ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) เข้าเฝ้าพระชายา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความร่างบุรุษสูงโปร่งภายใต้ผ้าคลุมสีดำก้าวพ้นประตูเรือนมุ่งหน้าไปตามทางออกของจวน วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดที่เป็นทางการตามระเบียบการเข้าวังหลวง นายทหารชั้นประทวนสองนายยืนทำหน้าที่อยู่หน้าประตูใหญ่เป็นปกติโดยมีพ่อบ้านเฉินผู้เป็นหัวหน้าดูแลความเรียบร้อยของจวนยืนอยู่ไม่ห่าง
พ่อบ้านที่ซื่อสัตย์ผู้นี้ทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าภารกิจน้อยใหญ่ภายในจวนพ่อบ้านเฉินไม่เคยละเลย เขาเตรียมรถม้าและสารถีไว้จอดรออยู่ที่นอกประตูใหญ่ และยืนรอส่งเจ้านายของตนขึ้นรถม้าให้เรียบร้อยก่อนจึงจะถือว่าเสร็จงาน
“แม่นางเหม่ยหลินล่ะ” แม่ทัพหวางถามพร้อมกวาดสายตามองหาร่างของหญิงสาวที่ถูกพระชายาหม่านลี่เรียกตัวให้เข้าเฝ้าพร้อมกัน เขาไม่เห็นนางยืนรออยู่ หรือว่านางจะมาสาย...
พ่อบ้านเฉินชี้นิ้วไปที่รถม้าแทนคำตอบ บอกให้รู้เป็นนัยว่านางได้เข้าไปนั่งรอในตู้รถม้าแล้ว
ปลายคิ้วชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปากแล้วก้าวลงบันไดจากหน้าประตูจวนขึ้นสู่รถม้า มือหนาเปิดประตูรถม้ามองเห็นร่างบางในชุดผ้าคลุมสีหวานนั่งนิ่งสงบอยู่ภายในตัวรถ ดวงหน้าหวานส่งยิ้มให้ทันทีที่ประตูเปิดออก
“เจ้ามาเร็วดีนี่” เขาหลี่ตามองคนที่นั่งอยู่ก่อน
“ข้าเห็นว่าพ่อบ้านเฉินเตรียมรถม้าไว้แล้ว ก็เลยขึ้นมานั่งรอเจ้าค่ะ” ไม่ใช่แค่รอยยิ้มอ่อนหวาน น้ำเสียงใสๆ เอ่ยออกด้วยความรู้สึกยินดีกับความหลักแหลมของตัวเอง มาถึงก่อนก็รีบขึ้นรถม้าก่อน อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องถูกเขาคอยจูงไม้จูงมืออีก
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากหยักยิ้มไม่ถือสา หากเป็นผู้อื่นคงไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นรถม้าก่อนเจ้าของจวนอย่างเขาเป็นแน่ “เอาล่ะ ไปกันเถิด”
ภายในตำหนักเฟยหลง พระชายาหม่านลี่ในชุดสีน้ำเงินอมม่วงปักลายดอกโบตั๋นงดงาม ทรงแสดงความเป็นกันเองด้วยการเชิญให้หวางชุนเทียนและเหม่ยหลินร่วมนั่งดื่มชา
นางกำนัลยกสำรับน้ำชาวางบนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้ พร้อมกับรินน้ำชาร้อนๆให้แก่ทั้งคู่
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะท่านแม่ทัพ ท่านสบายดีหรือไม่” พระชายาถามด้วยรอยยิ้ม
“ทูลพระชายา ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสบายดี” ตอบด้วยความเคารพ
“กลับมาถึงวังหลวงก็ได้ยินแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันงานพิธีอำลาของหญิงบรรณาการ อดไม่ได้ต้องเรียกท่านมาพบ” พระชายากล่าวกับแม่ทัพแต่สายตามองเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ถัดจากแม่ทัพอย่างพิจารณา
“นั่นคือแม่นางเหม่ยหลินล่ะสิ ล่ำลือกันว่านอกจากใบหน้างดงามแล้ว ยังบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่ง”
“พระชายากล่าวเกินไปแล้วเพคะ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำความเคารพ รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาวัยกลางคนช่างอ่อนโยนและดูอบอุ่น สตรีสูงส่งเช่นพระชายาหม่านลี่กลับชวนพูดคุยโดยไม่ถือพระองค์แถมประทานน้ำชาชั้นดีให้ร่วมดื่มด้วยกัน เหม่ยหลินไม่รู้สึกเกร็งที่ต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เลยสักนิดเดียว
“ความงามของเจ้าเป็นที่ต้องตาของเหล่าบุรุษ ไม่เว้นแม้แต่องค์ชายรองถึงกับเอ่ยปากขอเจ้าไปเป็นสนมเชียวนะ” พอพูดถึงองค์ชายรองเหม่ยหลินก็ทำหน้าไม่ถูก องค์ชายรองผู้นั้นดูท่าทางเป็นคนดื้อรั้นและเอาแต่ใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว หากถูกบังคับให้เป็นสนมไม่รู้ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร
“หม่อมฉันมิกล้า ตำแหน่งสนมไม่เหมาะกับคนธรรมดาเช่นหม่อมฉันเลยเพคะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้เอ่ยปากชมที่ได้เห็นการพูดถ่อมตัวและตรงไปตรงมาของหญิงสาวหน้าหวานผู้นี้ช่างใกล้เคียงกับนิสัยของแม่ทัพหวางชุนเทียน พระชายาหม่านลี่ทราบจากพระสวามีอยู่เนืองๆ ว่าแม่ทัพนุ่มผู้นี้มีบุคลิกนุ่มลึก ถึงภายนอกดูเย็นชาแต่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเท่าเทียม น่าแปลกใจตรงที่นิสัยของเขาไม่ชอบข้องเกี่ยวกับผู้ใดไม่ชายตาแลสตรีใด แต่บัดนี้กลับออกปากต่อท่านอ๋องเพื่อช่วยเหลือสตรีนางหนึ่งโดยไม่กริ่งเกรงต่อความประสงค์ขององค์ชายรองแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆ พระชายาก็ทรงเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นประเด็นหลักของการเชื้อเชิญครั้งนี้
“อันที่จริงข้าเรียกท่านมาที่นี่ก็เพราะจะกล่าวยินดีกับการแต่งงานของท่าน ได้กำหนดวันพิธีสมรสไว้แล้วหรือยัง?”
“ไม่คิดว่าจะทรงทราบเรื่องนี้ด้วย กระหม่อมยังไม่ได้เตรียมการเรื่องนี้...” หวางชุนเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ทั้งที่ออกจากวังหลวงไปไม่กี่วันข่าวเกี่ยวกับทั้งสองก็แพร่สะพัดไปทั่ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าได้ตัดสินใจทูลท่านอ๋องเรื่องรับเหม่ยหลินเป็นฮูหยิน ซึ่งจำเป็นต้องจัดการให้เป็นรูปธรรมเสียด้วย มิเช่นนั้นองค์ชายรองอาจจะหันกลับมาหาเรื่องเขาอีก
“อะไรกัน ท่านแม่ทัพจะทำเพิกเฉยเรื่องนี้ได้อย่างไร อีกไม่นานท่านก็ต้องไปชายแดนทางใต้แล้วมิใช่หรือ” ทรงตรัสด้วยความเป็นห่วง ด้วยเกรงว่าหากไม่จัดการพิธีสมรสให้แล้วเสร็จจะไม่ทันกำหนดที่ต้องไปชายแดนทางใต้
“กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
‘พิธีสมรส? แต่งงาน! นี่ท่านแม่ทัพมีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้วเหรอ?” บทสนทนาที่เหม่ยหลินได้ยินทำให้หญิงสาวปรายตามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย หญิงสาวตั้งคำถามในหัวไว้มากมาย
หวางชุนเทียนนิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นมา “หากกระหม่อมกำหนดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว จะทูลให้พระชายาทราบทันทีพ่ะย่ะค่ะ ”
“นั่นสิ คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ไหนๆ ก็อยู่ร่วมจวนเดียวกันแล้ว ท่านคงจัดการงานแต่งงานได้ไม่ยาก”
แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจ ใช่...อีกไม่นานเขาต้องไปชายแดนทางใต้สับเปลี่ยนกับองค์ชายรองเพื่อทำการฝึกซ้อมรบ พระชายาหม่านลี่เองก็คงนับวันตั้งตารอพระสวามีกลับมาจากชายแดนด้วยเช่นกัน
ส่วนเหม่ยหลินนั่งฟังบทสนทนาที่คาดไม่ถึงอยู่เงียบๆ ทั้งเรื่องการแต่งงานทั้งเรื่องต้องไปชายแดนทางใต้อีก
‘....อยู่ร่วมจวนเดียวกันแล้ว’ ตามที่พระชายาตรัสคงหมายถึงว่าที่เจ้าสาว...หรือว่าจะเป็นลู่หลิ่ง! ต้องใช่แน่ๆ ได้ยินจากพ่อบ้านเฉินเล่าว่าเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพได้หลายเดือนแล้ว หญิงชายเห็นหน้ากันทุกวันก็คงไม่แปลกที่สักวันหนึ่งย่อมมีใจต่อกัน แม่นางลู่หลิ่งก็สวยซะขนาดนั้น...
ระหว่างทางที่รถม้ากำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูวังหลวง เหม่ยหลินลอบมองคนที่นั่งเคียงข้างอย่างระแวงสงสัย เหตุใดชายหนุ่มนั่งนิ่งมาตลอดทางราวกับมีเรื่องหนักใจ
‘หากเขาจะต้องแต่งงานกับแม่นางลู่หลิ่งเร็วๆนี้ ทำไมเขาไม่บอกเราตั้งแต่แรกนะ ไม่อย่างนั้นเราจะได้ปฏิเสธการเข้าพักที่เรือนใหญ่ หากแม่นางลู่หลิ่งเข้าใจผิดขึ้นมาต้องโดนเกลียดขี้หน้าแน่’ ที่คิดเช่นนี้เพราะเธอยังมั่นใจเช่นเดิมว่าเจ้าสาวคือลู่หลิ่ง...
รถม้ายังไม่ทันจะวิ่งพ้นประตูหญิงสาวก็ได้ยินเสียงเอะอะดังจากภายนอก แม่ทัพหวางก็ได้ยินเช่นกัน เขาจึงตะโกนถามสารถีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทหารกำลังขับไล่หญิงผู้หนึ่งออกจากวังขอรับ”
หวางชุนเทียนได้ยินแล้วถอนหายใจอย่างเข้าใจสถานการณ์ เรื่องการขับไล่นางกำนัลออกจากตำหนักในวังหลวงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
“ฮือ...ฮือๆๆ ปล่อยข้า...ข้าไม่มีที่ไปจริงๆ ได้โปรดเถิด”
‘เสียงร้องไห้ที่น่าสงสารนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเหม่ยหลิน เธอเผลอถลันตัวไปที่หน้าต่างฝั่งด้านข้างของหวางชุนเทียนโดยลืมไปว่าร่างบางได้สัมผัสใกล้ชิดกับชายหนุ่มแบบไม่รู้ตัว
กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากเรือนผมยาวสลวยแตะเข้าที่จมูกโด่งเป็นสัน กลิ่นหอมดอกกุ้ยฮวาที่เขาคุ้นเคย... หวางชุนเทียนสูดลมหายใจเข้าเบาๆ เหมือนกลัวหญิงสาวจะจับสังเกตได้
มือเรียวบางรีบเปิดหน้าต่างออก สิ่งที่เห็นคือทหารชั้นประทวนสองนายหิ้วแขนทั้งสองข้างของหญิงสาว ลักษณะกึ่งลากกึ่งจูง แม้จะทำท่าทีต่อต้านแต่ก็ถูกโยนปลิวออกไปจนพ้นประตูจนได้
จนกระทั่งหญิงนางนั้นเงยใบหน้าซีดเผือดหากแต่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
“จูผิง! ใช่จูผิงหรือเปล่า!”
หญิงที่ถูกเรียกชื่อหันหน้ามองตามเสียงที่ดังออกมาจากรถม้า เห็นใบหน้าขาวนวลของใครบางคนที่กรอบหน้าต่างเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตะโกน “หยุดรถก่อน!” เหม่ยหลินผลุนผลันเปิดประตูอย่างเร่งรีบ หวางชุนเทียนเองเป็นห่วงว่านางจะก้าวพลาดตกรถม้าไปเสียก่อน จึงคิดจะคว้ามือนางไว้ แต่ก็ไม่ทัน
“มะ...แม่นางเหม่ยหลิน!” หญิงที่ถูกโยนออกนอกประตูวังส่งเสียงเรียกชื่อฝ่ายตรงข้ามทันทีที่ได้เห็นหน้า
“จูผิง เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ”
“ข้าถูกลงโทษโบยหลังยี่สิบไม้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำสิ่งใดผิดไป” จูผิงคนซื่อไม่เข้าใจสิ่งที่นางกระทำนั้นเป็นความผิดได้อย่างไร หลังจากที่พระชายาฟางซินทราบว่าจูผิงเป็นผู้ช่วยเหม่ยหลินให้ไปถึงลานพิธีได้ทันเวลา ถึงกับโกรธจัดจนไม่อาจให้อภัย ทั้งลงโทษและไล่ออกจากตำหนัก
“แล้วเจ้า...จะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้าไม่รู้ ฮือๆๆ ตอนนี้ข้าถูกไล่ออกมาจากตำหนักแล้ว ข้าอยู่วังหลวงมาตั้งแต่เด็ก นอกจากในวังหลวงแล้วข้าก็ไม่รู้จักผู้ใด”
เหม่ยหลินเหลือบไปเห็นเลือดที่ซึมบนแผ่นหลังของจูผิงยิ่งรู้สึกหดหู่ใจสงสารนางอย่างมาก นางต้องถูกโบยเพราะช่วยเหลือเธอแท้ๆ ทั้งที่นางก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสลับตัวของพระชายาฟางซินแม้แต่น้อย ช่างไม่ยุติธรรมเลย
หญิงสาวหันไปมองร่างชายหนุ่มที่ก้าวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาได้ยินการสนทนานั้นชัดเจน แม้ว่าพระชายาฟางซินจะทรงไม่ชอบหน้าเหม่ยหลินแต่ในตำหนักเฟิ่งหวงยังมีจูผิงผู้นี้คอยช่วยเหลือ หากนางไม่ได้ช่วยพาเหม่ยหลินมาได้ทันเวลาในวันนั้นป่านนี้เขาคงไม่มีทางได้พบหน้าหญิงสาวอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ทัพ ข้า...คือว่าข้าอยากจะ...” เหม่ยหลินกล้าๆกลัวๆที่จะเอ่ยขอความเห็นใจจากแม่ทัพหนุ่มให้พาจูผิงไปอยู่ด้วยกัน ลำพังเธอผู้เดียวก็เกรงใจเขาจะแย่แล้ว
“คือนางเคยช่วยข้าไว้ ท่านจะกรุณารับจูผิงไปอยู่ที่จวนอีกสักคนได้หรือไม่” ในที่สุดก็ตัดสินใจออกปากไป
หวางชุนเทียนถอนหายใจเบาๆ เขารู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวต้องออกปากร้องขอเช่นนี้ เขายังไม่ตอบรับทันทีหากแต่เดินไปบอกสารถีผู้ควบคุมม้า
“พานางกลับจวนไปก่อน บอกพ่อบ้านเฉินให้ดูแลรักษาแผลที่หลังของนางด้วย”
การสั่งการให้พากลับจวนถือเป็นการตอบตกลง เหม่ยหลินหันไปฉีกยิ้มกว้างพร้อมกล่าวกับนางผู้ได้รับบาดเจ็บ “จูผิง ท่านแม่ทัพอนุญาตแล้ว เจ้าไปอยู่กับข้านะ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณท่านแม่ทัพ” จูผิงดีใจก้มหัวคำนับหลายครั้ง
หญิงสาวเตรียมตัวพยุงร่างจูผิงขึ้นรถม้าพร้อมกันแต่ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงออกคำสั่ง
“ให้นางผู้นี้ขึ้นรถม้ากลับจวนไปคนเดียว”
“อ้าว! ให้รถม้ากลับไปก่อนอย่างนี้แล้วเราจะกลับจวนกันอย่างไร ”
“เดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมม้าไว้ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า”
“ม้า! ข้าขี่ม้าไม่เป็นนะ เราคุยกันระหว่างทางบนรถม้าไม่ได้หรือ แล้วข้าก็เป็นห่วงจูผิงด้วย”
“ไม่ได้ ข้าต้องคุยกับเจ้าเพียงสองคน” หวางชุนเทียนทำเสียงขึงตึงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เชื่อฟัง แต่กลับห่วงหญิงรับใช้มากกว่าเรื่องสำคัญที่เขาจะพูด
จูผิงมองหน้าเครียดของแม่ทัพหวางอย่างหวาดๆ รีบล่ะล่ำล่ะลักพูดแทรกขอให้แม่นางเหม่ยหลินทำตามที่ท่านแม่ทัพพูด “ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าไปรับใช้แม่นางเหม่ยหลินก็เป็นพระคุณมากแล้ว ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” แม้ว่ายังรู้สึกเจ็บจากบาดแผลที่หลัง แต่หวาดกลัวสายตาของแม่ทัพหวางชุนเทียนมากกว่า นางเคลื่อนตัวออกห่างจากเหม่ยหลินรีบเดินขึ้นรถม้าอย่างลนลาน
เหม่ยหลินหันมองหน้าหวางชุนเทียนอย่างไม่เข้าใจ ทำไมไม่รีบกลับจวน ตอนนี้มีอะไรที่สำคัญมากไปกว่าการรีบกลับไปหาว่าที่เจ้าสาวของเขางั้นหรือ?
หลังจากที่รถม้าวิ่งห่างออกไปจนลับสายตาแล้ว เหม่ยหลินยืนรออยู่ที่หน้าประตูเมืองตามคำสั่งของหวางชุนเทียน สักพักก็เห็นชายหนุ่มจูงม้ารูปร่างแข็งแรงเดินตรงมาหยุดตรงหน้าหญิงสาวพร้อมยื่นมือมาเป็นสัญญาณให้รู้ว่านางต้องขึ้นม้าตัวเดียวกับเขา
“มีม้าตัวเดียวหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าขี่ม้าไม่เป็น” ตอบแบบรู้ทัน “อย่าชักช้าอยู่เลย รีบมาขึ้นม้าเถิด”
หญิงสาวยังยืนนิ่ง ออกปากถามหาบันได
“ไม่มีบันได ข้าจะพาเจ้าขึ้นหลังม้าเอง”
“เอ่อ...เดี๋ยวข้าลองขึ้นเองดูก่อนดีกว่า” มือเล็กบอบบางเกาะที่อานม้า พยายามกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังหลี่ตามองร่างอรชร ส่ายหน้ากับความอวดดีของหญิงสาว ทั้งที่ตัวนางนั้นไร้หนทางไปแต่ก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตามคำพูดของเขา ได้แต่คัดค้านแทบทุกครั้ง หวางชุนเทียนไม่เคยพบเจอหญิงนางใดในแคว้นทำทีท่าเช่นนี้ใส่แม่ทัพอย่างเขามาก่อน
พ่อบ้านที่ซื่อสัตย์ผู้นี้ทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าภารกิจน้อยใหญ่ภายในจวนพ่อบ้านเฉินไม่เคยละเลย เขาเตรียมรถม้าและสารถีไว้จอดรออยู่ที่นอกประตูใหญ่ และยืนรอส่งเจ้านายของตนขึ้นรถม้าให้เรียบร้อยก่อนจึงจะถือว่าเสร็จงาน
“แม่นางเหม่ยหลินล่ะ” แม่ทัพหวางถามพร้อมกวาดสายตามองหาร่างของหญิงสาวที่ถูกพระชายาหม่านลี่เรียกตัวให้เข้าเฝ้าพร้อมกัน เขาไม่เห็นนางยืนรออยู่ หรือว่านางจะมาสาย...
พ่อบ้านเฉินชี้นิ้วไปที่รถม้าแทนคำตอบ บอกให้รู้เป็นนัยว่านางได้เข้าไปนั่งรอในตู้รถม้าแล้ว
ปลายคิ้วชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปากแล้วก้าวลงบันไดจากหน้าประตูจวนขึ้นสู่รถม้า มือหนาเปิดประตูรถม้ามองเห็นร่างบางในชุดผ้าคลุมสีหวานนั่งนิ่งสงบอยู่ภายในตัวรถ ดวงหน้าหวานส่งยิ้มให้ทันทีที่ประตูเปิดออก
“เจ้ามาเร็วดีนี่” เขาหลี่ตามองคนที่นั่งอยู่ก่อน
“ข้าเห็นว่าพ่อบ้านเฉินเตรียมรถม้าไว้แล้ว ก็เลยขึ้นมานั่งรอเจ้าค่ะ” ไม่ใช่แค่รอยยิ้มอ่อนหวาน น้ำเสียงใสๆ เอ่ยออกด้วยความรู้สึกยินดีกับความหลักแหลมของตัวเอง มาถึงก่อนก็รีบขึ้นรถม้าก่อน อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องถูกเขาคอยจูงไม้จูงมืออีก
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากหยักยิ้มไม่ถือสา หากเป็นผู้อื่นคงไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นรถม้าก่อนเจ้าของจวนอย่างเขาเป็นแน่ “เอาล่ะ ไปกันเถิด”
ภายในตำหนักเฟยหลง พระชายาหม่านลี่ในชุดสีน้ำเงินอมม่วงปักลายดอกโบตั๋นงดงาม ทรงแสดงความเป็นกันเองด้วยการเชิญให้หวางชุนเทียนและเหม่ยหลินร่วมนั่งดื่มชา
นางกำนัลยกสำรับน้ำชาวางบนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้ พร้อมกับรินน้ำชาร้อนๆให้แก่ทั้งคู่
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะท่านแม่ทัพ ท่านสบายดีหรือไม่” พระชายาถามด้วยรอยยิ้ม
“ทูลพระชายา ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสบายดี” ตอบด้วยความเคารพ
“กลับมาถึงวังหลวงก็ได้ยินแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันงานพิธีอำลาของหญิงบรรณาการ อดไม่ได้ต้องเรียกท่านมาพบ” พระชายากล่าวกับแม่ทัพแต่สายตามองเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ถัดจากแม่ทัพอย่างพิจารณา
“นั่นคือแม่นางเหม่ยหลินล่ะสิ ล่ำลือกันว่านอกจากใบหน้างดงามแล้ว ยังบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่ง”
“พระชายากล่าวเกินไปแล้วเพคะ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำความเคารพ รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาวัยกลางคนช่างอ่อนโยนและดูอบอุ่น สตรีสูงส่งเช่นพระชายาหม่านลี่กลับชวนพูดคุยโดยไม่ถือพระองค์แถมประทานน้ำชาชั้นดีให้ร่วมดื่มด้วยกัน เหม่ยหลินไม่รู้สึกเกร็งที่ต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เลยสักนิดเดียว
“ความงามของเจ้าเป็นที่ต้องตาของเหล่าบุรุษ ไม่เว้นแม้แต่องค์ชายรองถึงกับเอ่ยปากขอเจ้าไปเป็นสนมเชียวนะ” พอพูดถึงองค์ชายรองเหม่ยหลินก็ทำหน้าไม่ถูก องค์ชายรองผู้นั้นดูท่าทางเป็นคนดื้อรั้นและเอาแต่ใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว หากถูกบังคับให้เป็นสนมไม่รู้ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร
“หม่อมฉันมิกล้า ตำแหน่งสนมไม่เหมาะกับคนธรรมดาเช่นหม่อมฉันเลยเพคะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้เอ่ยปากชมที่ได้เห็นการพูดถ่อมตัวและตรงไปตรงมาของหญิงสาวหน้าหวานผู้นี้ช่างใกล้เคียงกับนิสัยของแม่ทัพหวางชุนเทียน พระชายาหม่านลี่ทราบจากพระสวามีอยู่เนืองๆ ว่าแม่ทัพนุ่มผู้นี้มีบุคลิกนุ่มลึก ถึงภายนอกดูเย็นชาแต่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเท่าเทียม น่าแปลกใจตรงที่นิสัยของเขาไม่ชอบข้องเกี่ยวกับผู้ใดไม่ชายตาแลสตรีใด แต่บัดนี้กลับออกปากต่อท่านอ๋องเพื่อช่วยเหลือสตรีนางหนึ่งโดยไม่กริ่งเกรงต่อความประสงค์ขององค์ชายรองแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆ พระชายาก็ทรงเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นประเด็นหลักของการเชื้อเชิญครั้งนี้
“อันที่จริงข้าเรียกท่านมาที่นี่ก็เพราะจะกล่าวยินดีกับการแต่งงานของท่าน ได้กำหนดวันพิธีสมรสไว้แล้วหรือยัง?”
“ไม่คิดว่าจะทรงทราบเรื่องนี้ด้วย กระหม่อมยังไม่ได้เตรียมการเรื่องนี้...” หวางชุนเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ทั้งที่ออกจากวังหลวงไปไม่กี่วันข่าวเกี่ยวกับทั้งสองก็แพร่สะพัดไปทั่ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าได้ตัดสินใจทูลท่านอ๋องเรื่องรับเหม่ยหลินเป็นฮูหยิน ซึ่งจำเป็นต้องจัดการให้เป็นรูปธรรมเสียด้วย มิเช่นนั้นองค์ชายรองอาจจะหันกลับมาหาเรื่องเขาอีก
“อะไรกัน ท่านแม่ทัพจะทำเพิกเฉยเรื่องนี้ได้อย่างไร อีกไม่นานท่านก็ต้องไปชายแดนทางใต้แล้วมิใช่หรือ” ทรงตรัสด้วยความเป็นห่วง ด้วยเกรงว่าหากไม่จัดการพิธีสมรสให้แล้วเสร็จจะไม่ทันกำหนดที่ต้องไปชายแดนทางใต้
“กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
‘พิธีสมรส? แต่งงาน! นี่ท่านแม่ทัพมีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้วเหรอ?” บทสนทนาที่เหม่ยหลินได้ยินทำให้หญิงสาวปรายตามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย หญิงสาวตั้งคำถามในหัวไว้มากมาย
หวางชุนเทียนนิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นมา “หากกระหม่อมกำหนดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว จะทูลให้พระชายาทราบทันทีพ่ะย่ะค่ะ ”
“นั่นสิ คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ไหนๆ ก็อยู่ร่วมจวนเดียวกันแล้ว ท่านคงจัดการงานแต่งงานได้ไม่ยาก”
แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจ ใช่...อีกไม่นานเขาต้องไปชายแดนทางใต้สับเปลี่ยนกับองค์ชายรองเพื่อทำการฝึกซ้อมรบ พระชายาหม่านลี่เองก็คงนับวันตั้งตารอพระสวามีกลับมาจากชายแดนด้วยเช่นกัน
ส่วนเหม่ยหลินนั่งฟังบทสนทนาที่คาดไม่ถึงอยู่เงียบๆ ทั้งเรื่องการแต่งงานทั้งเรื่องต้องไปชายแดนทางใต้อีก
‘....อยู่ร่วมจวนเดียวกันแล้ว’ ตามที่พระชายาตรัสคงหมายถึงว่าที่เจ้าสาว...หรือว่าจะเป็นลู่หลิ่ง! ต้องใช่แน่ๆ ได้ยินจากพ่อบ้านเฉินเล่าว่าเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพได้หลายเดือนแล้ว หญิงชายเห็นหน้ากันทุกวันก็คงไม่แปลกที่สักวันหนึ่งย่อมมีใจต่อกัน แม่นางลู่หลิ่งก็สวยซะขนาดนั้น...
ระหว่างทางที่รถม้ากำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูวังหลวง เหม่ยหลินลอบมองคนที่นั่งเคียงข้างอย่างระแวงสงสัย เหตุใดชายหนุ่มนั่งนิ่งมาตลอดทางราวกับมีเรื่องหนักใจ
‘หากเขาจะต้องแต่งงานกับแม่นางลู่หลิ่งเร็วๆนี้ ทำไมเขาไม่บอกเราตั้งแต่แรกนะ ไม่อย่างนั้นเราจะได้ปฏิเสธการเข้าพักที่เรือนใหญ่ หากแม่นางลู่หลิ่งเข้าใจผิดขึ้นมาต้องโดนเกลียดขี้หน้าแน่’ ที่คิดเช่นนี้เพราะเธอยังมั่นใจเช่นเดิมว่าเจ้าสาวคือลู่หลิ่ง...
รถม้ายังไม่ทันจะวิ่งพ้นประตูหญิงสาวก็ได้ยินเสียงเอะอะดังจากภายนอก แม่ทัพหวางก็ได้ยินเช่นกัน เขาจึงตะโกนถามสารถีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทหารกำลังขับไล่หญิงผู้หนึ่งออกจากวังขอรับ”
หวางชุนเทียนได้ยินแล้วถอนหายใจอย่างเข้าใจสถานการณ์ เรื่องการขับไล่นางกำนัลออกจากตำหนักในวังหลวงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
“ฮือ...ฮือๆๆ ปล่อยข้า...ข้าไม่มีที่ไปจริงๆ ได้โปรดเถิด”
‘เสียงร้องไห้ที่น่าสงสารนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเหม่ยหลิน เธอเผลอถลันตัวไปที่หน้าต่างฝั่งด้านข้างของหวางชุนเทียนโดยลืมไปว่าร่างบางได้สัมผัสใกล้ชิดกับชายหนุ่มแบบไม่รู้ตัว
กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากเรือนผมยาวสลวยแตะเข้าที่จมูกโด่งเป็นสัน กลิ่นหอมดอกกุ้ยฮวาที่เขาคุ้นเคย... หวางชุนเทียนสูดลมหายใจเข้าเบาๆ เหมือนกลัวหญิงสาวจะจับสังเกตได้
มือเรียวบางรีบเปิดหน้าต่างออก สิ่งที่เห็นคือทหารชั้นประทวนสองนายหิ้วแขนทั้งสองข้างของหญิงสาว ลักษณะกึ่งลากกึ่งจูง แม้จะทำท่าทีต่อต้านแต่ก็ถูกโยนปลิวออกไปจนพ้นประตูจนได้
จนกระทั่งหญิงนางนั้นเงยใบหน้าซีดเผือดหากแต่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
“จูผิง! ใช่จูผิงหรือเปล่า!”
หญิงที่ถูกเรียกชื่อหันหน้ามองตามเสียงที่ดังออกมาจากรถม้า เห็นใบหน้าขาวนวลของใครบางคนที่กรอบหน้าต่างเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตะโกน “หยุดรถก่อน!” เหม่ยหลินผลุนผลันเปิดประตูอย่างเร่งรีบ หวางชุนเทียนเองเป็นห่วงว่านางจะก้าวพลาดตกรถม้าไปเสียก่อน จึงคิดจะคว้ามือนางไว้ แต่ก็ไม่ทัน
“มะ...แม่นางเหม่ยหลิน!” หญิงที่ถูกโยนออกนอกประตูวังส่งเสียงเรียกชื่อฝ่ายตรงข้ามทันทีที่ได้เห็นหน้า
“จูผิง เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ”
“ข้าถูกลงโทษโบยหลังยี่สิบไม้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำสิ่งใดผิดไป” จูผิงคนซื่อไม่เข้าใจสิ่งที่นางกระทำนั้นเป็นความผิดได้อย่างไร หลังจากที่พระชายาฟางซินทราบว่าจูผิงเป็นผู้ช่วยเหม่ยหลินให้ไปถึงลานพิธีได้ทันเวลา ถึงกับโกรธจัดจนไม่อาจให้อภัย ทั้งลงโทษและไล่ออกจากตำหนัก
“แล้วเจ้า...จะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้าไม่รู้ ฮือๆๆ ตอนนี้ข้าถูกไล่ออกมาจากตำหนักแล้ว ข้าอยู่วังหลวงมาตั้งแต่เด็ก นอกจากในวังหลวงแล้วข้าก็ไม่รู้จักผู้ใด”
เหม่ยหลินเหลือบไปเห็นเลือดที่ซึมบนแผ่นหลังของจูผิงยิ่งรู้สึกหดหู่ใจสงสารนางอย่างมาก นางต้องถูกโบยเพราะช่วยเหลือเธอแท้ๆ ทั้งที่นางก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการสลับตัวของพระชายาฟางซินแม้แต่น้อย ช่างไม่ยุติธรรมเลย
หญิงสาวหันไปมองร่างชายหนุ่มที่ก้าวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาได้ยินการสนทนานั้นชัดเจน แม้ว่าพระชายาฟางซินจะทรงไม่ชอบหน้าเหม่ยหลินแต่ในตำหนักเฟิ่งหวงยังมีจูผิงผู้นี้คอยช่วยเหลือ หากนางไม่ได้ช่วยพาเหม่ยหลินมาได้ทันเวลาในวันนั้นป่านนี้เขาคงไม่มีทางได้พบหน้าหญิงสาวอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ทัพ ข้า...คือว่าข้าอยากจะ...” เหม่ยหลินกล้าๆกลัวๆที่จะเอ่ยขอความเห็นใจจากแม่ทัพหนุ่มให้พาจูผิงไปอยู่ด้วยกัน ลำพังเธอผู้เดียวก็เกรงใจเขาจะแย่แล้ว
“คือนางเคยช่วยข้าไว้ ท่านจะกรุณารับจูผิงไปอยู่ที่จวนอีกสักคนได้หรือไม่” ในที่สุดก็ตัดสินใจออกปากไป
หวางชุนเทียนถอนหายใจเบาๆ เขารู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวต้องออกปากร้องขอเช่นนี้ เขายังไม่ตอบรับทันทีหากแต่เดินไปบอกสารถีผู้ควบคุมม้า
“พานางกลับจวนไปก่อน บอกพ่อบ้านเฉินให้ดูแลรักษาแผลที่หลังของนางด้วย”
การสั่งการให้พากลับจวนถือเป็นการตอบตกลง เหม่ยหลินหันไปฉีกยิ้มกว้างพร้อมกล่าวกับนางผู้ได้รับบาดเจ็บ “จูผิง ท่านแม่ทัพอนุญาตแล้ว เจ้าไปอยู่กับข้านะ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ ขอบคุณท่านแม่ทัพ” จูผิงดีใจก้มหัวคำนับหลายครั้ง
หญิงสาวเตรียมตัวพยุงร่างจูผิงขึ้นรถม้าพร้อมกันแต่ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงออกคำสั่ง
“ให้นางผู้นี้ขึ้นรถม้ากลับจวนไปคนเดียว”
“อ้าว! ให้รถม้ากลับไปก่อนอย่างนี้แล้วเราจะกลับจวนกันอย่างไร ”
“เดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมม้าไว้ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า”
“ม้า! ข้าขี่ม้าไม่เป็นนะ เราคุยกันระหว่างทางบนรถม้าไม่ได้หรือ แล้วข้าก็เป็นห่วงจูผิงด้วย”
“ไม่ได้ ข้าต้องคุยกับเจ้าเพียงสองคน” หวางชุนเทียนทำเสียงขึงตึงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เชื่อฟัง แต่กลับห่วงหญิงรับใช้มากกว่าเรื่องสำคัญที่เขาจะพูด
จูผิงมองหน้าเครียดของแม่ทัพหวางอย่างหวาดๆ รีบล่ะล่ำล่ะลักพูดแทรกขอให้แม่นางเหม่ยหลินทำตามที่ท่านแม่ทัพพูด “ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าไปรับใช้แม่นางเหม่ยหลินก็เป็นพระคุณมากแล้ว ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” แม้ว่ายังรู้สึกเจ็บจากบาดแผลที่หลัง แต่หวาดกลัวสายตาของแม่ทัพหวางชุนเทียนมากกว่า นางเคลื่อนตัวออกห่างจากเหม่ยหลินรีบเดินขึ้นรถม้าอย่างลนลาน
เหม่ยหลินหันมองหน้าหวางชุนเทียนอย่างไม่เข้าใจ ทำไมไม่รีบกลับจวน ตอนนี้มีอะไรที่สำคัญมากไปกว่าการรีบกลับไปหาว่าที่เจ้าสาวของเขางั้นหรือ?
หลังจากที่รถม้าวิ่งห่างออกไปจนลับสายตาแล้ว เหม่ยหลินยืนรออยู่ที่หน้าประตูเมืองตามคำสั่งของหวางชุนเทียน สักพักก็เห็นชายหนุ่มจูงม้ารูปร่างแข็งแรงเดินตรงมาหยุดตรงหน้าหญิงสาวพร้อมยื่นมือมาเป็นสัญญาณให้รู้ว่านางต้องขึ้นม้าตัวเดียวกับเขา
“มีม้าตัวเดียวหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าขี่ม้าไม่เป็น” ตอบแบบรู้ทัน “อย่าชักช้าอยู่เลย รีบมาขึ้นม้าเถิด”
หญิงสาวยังยืนนิ่ง ออกปากถามหาบันได
“ไม่มีบันได ข้าจะพาเจ้าขึ้นหลังม้าเอง”
“เอ่อ...เดี๋ยวข้าลองขึ้นเองดูก่อนดีกว่า” มือเล็กบอบบางเกาะที่อานม้า พยายามกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังหลี่ตามองร่างอรชร ส่ายหน้ากับความอวดดีของหญิงสาว ทั้งที่ตัวนางนั้นไร้หนทางไปแต่ก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตามคำพูดของเขา ได้แต่คัดค้านแทบทุกครั้ง หวางชุนเทียนไม่เคยพบเจอหญิงนางใดในแคว้นทำทีท่าเช่นนี้ใส่แม่ทัพอย่างเขามาก่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ