ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) เป็นฮูหยินของข้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความการกระโดดขึ้นหลังม้าทำได้ยากกว่าที่คิด นึกโมโหร่างที่เล็กบอบบางและส่วนสูงอันจำกัดทำให้ไม่สามารถพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตัวนี้ได้เสียที ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณเจ้าม้าขนสวยที่ยังคงยืนนิ่งรออย่างอดทน ดูจากท่าทางการสะบัดหางไปมาเพียงเบาๆแสดงว่ายังไม่รำคาญคนที่พยายามปีนขึ้นหลังของมัน โชคดีแค่ไหนแล้วนะที่มันไม่ยกขาขึ้นมาเตะ
“ขึ้นได้หรือยัง” แม่ทัพหนุ่มยืนมองอยู่เป็นนานสองนานแล้วก็ไม่เห็นทีท่าว่าจะเป็นผลสำเร็จ
หญิงสาวไม่ตอบ ขมวดคิ้วหอบเหนื่อยก่อนที่จะหมุนตัวกลับมาเพื่อบอกกับชายหนุ่มว่าควรหาบันไดไม้มาเป็นตัวช่วยให้ขึ้นโดยง่ายจะดีกว่าหรือไม่ แต่จังหวะที่ไม่คาดคิดหวางชุนเทียนขยับเข้ามาประชิดแล้วช้อนร่างบางขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวจนหญิงสาวทำหน้าเหวอ
“ท่านแม่ทัพ!” เสียงอุทานเรียกเขาดังขึ้นด้วยความตกใจ
“มัวแต่รอให้เจ้าขึ้นม้าเอง วันนี้คงนอนที่หน้าประตูวังเป็นแน่” ชายหนุ่มเอ่ยปากในขณะที่อุ้มร่างหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
“แต่ว่าเป็นท่านเองที่อยากจะขี่ม้า” พอได้เห็นใบหน้าคมคายของเขาใกล้ชิดขนาดนี้ ทำเอาเหม่ยหลินใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเลย
“เจ้าตำหนิข้างั้นรึ”
“ข้าไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ ใครจะกล้าตำหนิท่านแม่ทัพหวางชุนเทียนล่ะเจ้าคะ” น้ำเสียงยอกย้อนจากปากของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มกระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะส่งร่างบางโยนขึ้นบนหลังม้าทันที
“ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นไปแต่โดยดี” เหม่ยหลินตกใจร้องเสียงหลง กลัวเหลือเกินว่าจะหล่นตุ๊บลงไป
ถึงแม้การขึ้นม้าครั้งแรกในชีวิตของหญิงสาวจะเป็นผลสำเร็จ แต่พอได้ขึ้นมาได้จริงๆ ก็เอาแต่ก้มตัวลงใช้มือเกาะคอม้าแน่น แม่ทัพหนุ่มดูจะเข้าใจความรู้สึกกลัวของสาวน้อยได้ดีจึงไม่ปล่อยให้ตื่นกลัวนานเกินไป เขารีบกระโดดขึ้นคร่อมบนหลังม้าตัวเดียวกันนี้อย่างรวดเร็ว
“นั่งนิ่งๆ ยืดตัวให้ตรง อย่ามัวแต่เกาะที่คอม้าเดี๋ยวมันตกใจ” คนที่เพิ่งกระโดดขึ้นมานั่งพูดในเชิงสั่งสอนแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างคว้าสายบังเหียนที่อยู่ด้านหน้าของหญิงสาว ตอนนี้ความตื่นกลัวว่าจะร่วงลงพื้นเปลี่ยนเป็นอึดอัดขัดเขินที่ร่างบางต้องถูกขนาบด้วยแขนทั้งสองข้าง
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” พอเห็นว่าคนด้านหน้านั่งนิ่งไม่ไหวติงเป็นอันว่าหมดเรื่อง เขาจึงเริ่มบังคับให้ม้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เสียงฝีเท้าม้าวิ่งกุบกับมุ่งหน้าออกนอกเมือง เหม่ยหลินที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหน้าของแม่ทัพหนุ่มบนหลังม้ามีสีหน้าเป็นความกังวลอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งสองข้างของหวางชุนเทียนจับสายบังเหียนเพื่อควบคุมม้าอยู่ แต่ดูไม่ต่างอะไรกับการถูกเขาโอบกอดจากทางด้านหลัง หญิงสาวเริ่มขยุกขยิกตัว คิดเพียงว่าเมื่อไรจะถึงที่หมายเสียที
“ขยับตัวทำไม เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” เขาทำน้ำเสียงตักเตือนในขณะที่ม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าจึงควรนั่งอย่างระมัดระวัง
“ท่านบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับข้า ต้องมาไกลถึงขนาดนี้ด้วยเหรอ”
“ข้าจะพูดกับเจ้าต่อเมื่อเราถึงที่หมาย”
“แล้วเมื่อไรจะถึงเสียที ข้าอยากลงจากหลังม้าแล้ว”
“นั่งม้ามากับข้า ไม่ดีอย่างไร”
“ถ้าเกิดเจ้าสาวของท่านเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไงดีกว่า” ประโยคนี้ทำให้หวางชุนเทียนเลิกคิ้วแล้วก้มมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว เขาบังคับม้าให้ลดความเร็วเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ
“เจ้าสาวของข้า? เข้าใจผิด?” เขาทวนคำพูด
“ท่านแม่ทัพหวางชุนเทียน! ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ ท่านมีเรื่องต้องคุยกับแม่นางลู่หลิ่งมากกว่าคุยกับข้า พาข้ากลับจวนได้แล้ว บอกแม่นางลู่หลิ่งด้วยว่าข้าเป็นเพียงผู้อาศัย นางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิด”
ในความเข้าใจของเหม่ยหลิน ว่าที่เจ้าสาวของท่านแม่ทัพอย่างไรเสียก็ต้องเป็นแม่นางลู่หลิ่งอยู่แล้ว นางออกจะสวยงามปานนั้นแถมยังอยู่ร่วมจวนเดียวกันมาตั้งนาน ต้องมีสปาร์คกันบ้างล่ะ
“ข้าไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องคุยอะไรกับลู่หลิ่ง ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้ามากกว่า”
“ไม่ได้นะ ท่านต้องคุยกับแม่นางลู่หลิ่งให้รู้เรื่อง ข้าไม่อยากเป็นมือที่สามของใคร”
หวางชุนเทียนยิ้มขันก่อนที่จะถอนหายใจยาว ‘ใครกันแน่ที่เข้าใจผิด’ เขาบังคับม้าให้หยุดแล้วคลายมือข้างหนึ่งจากบังเหียนเปลี่ยนเป็นดึงมือของหญิงสาวขึ้นมาจับไว้
“มือของเจ้าก็อยู่นี่ มือข้าก็อยู่นี่ ไหนล่ะมือที่สาม” เขารู้อยู่แก่ใจว่านางเข้าใจผิด แค่อยากยั่วให้หญิงสาวโมโหเล่น
“เอ๊ะ! ท่านนี่ยังไงนะ!” เธอเอี้ยวตัวหันไปทำสีหน้าไม่พอใจ พยายามสะบัดมือให้หลุดก็ไม่หลุดแถมยังถูกดึงมือเข้าหาตัวเขาจนร่างบางแนบชิดที่อกกว้าง แก้มนวลเนียนเกือบจะชนเข้ากับจมูกโด่งของชายหนุ่มที่ก้มลงมองดวงหน้าสวยอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาเปล่งประกายที่จ้องมองใบหน้าหญิงสาวทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เหม่ยหลินไม่ชอบความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย ความกระอักกระอ่วนใจทำให้เธอหันหน้ากลับพร้อมดึงมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมจนได้
“เอาล่ะ ลงกันได้แล้ว” ร่างสูงเหวี่ยงขาสองข้างลงพื้นก่อนที่จะเงยหน้ามองและอ้าแขนรอรับร่างคนที่ยังนั่งนิ่งคิดอยู่ว่าหากลงด้วยตัวเองจะเป็นอย่างไร ถ้าลงไม่ถูกท่าขาจะหักหรือเปล่า
คนอยู่ข้างล่างพยักหน้าเร่งให้หญิงสาวลงมาเสียที สุดท้ายเธอตัดสินใจยอมที่จะอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง เพราะถ้าพลัดตกลงไปแล้วต้องบาดเจ็บ ย่อมไม่คุ้มค่า
สถานที่ที่หวางชุนเทียนพามาเป็นลำธารขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาขนานไปกับสายน้ำ ความงดงามของทิวทัศน์ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง หญิงสาวถือโอกาสนี้วิ่งไปใกล้ๆลำธารมองดูน้ำที่ใสสะอาดจนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง
“เจ้ารู้หรือไม่ทำไมท่านอ๋องจึงยอมขัดความประสงค์ขององค์ชายรอง” เสียงทุ้มพูดขึ้นในขณะที่มือหนาจับเชือกม้ามาผูกไว้กับต้นไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้ามองหญิงสาวที่กำลังถลกแขนเสื้อวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาล้างมือ
“นั่นสิ ทำไมหรือเจ้าคะ” เมื่ออยากรู้มานานแล้วจึงถามขึ้น
ปานรูปดอกไม้โผล่พ้นแขนเสื้อที่ถูกถลกสูงขึ้นเหนือหัวไหล่ ทั้งที่เขามองเห็นมันเป็นครั้งแรกแต่ต้องพูดปดต่อท่านอ๋องไป และตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องอธิบายให้เจ้าตัวฟังได้แล้ว
“เป็นเพราะปานรูปดอกไม้ที่แขนของเจ้าทำให้ข้าหาทางออกและช่วยเจ้าได้”
“ทางออก ทางออกอะไรหรือเจ้าคะ” ถามด้วยความสนใจอีกครั้ง
“เป็นฮูหยินของข้า” เขาบอกด้วยแววตาจริงจัง
“ห๊ะ!” หญิงสาวเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ สายตาจ้องมองใบหน้านิ่งของชายหนุ่มตาไม่กะพริบราวกับรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจนกว่านี้
“เดิมทีจะรับเจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรมเพื่อตอบแทนท่านหมอหลิวซูเยียน แต่ตอนนี้...คงไม่ได้แล้ว”
“ที่แท้ข้อความที่ท่านเขียนในกระดาษคือเรื่องนี้... แต่แค่ท่านเห็นปานที่แขนของข้าก็ตัดสินให้ข้าเป็นฮูหยินของท่านแล้วหรือ”
“ข้าบอกว่าเรามีสัมพันธ์กันแล้วและข้าจะรับเจ้าเป็นฮูหยินของข้า ท่านอ๋องจึงเข้าใจจนยอมขัดใจองค์ชายรอง” เหม่ยหลินทำตาโตใส่เขาอีกครั้งนึกไม่ถึงว่าทางออกที่กล่าวคือการกุเรื่องความสัมพันธ์ของเขาและเธอ
“ไม่ได้ๆ จะให้ข้าแต่งงานเป็นฮูหยินของท่านตอนนี้ไม่ได้” หลังจากตั้งสติได้ก็ส่ายหน้าดิก เราจะแต่งงานกับคนยุคโบราณได้อย่างไร!
“เจ้ามีคนในใจอยู่แล้วรึ”แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถาม
หญิงสาวส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง”
“หรือเจ้าหมายถึงการสู่ขออย่างเป็นทางการ แล้วท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน ให้ข้าพบพวกท่านได้หรือไม่” แม่ทัพหนุ่มพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย
“พวกท่านอยู่ไกลมาก แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถกลับไปหาพวกท่านได้” พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเมื่อฉุกคิดถึงบุพการี เหม่ยหลินถอนหายใจยาวไม่รู้ว่าจะอธิบายให้หวางชุนเทียนเข้าใจได้อย่างไร
ชายหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่งที่ได้เห็นใบหน้าซึมเศร้านั้น “ไกลถึงเพียงนั้น แล้วเจ้ายังเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร จะว่าไปครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า เจ้าก็หายตัวไปไร้ร่องรอย” เขาถามอย่างต่อเนื่อง
“ใช่เจ้าค่ะ มีบางสิ่งนำพาข้ามาซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ครั้งแรกข้าพบท่านในความฝันจนเดี๋ยวนี้ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าเผชิญอยู่เป็นจริงหรือฝันกันแน่”
“ฝัน! ที่เราได้พบกันครั้งนั้นเป็นเพียงความฝันของเจ้างั้นรึ”
ชายหนุ่มจำได้ไม่ลืม เขาเห็นด้วยตาตัวเองเมื่อครั้งที่ร่างกายนอนบาดเจ็บสาหัสจวนเจียนจะสิ้นใจ เหม่ยหลินผู้นี้ปรากฏตัวข้างกายเขาอย่างน่าอัศจรรย์ หรือว่าการพบกันครั้งแรกระหว่างเขาและเหม่ยหลินเป็นเพราะ ‘สิ่งเหนือธรรมชาติ’ นำพาตัวนางมา
“แต่สำหรับข้าไม่ใช่ความฝัน ไม่ว่าใครหรืออะไรที่พาตัวเจ้ามาที่นี่ข้ารู้สึกขอบคุณสิ่งนั้น”
หญิงสาวผู้มาจากแดนไกลไม่รู้ว่าชายตรงหน้าคิดอะไรอยู่ สายตาที่มองเธออย่างค้นหาทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจเห็นเธอเป็นเพียงหญิงประหลาดที่ไม่รู้ที่ไปที่มา
“ข้าไม่ล้มเลิกความคิดที่จะหาทางกลับบ้านให้ได้” หญิงสาวบ่ายหน้าเหม่อมองไปยังสายน้ำที่ไหลเอื่อยนั้นอย่างเชื่อมั่นว่าความฝันอันยาวนานนี้ต้องมีวันสิ้นสุด
“ตอนนี้หากยังหาหนทางกลับบ้านไม่ได้ เจ้าอยู่ที่จวนของข้าได้” ชายหนุ่มรีบเสนอเพราะเห็นว่านอกจากเรือนของพ่อบุญธรรมหลิวซูเหยียนแล้วนางไม่มีที่พักที่ไหนอีก
“อยู่จวนของท่าน แล้ว...แล้วยังต้องแต่งงานงั้นรึ”
“ใช่ อยู่ในฐานะฮูหยินของข้า”
สีหน้าของหญิงสาวเกิดความกังวลและความรู้สึกไม่สบายใจหลายๆอย่างกำลังโจมตีจนชายหนุ่มสังเกตเห็นได้ “หรือว่าการที่เจ้าไม่ยินยอมแต่งงานเป็นเพราะรังเกียจข้า”
“เปล่าๆ ข้าไม่ได้รังเกียจท่าน แต่จะให้แต่งงานเป็นฮูหยินของท่านทั้งๆที่เราไม่ได้....”
“เพียงในนาม! เราจะแต่งงานกันเพียงในนาม ข้าให้เวลาเจ้ากลับไปคิด อืม...ไม่ใช่สิ เจ้าควรกลับไปเตรียมตัว” รีบชิงพูดขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สอง เหม่ยหลินหันขวับหลังจากได้ฟังน้ำเสียงจริงจังที่ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของเขา
“ท่านเป็นถึงแม่ทัพแห่งแคว้นตงเยว่ ข้าเชื่อว่ายังมีคุณหนูที่งดงามจากตระกูลใหญ่อีกตั้งมากมายที่ยินยอมเป็นฮูหยินของท่าน”
“ข้าไม่คิดผูกใจกับหญิงสาวตระกูลใด ข้าไม่ต้องการให้ตำแหน่งแม่ทัพของข้าไปสนับสนุนตระกูลใหญ่เหล่านั้น อีกประการหนึ่ง หากไม่รับเจ้าเป็นฮูหยินสกุลหวางตามที่เคยทูลต่อท่านอ๋องไว้เกรงว่าจะถือเป็นการหลอกหลวงเบื้องสูง”
เหม่ยหลินนิ่งฟังเหตุผลพลันนึกถึงวันที่อยู่ต่อหน้าที่ประทับ ท่านอ๋องทรงอนุญาตให้เราเดินออกมาโดยที่ไม่ถามไถ่สิ่งใดอีกเลยหลังจากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านแม่ทัพเล่นใหญ่ถึงกับกล้าทูลไปว่าเราเป็นฮูหยินของเขานี่เอง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่ท่านจะรับใครเป็นฮูหยินจะไม่ไตร่ตรองให้มากกว่านี้สักนิดหรือ นี่ท่านไม่หวงความโสดของท่านเลยหรือไง” เอียงคอมองพร้อมยักไหล่ถามอย่างแปลกใจ ปกติแล้วชายตำแหน่งสูงศักดิ์ระดับนี้น่าจะเป็นคนพิถีพิถันในทุกเรื่องมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ ยิ่งเป็นเรื่องของผู้ที่จะมาเป็นฮูหยินยิ่งควรต้องเลือกให้เหมาะสมกับฐานะตนเอง
แม่ทัพหนุ่มหัวเราะเบาๆ รู้สึกขันในคำพูดและท่าทีของหญิงสาวหลายอารมณ์ผู้นี้ เมื่อครู่ยังทำหน้าเศร้าอยู่เลย ถึงแม้นางเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันเพียงไม่กี่ครั้งแต่เวลาที่อยู่ใกล้กลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว
“หมดเรื่องพูดแล้ว กลับกันเถิด” ร่างสูงหันหลังกลับมุ่งหน้าไปยังต้นไม้ที่ผูกเชือกม้าไว้
“เดี๋ยวสิท่านแม่ทัพ จะกลับแล้วเหรอ รอข้าด้วย!” หญิงสาวซอยเท้าวิ่งตามเขาไป หมั่นไส้แม่ทัพเอาแต่ใจผู้นี้นัก ดูสิ...นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ