ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) มื้อเช้าที่ศาลาริมสระน้ำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้าวันใหม่ที่จวนสกุลหวาง เหม่ยหลินลุกขึ้นจากเตียงในชุดนอนสีขาวผ้าเนื้อบาง เธอยืนขึ้นบิดตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อไล่ความเกียจคร้าน น่าแปลกที่ตอนแรกคิดว่าห้องใหม่นี้จะทำให้เธอไม่สามารถนอนหลับได้เต็มตื่นแท้ๆ แต่ค่ำคืนแรกในจวนสกุลหวางกลับเป็นคืนที่หญิงสาวนอนหลับสนิท... คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าและเรื่องน่าปวดหัวที่ต้องเผชิญมากมายเมื่อวานนี้
‘เดิมห้องนี้เป็นห้องของท่านแม่ทัพ แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ห้องด้านในแล้ว…’ อยู่ๆก็นึกถึงคำพูดของพ่อบ้านเฉินขึ้นมา เมื่อวานคิดว่าจะเดินสำรวจห้องอย่างละเอียดก็ไม่ทันได้ทำ เพราะดันเผลอหลับไปเสียก่อน
หญิงสาวเดินไปเดินมาในห้องที่ประดับตกแต่งเรียบง่าย โครงสร้างภายในถูกออกแบบอย่างประณีตและกว้างมากพอสำหรับพื้นที่วางอ่างน้ำใบใหญ่ให้เป็นบริเวณห้องอาบน้ำโดยมีฉากกั้นดูเป็นสัดส่วนตรงมุมห้อง บรรดาเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็ถูกแกะสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งขอบประตูหน้าต่างไม้ล้วนฉลุลายโบราณพื้นผิวเรียบลื่นสีน้ำตาลเข้มแสดงให้เห็นฝีมือของช่างไม้โบราณ ทว่าในความเรียบง่ายนี้กลับมีแท่นวางอาวุธจัดวางไว้ใกล้ประตูทางเข้า ราวกับเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่ขาดไม่ได้ สมกับเป็นห้องของแม่ทัพผู้เกรียงไกรจริงๆ
เสียงความเคลื่อนไหวของคนที่เพิ่งตื่นนอนทำให้หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ภายนอกประตูรับรู้ได้ ทั้งสองรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีเหมือนรอการตื่นของหญิงสาวนานแล้ว คนหนึ่งถืออ่างน้ำล้างหน้าพร้อมผ้าซับหน้าสีขาวสะอาดวางไว้บนโต๊ะ อีกคนหนึ่งถือแพรพรรณชุดงามแล้วคลี่ออกวางพาดบนราวที่สลักเสลาจากไม้เตรียมไว้สำหรับหญิงสาว
“พวกข้าเข้ามาช่วยแต่งกายให้แม่นาง เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเองได้ ไม่รบกวนพวกเจ้าหรอก” เหม่ยหลินออกปากเชิงไล่ แต่พูดขนาดนี้แล้วทั้งสองนางก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนกาย ได้แต่เหลือบตามองกันแล้วสั่นศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
“ออกไปไม่ได้เจ้าคะ พวกข้ามีหน้าที่ดูแลแม่นางตามที่พ่อบ้านเฉินสั่ง” ทั้งสองนางพร้อมใจกันก้าวเข้าประชิดตัวหญิงสาว “เร็วเถิดเจ้าค่ะ ใกล้ถึงเวลารับอาหารเช้าแล้ว เดี๋ยวท่านแม่ทัพจะรอนาน”
หญิงสาวอ้าปากจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่มือไม้ของทั้งสองนางมุ่งมั่นปลดเสื้อผ้าเพื่อที่จะเช็ดเนื้อตัวทำความสะอาดร่างกายให้ได้
“เดี๋ยวๆๆ ข้าถอดชุดเอง...” หญิงสาวพยายามถอยหลังหนีแต่ไม่เป็นผล
จวนแม่ทัพเขาดูแลแขกที่มาพักถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้เชียวหรือ! ตอนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหวงยังไม่ต้องมีใครมาคอยปรนนิบัติถึงในห้อง อย่างมากก็ทำความสะอาดห้อง ซักผ้าและเตรียมน้ำในอ่างไว้เท่านั้น
ส่วนสาวใช้ทั้งสองนางทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจน้ำเสียงต่อต้าน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้น เพราะพ่อบ้านเฉินกำชับมาหนักแน่นให้ส่งตัวแม่นางเหม่ยหลินไปรับอาหารให้ทันเวลา หากล่าช้าจนทำให้ท่านแม่ทัพรอนานคงไม่เป็นการดีแน่...
“นางยังไม่มาอีกหรือ” เสียงทุ้มตั้งคำถามกับพ่อบ้านเฉินที่กำลังสาละวนจัดแจงอาหารพลางสั่งสาวใช้ให้ใส่ใจดูแลสำรับอาหารอย่างดีที่สุด วันนี้ห้องครัวยุ่งตั้งแต่เช้าเหตุจากที่ท่านแม่ทัพออกคำสั่งให้จัดสำรับไว้ที่ศาลาริมสระน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่รื่นรมย์อีกแห่งหนึ่งในจวนนี้
“ท่านแม่ทัพนั่งรอสักประเดี๋ยวเถิด ข้าให้บ่าวไปดูแลแม่นางแล้ว” พ่อบ้านวัยห้าสิบกว่ารู้ได้ทันทีว่าหมายถึงผู้ใด “นั่นไง...แม่นางเหม่ยหลินมาแล้วขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มผินหน้าไปตามทิศทางที่พ่อบ้านบอกจึงได้เห็นเหม่ยหลินกำลังเดินข้ามสะพานไม้มุ่งตรงมายังศาลาแห่งนี้ วันนี้นางสวมเสื้อผ้าชุดสีชมพูหวานราวกับสีของดอกบัวที่เบ่งบานในสระน้ำ สีชมพูนั้นส่งให้ผิวของเหม่ยหลินที่ขาวเนียนละเอียดยิ่งเปล่งประกาย ใบหน้างามตกแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมเพียงบางเบาแตกต่างจากเมื่อวาน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารูปลักษณ์นี้เหมาะสมกับหญิงสาวมากกว่า
การที่เหม่ยหลินได้เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้เป็นเรื่องที่แม่ทัพหนุ่มไม่ได้คาดการณ์มาก่อน หากองค์ชายรองไม่คิดบังคับนางให้เป็นสนม เขาต้องทำหน้าที่ส่งตัวนางกลับสู่หมู่บ้านหนิงอันไปแล้ว
“ข้ามาสายจริงๆด้วย” เหม่ยหลินกล่าวเสียงเบา ทำให้เจ้าของจวนต้องรอแบบนี้เป็นเรื่องเสียมรรยาทจริงๆ “ข้าขออภัย ต่อไปข้าจะมาให้ตรงเวลาทุกครั้งเจ้าค่ะ”
“วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้าอยู่ที่นี่ มาช้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก นั่งสิ...” เหม่ยหลินทำตามคำสั่งโดยดี
พ่อบ้านเฉินขอตัวออกไปหลังจากเห็นว่าทั้งสองนั่งประจำสำรับอาหารของตนเองแล้ว ปล่อยให้สาวใช้สองนางรับช่วงการปรนนิบัติต่อจากเขา
เหม่ยหลินมองสำรับตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง มือเรียวบางจับตะเกียบเริ่มคีบอาหารก่อนจะช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าอยู่เนืองๆ ชายหนุ่มที่เคี้ยวอาหารอยู่รู้สึกได้ถึงสายตาของฝั่งตรงข้าม ดวงตาคู่คมเหลือบมองและได้สบประสานสายตาเข้าอย่างจัง คราวนี้เป็นหญิงสาวที่ทำทีก้มหน้ากินอาหารต่อ
“ดูเหมือนเจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้า” เขาเอ่ยถาม
“ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ และท่านยังกรุณาให้ข้าพักในจวนอีก”
“ที่ต้องการพูดมีแค่นี้งั้นรึ”
“ยังมีอีก...คือข้าแค่แปลกใจ ที่จวนของท่านต้อนรับแขกอย่างดีเช่นนี้ทุกครั้งหรือเปล่า” ความจริงที่ต้องการถามคือเรื่องนี้
“ดีอย่างไร?”
“ข้าได้ยินแม่นางลู่หลิ่งบอกว่าที่นี่มีเรือนรับรองสำหรับแขกเหตุใดไม่ให้ข้าพักที่นั่น ห้องเดิมของท่านมันใหญ่เกินไป แล้วยังมีหญิงรับใช้สองนางอีก พวกนางช่วยแต่งตัวให้ราวกับข้าเป็นเด็กหญิง การดูแลที่มากไปเช่นนี้ข้าไม่ชินเลย” ในเมื่อเขาให้โอกาสได้ถามแล้ว เหม่ยหลินจึงส่งคำถามไปเป็นชุด
แม่ทัพหวางหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็เหมือนเด็กจริงๆนี่” ความไม่รู้เรื่องรู้ราวกับสิ่งรอบตัวของเหม่ยหลินรวมทั้งทุกอากัปกิริยาของนางที่ไม่เหมือนหญิงทั่วไป จนบางครั้งคิดว่านางดูไม่เหมือนคนในดินแดนเดียวกันกับเขาเลย
“แต่ข้าอายุสิบแปดปีแล้วไม่ใช่เด็ก” เธอเผลอพูดสวนกลับ “ตอนที่อยู่หมู่บ้านหนิงอัน ข้ามีความสามารถเป็นถึงผู้ช่วยท่านหมอหลิวจัดยาสมุนไพรและดูแลคนป่วยได้ด้วย”
ชายหนุ่มหยุดเคี้ยวอาหารและวางตะเกียบลง จ้องมองดวงหน้าหญิงสาวและฟังน้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามจะบอกให้รู้ว่าตัวเธอนั้นช่างเป็นหญิงที่ทำตัวเป็นประโยชน์
“ความคิดอ่านยังไม่รอบคอบเช่นนี้ ยังจะบอกว่าไม่ใช่เด็กอีก” คำพูดนี้ทำให้เหม่ยหลินขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ตอนนี้เจ้าควรเรียกท่านหมอหลิวซูเหยียนว่าพ่อบุญธรรมได้แล้ว ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดจะเปล่าประโยชน์”
“เรื่องนี้…ข้าเข้าใจแล้ว” เธอพูดเสียงอ่อย เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการเป็นลูกบุญธรรมของหมอหลิวผู้มีพระคุณของแม่ทัพหวางชุนเทียนเป็นทางออกเดียวที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการเป็นสตรีบรรณาการมาได้ “แล้วเรื่องที่ข้าถามท่านเล่า”
“อ่อ...เรื่องห้องพักของเจ้างั้นรึ ข้าเห็นว่าไม่สะดวกให้ใครเข้าพักที่เรือนรับรอง เรือนนั้นไม่ได้เปิดใช้งานมานานแล้ว ให้เจ้าพักห้องเดิมของข้าก็ไม่เห็นว่าแปลกอะไร ห้องว่างอยู่ไม่มีใครพัก”
‘นั่นสิ นอกจากทหารและบ่าวชายหญิงเดินไปเดินมาแล้ว ก็ไม่เห็นใครที่ดูเหมือนผู้เป็นนายของจวนพักอยู่เลย นอกจากท่านแม่ทัพและแม่นางลู่หลิ่ง’
‘หรือว่า...ทั้งสองเป็นอะไรกัน’ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาเฉยๆ นึกถึงหญิงสาวที่ออกมาต้อนรับแม่ทัพกลับจวนเมื่อวานนี้
“ท่านอยู่ในจวนนี้เพียงคนเดียวมาตลอดงั้นหรือ ไม่ใช่สิ ท่านอยู่กับแม่นางลู่หลิ่ง...นางคงจะดูแลท่านได้เป็นอย่างดี” คำพูดดูหยั่งเชิงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจ คิดไว้อยู่แล้วไม่ว่าใครก็ต้องแปลกใจกันทั้งนั้นกับการอยู่ร่วมจวนเดียวกันระหว่างแม่ทัพและหญิงสาวเช่นลู่หลิ่ง
“ข้ามีพ่อบ้านเฉินคอยดูแลอยู่แล้ว ลู่หลิ่งอยู่เรือนเล็กด้านหลังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรือนใหญ่ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”
การที่เขาปฏิเสธกลายๆ ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกว่าอาจจะถามเรื่องส่วนตัวเขามากเกินไป จึงคิดว่าเปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นเรื่องของตัวเธอเองดีกว่า “ความจริงให้ข้าย้ายไปอยู่เรือนรับรองก็ได้ แม้ว่าไม่สะดวกอย่างที่ท่านบอก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าอยู่ได้สบายมาก”
“อยู่ที่เรือนใหญ่ดีแล้ว อยู่ใกล้ๆข้า อีกประการหนึ่งเจ้าไม่ใช่แขก...” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเรียบปกติ หากแต่หญิงสาวกลับรู้สึกแปลกๆที่ได้ฟัง
อยู่ใกล้ๆเขา ทำไมล่ะ…จวนนี้ไม่ปลอดภัยหรืออย่างไร?
ในใจอยากเอ่ยปากถาม แต่ไม่ถามดีกว่า...เขาเป็นเจ้าของจวน เขาว่าอย่างไรก็ตามนั้น
ตลอดระยะเวลาที่มื้ออาหารแรกของทั้งคู่ดำเนินไป เหม่ยหลินบอกตัวเองไม่ถูกว่าเธอรู้สึกอย่างไร มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความอึดอัดกับอาการผ่อนคลายอย่างประหลาด หลายคำพูดที่ชายหนุ่มเอ่ยในทำนองให้เธอคลายกังวลเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในจวน จนหญิงสาวนึกไม่ถึงว่าการอุปโลกน์เป็นลูกบุญธรรมของผู้มีพระคุณต่อท่านแม่ทัพจะมีอภิสิทธิ์ได้ถึงขนาดนี้...
จวบจนมื้ออาหารจบสิ้นลง ก็พอดีกับที่พ่อบ้านเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับชายในชุดขันที
“ข้ามาจากตำหนักเฟยหลง มีข่าวแจ้งต่อท่านแม่ทัพขอรับ” ขันทีหนุ่มคารวะหวางชุนเทียน
“ตำหนักเฟยหลง? หรือว่าพระชายาหม่านลี่กลับจากถือศีลแล้ว”
“ใช่ขอรับ พระชายามีบัญชาให้ท่านแม่ทัพเข้าเฝ้าพร้อมแม่นางเหม่ยหลิน” คนที่ถูกเอ่ยชื่อชะงักกึก ไม่คิดว่าการถูกเรียกเข้าเฝ้าจะรวมถึงเธอด้วย
แม่ทัพหวางตอบรับคำบัญชาผ่านขันทีหนุ่ม พอหันมามองหน้าเหม่ยหลินที่รอตั้งคำถามอยู่แล้วจึงอธิบายให้ฟังว่าพระชายาหม่านลี่เป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่ หลังจากที่องค์ชายใหญ่เดินทางไปฝึกกองทัพอยู่ที่ชายแดนทางใต้ พระชายาหม่านลี่จึงขอไปถือศีลอยู่ที่วัดเพื่อคัดลอกพระคัมภีร์และสวดมนต์ภาวนาให้สวามีของนางสำเร็จลุล่วงในภารกิจการซ้อมรบได้ตามเป้าหมาย
“พระชายาหม่านลี่รู้จักข้าด้วยหรือ เหตุใดเรียกข้าไปพร้อมกับท่าน”
“เจ้าไปเตรียมตัวเถิด อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว” เขาตอบไม่ตรงคำถาม แต่กลับหันไปสั่งการพ่อบ้านเฉินให้เตรียมรถม้า
‘อย่างนี้ก็ต้องเข้าวังหลวงอีกแล้วน่ะสิ’ เหม่ยหลินรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี วังหลวงช่างดูไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เห็นได้จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ กว่าจะออกจากที่แห่งนั้นมาได้ก็เกิดเรื่องวุ่นวายที่คาดไม่ถึงมากมาย
ฝั่งตรงกันข้ามศาลาริมสระน้ำ ลู่หลิ่งยืนปรากฏกายจ้องมองความเคลื่อนไหวของทั้งคู่อยู่นานแล้ว นางกำมือตัวเองไว้แน่นด้วยความริษยา ไม่มีเลยสักครั้งที่แม่ทัพหวางจะเรียกให้นางร่วมรับประทานอาหารด้วย แต่ละวันนางพยายามจัดเตรียมมื้ออาหารและเชื้อเชิญแม่ทัพหนุ่ม แต่สิ่งที่ได้คือคำพูดบ่ายเบี่ยงราวกับว่านางนั่นแหล่ะคือคนนอก...
ลู่หลิ่งหันไปสั่งสาวใช้ด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เย่เหยา…เจ้าไปสืบมาให้ข้าที นางเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงได้รับความสนใจถึงขนาดนี้!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ