยันเข่าทั้งสองข้างไว้อย่างเงอะงะ แล้วก้มศรีษะลงต่ำจนกระทั่งรู้สึกว่าอาการพร่างพรายเริ่มจางหายไป
พระเจ้าช่วย…เป็นเขานั่นเอง
ไม่ผิดแน่ แม้ในความฝันเธอจะไม่เคยเห็นหน้าตาเขาเลย แต่เธอจำเขาได้ชัดเจนมาก ตอนที่เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามค่ำนั้นเปล่งประกายวูบไหว ทำให้ทุกอณูในเรือนกายของเธอสั่นระรัว
ติณณ์คือชายในฝันของเธอคนนั้น
และเขาก็จดจำเธอได้เช่นกัน!
เธอไม่ได้ยินเสียงรถกอล์ฟ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย อาจเพราะเธอหลับ หรืออาจเพราะเขาเดินมา แน่ล่ะว่าตอนนี้เป็นช่วงที่โรงแรมแห่งนี้ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ดังนั้นแขกจึงมีน้อยมาก เป็นไปได้ว่าเขาอาจเป็นแขกที่มาพักบังกะโลหลังใกล้ๆ แล้วเห็นเธอตอนเดินเข้ามา ไม่สิ หากเขาเป็นแขกแล้วต้องการความช่วยเหลือเขาก็ต้องติดต่อหาพนักงานหน้าฟร้อนท์ ไม่ใช่เดินมาเคาะประตูบังกะโลของเธอแบบนี้ หรือจะเป็นพนักงาน แต่เธอไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะทำให้พวกเขาถึงขั้นมาเคาะประตูบังกะโลได้
จิตนาการของเธอเตลิดเปิดเปิงไปไกลเพราะสติที่ยังกลับมาไม่ครบถ้วน บวกกับความตกใจที่พึ่งตื่นจากนิทรา หญิงสาวคิด แต่ไม่อาจสะกดลมหายใจซึ่งถี่กระชั้นหรือหัวใจที่เต้นระรัวกว่าเดิมได้ ทั้งหมดที่เธอทำได้คือยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ จับจ้องมองเงาเลือนลางใต้ช่องด้านล่างของประตู เหมือนสัตว์ที่ตกใจกลัวจนเป็นอัมพาดเมื่อเห็นผู้ล่าคืบคลานเข้ามาหา
โชคดีที่ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวด ประตูถูกลอคโดยอัตโนมัติ เขาไม่สามารถเดินเข้ามาถึงข้างในได้
ถ้าเธอตกอยู่ในอันตราย สภาพตอนนี้ก็ถือได้ว่าเธอติดกับเสียแล้ว เธอไม่มีอาวุธใด นอกจากขวดน้ำแบบแก้วที่ตั้งอยู่ในแพนทรี แต่เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะเดินออกไปหยิบมันได้ มินตรามองไปที่โทรศัพท์หน้าในห้อง เป็นไปได้ไหมที่เธอจะโทรไปที่ฟร้อนแล้วขอความช่วยเหลือโดยไม่ส่งเสียงดัง แต่เมื่อนึกถึงความเงียบสงัดภายในบ้าน หล่อนก็ตระหนักได้ว่านั่นคงทำได้ยาก เขายืนอยู่แค่หน้าประตูนี่เอง
แล้วก็มีเสียงเคาะหนักๆ ดังขึ้นอีกสองครั้งซ้อน
มินตราส่ายศรีษะเรียกสติ บางทีเธออาจจะบ้าบอไปเองก็ได้ เธอรู้ได้อย่างไรว่าคนที่มาเป็นผู้ชาย จากเสียงฝีเท้าหนักๆ น่ะเหรอ นั่นอาจจะเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ก็ได้
ไม่หรอก เขาเป็นผู้ชาย เธอมั่นใจ แม้แต่เสียงเคาะประตูก็บ่งบอกถึงความเป็นบุรุษเพศ เสียงเคาะนั้นหนักหน่วงหว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากมือนุ่มๆ ของผู้หญิง
“สวัสดีครับ มีใครอยู่บ้านไหมครับ”
ร่างของมินตราสั่นสะท้านไปกับเสียงทุ้มลึกที่ดังกังวาลทั่วบ้าน ผ่านลึกมาถึงกระดูกกระเดี้ยวของเธอ มันเป็นเสียงของผู้ชายชัดๆ เลย และฟังคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แม้หญิงสาวจะรู้แก่ใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนก็ตาม
ให้ตายสิ
เธอคิดได้ในทันทีและนึกโมโหตัวเองอย่างแรง นี่เธอเป็นบ้าอะไรไป ถ้าผู้ชายที่ระเบียงหน้าบ้านมีเจตนาจะทำอันตราย การหดหัวอยู่บนโซฟาใกล้ๆ ประตูแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย นอกจากนี้ถ้าเขาเป็นคนร้าย เขาคงจะแอบเข้ามาทางหน้าต่างระเบียง ไม่ยืนเคาะห้องอยู่ด้านหน้าหรอก
เขาอาจจะเป็นแขกซักสักคนที่ออกมาเดินเล่นแล้วเกิดปัญหาขึ้นแต่ไม่สะดวกเดินไปที่ฟร้อนท์เพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือก็ได้ จริงสินะ ตรงนี้ก็ค่อนข้างไกลจากส่วนกลางพอตัว หากเธอลืมกุญแจหรือเกิดเหตุฉุกเฉินก็คงอาจจะเลือกขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านก่อน
ถึงจะคิดได้แบบนั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้ความหวาดหวั่นของหญิงสาวสงบลงได้ มินตราต้องใช้พลังควบคุมใจอย่างแรงจึงจะสามารถยืดไหล่และบังคับให้ลมหายใจกลับคืนสู่จังหวะปกติได้ รวมถึงการสาวเท้าไปที่ประตูบ้าน เธอชะงักอยู่ตรงนั้นอีกหน เพื่อรวบรวมความกล้า แล้วจึงก้าวไปที่ประตู
เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเธออยู่หลังประตูนี่เอง มินตราคว้าลูกบิดประตู เปิดออกโดยไม่เอาโซ่คล้องเพื่อความปลอดภัยออก เพราะเธอยังไม่ได้เปิดไฟในบ้าน แสงไฟจากระเบียงจึงสว่างมาก จนผู้ชายด้านนอกดูเป็นเงาดำๆ สูงใหญ่ เธอหรี่ตาของตัวเอง พยายามมองเงาทึบทะมึนที่อยู่กลางแสงจ้าเบื้องนอก เธอมองไม่เห็นใบหน้าของเขา นอกจากความสูงใหญ่ราวๆ ร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรเป็นอย่างน้อย พร้อมกับแผงไหล่กว้าง เธอจะต้องคิดไปเองแน่ๆ เพราะหญิงสาวรู้สึกราวกับว่ามีความเคร่งเครียดแฝงอยู่ในแนวบ่าเหยียดกว้างทั้งสองข้างนั้น
เขาแต่งตัวดี เสื้อผ้าเนี้ยบจัด เป็นของแบรนเนม อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่น่าจะใช่โจรจริงๆ อย่างที่เธอนึกกลัว แค่นาฬิกาเรือนนั้นของเขาก็ราคามากกว่ารายได้คนชนชั้นกลางทั้งปีรวมกันแล้ว
แต่ไม่มีทางที่เธอจะเปิดประตูโดยไม่มีโซ่ป้องกันความปลอดภัยแน่ และหากเขาพยายามจะเปิดประตูเข้ามา เธอก็จะรีบเผ่นไปที่โทรศัพท์ รีบโทรแจ้งฟร้อนท์ทันที อย่างน้อยโซ่นั่นก็คงจะป้องกันเขาได้ซักพัก
มินตรากระแอมเบาๆ
“คะ” เธอฝืนพูดออกไปจนได้ “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ”
ทั้งที่พยายามสุดความสามารถ ทว่าสุ่มเสียงที่เธอใช้ก็ยังแผ่วต่ำและแหบพร่า มินตราโมโหตัวเอง เพราะเสียงแบบนี้ฟังเกือบเป็นเสียงอ่อยเชิญชวน ถึงมันอาจจะฟังดูดีกว่าเสียงแห่งความขลาดกลัว แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่าระหว่างเสียงส่อความหวาดกลัวกับเสียงส่อนัยเชิญชวนทางเพศ เสียงไหนจะกระตุ้นนักล่าเหยื่อมากกว่ากัน
หยุดเดี๋ยวนี้ มินตราเอ็ดตัวเอง ผู้มาเยือนยังไม่ได้พูดหรือทำอะไรให้เธอควรกลัวจนประสาทเสียอย่างนี้เลย
“ผมชื่อติณณ์ วินแชสเตอร์” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มลึกที่บาดลึกลงไปในผิวกายเธอแล้วลามลงไปถึงกระดูก
“ผมมาได้รับแจ้งว่าคุณมาถึงแล้วตั้งแต่บ่าย เมื่อครู่ผมมาตรวจสอบความเรียบร้อยในโรงแรม ขับผ่านที่พักของคุณตั้งแต่เมื่อเย็นจนค่ำเห็นบ้านยังปิดเงียบสนิทไม่เปิดไฟ เลยไม่แน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในที่พักหรือเกิดเหตุใดขึ้นระหว่างการพักหรือเปล่า”
ความโล่งใจเข้ามาแทนที่ทันที มินตราเพิ่งรู้สึกตัวว่ากล้ามเนื้อของเธอคลายความเกร็งลงจนเข่าอ่อนเกือบทรุดลง และต้องรีบยื่นมือที่ยังสั่นเทาออกไปค้ำไว้กับผนังบ้าน นามสกุลของเขา…เขาน่าจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมแห่งนี้
บ้าจริง เธอเกือบจะสติแตกบ้าบอไปเองแล้ว
“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณติณณ์ ฉันโอเคค่ะแค่เผลอหลับไปเท่านั้น”
“ด้วยความยินดีครับคุณมินตรา” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน วิธีที่เขาเรียกชื่อหล่อยทำให้เสียวซ่านหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ ขอให้มีความสุขกับวันพักผ่อนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
สิ้นคำนั้น จู่ๆ เขาก็ก้มตัวลง ราวกับอยากจะพิจารณาใบหน้าเธอให้ชัดกว่านี้ มินตราผงะ แสงสว่างจ้าลดลงคราวนี้นัยน์ตาของเขามองสบตากับหล่อน ด้วยอารมณ์ปริศนา จากนั้นจึงขยับยิ้มที่อ่านไม่ออกขึ้นที่มุมปากได้รูปงามของเขา
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
มินตรามองเขาจากไปในอาการที่เรียกว่ายืนนิ่งไม่ไวติง สีเลือดเหือดหายไปจากใบหน้าเมื่อเธอคิดว่าอาจจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น เสียงหึ่งๆ ดังอยู่ในหู ริมฝีปากของเธอชาหนึบ ครั้นความมืดมิดเริ่มเข้ามาครอบงำการมอง หญิงสาวจึงตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมจริงๆ เธอรีบวางมือยันเข่าทั้งสองข้างไว้อย่างเงอะงะ แล้วก้มศรีษะลงต่ำจนกระทั่งรู้สึกว่าอาการพร่างพรายเริ่มจางหายไป
พระเจ้าช่วย…เป็นเขานั่นเอง
ไม่ผิดแน่ แม้ในความฝันเธอจะไม่เคยเห็นหน้าตาเขาเลย แต่เธอจำเขาได้ชัดเจนมาก ตอนที่เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามค่ำนั้นเปล่งประกายวูบไหว ทำให้ทุกอณูในเรือนกายของเธอสั่นระรัว
ติณณ์คือชายในฝันของเธอคนนั้น
และเขาก็จดจำเธอได้เช่นกัน!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ