ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ขออยู่บ้านท่านหมอหลิว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเอมมาลินหมุนตัวไปมาหน้ากระจก เธอเห็นตัวเองในชุดเสื้อผ้าแบบชุดกระโปรงยาวลากพื้นและสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นอย่างเช่นสตรีจีนยุคนี้นิยมสวมใส่กัน ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเธอหลุดเข้ามาอยู่ในยุคจีนโบราณแล้วจริงๆ
หญิงสาวอมยิ้มพอใจกับชุดที่ช่างเข้ากับรูปร่าง แถมสีสันยังเหมาะสมกับวัยไม่ถึงยี่สิบปีเช่นเธอเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณป้าซื่ออิงผู้เป็นแม่ของจิ่นเอ๋อร์กับจื่อหลงที่ยกเสื้อผ้าเหล่านี้ให้แก่เธอ ทั้งยังช่วยสอนวิธีการสวมใส่ที่ดูช่างยากเย็น ไหนจะฝีมือขมวดผมผสมผสานถักเปียเกล้าขึ้นครึ่งศีรษะเป็นทรงสวย
ป้าซื่ออิงใช้ปิ่นไม้แกะสลักรูปดอกบัวปักไว้ที่เกล้ามวยผมของหญิงสาวเป็นขั้นตอนสุดท้าย ปล่อยให้ผมส่วนที่เหลือทอดตัวยาวลงจนถึงกลางหลัง
เอมมาลินทึ่งในวิธีขมวดผมอย่างชำนิชำนาญของป้าซื่ออิง ดูช่างมหัศจรรย์ใกล้เคียงกับ‘ไอเดียทำผมให้สวยปัง!’ตามแบบที่เผยแพร่กันในช่องยูทูปเลยทีเดียว นี่ถ้าป้าซื่ออิงเป็นคนยุคเดียวกับเธอ จะต้องเป็นช่างทำผมมือหนึ่งแน่นอน
ส่วนซื่ออิงได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ ‘ดูท่าทางของหญิงสาวผู้นี้ไม่คุ้นเคยกับข้าวของเครื่องใช้ใดๆเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดาก็สวมใส่ไม่เป็น’ เห็นเช่นนี้แล้วซื่ออิงอดไม่ได้ต้องช่วยแต่งตัวให้แก่หญิงสาวแปลกหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ
“เจ้าเป็นคนชนเผ่าไหนกันแน่นะเหม่ยหลิน เหตุใดจึงไม่รู้จักการแต่งกายง่ายๆเช่นนี้” ซื่ออิงบ่นพึมพำในขณะที่เพ่งพินิจร่างอรชร หญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนักเมื่อได้แต่งตัวเสียใหม่ในชุดเฉกเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ส่วนเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่ติดกายมาช่างดูขัดหูขัดตาเสียจริง ไม่คิดว่าผ้าเนื้อบางเช่นนั้นจะทำให้ผู้สวมใส่ทนต่ออากาศหนาวได้อย่างไร
เอมมาลินได้ยินป้าซื่ออิงเรียกชื่อเธอว่า ‘เหม่ยหลิน’ ก็ยิ่งให้สะท้อนใจ ‘มันคงไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้วสินะ...ต่อไปนี้ ฉันต้องใช้ชีวิตด้วยชื่อเหม่ยหลินไปจนกว่าจะรู้เหตุผลที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่’
“ที่ที่ข้าจากมาอยู่ไกลมาก เมืองที่ข้าอยู่ก็เป็นเมืองร้อน แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวก็ไม่ถึงกับหนาวจนทนไม่ได้ เพราะเมืองของเราไม่เคยมีหิมะตก เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงไม่ใคร่รัดกุมแต่เป็นแบบบางสบาย แตกต่างกับที่นี่มากมายนัก”
เอมมาลินหรือเหม่ยหลิน อธิบายภาพรวมของเมืองที่เธอจากมา เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะบอกชื่อประเทศหรือชื่อเมืองให้ผู้ใดได้ยินในเวลานี้
“บ้านของเจ้าไกลถึงเพียงนั้นเชียวหรือ อยู่ทิศทางใดกันเล่า”
“บ้านของข้าอยู่ไกลออกไปทางทิศใต้เจ้าค่ะ” พอพูดคำว่าบ้าน น้ำเสียงสั่นเครือโดยไม่รู้ตัว
ป้าซื่ออิงบรรจงหวีผมดำขลับของเหม่ยหลินอย่างเบามือ มันยิ่งทำให้นึกถึงยายและแม่
“ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านได้อย่างไร” อยู่ๆน้ำตาก็คลอเบ้าเสียอย่างนั้น
ซื่ออิงมองดวงหน้าที่ดูเศร้าสร้อยของเหม่ยหลินแล้วอดสงสารไม่ได้ แววตาของนางดูไม่ใช่คนโกหก หากไล่ให้นางไปอยู่ที่อื่นก็เกรงว่านางคงต้องใช้ชีวิตตกระกำลำบากเป็นแน่
“เอาล่ะๆ ถ้าหากเจ้ายังไม่ที่ไป ข้าจะขอร้องท่านหมอหลิวอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ด้วยก็แล้วกัน บ้านของท่านหมอพื้นที่กว้างขวางที่สุดในหมู่บ้าน เจ้าคงอยู่ได้อย่างไม่อึดอัด” ซื่ออิงตบไหล่เหม่ยหลินเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ
ซื่ออิงก้าวออกจากห้องของเหม่ยหลินแล้วเดินตรงลิ่วไปยังห้องทำงานของหมอหลิว
นางเปิดเรื่องสนทนาในสิ่งที่นางอยากขอความเห็นจากท่านหมอเป็นอย่างแรก
“ท่านคิดเห็นเช่นไร เหตุใดจึงพบคนแปลกหน้าที่ใต้ต้นกุ้ยอีกครั้ง”
ท่านหมอหลิวซูเหยียนละสายตาจากตำรายา เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สะดุดคำว่า ‘อีกครั้ง’ ที่ซื่ออิงกล่าวเมื่อครู่
“ซื่ออิง...เจ้าคงหมายถึงครั้งก่อน ที่เราก็พบท่านแม่ทัพหวางชุนเทียนใต้ต้นกุ้ยสินะ”
ซื่ออิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“ใช่... และนี่เป็นครั้งที่สอง ที่เราได้พบกับเหม่ยหลิน คนทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันหรือเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่ ท่านไม่แปลกใจบ้างหรือ”
คนแปลกหน้าคนแรกที่หมอหลิวกล่าวถึง คือแม่ทัพหนุ่มหวางชุนเทียน ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ใต้ต้นกุ้ย สถานที่เดียวกันกับครั้งนี้ที่พบเจอเหม่ยหลินใต้ต้นกุ้ยต้นเดิม
หมอหลิวซูเหยียนนึกย้อนไปเมื่อสามเดือนก่อน....เ
ช้าตรู่วันหนึ่ง ระหว่างทางที่ท่านหมอหลิวซูเหยียนออกเดินทางพร้อมกับเค่อหยวนสามีของซื่ออิง เพื่อขึ้นเขาเพื่อเก็บยาสมุนไพร กลับได้พบเจอชายร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะนักรบนอนหมดสติอยู่ใต้ต้นกุ้ย ร่างกายบาดเจ็บสาหัสจนไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอด
หมอหลิวพยายามลำดับเหตุการณ์ของคนทั้งสอง แต่ก็คิดไม่ตกว่าจะเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
จนกระทั่งมานึกถึงคำพูดของหวามชุนเทียน เมื่อเขาฟื้นคืนสติจากอาการบาดเจ็บ
“ท่านหมอ ตอนที่ท่านได้พบข้าที่ใต้ต้นกุ้ย...ท่านได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งตัวแปลกประหลาดอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”
เสียงของชายผู้มีสีหน้าอิดโรยจากการเสียเลือดมากเอ่ยถามทั้งที่ตนเองยังนอนหมดเรี่ยวแรง ศีรษะและร่างกายบางส่วนของเขาถูกแปะยาสมุนไพรพันทับด้วยผ้าขาว
“หญิงสาวที่ไหนกัน ข้าพบท่านนอนบาดเจ็บอยู่เพียงผู้เดียว” หมอชราวางมือจากการทำแผลที่ต้นขาชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถามหาหญิงสาวที่ไม่มีที่ไปที่มา
“อยู่ๆนางก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับหายตัวได้ นางเข้าใจที่ข้าพูด แต่ภาษาที่นางพูดกลับเป็นอย่างอื่น”
คำบอกเล่าของหวางชุนเทียนเกี่ยวกับสตรีที่ปรากฏตัวเหนือธรรมชาติเช่นนั้นไม่อาจทำให้หมอหลิวซูเหยียนเชื่อได้ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะเป็นจริง
“ท่านคงเจ็บปวดจากบาดแผลมากจนเกินไป หญิงสาวที่ท่านเห็นอาจเป็นแค่ภาพหลอน” คำสันนิษฐานของหมอหลิวมีความเป็นไปได้ แต่หวางชุนเทียนไม่คิดเช่นนั้น เขาจดจำดวงหน้าและน้ำเสียงของหญิงผู้นั้นได้ นางมีตัวตนอย่างแน่นอน...
หลังจากการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่ทัพหนุ่มอาการดีขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในระหว่างที่พักฟื้นอยู่บ้านท่านหมอ ก็มีทหารหลายนายควบม้าเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อตามหาแม่ทัพหนุ่ม ดูเหมือนหนึ่งในม้าหลายตัวนั้นมีม้าสีนิลเดินกุบกับร่วมขบวนมาด้วย หวางชุนเทียนรู้ได้ทันทีว่าคือเจ้าม้าสีนิลตัวโปรดของเขา มันถูกฝึกให้วิ่งกลับไปที่จวนทุกครั้งที่เกิดภัย เมื่อทหารเห็นม้ากลับมาโดยไร้เจ้านายของมัน ทหารจะรู้ได้ทันทีว่ามันจะพาทหารวิ่งไปสู่สถานที่สุดท้ายที่มันจากมาเพื่อตามหาเจ้านายของมันอีกครั้ง
“ม้าสีนิลของท่านช่างแสนรู้นัก มันสามารถจดจำหนทางที่เคยพาท่านมาได้” หมอหลิวชื่นชมเจ้าสัตว์แสนรู้ตัวนี้ คงเป็นเจ้าตัวนี้สินะที่พาเจ้านายของมันมาหลบภัยที่ใต้ต้นกุ้ย
“ใช่...มันคือม้าคู่ใจของข้า เราฝึกให้มันมีสัญชาติญาณเมื่อมีภัยมาถึงตัว” แม่ทัพหนุ่มลูบหัวเจ้าม้าเพื่อนยากเบาๆ
หมอหลิวรู้สึกดีใจที่ตัดสินใจช่วยเหลือไม่ผิดคน ด้วยในยามนี้เกิดศึกสงครามระหว่างแคว้น หากผู้บาดเจ็บในชุดนักรบที่หมอหลิวช่วยไว้เป็นคนของข้าศึกศัตรู การทำความดีครั้งนี้อาจไม่เกิดประโยชน์ใดกับบ้านเมืองเลยก็เป็นได้
ท่านหมอหลิวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองกรงซี่ไม้ไผ่ทรงกลมที่แขวนอยู่เหนือชานระเบียงทางเดิน เจ้านกพิราบสีขาวยืนเกาะท่อนไม้ที่พาดอยู่ภายในกรงอย่างสงบเสงี่ยม มันคือนกพิราบที่แม่ทัพหวางสั่งให้ทหารนำมามอบแก่หมอหลิว เพื่อไว้ใช้ประโยชน์ในยามที่ต้องการแจ้งข่าวหรือต้องการความช่วยเหลือ
“ซื่ออิง...หากเจ้าไม่ได้พูดขึ้นมา ข้าเกือบลืมที่แม่ทัพหวางเคยบอกเล่าไว้เกี่ยวกับหญิงสาวผู้นั้นเสียแล้ว” หมอหลิวหันไปเอ่ยกับซื่ออิง
“หญิงสาวผู้นี้มีที่ไปที่มาไม่ชัดเจน กิริยาอาการตื่นตระหนกคล้ายไม่เคยพบเจอผู้คนมาก่อน หรือว่านางคือหญิงสาวที่แม่ทัพหวางพบเจอ” ซื่ออิงคาดเดาเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง
“อีกอย่างนางผู้นี้ไม่มีความทรงจำอะไรที่เกี่ยวข้องกับเหม่ยหลินเลยก็จริง แต่ปานที่แขนของนางอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนางก็บอกเองว่าปานที่แขนของนางเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนางมาถึงที่นี่...”
สิ่งหนึ่งที่หาคำตอบไม่ได้คือปานรูปดอกไม้ของหญิงสาวที่มีชื่อเหมือนกับลูกสาวคนเดียวของท่านหมอหลิว เหม่ยหลินคือลูกสาวที่ภรรยาสุดที่รักของหมอหลิวได้สั่งเสียไว้ให้ดูแลอย่างดีก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจไปหลังจากคลอดบุตร แต่เหตุใดโชคชะตาจึงไม่เข้าข้างสามีและพ่อผู้อาภัพคนนี้... พอเหม่ยหลินอายุได้เพียงแปดปีก็ต้องมาตายด้วยโรคระบาดฉับพลันที่ยังไม่มียารักษาในเวลานั้น
หลิวซูเหยียนได้แต่เฝ้าโทษตัวเองที่ไม่อาจรักษาลูกสาวให้หายจากโรคได้ เขาฝักใฝ่ในการพัฒนาตัวยาหลายปีเพื่อเอาชนะโรคระบาดรวมทั้งโรคที่รักษายากอื่นๆ จนกระทั่งกลายเป็นหมอรักษาโรคที่เชี่ยวชาญ
ท่านหมอได้รับการเชื้อเชิญจากวังหลวง ให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในหมอหลวง แต่ท่านหมอหลิวก็ปฏิเสธไป เขาอ้างว่าต้องการอยู่นอกวังมากกว่าเพื่อคิดค้นตัวยาใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยรับปากว่าจะเป็นผู้จัดส่งตัวยาสมุนไพรชั้นเลิศส่งเข้าวังหลวงไม่ขาด
เมื่อมีเสียงเคาะประตูก๊อกๆ ทำให้เรื่องราวมากมายในอดีตที่หมอหลิวหวนนึกถึงอยู่รวมทั้งบทสนทนาของทั้งสองต้องยุติลงทันที
ซื่ออิงดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด จึงเดินไปเปิดประตู
ที่แท้คือจิ่นเอ๋อร์กับจื่อหลงสองพี่น้องที่เดินจูงมือพาเหม่ยหลินมาที่ห้องทำงานของหมอหลิวตามคำสั่งของซื่ออิ่งผู้เป็นแม่ เหม่ยหลินยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูท่าทางกล้าๆกลัวๆ
“พวกเจ้าจะยืนอยู่ทำไม เข้ามาเถิด” เมื่อหมอหลิวเป็นคนพูดอนุญาตเสียเอง ทำให้เหม่ยหลินมีรอยยิ้มขึ้นมาได้ ตั้งแต่มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เธอมีความกังวลหลายประการเสียจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
จิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงต่างจับมือเหม่ยหลินคนละข้าง คะยั้นคะยอให้หญิงสาวเข้ามาเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้าน
“ท่านหมอหลิว ได้โปรดรับพี่เหม่ยหลินไว้ด้วย พี่เหม่ยหลินไม่มีบ้าน” จื่อหลงพูดตามประสาเด็กน้อย
เหม่ยหลินเองก็ทำสายตาเชิงอ้อนวอน รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระและปากหนักเกินกว่าจะเป็นผู้พูดขอร้องท่านหมอ ทำให้ต้องตกเป็นภาระของเด็กทั้งสองให้ช่วยพูดขอร้องแทน
“ข้าขอออกความเห็นได้หรือไม่” ซื่ออิงกล่าวขึ้น “หากว่าเป็นเพราะฟ้าดินกำหนดมาให้ท่านได้ช่วยชีวิตท่านแม่ทัพหวาง ในตอนนี้อาจเป็นอีกครั้งที่กำหนดให้ท่านได้พบกับเหม่ยหลิน ส่วนตัวข้าเองก็ยังจำวันที่ได้รับความกรุณาจากท่านหมอหลิวที่อนุญาตให้ข้าและครอบครัวได้อาศัยอยู่ที่บ้านของท่านได้เช่นกัน”
ซื่ออิงหวนนึกถึงวันที่สามีพานางหนีภัยสงครามจากหมู่บ้านห่างไกลที่ถูกยึดครองโดยกองทัพทหารต่างแคว้น จนได้มาพบท่านหมอหลิว ในขณะนั้นทั้งจิ่นเอ๋อร์และจื่อหลงยังเล็กอยู่มาก ทำให้ท่านหมอเกิดความสงสารรับทั้งสี่ไว้ให้อยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งถือเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ทางการปลูกสร้างไว้ให้แก่หมอหลิว
เค่อหยวน สามีของซื่ออิงทำหน้าที่ออกหาสมุนไพรตามที่หมอหลิวสอนไว้ ส่วนซื่ออิงทำหน้าที่ดูแลบ้านและเป็นผู้ช่วยรักษาพยาบาลผู้ป่วย ทั้งสองต่างตอบแทนความมีน้ำใจของท่านหมออย่างเต็มที่
“ซื่ออิง...ข้าต้องขอบใจเจ้ากับเค่อหยวนมากกว่า หลายปีมานี้เจ้าสองคนช่วยงานข้าตั้งมากมาย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านหมอจะกรุณารับเหม่ยหลินคนนี้ไว้ด้วยได้หรือไม่”ซื่ออิงพูดเข้าเรื่องทันที
“ข้ากับจื่อหลงจะเป็นคนช่วยดูแลพี่เหม่ยหลินเอง” จิ่นเอ๋อร์ก็พูดขอร้องเช่นกัน “นะๆ พี่เหม่ยหลินรีบพูดขอร้องท่านหมอเร็วเข้า”
“เอ่อ..ขะ..ข้าไม่มีที่ไปจริงๆ ท่านหมอโปรดเมตตารับข้าไว้ด้วยเถิด ข้าจะช่วยเหลืองานของท่านหมอและช่วยแบ่งเบางานของป้าซื่ออิง จะไม่ทำสิ่งใดให้ท่านลำบากใจแน่นอนเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักเชิงขอร้อง
หลังจากได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับซื่ออิงและครอบครัวที่ต่างก็เป็นผู้พักอาศัยในบ้านหลังนี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าท่านหมอหลิวผู้นี้มีจิตใจเมตตา ทำให้เหม่ยหลินใจชื้นขึ้นมาได้ จึงกล้าพูดขอเป็นผู้อาศัยอีกคนหนึ่ง
“ในเมื่อพวกเจ้าร่วมใจกันขอร้องถึงขนาดนี้ ข้าคงไม่อาจปฏิเสธได้”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” เหม่ยหลินยิ้มดีใจ จนเผลอโน้มตัวยกมือไหว้หมอหลิว แต่เมื่อเห็นทุกคนมองหน้าสลับกันไปมาด้วยความสงสัยในท่ายกมือไหว้ของเธอ เหม่ยหลินก็รีบเปลี่ยนท่าทาง มือขวาหุ้มกำปั้นซ้ายแล้วโค้งคำนับแสดงความเคารพตามอย่างที่เคยเห็นในซีรีย์จีนแทน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ