ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ครอบครัวอุปถัมภ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเค่อหยวนที่ออกจากบ้านไปหลายวัน กลับมาพร้อมสมุนไพรหายากที่เสาะหาจากภูเขาอันห่างไกล พอได้ฟังเรื่องราวการปรากฏตัวของเหม่ยหลินก็มีความแปลกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าท่านหมอหลิวให้ความไว้วางใจหญิงสาว รวมทั้งเมียและลูกทั้งสองของเขาก็ปฏิบัติต่อนางราวกับคนในครอบครัว เค่อหยวนก็ไม่มีข้อกังขาใดๆ
“อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยมาก พี่เหม่ยหลินต้องกินเยอะๆนะ” จื่อหลงหันไปพูดเจื้อยแจ้วกับพี่สาวคนสวยพลางใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวของเหม่ยหลิน จนคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารต่างหัวเราะชอบใจเอ็นดูในความช่างเอาอกเอาใจของจื่อหลง
เหม่ยหลินมองกับข้าวบนโต๊ะ บรรยากาศการกินข้าวด้วยตะเกียบเช่นนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึงปีแรกที่ไปเรียนต่อมัธยมปลายในประเทศจีน เธอได้พำนักกับครอบครัวชาวจีนเพื่อเป็นการฝึกภาษาและปรับตัวให้ชินกับวิถีชีวิตที่นั่น
“พี่เหม่ยหลินคิดอะไรอยู่ ไม่อร่อยเหรอ” จิ่นเอ๋อร์เห็นเหม่ยหลินนิ่งไปครู่หนึ่งจึงถามตรงๆ
“เปล่าๆ อาหารอร่อยมาก เพียงแต่เห็นแบบนี้ทำให้ข้าคิดถึงโฮสต์แฟมิลี่ที่เคยดูแลข้า”เหม่ยหลินคีบอาหารเข้าปากเคี้ยวคำแรกเบาๆ
ประโยคที่หญิงสาวพูดทำให้คนบนโต๊ะอาหารหันมามองเธอเป็นตาเดียว จนกระทั่งเค่อหยวนที่เพิ่งเคยได้ยินคำพูดแปลกๆ ของเหม่ยหลินเป็นครั้งแรกเอ่ยถามขึ้นก่อน
“เจ้าพูดว่าอะไรนะเหม่ยหลิน โฮ...โฮลี่”
“อ๋อ...ข้าหมายถึงครอบครัวเจ้าค่ะ ครอบครัวอุปถัมภ์”
“ครอบครัวอุปถัมภ์อย่างนั้นหรือ” ซื่ออิงทวนคำพูดของเหม่ยหลิน
“ครอบครัวอุปถัมภ์ก็คือครอบครัวที่ช่วยดูแลเมื่อเราพำนักอยู่ต่างถิ่น อย่างเช่นพวกท่านคือครอบครัวอุปถัมภ์ของข้า คือครอบครัวผู้มีพระคุณของข้าเจ้าค่ะ”เหม่ยหลินอธิบายยกใหญ่ ทำให้บังเกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านหมอหลิวที่ร่วมนั่งกินข้าวอยู่ด้วย
“ภาษาของชนเผ่าเจ้าอีกแล้วสินะ ช่างฟังยากนักหนา” เสียงทุ้มแหบของผู้อาวุโสกล่าวขึ้น
“พี่เหม่ยหลินวันหลังสอนข้าด้วยนะ ข้าอยากรู้ภาษาชนเผ่าของท่าน”จิ่นเออร์ออกปาก นึกสนุกกับภาษาที่เหม่ยหลินพูด
“ข้าด้วย สอนข้าด้วย”จื่อหลงก็ไม่ยอมแพ้ อยากเรียนด้วยเช่นกัน
เหม่ยหลินพยักหน้าหัวเราะเบาๆให้กับน้องสาวน้องชายที่น่ารัก ซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของทุกคน เพราะมันทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ในโลกดั่งจินตนาการแห่งนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่อากาศดี จิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงพาเหม่ยหลินเดินดูรอบหมู่บ้าน หญิงสาวตื่นตาตื่นใจกับสวนดอกไม้นานาชนิดที่ถูกปลูกไว้ในพื้นที่ไม่ไกลจากบ้านแต่ละหลัง พ้นเนินดินห่างออกไปมองเห็นดอกกุ้ยฮวาออกดอกเบ่งบานเต็มพื้นที่ สวยงามดุจกำแพงดอกไม้ล้อมรอบหมู่บ้าน หญิงสาวไม่ลืมว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเธอ
เหม่ยหลินขอให้ทั้งสองพาเดินไปที่ต้นกุ้ยต้นนั้นอีกครั้ง หวังลึกๆว่าสถานที่แห่งเดิมจะทำให้เธอพบหนทางกลับบ้านได้
“พี่เหม่ยหลินมองหาอะไรอยู่” จิ่นเอ๋อร์เห็นว่าเหม่ยหลินเดินวนไปวนมารอบต้นกุ้ยอยู่นานสองนานแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ข้ากำลังหาอุโมงค์ทะลุมิติอยู่น่ะสิ! เอ๊ะ...หรือจะไม่ใช่ต้นนี้ ต้องใช่สิ…มันต้องมีเงามีแสงอะไรสักอย่างให้เข้าไปได้” หญิงสาวมั่นใจว่าหากพยายามค้นหาให้มากที่สุดอย่างไงก็ต้องพบเจอเงื่อนงำอะไรบ้าง
มือไม้ของหญิงสาวลูบคลำไปทั่วลำต้นของต้นกุ้ย ไม่เว้นแม้แต่ต้นหญ้าต้นเล็กต้นน้อยที่ขึ้นโดยรอบก็ถูกถอนถูกดึงไปเสียหมด
“อุโมงค์อะไรกัน ในต้นกุ้ยต้นเล็กๆ จะมีอุโมงค์ได้อย่างไร”
“ต้องมีสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“อ้าว พี่เหม่ยหลินเดินทางมาจากทางทิศใต้มิใช่หรือ”
“ใช่ มาจากทางทิศใต้ แต่นอนหลับอยู่ดีๆ ข้าก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัว”
“พี่เหม่ยหลินมีวิชาหายตัวได้อย่างนั้นหรือ! ทำได้อย่างไรกัน” จื่อหลงพูดตามซื่อ
“ข้าคิดว่าต้องมีอุโมงค์ทะลุมิติพาข้าหายตัวมาที่นี่ ถ้าหาเจอเมื่อใดก็จะหายตัวกลับบ้านได้แน่นอน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะช่วยหา” เด็กน้อยจื่อหลงผู้ไร้เดียงสาเชื่อในสิ่งที่เหม่ยหลินพูด คิดเพียงว่าหากพบเจออุโมงค์อะไรนั่น จะช่วยให้เหม่ยหลินกลับบ้านได้
ทั้งสามคนช่วยกันหาตามต้นกุ้ยที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงแหวกหญ้าในละแวกนั้นจนทั่ว ก็ไม่มีวี่แววว่าอุโมงค์ทะลุมิติจะปรากฏ
“ไม่เห็นมีเลย! หรือว่าต้องนอนหลับใต้ต้นกุ้ยอีกสักครั้ง ถึงจะหายตัวกลับบ้านได้นะ” หญิงสาวนั่งหันหลังพิงโคนต้นไม้ หายใจหอบเหนื่อย
“พี่เหม่ยหลินอย่านอนที่นี่เลยนะ ท่านพ่อเคยบอกว่าให้ระวังหมาป่าเดินลงมาจากเขา ข้าว่าเรากลับบ้านท่านหมอหลิวกันเถอะ วันหลังค่อยกลับมาหาใหม่”จิ่นเออร์พูดด้วยความเป็นห่วง
เหม่ยหลินถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นเดินตามสองพี่น้องกลับเข้าหมู่บ้านแบบเนือยๆ ในเมื่อยังหาหนทางกลับบ้านไม่ได้อย่างนี้ ทำได้แค่เพียงขออาศัยอยู่บ้านท่านหมอหลิวไปพลางๆก่อน
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน เห็นผู้คนมากมายเดินสวนทางกันไปมาตรงประตูทางเข้าบ้านของท่านหมอหลิว ทุกคนต่างทยอยยกสิ่งของเข้าไปจัดวางไว้ที่ลานโล่งกลางบ้าน พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆจึงได้เห็นว่าเป็นสมุนไพรรักษาโรคนานาชนิดวางเรียงรายเป็นแถว มีเค่อหยวนทำหน้าที่เป็นผู้จำแนกสมุนไพรไม่ให้ปะปนกัน
ส่วนแถวถัดไปเป็นหีบไม้ขนาดใหญ่เปิดกว้างออก ภายในบรรจุสมุนไพรสำหรับความงามและบรรดาเครื่องหอม ถุงบุหงาที่ทำจากดอกไม้ รวมถึงเครื่องประทินโฉมสำหรับสตรี
ฝั่งตรงกันข้ามคือบรรดาผ้าไหมแพรพรรณสีสันสวยงามถูกจัดวางเรียงรายไว้บนแคร่ไม้ไผ่ เพื่อรอบรรจุลงหีบไม้เป็นลำดับต่อไป
“อุ๊ย...ผ้าไหมสีสวยๆทั้งนั้นเลย ผ้าไหมเหล่านี้ได้มาจากไหนเจ้าคะ”เหม่ยหลินให้ความสนใจกองผ้าไหมเป็นอย่างแรก เธอจึงเดินเข้าไปถามซื่ออิงที่กำลังตรวจสอบจำนวนของผ้าไหม
“หมู่บ้านหนิงอันของเราปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองและยังถักทอผ้าเหล่านี้ด้วยตัวเอง ผู้หญิงในหมู่บ้านทอผ้ากันเป็นแทบทุกคน”
หญิงสาวเข้าใจแล้วว่าทำไมเสื้อผ้าทั้งของเธอและคนในหมู่บ้านสวมใส่อยู่จึงดูสวยงามราวเป็นเนื้อผ้าชั้นดี ทั้งที่มองดูแล้วก็มิใช่หมู่บ้านที่มีฐานะร่ำรวย ที่แท้หมู่บ้านนี้เป็นดั่งหมู่บ้านหัตถกรรมถักทอผ้าด้วยตนเอง
“แล้วสถานที่ทอผ้าอยู่ที่ใด ข้าอยากเรียนรู้การทอผ้าเจ้าคะ” เหม่ยหลินพูดด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าจะไปดูเมื่อไรก็ได้ เอาไว้วันหลังให้จิ่นเออร์พาไปก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ช่วยข้าจัดข้าวของพวกนี้ให้เสร็จเสียก่อนเถิด” ซื่ออิงพูดพลางชี้ไปที่ข้าวของที่วางกองอยู่ ในใจนึกเอ็นดูเหม่ยหลินอยู่บ้าง อย่างน้อยหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่มีนิสัยเกียจคร้าน
“ได้เลยเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินรับปากจะตั้งใจทำงานอย่างขมีขมัน เริ่มต้นจากการหยิบโถใบเล็กที่ใช้บรรจุเครื่องประทินโฉมใส่ลงในหีบไม้ขนาดต่างๆ
“ข้าวของมากมายก่ายกองเช่นนี้ จะนำไปทำขายหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่หรอก ของเหล่านี้ส่วนหนึ่งส่งไปยังราชสำนัก อีกส่วนหนึ่งส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่แคว้นม่งอู๋” ป้าซื่ออิงตอบพลางหยิบโน่นนี่จัดเรียงไม่หยุดมือ
“บรรณาการให้แคว้นม่งอู๋! เหตุใดต้องส่งเครื่องบรรณาการ”
“เจ้าคงยังไม่รู้สถานการณ์ในยามนี้ แคว้นตงเยว่มีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการให้แก่แคว้นม่งอู๋ทุกสามปี หมู่บ้านหนิงอันของเราเป็นฝ่ายจัดเตรียมยาสมุนไพร รวมทั้งเหล่าเครื่องประทินโฉมกับบรรดาผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ส่วนหมู่บ้านอื่นก็จะจัดหาพืชพันธุ์ ธัญญาหารแตกต่างกันไป”
เหม่ยหลินเพิ่งรู้ว่าที่นี่คือแคว้นตงเยว่
‘ตกลงเราหลุดมาในยุคโบราณช่วงเวลาไหนกันแน่นะ แคว้นนี้อยู่ส่วนไหนของแผนที่จีนก็ไม่รู้ ที่เคยดูจากซีรีส์จีนส่วนใหญ่นางเอกย้อนยุคมาแล้วต้องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อันตรายได้ แต่เรารึ...อย่าให้พูดถึงประวัติศาสตร์จีนเลย แม้แต่ประวัติศาสตร์ไทยก็ยังเรียนรู้ไม่หมด รู้อย่างนี้เรียนประวัติศาสตร์ให้เยอะๆซะก็ดี’
ซื่ออิงพูดต่ออีกว่า “อันที่จริง เครื่องบรรณาการที่สำคัญกว่านั้นมิใช่แค่ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้หรอกนะ แต่ยังมีสิ่งอื่นอีก”
‘สิ่งอื่น’ ที่ป้าซื่ออิงพูดถึง ทำให้หญิงสาวหยุดมือชั่วครู่ รอฟังประโยคต่อไป
“เครื่องบรรณาการสำคัญมากที่ต้องส่งไปแคว้นอู๋คือ...สาวงามจำนวนครึ่งร้อย!”
“สาวงามครึ่งร้อย!!” เหม่ยหลินทำตาโตเผลอพูดย้ำคำพูดของป้าซื่ออิง “ผู้หญิงสวยๆ ตั้งห้าสิบนาง ต้องคัดเลือกกันยังไง หรือว่าแค่รูปร่างหน้าตาสวยงามก็เพียงพอแล้ว”
“แค่รูปร่างหน้าตาไม่เพียงพอ ทุกคนถูกส่งเข้าวังเพื่อไปเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ก่อนที่จะพาตัวไปแสดงต่อหน้าท่านอ๋องเจ้าผู้ครองแคว้นม่งอู๋ ดังนั้นหากหญิงใดผ่านการคัดเลือกก็จะมีสิทธิ์ถูกส่งตัวไปทั้งสิ้น”
ศิลปะแขนงนั้นแขนงนี้ คงจะหมายถึงศิลปะการร่ายรำ เล่นดนตรี วาดภาพ การเย็บปักถักร้อย เหม่ยหลินคิดว่าพวกนางคงไม่มีกะจิตกะใจฝึกฝนเป็นแน่ หญิงใดจะอยากถูกส่งตัวไปต่างบ้านต่างเมืองกันเล่า
แต่สิ่งที่ป้าซื่ออิงเล่าต่อจากนี้ กลับตรงกันข้ามกับความคิดของหญิงสาว
“คนที่เคยไปแคว้นม่งอู๋กลับมาเล่าให้ฟังว่า ตำหนักแต่ละแห่งในวังหลวงของแคว้นม่งอู๋นั้นสวยงามตระการตา หากเข้าไปแล้วได้เป็นนางกำนัลหรือหากมีโชควาสนาอาจถูกคัดเลือกเป็นสนมของท่านอ๋องได้รับพระราชทานตำหนักสวยสมฐานะ เพราะฉะนั้นเหล่าสาวงามล้วนเต็มใจและตั้งใจฝึกเพื่อให้ผ่านการคัดเลือกอย่างไรเล่า”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ในวังมีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หาความสุขสงบไม่ได้ ไม่เห็นน่าอยู่เลยสักนิด ถ้าเป็นข้า...คงไม่ยินยอมจากบ้านเกิดไปอย่างแน่นอน ข้ายอมนั่งทำงานทอผ้าอยู่บ้านเกิดไปตลอดชีวิตเสียยังดีกว่า” เหม่ยหลินพูดเปรียบเทียบตามที่รู้สึก
“อีกประการหนึ่งก็คือ สนมและนางกำนัลบางคนที่ไม่ได้รับการเหลียวแลแถมยังขาดอิสระในการใช้ชีวิต ย่อมไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริง แม้ว่าได้อยู่ในสถานที่สวยงามราวกับเมืองสวรรค์”
“เจ้าพูดอย่างกับว่าเคยอยู่ในวังหลวงมาก่อน”
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าก็ฟังมาจากผู้อื่นเช่นกัน”
ซื่ออิงอดแปลกใจไม่ได้ หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นเหม่ยหลินกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากหญิงงามสามัญชนทั่วไป หญิงงามหลายนางที่ไม่ได้เกิดในตระกูลสูงย่อมต้องการยกระดับตนเองเพื่อความเป็นอยู่ที่สุขสบายในวังหลวงมิใช่หรือ...
“อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยมาก พี่เหม่ยหลินต้องกินเยอะๆนะ” จื่อหลงหันไปพูดเจื้อยแจ้วกับพี่สาวคนสวยพลางใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวของเหม่ยหลิน จนคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารต่างหัวเราะชอบใจเอ็นดูในความช่างเอาอกเอาใจของจื่อหลง
เหม่ยหลินมองกับข้าวบนโต๊ะ บรรยากาศการกินข้าวด้วยตะเกียบเช่นนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึงปีแรกที่ไปเรียนต่อมัธยมปลายในประเทศจีน เธอได้พำนักกับครอบครัวชาวจีนเพื่อเป็นการฝึกภาษาและปรับตัวให้ชินกับวิถีชีวิตที่นั่น
“พี่เหม่ยหลินคิดอะไรอยู่ ไม่อร่อยเหรอ” จิ่นเอ๋อร์เห็นเหม่ยหลินนิ่งไปครู่หนึ่งจึงถามตรงๆ
“เปล่าๆ อาหารอร่อยมาก เพียงแต่เห็นแบบนี้ทำให้ข้าคิดถึงโฮสต์แฟมิลี่ที่เคยดูแลข้า”เหม่ยหลินคีบอาหารเข้าปากเคี้ยวคำแรกเบาๆ
ประโยคที่หญิงสาวพูดทำให้คนบนโต๊ะอาหารหันมามองเธอเป็นตาเดียว จนกระทั่งเค่อหยวนที่เพิ่งเคยได้ยินคำพูดแปลกๆ ของเหม่ยหลินเป็นครั้งแรกเอ่ยถามขึ้นก่อน
“เจ้าพูดว่าอะไรนะเหม่ยหลิน โฮ...โฮลี่”
“อ๋อ...ข้าหมายถึงครอบครัวเจ้าค่ะ ครอบครัวอุปถัมภ์”
“ครอบครัวอุปถัมภ์อย่างนั้นหรือ” ซื่ออิงทวนคำพูดของเหม่ยหลิน
“ครอบครัวอุปถัมภ์ก็คือครอบครัวที่ช่วยดูแลเมื่อเราพำนักอยู่ต่างถิ่น อย่างเช่นพวกท่านคือครอบครัวอุปถัมภ์ของข้า คือครอบครัวผู้มีพระคุณของข้าเจ้าค่ะ”เหม่ยหลินอธิบายยกใหญ่ ทำให้บังเกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านหมอหลิวที่ร่วมนั่งกินข้าวอยู่ด้วย
“ภาษาของชนเผ่าเจ้าอีกแล้วสินะ ช่างฟังยากนักหนา” เสียงทุ้มแหบของผู้อาวุโสกล่าวขึ้น
“พี่เหม่ยหลินวันหลังสอนข้าด้วยนะ ข้าอยากรู้ภาษาชนเผ่าของท่าน”จิ่นเออร์ออกปาก นึกสนุกกับภาษาที่เหม่ยหลินพูด
“ข้าด้วย สอนข้าด้วย”จื่อหลงก็ไม่ยอมแพ้ อยากเรียนด้วยเช่นกัน
เหม่ยหลินพยักหน้าหัวเราะเบาๆให้กับน้องสาวน้องชายที่น่ารัก ซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของทุกคน เพราะมันทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ในโลกดั่งจินตนาการแห่งนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่อากาศดี จิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงพาเหม่ยหลินเดินดูรอบหมู่บ้าน หญิงสาวตื่นตาตื่นใจกับสวนดอกไม้นานาชนิดที่ถูกปลูกไว้ในพื้นที่ไม่ไกลจากบ้านแต่ละหลัง พ้นเนินดินห่างออกไปมองเห็นดอกกุ้ยฮวาออกดอกเบ่งบานเต็มพื้นที่ สวยงามดุจกำแพงดอกไม้ล้อมรอบหมู่บ้าน หญิงสาวไม่ลืมว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเธอ
เหม่ยหลินขอให้ทั้งสองพาเดินไปที่ต้นกุ้ยต้นนั้นอีกครั้ง หวังลึกๆว่าสถานที่แห่งเดิมจะทำให้เธอพบหนทางกลับบ้านได้
“พี่เหม่ยหลินมองหาอะไรอยู่” จิ่นเอ๋อร์เห็นว่าเหม่ยหลินเดินวนไปวนมารอบต้นกุ้ยอยู่นานสองนานแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ข้ากำลังหาอุโมงค์ทะลุมิติอยู่น่ะสิ! เอ๊ะ...หรือจะไม่ใช่ต้นนี้ ต้องใช่สิ…มันต้องมีเงามีแสงอะไรสักอย่างให้เข้าไปได้” หญิงสาวมั่นใจว่าหากพยายามค้นหาให้มากที่สุดอย่างไงก็ต้องพบเจอเงื่อนงำอะไรบ้าง
มือไม้ของหญิงสาวลูบคลำไปทั่วลำต้นของต้นกุ้ย ไม่เว้นแม้แต่ต้นหญ้าต้นเล็กต้นน้อยที่ขึ้นโดยรอบก็ถูกถอนถูกดึงไปเสียหมด
“อุโมงค์อะไรกัน ในต้นกุ้ยต้นเล็กๆ จะมีอุโมงค์ได้อย่างไร”
“ต้องมีสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“อ้าว พี่เหม่ยหลินเดินทางมาจากทางทิศใต้มิใช่หรือ”
“ใช่ มาจากทางทิศใต้ แต่นอนหลับอยู่ดีๆ ข้าก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัว”
“พี่เหม่ยหลินมีวิชาหายตัวได้อย่างนั้นหรือ! ทำได้อย่างไรกัน” จื่อหลงพูดตามซื่อ
“ข้าคิดว่าต้องมีอุโมงค์ทะลุมิติพาข้าหายตัวมาที่นี่ ถ้าหาเจอเมื่อใดก็จะหายตัวกลับบ้านได้แน่นอน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะช่วยหา” เด็กน้อยจื่อหลงผู้ไร้เดียงสาเชื่อในสิ่งที่เหม่ยหลินพูด คิดเพียงว่าหากพบเจออุโมงค์อะไรนั่น จะช่วยให้เหม่ยหลินกลับบ้านได้
ทั้งสามคนช่วยกันหาตามต้นกุ้ยที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงแหวกหญ้าในละแวกนั้นจนทั่ว ก็ไม่มีวี่แววว่าอุโมงค์ทะลุมิติจะปรากฏ
“ไม่เห็นมีเลย! หรือว่าต้องนอนหลับใต้ต้นกุ้ยอีกสักครั้ง ถึงจะหายตัวกลับบ้านได้นะ” หญิงสาวนั่งหันหลังพิงโคนต้นไม้ หายใจหอบเหนื่อย
“พี่เหม่ยหลินอย่านอนที่นี่เลยนะ ท่านพ่อเคยบอกว่าให้ระวังหมาป่าเดินลงมาจากเขา ข้าว่าเรากลับบ้านท่านหมอหลิวกันเถอะ วันหลังค่อยกลับมาหาใหม่”จิ่นเออร์พูดด้วยความเป็นห่วง
เหม่ยหลินถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นเดินตามสองพี่น้องกลับเข้าหมู่บ้านแบบเนือยๆ ในเมื่อยังหาหนทางกลับบ้านไม่ได้อย่างนี้ ทำได้แค่เพียงขออาศัยอยู่บ้านท่านหมอหลิวไปพลางๆก่อน
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน เห็นผู้คนมากมายเดินสวนทางกันไปมาตรงประตูทางเข้าบ้านของท่านหมอหลิว ทุกคนต่างทยอยยกสิ่งของเข้าไปจัดวางไว้ที่ลานโล่งกลางบ้าน พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆจึงได้เห็นว่าเป็นสมุนไพรรักษาโรคนานาชนิดวางเรียงรายเป็นแถว มีเค่อหยวนทำหน้าที่เป็นผู้จำแนกสมุนไพรไม่ให้ปะปนกัน
ส่วนแถวถัดไปเป็นหีบไม้ขนาดใหญ่เปิดกว้างออก ภายในบรรจุสมุนไพรสำหรับความงามและบรรดาเครื่องหอม ถุงบุหงาที่ทำจากดอกไม้ รวมถึงเครื่องประทินโฉมสำหรับสตรี
ฝั่งตรงกันข้ามคือบรรดาผ้าไหมแพรพรรณสีสันสวยงามถูกจัดวางเรียงรายไว้บนแคร่ไม้ไผ่ เพื่อรอบรรจุลงหีบไม้เป็นลำดับต่อไป
“อุ๊ย...ผ้าไหมสีสวยๆทั้งนั้นเลย ผ้าไหมเหล่านี้ได้มาจากไหนเจ้าคะ”เหม่ยหลินให้ความสนใจกองผ้าไหมเป็นอย่างแรก เธอจึงเดินเข้าไปถามซื่ออิงที่กำลังตรวจสอบจำนวนของผ้าไหม
“หมู่บ้านหนิงอันของเราปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองและยังถักทอผ้าเหล่านี้ด้วยตัวเอง ผู้หญิงในหมู่บ้านทอผ้ากันเป็นแทบทุกคน”
หญิงสาวเข้าใจแล้วว่าทำไมเสื้อผ้าทั้งของเธอและคนในหมู่บ้านสวมใส่อยู่จึงดูสวยงามราวเป็นเนื้อผ้าชั้นดี ทั้งที่มองดูแล้วก็มิใช่หมู่บ้านที่มีฐานะร่ำรวย ที่แท้หมู่บ้านนี้เป็นดั่งหมู่บ้านหัตถกรรมถักทอผ้าด้วยตนเอง
“แล้วสถานที่ทอผ้าอยู่ที่ใด ข้าอยากเรียนรู้การทอผ้าเจ้าคะ” เหม่ยหลินพูดด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าจะไปดูเมื่อไรก็ได้ เอาไว้วันหลังให้จิ่นเออร์พาไปก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ช่วยข้าจัดข้าวของพวกนี้ให้เสร็จเสียก่อนเถิด” ซื่ออิงพูดพลางชี้ไปที่ข้าวของที่วางกองอยู่ ในใจนึกเอ็นดูเหม่ยหลินอยู่บ้าง อย่างน้อยหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่มีนิสัยเกียจคร้าน
“ได้เลยเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินรับปากจะตั้งใจทำงานอย่างขมีขมัน เริ่มต้นจากการหยิบโถใบเล็กที่ใช้บรรจุเครื่องประทินโฉมใส่ลงในหีบไม้ขนาดต่างๆ
“ข้าวของมากมายก่ายกองเช่นนี้ จะนำไปทำขายหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่หรอก ของเหล่านี้ส่วนหนึ่งส่งไปยังราชสำนัก อีกส่วนหนึ่งส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่แคว้นม่งอู๋” ป้าซื่ออิงตอบพลางหยิบโน่นนี่จัดเรียงไม่หยุดมือ
“บรรณาการให้แคว้นม่งอู๋! เหตุใดต้องส่งเครื่องบรรณาการ”
“เจ้าคงยังไม่รู้สถานการณ์ในยามนี้ แคว้นตงเยว่มีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการให้แก่แคว้นม่งอู๋ทุกสามปี หมู่บ้านหนิงอันของเราเป็นฝ่ายจัดเตรียมยาสมุนไพร รวมทั้งเหล่าเครื่องประทินโฉมกับบรรดาผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ส่วนหมู่บ้านอื่นก็จะจัดหาพืชพันธุ์ ธัญญาหารแตกต่างกันไป”
เหม่ยหลินเพิ่งรู้ว่าที่นี่คือแคว้นตงเยว่
‘ตกลงเราหลุดมาในยุคโบราณช่วงเวลาไหนกันแน่นะ แคว้นนี้อยู่ส่วนไหนของแผนที่จีนก็ไม่รู้ ที่เคยดูจากซีรีส์จีนส่วนใหญ่นางเอกย้อนยุคมาแล้วต้องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อันตรายได้ แต่เรารึ...อย่าให้พูดถึงประวัติศาสตร์จีนเลย แม้แต่ประวัติศาสตร์ไทยก็ยังเรียนรู้ไม่หมด รู้อย่างนี้เรียนประวัติศาสตร์ให้เยอะๆซะก็ดี’
ซื่ออิงพูดต่ออีกว่า “อันที่จริง เครื่องบรรณาการที่สำคัญกว่านั้นมิใช่แค่ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้หรอกนะ แต่ยังมีสิ่งอื่นอีก”
‘สิ่งอื่น’ ที่ป้าซื่ออิงพูดถึง ทำให้หญิงสาวหยุดมือชั่วครู่ รอฟังประโยคต่อไป
“เครื่องบรรณาการสำคัญมากที่ต้องส่งไปแคว้นอู๋คือ...สาวงามจำนวนครึ่งร้อย!”
“สาวงามครึ่งร้อย!!” เหม่ยหลินทำตาโตเผลอพูดย้ำคำพูดของป้าซื่ออิง “ผู้หญิงสวยๆ ตั้งห้าสิบนาง ต้องคัดเลือกกันยังไง หรือว่าแค่รูปร่างหน้าตาสวยงามก็เพียงพอแล้ว”
“แค่รูปร่างหน้าตาไม่เพียงพอ ทุกคนถูกส่งเข้าวังเพื่อไปเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ก่อนที่จะพาตัวไปแสดงต่อหน้าท่านอ๋องเจ้าผู้ครองแคว้นม่งอู๋ ดังนั้นหากหญิงใดผ่านการคัดเลือกก็จะมีสิทธิ์ถูกส่งตัวไปทั้งสิ้น”
ศิลปะแขนงนั้นแขนงนี้ คงจะหมายถึงศิลปะการร่ายรำ เล่นดนตรี วาดภาพ การเย็บปักถักร้อย เหม่ยหลินคิดว่าพวกนางคงไม่มีกะจิตกะใจฝึกฝนเป็นแน่ หญิงใดจะอยากถูกส่งตัวไปต่างบ้านต่างเมืองกันเล่า
แต่สิ่งที่ป้าซื่ออิงเล่าต่อจากนี้ กลับตรงกันข้ามกับความคิดของหญิงสาว
“คนที่เคยไปแคว้นม่งอู๋กลับมาเล่าให้ฟังว่า ตำหนักแต่ละแห่งในวังหลวงของแคว้นม่งอู๋นั้นสวยงามตระการตา หากเข้าไปแล้วได้เป็นนางกำนัลหรือหากมีโชควาสนาอาจถูกคัดเลือกเป็นสนมของท่านอ๋องได้รับพระราชทานตำหนักสวยสมฐานะ เพราะฉะนั้นเหล่าสาวงามล้วนเต็มใจและตั้งใจฝึกเพื่อให้ผ่านการคัดเลือกอย่างไรเล่า”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ในวังมีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หาความสุขสงบไม่ได้ ไม่เห็นน่าอยู่เลยสักนิด ถ้าเป็นข้า...คงไม่ยินยอมจากบ้านเกิดไปอย่างแน่นอน ข้ายอมนั่งทำงานทอผ้าอยู่บ้านเกิดไปตลอดชีวิตเสียยังดีกว่า” เหม่ยหลินพูดเปรียบเทียบตามที่รู้สึก
“อีกประการหนึ่งก็คือ สนมและนางกำนัลบางคนที่ไม่ได้รับการเหลียวแลแถมยังขาดอิสระในการใช้ชีวิต ย่อมไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริง แม้ว่าได้อยู่ในสถานที่สวยงามราวกับเมืองสวรรค์”
“เจ้าพูดอย่างกับว่าเคยอยู่ในวังหลวงมาก่อน”
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าก็ฟังมาจากผู้อื่นเช่นกัน”
ซื่ออิงอดแปลกใจไม่ได้ หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นเหม่ยหลินกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากหญิงงามสามัญชนทั่วไป หญิงงามหลายนางที่ไม่ได้เกิดในตระกูลสูงย่อมต้องการยกระดับตนเองเพื่อความเป็นอยู่ที่สุขสบายในวังหลวงมิใช่หรือ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ