ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ภาพวาดอันงดงาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันนี้เป็นอีกวันที่เหม่ยหลินมาที่ต้นกุ้ย เธอรับอาสาเก็บดอกกุ้ยฮวาสำหรับนำกลับไปใช้ทำเครื่องหอมและถุงหอม ซึ่งเป็นหนึ่งในงานหัตถกรรมขึ้นชื่อของหมู่บ้านหนิงอัน ดังนั้นในแต่ละวันจะมีงานมากมายที่รับผิดชอบจนทำให้หญิงสาวเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อ

หลังจากได้ดอกกุ้ยฮวาสีสวยจนพูนตะกร้า หญิงสาววางมันไว้ที่พื้นก่อนที่จะย่อตัวลงนั่ง ร่างบางเอนกายไปด้านหลังเหยียดขาในท่าสบายๆ ศีรษะพิงกับโคนต้นไม้ สายตาเหม่อมองไปยังกิ่งก้านสาขาที่พลิ้วไหวตามแรงลม ดอกกุ้ยฮวาหลายดอกร่วงหล่นลงพื้นดินตามธรรมชาติ ดวงตากลมโตหรี่ลงเมื่อเงยหน้ามองแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านช่องว่างของพุ่มใบ

‘เมื่อไรจะพาฉันกลับบ้านสักทีนะ’ หญิงสาวรำพึงรำพันเชิงตัดพ้อ...ใครหรืออะไรก็ตามที่พาเธอมาอยู่ที่แห่งนี้ ช่วยพาฉันกลับบ้านทีเถอะ!

“มาที่นี่อีกแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังเดินไม่ถึงจุดหมาย ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นจิ่นเอ๋อร์ที่ตามมาด้วยความเป็นห่วง ในมือของเด็กสาวถือขลุ่ยไม้ไผ่สีน้ำตาลอ่อนมาด้วย

“ข้าให้…พี่เหม่ยหลินเป่าขลุ่ยเป็นหรือไม่”

เหม่ยหลินไม่ได้ตอบในทันทีว่าเป่าเป็นหรือไม่ ได้แต่ถามว่าจิ่นเอ๋อร์ได้มาจากไหน

“มีชาวบ้านเอามาแลกกับสมุนไพรที่ท่านพ่อหามาได้ระหว่างทางกลับบ้านเจ้าค่ะ”

หญิงสาวรับขลุ่ยมาตรวจสอบดู ขลุ่ยชิ้นนี้ดูสวยงามขนาดเหมาะมือดีนัก

คนตัวเล็กนั่งลงเคียงข้างอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรอีก ของฝากที่เค่อหยวนได้มาจากต่างถิ่นทำให้นึกถึงเหม่ยหลิน จึงออกปากขอมอบขลุ่ยนี้ให้แก่เหม่ยหลินแทนตัวเองที่ยังไม่ถนัดใช้งานเครื่องดนตรีชนิดนี้ ในใจหวังเพียงอยากให้พี่สาวต่างถิ่นผู้นี้คลายความเหงาที่ต้องจากบ้านเกิดของตนเอง

เหม่ยหลินยิ้มให้เป็นการแสดงความขอบใจน้องสาวที่ดีกับเธอมาตลอด ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ข้างกายของเธอมักจะมีจิ่นเออร์และจื่อหลงสองคนพี่น้องคอยวนเวียนสลับกันไปมาเสมอ ทำให้คลายความเหงาไปได้บ้าง

เสียงฝีเท้าเดินย่ำบนใบหญ้าสีเขียวชอุ่ม ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมไว้หนวดเคราบางๆ มีห่อผ้าขนาดใหญ่สะพายหลัง เขากำลังมองหาที่นั่งพักใต้ร่มเงาไม้ แต่สายตาเหลือบไปเห็นว่ามีคนสองคนนั่งบนเนินดินฝั่งตรงกันข้ามกับจุดที่เขายืนอยู่ เขาถอนหายใจเบาๆ ตัดใจมองหาสถานที่ใหม่ ด้วยต้องการอยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบไร้ผู้คน

หันหลังเดินกลับออกมาจากจุดเดิมเพียงไม่กี่ก้าว เสียงแหลมใสดังก้องกังวานของขลุ่ยไม้ไผ่ลอยแว่วมาให้ได้ยิน  ท่วงทำนองเพลงที่แปลกหูแต่กลับให้ความรู้สึกประหลาดปนเศร้านี้ เป็นเหตุผลให้เขาชะลอการเดินก่อนที่จะเอี้ยวตัวหันหลังกลับมองหาที่มาของเสียง

เขาเพ่งพินิจใบหน้าหญิงสาวผู้นั้นชัดๆ นางอยู่ในท่วงท่าเป่าขลุ่ยที่สง่างาม ปากบางได้รูปเป่าลมเข้าออกให้ขลุ่ยดังขับขานในบทเพลงที่ไม่เคยมีใครได้ยินในยุคนี้..

‘หมู่บ้านหนิงอันอันห่างไกลมีสาวงามที่มีความสามารถด้านดนตรีเช่นนี้ด้วยหรือ’ แม้จะชะงักงันเพียงชั่วครู่ก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ รีบถอดห่อผ้าที่สะพายพาดบ่าลงมาวางที่พื้น หยิบอุปกรณ์หลายอย่างที่อยู่ภายในห่อผ้าออกมาตระเตรียมไว้อย่างเร่งรีบ

ในตำแหน่งที่มองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของดอกกุ้ยฮวาเบ่งบานอยู่เต็มพื้นที่ ทั้งยังมีร่างระหงของสาวงามในชุดสีฟ้าครามเป่าขลุ่ยอยู่เบื้องล่างใต้ต้นกุ้ยเช่นนี้ ช่างเป็นทัศนียภาพที่สวยงามจับจิตจับใจ แม้ใบหน้างดงามนั้นจะอยู่ไกลจากระยะสายตาเกินไปบ้าง แต่หาได้เป็นปัญหาสำหรับผู้มากด้วยประสบการณ์เช่นเขา

เสียงขลุ่ยดังหวานแว่ว ส่งอารมณ์ให้ยอดอัจฉริยะนักวาดภาพแห่งราชสำนักแคว้นตงเยว่จรดปลายพู่กันบันดาลความงดงามตามจินตนาการให้บังเกิดบนผืนผ้าได้ไม่ยาก

 

“ไพเราะมาก...เพลงอะไรช่างไพเราะเสียจริง พี่เหม่ยหลินเก่งที่สุดเลยเจ้าคะ”คำชมเชยพร้อมเสียงปรบมือจากสาวน้อยดังขึ้นหลังสิ้นเสียงขลุ่ย

จิ่นเอ๋อร์ไม่คิดเลยว่าขลุ่ยที่เธอถือมาให้เหม่ยหลินจะบังเกิดเสียงเป่าที่ชวนฟังได้มากถึงขนาดนี้

เหม่ยหลินยิ้มหวานให้ผู้รับฟังที่น่ารัก  เธอคิดว่าการเป่าขลุ่ยของเธอไม่ได้วิเศษเลิศเลออะไรเลย ในช่วงเวลาที่เธออายุเท่ากับจิ่นเออร์ ไม่ว่าเด็กคนใดก็สามารถเข้าคอร์สเรียนศิลปะการแสดงของจีนในช่วงวันหยุดได้ทั้งนั้น การเรียนการสอนแต่ละแขนงก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับคนในยุคโซเชียลมีเดีย และหนึ่งในการแสดงที่เธอสนใจคือ ‘ขลุ่ยจีน’

“เพลงคลาสสิกที่ข้าเป่าเป็นเพลงอมตะเป็นที่นิยมก่อนข้าจะเกิดเสียอีกนะ” เหม่ยหลินบอกที่มาของทำนองเพลง

“เพลงคลาสสิก? เพลงอมตะ? คืออะไรเจ้าคะ”

“ก็หมายถึง...เพลงที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมมายาวนาน ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ฟังไพเราะอย่างไรเล่า”

“ไพเราะจริงๆ ข้าอยากฟังอีก” จิ่นเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็แค่อยากให้เหม่ยหลินเป่าให้ฟังอีก

“วันนี้พอก่อน เราต้องกลับกันแล้ว เราออกมานานเกินไปแล้วเดี๋ยวทุกคนจะรอ”

เสียงขลุ่ยที่บรรเลงเพลงคลาสสิกตามที่เหม่ยหลินบอกจึงจบลงเพียงเท่านี้ ทั้งสองบ่ายหน้าไปยังทิศทางที่จะกลับเข้าสู่หมู่บ้านจึงโดยไม่ทันสังเกตเห็นบุคคลที่นั่งอยู่พร้อมอุปกรณ์วาดภาพข้างกายหลังพุ่มไม้เขียวชอุ่มฝั่งตรงกันข้าม

ในขณะนั้น จิตรกรผู้เก่งกาจยังคงทอดเวลารังสรรค์ผลงานด้วยความประณีตบรรจง เขาไม่ลืมที่จะลงรายละเอียดของเสื้อผ้าที่สวมใส่เพื่อสร้างตัวตนของคนในภาพให้ดูสมจริง

จนกระทั่งรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า บ่งบอกถึงความพึงพอใจเหลือล้น...

 

รถม้าขนาดเล็กกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าบนถนนขรุขระอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวอย่างใจเย็นมากกว่าความต้องการที่จะถึงจุดหมายให้ได้ตามเวลา

“นายท่าน...กลับเมืองหลวงครานี้คงได้พักผ่อนกันเสียทีนะขอรับ” สารถีผู้นั่งบนหลังม้าเอี้ยวตัวหันมาพูดกับผู้โดยสารภายในตู้ไม้สี่เหลี่ยมอย่างอารมณ์ดี ฟังจากน้ำเสียงของบ่าวรับใช้ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังดีใจที่จะได้กลับบ้านหลังจากที่ต้องเดินทางออกนอกเมืองเป็นแรมเดือน

มือของผู้เป็นนายแหวกผ้าด้านหน้าออกมามองดูถนนหนทางโดยรอบ เห็นว่าใกล้ถึงประตูเมืองในอีกไม่ช้า เขาพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจก่อนจะพูดตอบ

“ที่เจ้าพูดเช่นนี้ คงจะเบื่อหน่ายกับที่ต้องตามข้าออกไปนอกเมืองล่ะสิ”

“หามิได้ขอรับ ไม่ว่าท่านจะไปแห่งหนใด ข้ายินดีไปรับใช้นายท่านเสมอนะขอรับ” คำพูดอย่างรู้ทันของนายท่านทำให้หมิ่นเจ๋อบ่าวผู้ภักดีรีบพูดออกตัวกลัวผู้เป็นนายจะเข้าใจผิด ทุกครั้งที่ซุนถงฉีเจ้านายของเขามีกำหนดที่ต้องเสาะหาสถานที่วาดภาพในดินแดนที่สวยงามทุกหนแห่ง บ่าวรับใช้ผู้นี้ไม่พลาดที่จะทำตามหน้าที่ของตนขอติดตามไปรับใช้

“เฮอะ ช่างเจรจานักนะเจ้า” ซุนถงฉียิ้มเยาะในคำพูดของหมิ่นเจ๋อ เขาผละมือจากผ้าม่านหันไปเอนกายพิงเบาะนั่งตามเดิม ภายในรถม้าที่นั่งมาเต็มไปด้วยม้วนผ้าไหมและข้าวของอุปกรณ์สำคัญสำหรับการวาดภาพที่จิตรกรแห่งราชสำนักแคว้นตงเยว่เช่นเขามีไว้ไม่เคยห่างกาย

รถม้าวิ่งมาจนถึงประตูเมืองหลวง ทหารผู้คุมประตูจำได้ว่านี่คือรถม้าของซุนถงฉีที่มักออกไปนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง ทำให้การตรวจตราผ่านไปพอเป็นพิธี

ล้อรถเคลื่อนตัวตามจังหวะการวิ่งของม้าตรงอยู่บนถนนกลางเมืองหลวงที่มีผู้คนพลุ่กพล่าน ข้างหน้าคือทางแยกสองฝั่ง หากเลี้ยวซ้ายคือทางไปสู่บ้านของซุนถงฉี แต่เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเปิดผ้าม่านโผล่หน้าออกมาบอกให้หมิ่นเจ๋อบังคับม้าให้เลี้ยวไปทางขวาเพื่อไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง ซุนถงฉีต้องการไปพบใครคนหนึ่งก่อน...

 

“หยุ๊ด....ถึงแล้วขอรับนายท่าน”รถม้าจอดหน้าประตูไม้ขนาดใหญ่

ซุนถงฉีก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามขั้นบันได เขาแจ้งตัวตนต่อนายทหารเฝ้าหน้าประตูใหญ่ให้เข้าไปรายงานต่อบุคคลที่อยู่ภายในว่ามีเขาต้องการขอเข้าพบ

แค่เพียงเวลาไม่นาน ผู้ที่ออกมาต้อนรับเบื้องต้นคือพ่อบ้านเฉินผู้ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของสถานที่แห่งนี้ ทั้งสองต่างยกมือคารวะต่อกัน ก่อนที่พ่อบ้านเฉินจะผายมือเชิญซุนถงฉีเข้าไปได้

ภายในขอบเขตกำแพงหินล้อมรอบ ซุนถงฉีก้าวเดินอยู่หลังพ่อบ้านเฉินเข้าสู่ประตูชั้นใน มุ่งหน้าไปเรือนรับรองโดยผ่านโถงทางเดินทางทิศตะวันตก ระหว่างทางเดินนั้นเขามองเห็นชายฉกรรจ์หลายนายเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อฝึกซ้อมอาวุธที่ลานกว้างพื้นหิน หนึ่งในนั้นมีบุคคลที่เขาต้องการพบในวันนี้ด้วย

สิ่งแวดล้อมโดยรอบของจวนอันใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้ถูกจัดวางอาวุธหลากหลายประเภทในตำแหน่งต่างๆ ราวกับว่าอาวุธเหล่านั้นคือสิ่งประดับตกแต่งอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้

“เชิญท่านซุนนั่งรอสักครู่” พ่อบ้านเฉินเชิญให้ซุนถงฉีนั่งรอภายในเรือนรับรอง ก่อนที่จะออกไปแจ้งนายผู้เป็นเจ้าของสถานที่ให้รับทราบ

ในหมู่ของเหล่าทหารที่ฝึกอาวุธอยู่ ณ ลานกว้าง ชายร่างสูงสองคนที่กำลังฝึกซ้อมการต่อสู้ด้วยกระบองไม้ท่อนยาวโดยมีทหารทั้งหลายล้อมรอบต่างส่งเสียงเชียร์สร้างความฮึกเหิม จนมีฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้นอนลงไปกองกับพื้น ผู้พ่ายแพ้ลุกขึ้นได้ด้วยแรงฉุดดึงของผู้ชนะ และใช้มือปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า

“พละกำลังของท่านฟื้นฟูขึ้นมากแล้วนะขอรับ”

“จริงรึ เจ้าคงไม่ได้ออมมือหรอกนะ”

เสียงสนทนาระคนเสียงหอบเหนื่อยจากการฝึกของทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันจบ พ่อบ้านเฉินเดินเข้ามาประชิดตัว รายงานเรื่องแขกผู้มาเยือน

“ท่านแม่ทัพขอรับ ตอนนี้ข้าน้อยเชิญให้ท่านซุนเข้าไปรอท่านที่เรือนรับรองแล้วขอรับ”

ชายร่างสูงหันหน้ามาตามเสียงเรียก ทหารหน้าประตูได้เข้ามารายงานก่อนหน้าแล้วก็จริง หากแต่เขายังอยู่ในระหว่างฝึกซ้อมไม่อยากหยุดกะทันหัน

“พวกเจ้าฝึกซ้อมกันไปก่อน” แม่ทัพหนุ่มส่งกระบองยาวให้ทหารนำไปเก็บก่อนที่จะก้าวเดินออกมาจากลานกว้างเข้าสู่โถงทางเดิน

 

“คารวะท่านแม่ทัพหวาง เห็นว่าท่านแม่ทัพแข็งแรงขึ้นมา ข้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่ง” ซุนถงฉีผู้มีตำแหน่งต่ำต้อยกว่าแสดงการคารวะหวางชุนเทียนผู้เป็นแม่ทัพแห่งแคว้นตงเยว่

“ทราบว่าท่านซุนเพิ่งกลับจากนอกเมือง ยังไม่ทันกลับถึงที่พักก็ตรงมาหาข้าก่อน ยินดียิ่งนักที่ท่านอุตส่าห์นึกถึง” เขาตอบรับการคารวะพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

“หามิได้ขอรับ...ก่อนที่ข้าจะกลับเข้าเมืองข้าได้ไปหมู่บ้านหนิงอันตามคำแนะนำของท่าน มันทำให้ข้าอยากพูดคุยกับท่านแม่ทัพ”

พอพูดถึง ‘หมู่บ้านหนิงอัน’ทำให้เขาเลิกคิ้วมองเพราะไม่ได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้มาสักพักแล้ว พออยู่ๆมีใครสักคนพูดชื่อหมู่บ้านนี้ขึ้นมา ทำให้ภาพความทรงจำปรากฏขึ้น

“ท่านไปหมู่บ้านหนิงอันมาด้วยเช่นนั้นรึ?” เขาถามด้วยความสนใจ

“ใช่ หมู่บ้านหนิงอัน...ที่นั่นมีทัศนียภาพสวยงามมากตามคำบอกเล่าของท่าน และข้าก็ได้นำภาพวาดมาให้ท่านชมเป็นคนแรก” ช่างวาดภาพผู้ภูมิใจในผลงานของตนเองหยิบม้วนภาพยื่นให้แม่ทัพหวางชุนเทียนดู

ซุนถงฉีผู้แสดงความสามารถในการวาดภาพมาหลายครั้งหลายครา ในยามที่ต้องวาดภาพทิวทัศน์โดยใช้จินตนาการส่วนตัวก็ย่อมทำได้ แต่มันจะดีกว่านั้นหากได้ไปอยู่ในสถานที่จริงเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงความรู้สึกประทับใจได้มากยิ่งขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาได้รับคำบอกกล่าวจากแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ให้หยุดพักดูสถานที่วาดรูป ณ หมู่บ้านหนิงอัน ที่ซึ่งมีมวลบุปผางามหลากหลายชนิด อีกทั้งรอบพื้นที่ยังมีป่าต้นกุ้ยขึ้นเรียงรายสวยงามล้อมรอบหมู่บ้านราวกับกำแพงเมืองดอกไม้ก็ไม่ปาน

แม่ทัพหนุ่มคลี่ม้วนภาพในมือออก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคมเข้มคือทิวทัศน์ของต้นกุ้ยตามที่เขาเคยสัมผัสมาอย่างแน่นอน แล้วร่างหญิงสาวในท่วงท่าเป่าขลุ่ยที่นั่งเคียงข้างเด็กหญิงนั่นเล่า...

“ท่านแม่ทัพ...ท่านแม่ทัพหวาง...” ซุนถงฉีเรียกชายหนุ่มผู้ที่ขณะนี้สายตาเหม่อมองในภาพอย่างครุ่นคิด ใกล้กันแค่นี้แต่ฝ่ายตรงข้ามนิ่งงันเหมือนไม่ได้ยิน

“ท่านแม่ทัพหวาง...”เสียงเรียกดังขึ้นอีกหนึ่งระดับหวังให้แม่ทัพหนุ่มตอบรับ

“เอ่อ...ท่านพูดว่าอย่างไรนะ”

“ข้าเพียงอยากถามท่านว่า รู้จักหญิงผู้อยู่ในภาพหรือไม่” ซุนถงฉีกล่าวถามเมื่อเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มเคยพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่หมู่บ้านนั้นระยะเวลาหนึ่ง เป็นไปได้ว่าจะเคยรู้จักหญิงงามในภาพ

“รู้จักหรือไม่? หญิงสาวในภาพมีอยู่จริงเช่นนั้นรึ”

“ถูกต้องแล้ว หญิงสาวผู้นี้เป่าขลุ่ยด้วยทำนองแสนรื่นรมย์ อีกทั้งใบหน้างดงามหมดจดเหนือหญิงชาวบ้านสามัญ จนทำให้ช่างวาดภาพเช่นข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้...ท่านรู้จักนางหรือไม่”

‘หมู่บ้านหนิงอันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ หากมีหญิงสาวที่งดงามและมีความสามารถทางดนตรีขนาดที่ช่างวาดภาพเก่งกาจอย่างท่านซุนถงฉีเอ่ยปากชมเชยเช่นนี้ เหตุใดตอนที่ข้าพำนักอยู่ที่นั่นจึงไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน!’

‘หรือว่า...หญิงนางนี้เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้กันแน่!’

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา