เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) สำนวนหัวใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมอยากล่องหนเหมือนอากาศ เช่นเดียวกับที่ปรารถนาให้เรื่องเมื่อคืนเลือนหายไปจากความทรงจำ ปัญหาทุกอย่างดูเหมือนจะจบสิ้นเพียงแค่เข้าไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าตลอดกาล แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ขอให้ผมตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เพราะดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับความอึดอัดในเช้าวันถัดมา ซึ่งผมสุดแสนจะหวาดกลัว
ถึงแม้ว่าจะหลับตาแต่ประสาททุกส่วนนั้นตื่นตัวทั้งคืน ผมได้ยินทั้งเสียงเดินของเข็มนาฬิกา สายลมหวีดหวิวและเสียงแมวร้องหง่าว ผมตั้งใจฟังราวกับมันเป็นสุ้มเสียงของพระเจ้าที่เสด็จมาปลอบโยนกลางราตรี ผมภาวนาขอให้ความน่าอับอายนี้สิ้นสุดไปพร้อมกับฝนหยดสุดท้ายก่อนตะวันฉาย
หลังจากปิดเสียงนาฬิกาปลุก ผมก็เปิดไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือและพับผ้าห่มให้เรียบร้อย พยายามทำทุกอย่างให้เงียบและรวดเร็วกว่าปกติสองเท่าเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าคิมหันต์ตอนเขาตื่น จากนั้นจึงลงไปยังห้องอาบน้ำ
แต่ในระหว่างทางกลับขึ้นห้องคิมหันต์ก็เดินเลี้ยวหัวมุมตึกมาพอดีจนเราสองคนเกือบชนกัน ตอนนี้ผมกับเขาจึงยืนประชันหน้ากันท่ามกลางความมืดสลัวยามหัวรุ่งอันเงียบสงบ
ได้โปรดเอาผมออกไปจากตรงนี้ทีเถอะ เพราะขนาดในความมืดผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองเส้นผมของเขาเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าบีบบังคับให้มองใบหน้าเขาเลย
ผมคิดอย่างกลัดกลุ้ม หัวใจเต้นตูมตามเหมือนกลองรบในสมรภูมิ
“เชา” คิมหันต์กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมมองมาอย่างสบาย ๆ
แต่ผู้ฟังอย่างผมกลับรู้สึกเหมือนถูกฟาดที่หัวด้วยไม้กระบอง เพราะในบรรดาคำพูดมากมายที่ผมคาดว่าจะได้ยินจากปากของเขา คิมหันต์กลับเลือกคำหนึ่งพยางค์เป็นภาษาอิตาลีเพื่อช่วยย้อมสีสถานการณ์ให้สดใส ในขณะที่ผมเตรียมคำพูดยาวเหยียดมาทั้งคืนเพียงเพื่อจะสื่อให้เขารู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดคือเรื่องผิดพลาด
ผมมองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบสายตามองพื้น หัวใจสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
ชายคนนี้เป็นใครหนอ เขาทำได้อย่างไรกัน
ผมคิดพลางเม้มปากแน่น คิมหันต์ไม่รู้สึกกระดากอายบ้างเลยหรืออย่างไร หรือบางทีเขาแค่เก็บซ่อนอาการเหล่านั้นได้ดีมาก แต่กระนั้นผมก็อยากเอาหัวโหม่งพื้นเพราะความไม่ประสีประสาของตัวเอง
“เชา” ในที่สุดผมก็ทักทายกลับ ไม่อาจปิดบังความประหม่าในน้ำเสียง
จากนั้นเราก็เงียบกันไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างทำเป็นสนใจต้นไม้และหมู่ดาวเลือนรางบนท้องฟ้า จนกระทั่งเด็กสองสามคนเดินผ่านเราไปทางห้องอาบน้ำคิมหันต์จึงกระแอมและเอ่ยขึ้น
“แล้วเจอกันที่วัดน้อย”
เขาตบไหล่ขวาของผมเบา ๆ ก่อนจะจากไปทำธุระส่วนตัว ทิ้งให้ผมยืนทื่ออยู่ตรงนั้นเหมือนเสาเกลือ
ช่วงสาย ๆ ท้องฟ้าเริ่มเปิดให้แสงแดดสาดส่องทั่วถ้วน เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาว่างวันเสาร์ไปกับการซักผ้าและทำกิจกรรมกลางแจ้ง แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแอ่งน้ำบ่อโคลนแต่ผู้คนก็หาได้สนใจไม่ ส่วนมากคลาคล่ำกันที่สนามฟุตบอลและบาสเกตบอล
คิมหันต์หายตัวไปหลังพิธีมิสซา พอกลับห้องก็ไม่พบเขาอีกเช่นกันแต่ก็พอจะเดาออกว่าอยู่ที่ไหน ฉะนั้นผมจึงออกไปยืนที่ระเบียงและเพ่งมองไปทางสนามฟุตบอล ถ้าเป็นเมื่อวานผมคงลงไปดูให้แน่ใจ แต่ตอนนี้ผมกลัวแม้กระทั่งการยืนอยู่บนโลกใบเดียวกันกับเขา
และนั่นทำให้ผมพลาดโอกาสได้ใช้เวลาว่างนั่งข้างสนาม ชื่นชมและส่งเสียงเชียร์ ซึ่งถ้าร้องดังมากพอผมแน่ใจว่าคิมหันต์จะสละเวลาสองสามวินาทีมองมาทางผม โบกมือและยิ้มให้ด้วย
ผมหลับตาลงและเก็บภาพจินตนาการนั้นไว้ในใจ เพราะตอนนี้ผมคงไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนั้นอีกแล้ว ความคิดนี้ทำให้ร่างกายเจ็บปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ผมกลับเข้าห้องและนั่งอ่านพระคัมภีร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ทว่าผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่ทำให้ใจเย็นลงเลย ดังนั้นผมจึงหันเหความสนใจไปที่การสวดภาวนาแทน
“วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน...” ผมประสานมือไว้ที่ตักและหลับตาลง “โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน”
ผมลืมตาขึ้น พยายามทำจิตใจให้สงบแต่ก็ไม่เป็นผล สมองยังคงคิดเรื่องต่าง ๆ มากเกินกว่าจะปล่อยวาง ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมากจนผมเผลอปิดพระคัมภีร์เสียงดังลั่นห้อง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
เราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกไปข้างนอก
ปกติผมคงไปวัดน้อยในยามมีเรื่องกลุ้มใจ ทว่าการไปที่นั่นตอนนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักเพราะมีแต่จะทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับชลเทพขึ้นมา ฉะนั้นจึงเปลี่ยนใจขึ้นไปดาดฟ้าของหอพักซึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวตาก กลิ่นหอมของผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มลอยเตะจมูกขณะผมนั่งบนเก้าอี้ไม้อยู่ที่ริมระเบียง สายตาทอดมองออกไปไกล
ภาพตรงหน้าคือทุ่งนากับต้นไม้เขียวขจี ตัดกับสีฉูดฉาดของรถราที่วิ่งสวนกันบนถนนลาดยาง ถัดไปอีกมีผู้คนกำลังว่านแหอยู่บนเรือในคลองใกล้ ๆ กำแพงรั้วโรงเรียน โดยมีฝูงนกกระยางสีขาวสยายปีกบินหนีอย่างแตกตื่น ผมชื่นชอบบรรยากาศเรียบง่ายในย่านชนบทของจังหวัด อ. เพราะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดูภาพวาด
ผมสูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออก
ครั้งสุดท้ายที่กลุ้มใจขนาดนี้คือเมื่อไหร่กันนะ แล้วเรื่องอะไรกันล่ะที่มีผลต่อจิตใจของผม
มันอาจเป็นเรื่องชลเทพ เรื่องปราการและอะไรบ้าบอพวกนั้น แต่นั่นสำคัญต่อชีวิตผมจริง ๆ หรือแค่เป็นความวิตกโดยธรรมชาติ
ผมนั่งคิดขณะเท้าคางกับขอบระเบียง สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ว่ายน้ำและช่วยกันดึงแหขึ้นเรือ จนกระทั่งสายลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเสื้อผ้า มันจึงพาผมนึกย้อนกลับไปยังวันที่เล่นน้ำกับเพื่อน ๆ เมื่อปีกลาย วันที่ผมได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก
ภาพนั้นยังคงทำให้ผมรู้สึกสยิวทั่วสรรพางค์ ทั้งท่อนแขน แผ่นอก หน้าท้องขาว บั้นท้ายกลม ไรขนดำใต้สะดือและเจ้าโลกที่แข็งขืน
ร่างกายสมส่วนของปราการที่ยืนตระหง่านต่อหน้าในวันนั้นได้เขย่าการมีชีวิตอยู่ของผมดุจแผ่นดินไหว ทำให้หัวใจเต้นตูมตามเพราะรู้สึกสับสนสุดจะพรรณนา ผมรู้แล้วว่าได้ค้นพบปริศนาที่ยากที่สุดและจะต้องติดอยู่กับมันไปตลอดกาลหากไม่ได้รับคำตอบ
ใช่ ปัญหาทุกอย่างก่อตัว ณ ตอนนั้นเอง ผมจำได้ว่ารู้สึกทรมานเพียงใดเมื่อสั่งให้สมองลองนึกถึงเรือนร่างผู้หญิงสักคนและธิดามักเป็นต้นแบบเสมอ ผมปล่อยให้จินตนาการได้ทำงานอย่างอิสระ นานมากพอจนเริ่มรู้สึกถึงหยาดน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลอาบแก้ม ก่อนจะจบลงด้วยการสะอื้นไห้ใส่หมอนหนุนจนตัวโยน
แล้วตอนนี้ขณะที่นั่งอยู่บนดาดฟ้า ความปวดใจในรูปแบบเดียวกันก็หวนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง รุนแรงเป็นพิเศษและนุ่มนวลราวกับจุมพิษจากนางฟ้า เป็นขั้นเหนือกว่าที่อาจทำลายทั้งชีวิตและศักดิ์ศรีจนป่นปี้ เพราะขณะที่ผมมั่นใจว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเรือนร่างของใครอื่น ผมก็ได้ทำเรื่องน่าอายอย่างว่าแก่ชายหนุ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต
เมื่อวานผมยังปรารถนาเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคิมหันต์ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ แล้วเหตุไฉนเมื่อคืนจึงลงเอยด้วยการที่ผมช่วยให้เขาสำเร็จความใคร่
ผมรู้ว่าควรจะยั้งมือและถอยออกมาจากสถานการณ์ล่อแหลมนั่น แต่ทั้งหมดที่ผมทำคือลูบคลำอย่างหิวกระหาย
หิวกระหาย?
ใช่แล้ว คำนี้แหละเหมาะสมเป็นที่สุด
ผมหิวกระหายที่จะแตะเนื้อต้องตัวคิมหันต์มากเกินกว่าจะมีสติควบคุมตนเอง กายและใจปล่อยให้เป็นไปตามแรงขับเคลื่อนของราคะจนไม่รู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ ซึ่งตอนนั้นผมไม่ใส่ใจว่านั่นคือการเรียกร้องให้หยุดหรือเป็นกิริยาแห่งความสุขสม
รัน รันนนนน
เสียงทุ้มต่ำที่ร้องเรียกชื่อผมยังคงดังก้องในหัวเหมือนบทเพลงอมตะ เพียงแค่นึกถึงก็ทำให้ร่างกายร้อนรุ่มและพร้อมสำหรับกิจกรรมบาปอีกครั้ง
ขณะเหม่อมองไปยังสนามฟุตบอลซึ่งกำลังชุลมุนวุ่นวาย ความคิดเลวร้ายก็แทรกซึมเข้ามาในจิตใจจนผมต้องลุกขึ้นเดินรอบ ๆ เพื่อระงับมัน
คิมหันต์ดึงมือผมไปที่กลางกายใช่ไหมหรือว่าผมเลื่อนมันไปเอง
จู่ ๆ ผมก็สูญเสียความมั่นใจว่าระหว่างเราใครเป็นคนเริ่มก่อนกันแน่ เพราะถ้าหากมือของผมเผลอซุกซนจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่ปัดมันออกหรือไม่ก็ผลักผมให้กระเด็นไปเลย บางทีคิมหันต์คงเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น ทว่าการปล่อยเลยตามเลยก็โหดร้ายมากไม่แพ้กัน
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมไม่ได้คิดไปเองสินะ
แต่มันก็ยากที่จะเชื่ออยู่ดีว่าผู้ชายอย่างเขาจะเกิดอารมณ์เมื่อถูกสัมผัสจากเพศเดียวกัน เพราะถ้าคุณรู้จักคิมหันต์และได้เห็นเขาใช้ชีวิตประจำวันก็คงวาดภาพเขาเป็นชายผู้เพียบพร้อม นักกีฬาขวัญใจมหาชนหรือกระทั่งนักภาษาศาสตร์ เขาสามารถเป็นทุกอย่างที่สุดยอดบนโลกใบนี้ เป็นชายในอุดมคติที่แสนดี แต่ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว
และผมจะไม่แสร้งทำเป็นเชี่ยวชาญการมองผู้คนและบอกได้ว่าลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่ตอนมองตัวเองในกระจกผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กผู้ชายคนนี้เป็นใครและเก็บซ่อนอะไรไว้ภายใต้หน้ากากนั้น ฉะนั้นผมจึงไม่มีทางรู้ตัวตนที่แท้จริงของคิมหันต์นอกเสียจากเขาจะยอมเปิดเผยเอง
อย่างไรก็ตามนี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้อย่างหนึ่ง เหมือนที่ใครคนหนึ่งพยายามถ่ายทอดสาส์นลับแก่อีกคนด้วยวิธีอันซับซ้อน ซึ่งถ้าฉลาดพอก็จะเข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ผมปรารถนาให้ตัวเองรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่เหลือเกิน และกรุณาอย่าให้ผมคาดเดาเองเลย เพราะมีโอกาสสูงทีเดียวที่ผมจะตีความผิดพลาดและสุดท้ายก็ต้องมานั่งเป็นทุกข์
ผมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มหลังกลับมานั่งที่เก้าอี้และหลับตาลง แม้จะละอายใจมากแต่ผมก็เริ่มประสานมือเข้าด้วยกัน
ข้าแต่พระบิดา ผมไม่มีอะไรจะมอบถวายนอกจากบาปและความตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอทรงรับไว้และตอบรับด้วยพระทัยปรานีเถิด
อย่าให้ผมต้องพบเจอเรื่องเลวร้าย อย่าให้ผมต้องเจ็บปวดทุรนทุราย เพราะผมคงร้องสาปแช่งฟ้าดินไปจนวันตายหากคิมหันต์ไม่มองหน้าผมอีกแล้ว
ผมลืมตาขึ้นและทำสำคัญมหากางเขนช้า ๆ พลางมองดูนกพิราบกลุ่มหนึ่งบินโฉบศีรษะไปสู่ท้องฟ้าสีทองด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
สุดท้ายความโหยหาและความคิดถึงก็เอาชนะการหักห้ามใจ ผมยอมจำนนต่อมันและเหยียบย่ำจิตสำนึกขณะมุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอลท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ายามบ่าย ทุกย่างก้าวอาจเป็นการนำพาตัวเองไปพบกับความตายฝ่ายวิญญาณอย่างโหดร้าย
และเขาอยู่ตรงนั้น โดดเด่นด้วยเสื้อยืดสีส้มท่ามกลางผู้คนในสนาม ยินดีกับการที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน
ผมนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ข้างสนาม เฝ้าจับตามองราวกับนักล่าสมบัติที่พบเจอขุมทรัพย์ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำตัวโดดเด่นแต่ผมก็อยากให้คิมหันต์รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้ ชื่นชมเขาด้วยหัวใจเปิดเผย ซึ่งถ้าหากเขาบังเอิญวิ่งเข้ามาใกล้ก็จะสังเกตเห็นการเฉลยอันยิ่งใหญ่ผ่านรอยยิ้มและน้ำตาของผม
แต่ถ้าเขามองไม่เห็นมัน ผมจะให้โอกาสคิมหันต์อีกครั้งด้วยการไปนั่งคอยอยู่ที่โต๊ะประจำในโรงอาหาร และเพราะรู้ว่าเขาชอบดื่มน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยหลังเตะฟุตบอลผมจึงเตรียมไว้สำหรับเราคนละแก้ว คิมหันต์อาจสงสัยว่าผมทำแบบนี้ทำไม แต่เขาจะเข้าใจทันทีเมื่อผมเริ่มจิบน้ำหวานอย่างอ้อยอิ่งจากปลายหลอด
เขาต้องอ่านท่าทีนี้ออกสิ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องยอมแพ้เสียแล้ว
แต่แล้วผมก็ตระหนักว่ามันไม่สำคัญเลย ทำไมผมจะต้องยุ่งยากกับการเที่ยวไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมื่อสามารถมีความสุขได้ง่าย ๆ จากการแอบมองอยู่ตรงนี้
ถึงแม้คิมหันต์จะไม่รู้ว่าผมรักวิธีการวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลของเขาหรือเทิดทูนผิวสีน้ำตาลยามต้องแสงแดด ทว่าผมก็ไม่ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายตราบใดที่ยังเห็นเขาที่สนามฟุตบอลจนกว่าจะถึงวันเรียนจบ
และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็อยากให้คิมหันต์รับรู้ว่าผมจะยังคงเป็นของเขาเสมอ เหมือนดังอัครสาวกที่อุทิศตนต่อองค์พระบุตร ถึงแม้จะต้องแยกจากกัน แต่คิมหันต์จะไม่เคยอยู่ห่างไกลจากใจผมเลยตราบใดที่คุกเข่าสวดภาวนา
ต่อมาหลังมิสซาวันอาทิตย์ ผมได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่ออรรถพลเรื่องงานแต่งของพี่เลี้ยงที่เคยดูแลผมสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเมื่อก่อนผมกับเธอค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควร แต่หลังจากเข้าเรียนที่บ้านเณรก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอและพูดคุยกันอีกเลย
ตอนแรกผมรู้สึกกลัวตอนที่ท่านเดินเข้ามาหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระแวงว่าอาจถูกจับได้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างผมกับชลเทพ
“พี่เจนฝากพ่อมาเชิญเอ็งไปงานแต่ง จริง ๆ พ่อว่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ลืม” คุณพ่อพูดด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ตกลงแต่งวันไหนครับ” ผมถาม แอบโล่งอกเมื่อหัวข้อสนทนาไม่ใช่อย่างที่หวาดหวั่น
“วันนี้แหละ เนี่ยเดี๋ยวก็ใกล้จะไปแล้ว”
“ห้ะ...เอ่อ...ไหนตอนนั้นบอกอาทิตย์หน้าไงครับ”
“อืมใช่ ตอนแรกก็ว่างั้น แต่แฟนเขาลางานได้แค่ช่วงนี้และต้องรีบบินกลับฟิลิปปินส์วันอังคาร”
“อ่อ”
แล้วจากนั้นคุณพ่ออรรถพลก็มองผมด้วยสายตาเป็นกังวล
“แผลตกบันไดดีขึ้นแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปก็ได้นะเดี๋ยวพ่อบอกเจนให้” ท่านบอกพลางมองสำรวจบาดแผลตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายของผมซึ่งตอนนี้เป็นสีน้ำตาลเข้ม
ผมปั้นรอยยิ้มสดใสส่งกลับไป
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ แผลผมดีขึ้นมากแล้ว ผมไปได้” ผมบอก “งานแต่งพี่เจนทั้งคนจะพลาดได้ไง”
“เห้อ แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้ลื่นตกบันไดนะเอ็ง ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก” ท่านเอ่ยพร้อมกับส่ายหน้า ทว่าน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใยเยี่ยงบิดา
ผมเอาแต่ยิ้มแห้ง ๆ และเลี่ยงการสบตากับคุณพ่อเพราะรู้สึกแย่ที่สร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ก่อนจะรีบเบี่ยงเบนประเด็นแทบจะในทันที
“แล้วงานแต่งจัดที่ไหนครับ” ผมถามอย่างกระตือรือร้น
“วัดใหญ่” คุณพ่อตอบก่อนจะเสริมอีกว่า “อ่อ เอ็งไปชวนเจ้าคิมด้วยนะ เดี๋ยวเก้าโมงห้าสิบพ่อจะขับรถไปรอที่หน้าหอ”
ผมชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้นจนคุณพ่อต้องสะกิดต้นแขน
“ค...ครับพ่อ ทำไมถึงชวนคิมไปด้วยล่ะครับ” ผมถามด้วยหัวใจสั่นไหว
“พ่อจะพาเขาเข้าไปทำธุระที่ธนาคารด้วย จะได้ไม่เสียเที่ยว”
“แต่พี่เจนจะไม่ว่าอะไรเหรอ คิมมันไม่รู้จักกับพี่เขานะครับ” ผมพยายามหาวิธีที่จะไม่ต้องนั่งข้างคิมหันต์ไปตลอดหลายชั่วโมง เพราะตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะอยู่ใกล้กับเขา
“เรื่องนั้นเจนมันไม่ว่าอะไรหรอก” คุณพ่อยักไหล่ “อีกอย่างมากับพ่อก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
ผมเม้มปากแน่น ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับทราบ
หลังจากคุยจบผมก็รีบกลับห้อง แต่ระหว่างทางนั้นความกังวลที่มีก็เริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น บางทีการออกไปเปิดหูเปิดตาอาจช่วยละลายความกระอักกระอ่วนระหว่างผมกับคิมหันต์ได้บ้าง เพราะตั้งแต่คืนนั้นเราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยซึ่งผมกลุ้มใจมากขึ้นทุกที
เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าคิมหันต์กำลังนอนหนุนแขนอยู่บนเตียง แผ่นอกเปลือยเปล่าพองขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ดวงตาคมที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอยตอนนี้เบนมาทางผมอย่างตื่น ๆ แล้วเขาก็เปลี่ยนอิริยาบถจากการทำตัวสบาย ๆ มานั่งที่ขอบเตียงแทนอย่างหมิ่นเหม่
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ พยายามทำตัวนิ่ง ๆ ไม่เลิ่กลั่ก แม้จะไม่ช่วยลดความอึดอัดในบรรยากาศเลยก็ตาม
“คือ...” เราพูดขึ้นพร้อมกัน และในความบังเอิญนั้นก็ยิ่งทำให้เก้กัง
“นายพูดก่อนเลย” ผมบอก ใบหน้าร้อนผาวไปหมด
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามว่าแผลหายดีหรือยัง” ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยนจนผมแทบละลาย
“อ...อ่อ ดีขึ้นเยอะเลย ดูสิแผลตกสะเก็ดแล้ว” ผมบอกพลางยื่นแขนข้างที่มีแผลให้ดูแก้เขิน
คิมหันต์มองและพยักหน้ายิ้ม ๆ เราสองคนเผลอสบตากันก่อนจะรีบหันไปทางอื่น
“แล้วรันมีอะไรหรือเปล่า” เขาเอ่ยถาม มีความประหม่าปนอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
ผมนิ่งไปสักพัก ขณะเดียวกันก็พยายามรวบรวมสติและความกล้าที่จะพูดออกไป
“วันนี้นายว่างไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ
“อืม...ก็ว่างนะ ถ้าไม่นับว่าต้องปั่นรายงานต่อ” เขาบอกพลางเหลือบไปทางโต๊ะเขียนหนังสือ “ทำไมเหรอ”
“คือว่าพ่อพลฝากมาชวนให้ไปงานแต่งที่วัดใหญ่ด้วยกัน เห็นว่าจะเลยไปทำธุระที่ธนาคารด้วย”
คิมหันต์เลิกคิ้ว
“อ่อ แล้วไปงานแต่งใครอะ”
“งานแต่งพี่สาว” ผมตอบ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยจึงรีบอธิบายไปว่า “พี่เลี้ยงที่บ้านเด็กกำพร้าน่ะ”
คิมหันต์นิ่งเงียบเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
“แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราบอกพ่อพลให้” ผมบอก
“ไป ๆ” เขาว่า “ถ้าลุงบอกว่าจะไปธนาคารยังไงก็ต้องไป”
ผมพยักหน้า แม้จะอยากรู้ว่าไปที่นั่นทำไมแต่ก็ตัดสินใจเก็บคำถามนั้นเอาไว้
“ถ้างั้นนายรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย เดี๋ยวสิบโมงก็ออกเดินทางแล้ว”
คิมหันต์ทำตาโต
“วันนี้ ตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
“ใช่” ผมตอบ “เราก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
“โอเค ๆ”
ว่าแล้วเราก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวทันที
แม้การสนทนาครั้งนี้จะช่วยให้ลืมความรู้สึกกระดากอายไปชั่วขณะ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงอยากหาโอกาสที่จะกล่าวคำขอโทษต่อคิมหันต์สำหรับเรื่องที่ทำลงไปเพราะต้องการรักษาสิ่งดี ๆ เอาไว้ ไม่อยากให้ระหว่างเราต้องมาจบสิ้นเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ทั้งชีวิตผมไม่เคยไปงานแต่งงานของใครมาก่อนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เด็กอย่างผมได้มาร่วมงานที่มีการตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและไฟสว่างไสวงดงามเช่นนี้ รายล้อมด้วยผู้คนแต่งตัวดีเดินขวักไขว่พลางชวนกันพูดคุยอย่างออกรส ผสมปนเปกับเสียงเพลงก้องกังวานจากวงดนตรีสตริงควอเต็ทที่บรรเลงอย่างหวานย้อยที่มุมหนึ่งภายในอาสนวิหาร
เมื่อรับของชำร่วยแล้ว สักพักคู่บ่าวสาวก็เข้ามากล่าวทักทายอย่างอบอุ่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อได้เห็นพี่เจนในชุดเจ้าสาวผมก็รู้สึกตื้นตัน เธอดูสวยสง่ามากในสุดยาวฟูฟ่องสีขาว ใบหน้ากลมระบายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความสุขโดยมีว่าที่สามียืนโอบไหล่
“ขอบคุณนะคะคุณพ่อที่มาร่วมงานแต่งของเรา ช่วงนี้พ่อออกจะยุ่งซะด้วย” หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร พ่อยินดี” คุณพ่อบอก “แหม พ่อจะไม่มางานแต่งเอ็งได้ยังไงเล่า”
พี่เจนยิ้มกว้างและหันไปมองคู่รักด้วยความปีติ
“ส่วนนี่เจ้าคิม หลานชายของพ่อเอง” คุณพ่ออรรถพลอธิบายพลางหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนขนาบ “พ่อพาเขามาด้วยเพราะเราต้องเข้าไปทำธุระในเมืองต่อจากนี้อีก”
“สวัสดีครับ” คิมหันต์ยกมือไหว้คู่บ่าวสาว ทั้งสองรับไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีจ้ะ” พี่เจนกล่าวและเสริมว่า “แหมพ่อ มีหลานหล่อขนาดนี้เชียว ทำไมหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“แล้วเอ็งจะรู้ไปทำไมยัยเจน” คุณพ่อว่าอย่างติดตลก “โน้น แฟนเราหล่อกว่าตั้งเยอะ”
“อะแหม” ผมซึ่งยืนฟังมานานแกล้งขัดจังหวะ
“รัน” เจ้าสาวเอ่ยขึ้นและขมวดคิ้ว “สบายดีไหม ทำไมหน้าเป็นแผลแบบนั้นล่ะ”
“สบายดีครับ ผมซุ่มซ่ามเองแหละพี่เจน ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” ผมยิ้มเพื่อกลบเกลื่อน “ยังไงก็ยินดีด้วยนะครับ พี่สวยมากเลยวันนี้”
“ขอบใจจ้ะ” เธอมองผมอย่างเอ็นดูและยิ้มกว้างเช่นกัน
แล้วคุณพ่อก็ชวนเจ้าบ่าวคุยเป็นภาษาอังกฤษ สักพักคิมหันต์ก็ร่วมวงสนทนาด้วย ถึงจะฟังออกเป็นบางคำแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ฉะนั้นจึงได้แต่ยืนมองพวกเขาคุยกันตาปริบ ๆ
หลังจากนั้นบรรดาคุณพ่อ บราเดอร์และซิสเตอร์ก็แยกไปนั่งที่บริเวณด้านหน้าพระแท่น ส่วนแขกเหรื่อกระจายไปนั่งตามจุดที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้
ในที่สุดพิธีกรรมก็ดำเนินมาถึงช่วงที่คู่บ่าวสาวประกาศการยอมรับซึ่งกันและกัน บรรยากาศภายในอาสนวิหารเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนั้นเองที่ผมเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ เป็นโลกที่ผมไม่อาจรับมือกับอารมณ์ทั้งหลายที่ซัดโถมเข้ามาจนต้องบีบมือตัวเองไว้แน่น
การที่ผมแอบชอบคิมหันต์เป็นเรื่องที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ผสมกันอย่างแยกไม่ได้ และผมก็ไม่เคยใส่ใจที่จะยอมรับความเป็นจริงเลยสักครั้งจนกระทั่งตอนนี้
ชายกับชายนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
ยิ่งได้มองดูคู่บ่าวสาวแสดงความรักที่ด้านหน้าพระแท่นก็ยิ่งตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะไม่มีใครในโลกทราบว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคิมหันต์ ไม่มีใครบนสวรรค์เห็นด้วยกับมัน แม้ทุกตารางนิ้วบนหัวใจจะไม่เหลือพื้นที่ให้สิ่งอื่นใดนอกผู้ชายคนนี้ แต่มนุษย์ก็ยังคงปฏิเสธความรักระหว่างคนสองคนเพียงเพราะเพศสภาพ
ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าคมคายซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาช่างดูน่าเหลือเชื่อภายใต้แสงไฟแพรวพราววิววับ ทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวคอเปิดกว้างที่เผยให้เห็นเนินอก กางเกงสแล็คสีดำขนาดพอดีตัวที่ช่วยให้ดูภูมิฐานและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ทุกอย่างนี้คือความปรารถนาสูงสุดตลอดกาลของผม แต่กระนั้นก็รู้ดีว่าไม่มีวันได้ครอบครองอยู่ดี
คิมหันต์จะเป็นดังดวงตะวันส่องแสงมาจากที่ห่างไกล ส่วนผมทำได้เพียงแค่ชื่นชมอย่างโดดเดี่ยว
แล้วผมก็นึกอย่างเศร้า ๆ ไปถึงตอนเรียนจบ หากคิมหันต์ไม่เรียนต่อทางด้านเทววิทยาและบวชเป็นบาทหลวง สักวันหนึ่งเขาก็คงเริ่มคบหากับผู้หญิง จากนั้นก็วางแผนแต่งงานและสร้างครอบครัว
มันอาจเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสเมื่อผมได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ แต่ก็อาจเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดเมื่อเปิดผนึกและพบกับการ์ดเชิญร่วมงานมงคลสมรสแทนที่จะเป็นจดหมายถามสารทุกข์สุกดิบ
ผมจินตนาการถึงความเสียใจนั้นไม่ออกเลยแต่เดาว่ามันคงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น และที่แน่นอนที่สุดโดยไม่ต้องสงสัยคือผมไม่สามารถทนดูคิมหันต์เข้าประตูวิวาห์ มีอนาคตและทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกับคนอื่น
ใช่ ผมมันเป็นคนใจแคบ เห็นแก่ตัว
แต่ทั้งหมดนี่ก็เพราะผมกลัวที่จะสูญเสียคิมหันต์ไปตลอดกาลซึ่งมีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นเช่นนั้น และผมคงทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะบอกกับเขาว่าขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่ไปจนแก่เฒ่า
พวกเราออกมาข้างนอกหลังเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน มองดูคู่บ่าวสาวรายล้อมไปด้วยแขกที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีและปรบมือให้ เมื่อช่างภาพเข้ามาควบคุมจัดแจงเพื่อเตรียมจะถ่ายรูป ผมกับคิมหันต์จึงเลี่ยงออกจากบริเวณนั้น
“ไปนั่งรอในวัดกันเถอะ” ผมชวน แต่คิมหันต์ส่ายหน้า
“ไปเดินเล่นดีกว่า” เขาป้องมือและมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ
ตอนแรกผมตั้งใจจะเปลี่ยนความคิดของเขาเพราะเห็นว่าแดดร้อน แต่เมื่อถูกวงแขนแกร่งโอบไหล่เอาไว้ผมจึงพบว่าตนกลายเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจเสียเอง ก่อนจะพาคิมหันต์ไปชมสวนดอกไม้ด้านหลังซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์และน้ำตกจำลอง จากนั้นจึงพาเขาเดินชมรอบ ๆ เขตอาสวนวิหาร
ไม่นานก็มาถึงร้านศาสนภัณฑ์เล็ก ๆ ของที่นี่
“อยากได้อะไรไหม” ผมถามพลางหยีตามองป้ายชื่อร้านเหนือประตูกระจก
“อืมไม่รู้สิ เข้าไปดูหน่อยดีกว่า” แล้วเขาก็เดินตรงเข้าไปด้วยท่าทางของคนอยากรู้อยากเห็น
ข้างในมีซิสเตอร์ท่านหนึ่งนั่งเฝ้าที่โต๊ะทำงาน เมื่อเธอไม่พูดอะไรผมกับคิมหันต์จึงเริ่มเดินดูของต่าง ๆ สักพักก็มาหยุดอยู่หน้าโต๊ะแสดงสินค้าตัวหนึ่ง
“อันนั้นคืออะไร” เขาชี้ไปยังแหวนเงินที่กองอยู่ในจานเล็ก ๆ บนโต๊ะ
“อ่อ แหวนประคำน่ะ สะดวกดีถ้าไม่อยากพกที่เป็นสายยาว ๆ”
คิมหันต์หยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ มันเป็นแหวนที่มีตุ่มกลม ๆ ล้อมรอบวงและมีพระรูปแม่พระสลักเป็นหัวแหวน
“ไม่เคยเห็นเลยเหรอ” ผมถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ไม่เคย แปลกดีแฮะ”
แล้วคิมหันต์ก็ถามผมว่าอยากได้อะไรไหม ซึ่งผมก็ส่ายหัวพร้อมกับบอกไปว่าไม่มีเงิน
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวซื้อให้” เขาบอกขณะลองสวมแหวนตามนิ้วต่าง ๆ
“ไม่เอา ๆ นายเก็บตังค์ไว้เถอะ” ผมพูดอย่างเกรงใจ
“เถอะน่า” คิมหันต์ยังคงคะยั้นคะยอ “งั้นเอาเหมือนกันไหม” เขาชูแหวนประคำวงหนึ่งขึ้นตรงหน้า
ผมเม้มปากขณะชั่งใจ แต่แล้วคิมหันต์ก็คว้ามือข้างขวาของผมมาสวมแหวนเข้าที่นิ้วชี้
“พอดีเป๊ะเลย!”
“ทำอะไร!” ผมรีบดึงมือกลับด้วยความตกใจ
“ก็ลองแหวนไง” คิมหันต์ทำหน้านิ่ง “ชอบไหม”
ผมมองดูแหวนที่นิ้วชี้ขวาด้วยหัวใจเต้นรัวเร็ว
“ก็...ชอบ” ผมตอบเรียบ ๆ และเลี่ยงการมองหน้าอีกฝ่าย
“ถ้างั้นไปจ่ายตังค์กันเถอะ”
พูดจบคิมหันต์ก็เดินไปจ่ายเงินกับซิสเตอร์ ปล่อยให้ผมยืนหน้าแดงอยู่ตรงนั้นคนเดียวในมุมมืด
จากนั้นเราก็กลับไปที่อาสนวิหารเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานอีกครั้งและก็ถือโอกาสตามหาคุณพ่ออรรถพลไปด้วย เมื่อเห็นว่าท่านกำลังวุ่นวายอยู่กับการอวยพรบรรดาสัตบุรุษ ผมกับคิมหันต์จึงไปรอที่รถกระบะเพื่อหนีความแออัด
ขณะคิมหันต์ยืนพิงท้ายรถและหมุนแหวนประคำที่นิ้วชี้ซ้ายอย่างใจลอย ผมจึงใช้โอกาสนี้ลอบมองอีกฝ่ายพร้อม ๆ ไปกับการทำใจ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้ยืนเคียงข้างเขาในฐานะเพื่อนหลังจากที่กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“คิม เราขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนนั้นนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” ผมกลั้นใจพูดออกรวดเดียว หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบระเบิด
ผมคาดว่าคิมหันต์จะขมวดคิ้วหรือชักสีหน้า บางทีอาจพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจปวดร้าว ทว่าชายหนุ่มกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย เขายังคงเหม่อมองไปยังถนนที่เต็มไปด้วยรถรา แต่ความนิ่งเงียบก็เริ่มทำให้ผมหวาดวิตกมากขึ้นทุกทีจนเหงื่อแตกซึม
ผมกลืนน้ำลายขณะภาวนาในใจ เตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้น
“ต้องเอาไปให้คุณพ่อเสกก่อนใช่ไหม” คิมหันต์มองดูแหวนที่นิ้วมือของตัวเอง ไม่ยิ้มหรือแสดงสีหน้าใด ๆ ทั้งนั้น
ผมขมวดคิ้ว รู้สึกสับสนงุนงงเป็นที่สุด
“ได้ยินที่พูดหรือเปล่า” ผมถาม
“อืม”
“เราบอกว่าขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร” คิมหันต์จ้องผมที่ดวงตา “มีอะไรต้องขอโทษ”
ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกมั่นใจอย่างน่าประหลาดว่าเขาไม่ได้เสแสร้งเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายที่กำลังพูดถึง ผมลืมไปแล้วว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้นอกจากจะเป็นโลกทั้งใบของผมแล้วยังเป็นหน้าต่างของหัวใจอีกด้วย แม้ว่าบางครั้งคนเราจะระมัดระวังมากกับการเปิดเผยบางสิ่งผ่านแววตา แต่บางเวลามันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะบอกกับใครสักคนว่าตนคิดอย่างไร
เช่นเดียวกับภาษากายมากมายที่คิมหันต์แสดงออกซึ่งเป็นอย่างหนึ่งที่ผมเฝ้าสังเกตตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เช่นยามใดที่หัวไหล่ของคิมหันต์ลู่ลงเล็กน้อยนั่นหมายความว่าไม่มีอะไรรบกวนจิตใจ เหมือนอย่างที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้
“ก็เรื่องเมื่อคืนนั้นไง ที่เรา เอ่อ...คิมก็รู้” ผมบีบมือตัวเองแน่นมากและกระดากอายเกินกว่าจะพูดประโยคนั้นออกมา
“ที่เราขอให้นวดให้น่ะเหรอ” เขาว่า “ถ้าเป็นเรื่องนั้นรันจะมาขอโทษเราทำไม เราเป็นคนขอเองลืมไปแล้วหรือไง”
ผมหน้าแดง รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายพูด
“แต่--”
“ไม่งั้นก็อดเล่นเกมไม่ใช่เหรอ”
“อืม แต่--”
“เพราะฉะนั้นนายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด” คิมหันต์ซุกมือลงกระเป๋ากางเกง “อย่าคิดมากเลย”
ผมมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
อย่าคิดมากอย่างนั้นหรือ?
แล้วจะไม่ให้ผมคิดมากได้อย่างไรเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องทั่วไปที่ใครเขาทำกันสักหน่อย อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์นี้สามารถทำลายชีวิตของผมจนไม่เหลือชิ้นดี หรือทำให้ผมเปรมปรีดิ์กับการมีชีวิตอยู่ไปจนวันตาย เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคิมหันต์ทั้งสิ้นและผมก็ไม่อยากเสียเขาไปเหมือนปราการ
แต่คิมหันต์ก็คงเหมือนกับผมที่อ่านความคิดออกผ่านทางสายตา ผมพลาดไปว่าเขาฉลาดกว่าใครที่เคยรู้จัก บางทีการมีพ่อแม่เป็นหมออาจช่วยอะไรได้ไม่มากก็น้อยเพราะคิมหันต์มีวิธีคิดและพูดที่หาได้ยากในหมู่เด็กวัยรุ่นทั่วไป
ช่วงขณะที่ผมจมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความคิดสีเทา เขาก็ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย สีหน้าแววตาเปลี่ยนไปและดูจริงจัง จากนั้นคิมหันต์ก็เอ่ยประโยคที่ทำเอาตัวผมแทบลอยไปถึงสรวงสวรรค์
“มันไม่ได้แปลว่าเราไม่ใส่ใจนะรัน แต่อย่าให้อะไรมากวนใจพวกเราดีกว่า เพราะนายสำคัญกว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมาก”
พูดจบเขาก็ยกมือวางบนศีรษะของผม อานุภาพแห่งความอ่อนโยนนั้นทำให้ร่างกายของผมอ่อนแรงเหมือนกับโลหะที่กำลังหลอมละลาย แต่ผมรู้ว่าคิมหันต์จะหล่อผมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สร้างให้เป็นคนที่จะยอมรับและศรัทธาเขาตลอดไป เชื่อและไว้ใจเขาโดยปราศจากข้อกังขา
เดชะพระหรรษทานช่วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคิมหันต์ไม่ได้มองผมแปลกไปเลย เขายังคงต้องการรักษามิตรภาพนี้เอาไว้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมยังคงยืนไหวและไม่ล้มลงไปเสียก่อน ทำให้น้ำตาแห่งความโล่งใจเอ่อคลอเบ้าอย่างไม่อาจหักห้ามได้
ผมกะพริบตาไว ๆ เพื่อไล่น้ำสีใส ก่อนจะจับมือที่วางบนศีรษะลงมาและมองไปที่แหวน
“ใช่ ต้องเอาไปให้คุณพ่อเสกก่อน” ผมบอกด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น
“อืม” คิมหันต์ยิ้มพลางกุมมือผมเอาไว้
ผมกับเขาหยุดการกระทำทุกอย่างเมื่อเห็นว่าคุณพ่ออรรถพลกำลังเดินตรงมา จากนั้นประมาณสิบนาทีรถกระบะสีแดงพร้อมผู้โดยสารก็เคลื่อนตัวออกจากอาสนวิหาร มุ่งสู่ธนาคารชื่อดังในย่านใจกลางเมือง
ถึงแม้ว่าจะหลับตาแต่ประสาททุกส่วนนั้นตื่นตัวทั้งคืน ผมได้ยินทั้งเสียงเดินของเข็มนาฬิกา สายลมหวีดหวิวและเสียงแมวร้องหง่าว ผมตั้งใจฟังราวกับมันเป็นสุ้มเสียงของพระเจ้าที่เสด็จมาปลอบโยนกลางราตรี ผมภาวนาขอให้ความน่าอับอายนี้สิ้นสุดไปพร้อมกับฝนหยดสุดท้ายก่อนตะวันฉาย
หลังจากปิดเสียงนาฬิกาปลุก ผมก็เปิดไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือและพับผ้าห่มให้เรียบร้อย พยายามทำทุกอย่างให้เงียบและรวดเร็วกว่าปกติสองเท่าเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าคิมหันต์ตอนเขาตื่น จากนั้นจึงลงไปยังห้องอาบน้ำ
แต่ในระหว่างทางกลับขึ้นห้องคิมหันต์ก็เดินเลี้ยวหัวมุมตึกมาพอดีจนเราสองคนเกือบชนกัน ตอนนี้ผมกับเขาจึงยืนประชันหน้ากันท่ามกลางความมืดสลัวยามหัวรุ่งอันเงียบสงบ
ได้โปรดเอาผมออกไปจากตรงนี้ทีเถอะ เพราะขนาดในความมืดผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองเส้นผมของเขาเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าบีบบังคับให้มองใบหน้าเขาเลย
ผมคิดอย่างกลัดกลุ้ม หัวใจเต้นตูมตามเหมือนกลองรบในสมรภูมิ
“เชา” คิมหันต์กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมมองมาอย่างสบาย ๆ
แต่ผู้ฟังอย่างผมกลับรู้สึกเหมือนถูกฟาดที่หัวด้วยไม้กระบอง เพราะในบรรดาคำพูดมากมายที่ผมคาดว่าจะได้ยินจากปากของเขา คิมหันต์กลับเลือกคำหนึ่งพยางค์เป็นภาษาอิตาลีเพื่อช่วยย้อมสีสถานการณ์ให้สดใส ในขณะที่ผมเตรียมคำพูดยาวเหยียดมาทั้งคืนเพียงเพื่อจะสื่อให้เขารู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดคือเรื่องผิดพลาด
ผมมองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบสายตามองพื้น หัวใจสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
ชายคนนี้เป็นใครหนอ เขาทำได้อย่างไรกัน
ผมคิดพลางเม้มปากแน่น คิมหันต์ไม่รู้สึกกระดากอายบ้างเลยหรืออย่างไร หรือบางทีเขาแค่เก็บซ่อนอาการเหล่านั้นได้ดีมาก แต่กระนั้นผมก็อยากเอาหัวโหม่งพื้นเพราะความไม่ประสีประสาของตัวเอง
“เชา” ในที่สุดผมก็ทักทายกลับ ไม่อาจปิดบังความประหม่าในน้ำเสียง
จากนั้นเราก็เงียบกันไปสักพัก ต่างฝ่ายต่างทำเป็นสนใจต้นไม้และหมู่ดาวเลือนรางบนท้องฟ้า จนกระทั่งเด็กสองสามคนเดินผ่านเราไปทางห้องอาบน้ำคิมหันต์จึงกระแอมและเอ่ยขึ้น
“แล้วเจอกันที่วัดน้อย”
เขาตบไหล่ขวาของผมเบา ๆ ก่อนจะจากไปทำธุระส่วนตัว ทิ้งให้ผมยืนทื่ออยู่ตรงนั้นเหมือนเสาเกลือ
ช่วงสาย ๆ ท้องฟ้าเริ่มเปิดให้แสงแดดสาดส่องทั่วถ้วน เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาว่างวันเสาร์ไปกับการซักผ้าและทำกิจกรรมกลางแจ้ง แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแอ่งน้ำบ่อโคลนแต่ผู้คนก็หาได้สนใจไม่ ส่วนมากคลาคล่ำกันที่สนามฟุตบอลและบาสเกตบอล
คิมหันต์หายตัวไปหลังพิธีมิสซา พอกลับห้องก็ไม่พบเขาอีกเช่นกันแต่ก็พอจะเดาออกว่าอยู่ที่ไหน ฉะนั้นผมจึงออกไปยืนที่ระเบียงและเพ่งมองไปทางสนามฟุตบอล ถ้าเป็นเมื่อวานผมคงลงไปดูให้แน่ใจ แต่ตอนนี้ผมกลัวแม้กระทั่งการยืนอยู่บนโลกใบเดียวกันกับเขา
และนั่นทำให้ผมพลาดโอกาสได้ใช้เวลาว่างนั่งข้างสนาม ชื่นชมและส่งเสียงเชียร์ ซึ่งถ้าร้องดังมากพอผมแน่ใจว่าคิมหันต์จะสละเวลาสองสามวินาทีมองมาทางผม โบกมือและยิ้มให้ด้วย
ผมหลับตาลงและเก็บภาพจินตนาการนั้นไว้ในใจ เพราะตอนนี้ผมคงไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนั้นอีกแล้ว ความคิดนี้ทำให้ร่างกายเจ็บปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ผมกลับเข้าห้องและนั่งอ่านพระคัมภีร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ทว่าผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่ทำให้ใจเย็นลงเลย ดังนั้นผมจึงหันเหความสนใจไปที่การสวดภาวนาแทน
“วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน...” ผมประสานมือไว้ที่ตักและหลับตาลง “โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน”
ผมลืมตาขึ้น พยายามทำจิตใจให้สงบแต่ก็ไม่เป็นผล สมองยังคงคิดเรื่องต่าง ๆ มากเกินกว่าจะปล่อยวาง ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมากจนผมเผลอปิดพระคัมภีร์เสียงดังลั่นห้อง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
เราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกไปข้างนอก
ปกติผมคงไปวัดน้อยในยามมีเรื่องกลุ้มใจ ทว่าการไปที่นั่นตอนนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักเพราะมีแต่จะทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับชลเทพขึ้นมา ฉะนั้นจึงเปลี่ยนใจขึ้นไปดาดฟ้าของหอพักซึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวตาก กลิ่นหอมของผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มลอยเตะจมูกขณะผมนั่งบนเก้าอี้ไม้อยู่ที่ริมระเบียง สายตาทอดมองออกไปไกล
ภาพตรงหน้าคือทุ่งนากับต้นไม้เขียวขจี ตัดกับสีฉูดฉาดของรถราที่วิ่งสวนกันบนถนนลาดยาง ถัดไปอีกมีผู้คนกำลังว่านแหอยู่บนเรือในคลองใกล้ ๆ กำแพงรั้วโรงเรียน โดยมีฝูงนกกระยางสีขาวสยายปีกบินหนีอย่างแตกตื่น ผมชื่นชอบบรรยากาศเรียบง่ายในย่านชนบทของจังหวัด อ. เพราะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดูภาพวาด
ผมสูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออก
ครั้งสุดท้ายที่กลุ้มใจขนาดนี้คือเมื่อไหร่กันนะ แล้วเรื่องอะไรกันล่ะที่มีผลต่อจิตใจของผม
มันอาจเป็นเรื่องชลเทพ เรื่องปราการและอะไรบ้าบอพวกนั้น แต่นั่นสำคัญต่อชีวิตผมจริง ๆ หรือแค่เป็นความวิตกโดยธรรมชาติ
ผมนั่งคิดขณะเท้าคางกับขอบระเบียง สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ว่ายน้ำและช่วยกันดึงแหขึ้นเรือ จนกระทั่งสายลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเสื้อผ้า มันจึงพาผมนึกย้อนกลับไปยังวันที่เล่นน้ำกับเพื่อน ๆ เมื่อปีกลาย วันที่ผมได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก
ภาพนั้นยังคงทำให้ผมรู้สึกสยิวทั่วสรรพางค์ ทั้งท่อนแขน แผ่นอก หน้าท้องขาว บั้นท้ายกลม ไรขนดำใต้สะดือและเจ้าโลกที่แข็งขืน
ร่างกายสมส่วนของปราการที่ยืนตระหง่านต่อหน้าในวันนั้นได้เขย่าการมีชีวิตอยู่ของผมดุจแผ่นดินไหว ทำให้หัวใจเต้นตูมตามเพราะรู้สึกสับสนสุดจะพรรณนา ผมรู้แล้วว่าได้ค้นพบปริศนาที่ยากที่สุดและจะต้องติดอยู่กับมันไปตลอดกาลหากไม่ได้รับคำตอบ
ใช่ ปัญหาทุกอย่างก่อตัว ณ ตอนนั้นเอง ผมจำได้ว่ารู้สึกทรมานเพียงใดเมื่อสั่งให้สมองลองนึกถึงเรือนร่างผู้หญิงสักคนและธิดามักเป็นต้นแบบเสมอ ผมปล่อยให้จินตนาการได้ทำงานอย่างอิสระ นานมากพอจนเริ่มรู้สึกถึงหยาดน้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลอาบแก้ม ก่อนจะจบลงด้วยการสะอื้นไห้ใส่หมอนหนุนจนตัวโยน
แล้วตอนนี้ขณะที่นั่งอยู่บนดาดฟ้า ความปวดใจในรูปแบบเดียวกันก็หวนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง รุนแรงเป็นพิเศษและนุ่มนวลราวกับจุมพิษจากนางฟ้า เป็นขั้นเหนือกว่าที่อาจทำลายทั้งชีวิตและศักดิ์ศรีจนป่นปี้ เพราะขณะที่ผมมั่นใจว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเรือนร่างของใครอื่น ผมก็ได้ทำเรื่องน่าอายอย่างว่าแก่ชายหนุ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต
เมื่อวานผมยังปรารถนาเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคิมหันต์ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ แล้วเหตุไฉนเมื่อคืนจึงลงเอยด้วยการที่ผมช่วยให้เขาสำเร็จความใคร่
ผมรู้ว่าควรจะยั้งมือและถอยออกมาจากสถานการณ์ล่อแหลมนั่น แต่ทั้งหมดที่ผมทำคือลูบคลำอย่างหิวกระหาย
หิวกระหาย?
ใช่แล้ว คำนี้แหละเหมาะสมเป็นที่สุด
ผมหิวกระหายที่จะแตะเนื้อต้องตัวคิมหันต์มากเกินกว่าจะมีสติควบคุมตนเอง กายและใจปล่อยให้เป็นไปตามแรงขับเคลื่อนของราคะจนไม่รู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ ซึ่งตอนนั้นผมไม่ใส่ใจว่านั่นคือการเรียกร้องให้หยุดหรือเป็นกิริยาแห่งความสุขสม
รัน รันนนนน
เสียงทุ้มต่ำที่ร้องเรียกชื่อผมยังคงดังก้องในหัวเหมือนบทเพลงอมตะ เพียงแค่นึกถึงก็ทำให้ร่างกายร้อนรุ่มและพร้อมสำหรับกิจกรรมบาปอีกครั้ง
ขณะเหม่อมองไปยังสนามฟุตบอลซึ่งกำลังชุลมุนวุ่นวาย ความคิดเลวร้ายก็แทรกซึมเข้ามาในจิตใจจนผมต้องลุกขึ้นเดินรอบ ๆ เพื่อระงับมัน
คิมหันต์ดึงมือผมไปที่กลางกายใช่ไหมหรือว่าผมเลื่อนมันไปเอง
จู่ ๆ ผมก็สูญเสียความมั่นใจว่าระหว่างเราใครเป็นคนเริ่มก่อนกันแน่ เพราะถ้าหากมือของผมเผลอซุกซนจริง ๆ ทำไมเขาถึงไม่ปัดมันออกหรือไม่ก็ผลักผมให้กระเด็นไปเลย บางทีคิมหันต์คงเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น ทว่าการปล่อยเลยตามเลยก็โหดร้ายมากไม่แพ้กัน
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมไม่ได้คิดไปเองสินะ
แต่มันก็ยากที่จะเชื่ออยู่ดีว่าผู้ชายอย่างเขาจะเกิดอารมณ์เมื่อถูกสัมผัสจากเพศเดียวกัน เพราะถ้าคุณรู้จักคิมหันต์และได้เห็นเขาใช้ชีวิตประจำวันก็คงวาดภาพเขาเป็นชายผู้เพียบพร้อม นักกีฬาขวัญใจมหาชนหรือกระทั่งนักภาษาศาสตร์ เขาสามารถเป็นทุกอย่างที่สุดยอดบนโลกใบนี้ เป็นชายในอุดมคติที่แสนดี แต่ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว
และผมจะไม่แสร้งทำเป็นเชี่ยวชาญการมองผู้คนและบอกได้ว่าลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่ตอนมองตัวเองในกระจกผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กผู้ชายคนนี้เป็นใครและเก็บซ่อนอะไรไว้ภายใต้หน้ากากนั้น ฉะนั้นผมจึงไม่มีทางรู้ตัวตนที่แท้จริงของคิมหันต์นอกเสียจากเขาจะยอมเปิดเผยเอง
อย่างไรก็ตามนี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้อย่างหนึ่ง เหมือนที่ใครคนหนึ่งพยายามถ่ายทอดสาส์นลับแก่อีกคนด้วยวิธีอันซับซ้อน ซึ่งถ้าฉลาดพอก็จะเข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ผมปรารถนาให้ตัวเองรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่เหลือเกิน และกรุณาอย่าให้ผมคาดเดาเองเลย เพราะมีโอกาสสูงทีเดียวที่ผมจะตีความผิดพลาดและสุดท้ายก็ต้องมานั่งเป็นทุกข์
ผมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มหลังกลับมานั่งที่เก้าอี้และหลับตาลง แม้จะละอายใจมากแต่ผมก็เริ่มประสานมือเข้าด้วยกัน
ข้าแต่พระบิดา ผมไม่มีอะไรจะมอบถวายนอกจากบาปและความตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอทรงรับไว้และตอบรับด้วยพระทัยปรานีเถิด
อย่าให้ผมต้องพบเจอเรื่องเลวร้าย อย่าให้ผมต้องเจ็บปวดทุรนทุราย เพราะผมคงร้องสาปแช่งฟ้าดินไปจนวันตายหากคิมหันต์ไม่มองหน้าผมอีกแล้ว
ผมลืมตาขึ้นและทำสำคัญมหากางเขนช้า ๆ พลางมองดูนกพิราบกลุ่มหนึ่งบินโฉบศีรษะไปสู่ท้องฟ้าสีทองด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
สุดท้ายความโหยหาและความคิดถึงก็เอาชนะการหักห้ามใจ ผมยอมจำนนต่อมันและเหยียบย่ำจิตสำนึกขณะมุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอลท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ายามบ่าย ทุกย่างก้าวอาจเป็นการนำพาตัวเองไปพบกับความตายฝ่ายวิญญาณอย่างโหดร้าย
และเขาอยู่ตรงนั้น โดดเด่นด้วยเสื้อยืดสีส้มท่ามกลางผู้คนในสนาม ยินดีกับการที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน
ผมนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ข้างสนาม เฝ้าจับตามองราวกับนักล่าสมบัติที่พบเจอขุมทรัพย์ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำตัวโดดเด่นแต่ผมก็อยากให้คิมหันต์รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้ ชื่นชมเขาด้วยหัวใจเปิดเผย ซึ่งถ้าหากเขาบังเอิญวิ่งเข้ามาใกล้ก็จะสังเกตเห็นการเฉลยอันยิ่งใหญ่ผ่านรอยยิ้มและน้ำตาของผม
แต่ถ้าเขามองไม่เห็นมัน ผมจะให้โอกาสคิมหันต์อีกครั้งด้วยการไปนั่งคอยอยู่ที่โต๊ะประจำในโรงอาหาร และเพราะรู้ว่าเขาชอบดื่มน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยหลังเตะฟุตบอลผมจึงเตรียมไว้สำหรับเราคนละแก้ว คิมหันต์อาจสงสัยว่าผมทำแบบนี้ทำไม แต่เขาจะเข้าใจทันทีเมื่อผมเริ่มจิบน้ำหวานอย่างอ้อยอิ่งจากปลายหลอด
เขาต้องอ่านท่าทีนี้ออกสิ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องยอมแพ้เสียแล้ว
แต่แล้วผมก็ตระหนักว่ามันไม่สำคัญเลย ทำไมผมจะต้องยุ่งยากกับการเที่ยวไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมื่อสามารถมีความสุขได้ง่าย ๆ จากการแอบมองอยู่ตรงนี้
ถึงแม้คิมหันต์จะไม่รู้ว่าผมรักวิธีการวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลของเขาหรือเทิดทูนผิวสีน้ำตาลยามต้องแสงแดด ทว่าผมก็ไม่ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายตราบใดที่ยังเห็นเขาที่สนามฟุตบอลจนกว่าจะถึงวันเรียนจบ
และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็อยากให้คิมหันต์รับรู้ว่าผมจะยังคงเป็นของเขาเสมอ เหมือนดังอัครสาวกที่อุทิศตนต่อองค์พระบุตร ถึงแม้จะต้องแยกจากกัน แต่คิมหันต์จะไม่เคยอยู่ห่างไกลจากใจผมเลยตราบใดที่คุกเข่าสวดภาวนา
ต่อมาหลังมิสซาวันอาทิตย์ ผมได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่ออรรถพลเรื่องงานแต่งของพี่เลี้ยงที่เคยดูแลผมสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเมื่อก่อนผมกับเธอค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควร แต่หลังจากเข้าเรียนที่บ้านเณรก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอและพูดคุยกันอีกเลย
ตอนแรกผมรู้สึกกลัวตอนที่ท่านเดินเข้ามาหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระแวงว่าอาจถูกจับได้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างผมกับชลเทพ
“พี่เจนฝากพ่อมาเชิญเอ็งไปงานแต่ง จริง ๆ พ่อว่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ลืม” คุณพ่อพูดด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ตกลงแต่งวันไหนครับ” ผมถาม แอบโล่งอกเมื่อหัวข้อสนทนาไม่ใช่อย่างที่หวาดหวั่น
“วันนี้แหละ เนี่ยเดี๋ยวก็ใกล้จะไปแล้ว”
“ห้ะ...เอ่อ...ไหนตอนนั้นบอกอาทิตย์หน้าไงครับ”
“อืมใช่ ตอนแรกก็ว่างั้น แต่แฟนเขาลางานได้แค่ช่วงนี้และต้องรีบบินกลับฟิลิปปินส์วันอังคาร”
“อ่อ”
แล้วจากนั้นคุณพ่ออรรถพลก็มองผมด้วยสายตาเป็นกังวล
“แผลตกบันไดดีขึ้นแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปก็ได้นะเดี๋ยวพ่อบอกเจนให้” ท่านบอกพลางมองสำรวจบาดแผลตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายของผมซึ่งตอนนี้เป็นสีน้ำตาลเข้ม
ผมปั้นรอยยิ้มสดใสส่งกลับไป
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ แผลผมดีขึ้นมากแล้ว ผมไปได้” ผมบอก “งานแต่งพี่เจนทั้งคนจะพลาดได้ไง”
“เห้อ แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้ลื่นตกบันไดนะเอ็ง ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก” ท่านเอ่ยพร้อมกับส่ายหน้า ทว่าน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใยเยี่ยงบิดา
ผมเอาแต่ยิ้มแห้ง ๆ และเลี่ยงการสบตากับคุณพ่อเพราะรู้สึกแย่ที่สร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ก่อนจะรีบเบี่ยงเบนประเด็นแทบจะในทันที
“แล้วงานแต่งจัดที่ไหนครับ” ผมถามอย่างกระตือรือร้น
“วัดใหญ่” คุณพ่อตอบก่อนจะเสริมอีกว่า “อ่อ เอ็งไปชวนเจ้าคิมด้วยนะ เดี๋ยวเก้าโมงห้าสิบพ่อจะขับรถไปรอที่หน้าหอ”
ผมชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้นจนคุณพ่อต้องสะกิดต้นแขน
“ค...ครับพ่อ ทำไมถึงชวนคิมไปด้วยล่ะครับ” ผมถามด้วยหัวใจสั่นไหว
“พ่อจะพาเขาเข้าไปทำธุระที่ธนาคารด้วย จะได้ไม่เสียเที่ยว”
“แต่พี่เจนจะไม่ว่าอะไรเหรอ คิมมันไม่รู้จักกับพี่เขานะครับ” ผมพยายามหาวิธีที่จะไม่ต้องนั่งข้างคิมหันต์ไปตลอดหลายชั่วโมง เพราะตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะอยู่ใกล้กับเขา
“เรื่องนั้นเจนมันไม่ว่าอะไรหรอก” คุณพ่อยักไหล่ “อีกอย่างมากับพ่อก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
ผมเม้มปากแน่น ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับทราบ
หลังจากคุยจบผมก็รีบกลับห้อง แต่ระหว่างทางนั้นความกังวลที่มีก็เริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น บางทีการออกไปเปิดหูเปิดตาอาจช่วยละลายความกระอักกระอ่วนระหว่างผมกับคิมหันต์ได้บ้าง เพราะตั้งแต่คืนนั้นเราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยซึ่งผมกลุ้มใจมากขึ้นทุกที
เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าคิมหันต์กำลังนอนหนุนแขนอยู่บนเตียง แผ่นอกเปลือยเปล่าพองขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ดวงตาคมที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอยตอนนี้เบนมาทางผมอย่างตื่น ๆ แล้วเขาก็เปลี่ยนอิริยาบถจากการทำตัวสบาย ๆ มานั่งที่ขอบเตียงแทนอย่างหมิ่นเหม่
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ พยายามทำตัวนิ่ง ๆ ไม่เลิ่กลั่ก แม้จะไม่ช่วยลดความอึดอัดในบรรยากาศเลยก็ตาม
“คือ...” เราพูดขึ้นพร้อมกัน และในความบังเอิญนั้นก็ยิ่งทำให้เก้กัง
“นายพูดก่อนเลย” ผมบอก ใบหน้าร้อนผาวไปหมด
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามว่าแผลหายดีหรือยัง” ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยนจนผมแทบละลาย
“อ...อ่อ ดีขึ้นเยอะเลย ดูสิแผลตกสะเก็ดแล้ว” ผมบอกพลางยื่นแขนข้างที่มีแผลให้ดูแก้เขิน
คิมหันต์มองและพยักหน้ายิ้ม ๆ เราสองคนเผลอสบตากันก่อนจะรีบหันไปทางอื่น
“แล้วรันมีอะไรหรือเปล่า” เขาเอ่ยถาม มีความประหม่าปนอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
ผมนิ่งไปสักพัก ขณะเดียวกันก็พยายามรวบรวมสติและความกล้าที่จะพูดออกไป
“วันนี้นายว่างไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ
“อืม...ก็ว่างนะ ถ้าไม่นับว่าต้องปั่นรายงานต่อ” เขาบอกพลางเหลือบไปทางโต๊ะเขียนหนังสือ “ทำไมเหรอ”
“คือว่าพ่อพลฝากมาชวนให้ไปงานแต่งที่วัดใหญ่ด้วยกัน เห็นว่าจะเลยไปทำธุระที่ธนาคารด้วย”
คิมหันต์เลิกคิ้ว
“อ่อ แล้วไปงานแต่งใครอะ”
“งานแต่งพี่สาว” ผมตอบ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยจึงรีบอธิบายไปว่า “พี่เลี้ยงที่บ้านเด็กกำพร้าน่ะ”
คิมหันต์นิ่งเงียบเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
“แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราบอกพ่อพลให้” ผมบอก
“ไป ๆ” เขาว่า “ถ้าลุงบอกว่าจะไปธนาคารยังไงก็ต้องไป”
ผมพยักหน้า แม้จะอยากรู้ว่าไปที่นั่นทำไมแต่ก็ตัดสินใจเก็บคำถามนั้นเอาไว้
“ถ้างั้นนายรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย เดี๋ยวสิบโมงก็ออกเดินทางแล้ว”
คิมหันต์ทำตาโต
“วันนี้ ตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
“ใช่” ผมตอบ “เราก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
“โอเค ๆ”
ว่าแล้วเราก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวทันที
แม้การสนทนาครั้งนี้จะช่วยให้ลืมความรู้สึกกระดากอายไปชั่วขณะ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงอยากหาโอกาสที่จะกล่าวคำขอโทษต่อคิมหันต์สำหรับเรื่องที่ทำลงไปเพราะต้องการรักษาสิ่งดี ๆ เอาไว้ ไม่อยากให้ระหว่างเราต้องมาจบสิ้นเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ทั้งชีวิตผมไม่เคยไปงานแต่งงานของใครมาก่อนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เด็กอย่างผมได้มาร่วมงานที่มีการตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและไฟสว่างไสวงดงามเช่นนี้ รายล้อมด้วยผู้คนแต่งตัวดีเดินขวักไขว่พลางชวนกันพูดคุยอย่างออกรส ผสมปนเปกับเสียงเพลงก้องกังวานจากวงดนตรีสตริงควอเต็ทที่บรรเลงอย่างหวานย้อยที่มุมหนึ่งภายในอาสนวิหาร
เมื่อรับของชำร่วยแล้ว สักพักคู่บ่าวสาวก็เข้ามากล่าวทักทายอย่างอบอุ่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อได้เห็นพี่เจนในชุดเจ้าสาวผมก็รู้สึกตื้นตัน เธอดูสวยสง่ามากในสุดยาวฟูฟ่องสีขาว ใบหน้ากลมระบายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความสุขโดยมีว่าที่สามียืนโอบไหล่
“ขอบคุณนะคะคุณพ่อที่มาร่วมงานแต่งของเรา ช่วงนี้พ่อออกจะยุ่งซะด้วย” หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร พ่อยินดี” คุณพ่อบอก “แหม พ่อจะไม่มางานแต่งเอ็งได้ยังไงเล่า”
พี่เจนยิ้มกว้างและหันไปมองคู่รักด้วยความปีติ
“ส่วนนี่เจ้าคิม หลานชายของพ่อเอง” คุณพ่ออรรถพลอธิบายพลางหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนขนาบ “พ่อพาเขามาด้วยเพราะเราต้องเข้าไปทำธุระในเมืองต่อจากนี้อีก”
“สวัสดีครับ” คิมหันต์ยกมือไหว้คู่บ่าวสาว ทั้งสองรับไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีจ้ะ” พี่เจนกล่าวและเสริมว่า “แหมพ่อ มีหลานหล่อขนาดนี้เชียว ทำไมหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“แล้วเอ็งจะรู้ไปทำไมยัยเจน” คุณพ่อว่าอย่างติดตลก “โน้น แฟนเราหล่อกว่าตั้งเยอะ”
“อะแหม” ผมซึ่งยืนฟังมานานแกล้งขัดจังหวะ
“รัน” เจ้าสาวเอ่ยขึ้นและขมวดคิ้ว “สบายดีไหม ทำไมหน้าเป็นแผลแบบนั้นล่ะ”
“สบายดีครับ ผมซุ่มซ่ามเองแหละพี่เจน ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” ผมยิ้มเพื่อกลบเกลื่อน “ยังไงก็ยินดีด้วยนะครับ พี่สวยมากเลยวันนี้”
“ขอบใจจ้ะ” เธอมองผมอย่างเอ็นดูและยิ้มกว้างเช่นกัน
แล้วคุณพ่อก็ชวนเจ้าบ่าวคุยเป็นภาษาอังกฤษ สักพักคิมหันต์ก็ร่วมวงสนทนาด้วย ถึงจะฟังออกเป็นบางคำแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ฉะนั้นจึงได้แต่ยืนมองพวกเขาคุยกันตาปริบ ๆ
หลังจากนั้นบรรดาคุณพ่อ บราเดอร์และซิสเตอร์ก็แยกไปนั่งที่บริเวณด้านหน้าพระแท่น ส่วนแขกเหรื่อกระจายไปนั่งตามจุดที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้
ในที่สุดพิธีกรรมก็ดำเนินมาถึงช่วงที่คู่บ่าวสาวประกาศการยอมรับซึ่งกันและกัน บรรยากาศภายในอาสนวิหารเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนั้นเองที่ผมเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ เป็นโลกที่ผมไม่อาจรับมือกับอารมณ์ทั้งหลายที่ซัดโถมเข้ามาจนต้องบีบมือตัวเองไว้แน่น
การที่ผมแอบชอบคิมหันต์เป็นเรื่องที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ผสมกันอย่างแยกไม่ได้ และผมก็ไม่เคยใส่ใจที่จะยอมรับความเป็นจริงเลยสักครั้งจนกระทั่งตอนนี้
ชายกับชายนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
ยิ่งได้มองดูคู่บ่าวสาวแสดงความรักที่ด้านหน้าพระแท่นก็ยิ่งตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะไม่มีใครในโลกทราบว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคิมหันต์ ไม่มีใครบนสวรรค์เห็นด้วยกับมัน แม้ทุกตารางนิ้วบนหัวใจจะไม่เหลือพื้นที่ให้สิ่งอื่นใดนอกผู้ชายคนนี้ แต่มนุษย์ก็ยังคงปฏิเสธความรักระหว่างคนสองคนเพียงเพราะเพศสภาพ
ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าคมคายซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาช่างดูน่าเหลือเชื่อภายใต้แสงไฟแพรวพราววิววับ ทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาวคอเปิดกว้างที่เผยให้เห็นเนินอก กางเกงสแล็คสีดำขนาดพอดีตัวที่ช่วยให้ดูภูมิฐานและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ทุกอย่างนี้คือความปรารถนาสูงสุดตลอดกาลของผม แต่กระนั้นก็รู้ดีว่าไม่มีวันได้ครอบครองอยู่ดี
คิมหันต์จะเป็นดังดวงตะวันส่องแสงมาจากที่ห่างไกล ส่วนผมทำได้เพียงแค่ชื่นชมอย่างโดดเดี่ยว
แล้วผมก็นึกอย่างเศร้า ๆ ไปถึงตอนเรียนจบ หากคิมหันต์ไม่เรียนต่อทางด้านเทววิทยาและบวชเป็นบาทหลวง สักวันหนึ่งเขาก็คงเริ่มคบหากับผู้หญิง จากนั้นก็วางแผนแต่งงานและสร้างครอบครัว
มันอาจเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสเมื่อผมได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ แต่ก็อาจเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดเมื่อเปิดผนึกและพบกับการ์ดเชิญร่วมงานมงคลสมรสแทนที่จะเป็นจดหมายถามสารทุกข์สุกดิบ
ผมจินตนาการถึงความเสียใจนั้นไม่ออกเลยแต่เดาว่ามันคงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น และที่แน่นอนที่สุดโดยไม่ต้องสงสัยคือผมไม่สามารถทนดูคิมหันต์เข้าประตูวิวาห์ มีอนาคตและทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกับคนอื่น
ใช่ ผมมันเป็นคนใจแคบ เห็นแก่ตัว
แต่ทั้งหมดนี่ก็เพราะผมกลัวที่จะสูญเสียคิมหันต์ไปตลอดกาลซึ่งมีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นเช่นนั้น และผมคงทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะบอกกับเขาว่าขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่ไปจนแก่เฒ่า
พวกเราออกมาข้างนอกหลังเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน มองดูคู่บ่าวสาวรายล้อมไปด้วยแขกที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีและปรบมือให้ เมื่อช่างภาพเข้ามาควบคุมจัดแจงเพื่อเตรียมจะถ่ายรูป ผมกับคิมหันต์จึงเลี่ยงออกจากบริเวณนั้น
“ไปนั่งรอในวัดกันเถอะ” ผมชวน แต่คิมหันต์ส่ายหน้า
“ไปเดินเล่นดีกว่า” เขาป้องมือและมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ
ตอนแรกผมตั้งใจจะเปลี่ยนความคิดของเขาเพราะเห็นว่าแดดร้อน แต่เมื่อถูกวงแขนแกร่งโอบไหล่เอาไว้ผมจึงพบว่าตนกลายเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจเสียเอง ก่อนจะพาคิมหันต์ไปชมสวนดอกไม้ด้านหลังซึ่งตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์และน้ำตกจำลอง จากนั้นจึงพาเขาเดินชมรอบ ๆ เขตอาสวนวิหาร
ไม่นานก็มาถึงร้านศาสนภัณฑ์เล็ก ๆ ของที่นี่
“อยากได้อะไรไหม” ผมถามพลางหยีตามองป้ายชื่อร้านเหนือประตูกระจก
“อืมไม่รู้สิ เข้าไปดูหน่อยดีกว่า” แล้วเขาก็เดินตรงเข้าไปด้วยท่าทางของคนอยากรู้อยากเห็น
ข้างในมีซิสเตอร์ท่านหนึ่งนั่งเฝ้าที่โต๊ะทำงาน เมื่อเธอไม่พูดอะไรผมกับคิมหันต์จึงเริ่มเดินดูของต่าง ๆ สักพักก็มาหยุดอยู่หน้าโต๊ะแสดงสินค้าตัวหนึ่ง
“อันนั้นคืออะไร” เขาชี้ไปยังแหวนเงินที่กองอยู่ในจานเล็ก ๆ บนโต๊ะ
“อ่อ แหวนประคำน่ะ สะดวกดีถ้าไม่อยากพกที่เป็นสายยาว ๆ”
คิมหันต์หยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ มันเป็นแหวนที่มีตุ่มกลม ๆ ล้อมรอบวงและมีพระรูปแม่พระสลักเป็นหัวแหวน
“ไม่เคยเห็นเลยเหรอ” ผมถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ไม่เคย แปลกดีแฮะ”
แล้วคิมหันต์ก็ถามผมว่าอยากได้อะไรไหม ซึ่งผมก็ส่ายหัวพร้อมกับบอกไปว่าไม่มีเงิน
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวซื้อให้” เขาบอกขณะลองสวมแหวนตามนิ้วต่าง ๆ
“ไม่เอา ๆ นายเก็บตังค์ไว้เถอะ” ผมพูดอย่างเกรงใจ
“เถอะน่า” คิมหันต์ยังคงคะยั้นคะยอ “งั้นเอาเหมือนกันไหม” เขาชูแหวนประคำวงหนึ่งขึ้นตรงหน้า
ผมเม้มปากขณะชั่งใจ แต่แล้วคิมหันต์ก็คว้ามือข้างขวาของผมมาสวมแหวนเข้าที่นิ้วชี้
“พอดีเป๊ะเลย!”
“ทำอะไร!” ผมรีบดึงมือกลับด้วยความตกใจ
“ก็ลองแหวนไง” คิมหันต์ทำหน้านิ่ง “ชอบไหม”
ผมมองดูแหวนที่นิ้วชี้ขวาด้วยหัวใจเต้นรัวเร็ว
“ก็...ชอบ” ผมตอบเรียบ ๆ และเลี่ยงการมองหน้าอีกฝ่าย
“ถ้างั้นไปจ่ายตังค์กันเถอะ”
พูดจบคิมหันต์ก็เดินไปจ่ายเงินกับซิสเตอร์ ปล่อยให้ผมยืนหน้าแดงอยู่ตรงนั้นคนเดียวในมุมมืด
จากนั้นเราก็กลับไปที่อาสนวิหารเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานอีกครั้งและก็ถือโอกาสตามหาคุณพ่ออรรถพลไปด้วย เมื่อเห็นว่าท่านกำลังวุ่นวายอยู่กับการอวยพรบรรดาสัตบุรุษ ผมกับคิมหันต์จึงไปรอที่รถกระบะเพื่อหนีความแออัด
ขณะคิมหันต์ยืนพิงท้ายรถและหมุนแหวนประคำที่นิ้วชี้ซ้ายอย่างใจลอย ผมจึงใช้โอกาสนี้ลอบมองอีกฝ่ายพร้อม ๆ ไปกับการทำใจ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้ยืนเคียงข้างเขาในฐานะเพื่อนหลังจากที่กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“คิม เราขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนนั้นนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” ผมกลั้นใจพูดออกรวดเดียว หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบระเบิด
ผมคาดว่าคิมหันต์จะขมวดคิ้วหรือชักสีหน้า บางทีอาจพูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจปวดร้าว ทว่าชายหนุ่มกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย เขายังคงเหม่อมองไปยังถนนที่เต็มไปด้วยรถรา แต่ความนิ่งเงียบก็เริ่มทำให้ผมหวาดวิตกมากขึ้นทุกทีจนเหงื่อแตกซึม
ผมกลืนน้ำลายขณะภาวนาในใจ เตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้น
“ต้องเอาไปให้คุณพ่อเสกก่อนใช่ไหม” คิมหันต์มองดูแหวนที่นิ้วมือของตัวเอง ไม่ยิ้มหรือแสดงสีหน้าใด ๆ ทั้งนั้น
ผมขมวดคิ้ว รู้สึกสับสนงุนงงเป็นที่สุด
“ได้ยินที่พูดหรือเปล่า” ผมถาม
“อืม”
“เราบอกว่าขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร” คิมหันต์จ้องผมที่ดวงตา “มีอะไรต้องขอโทษ”
ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกมั่นใจอย่างน่าประหลาดว่าเขาไม่ได้เสแสร้งเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายที่กำลังพูดถึง ผมลืมไปแล้วว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้นอกจากจะเป็นโลกทั้งใบของผมแล้วยังเป็นหน้าต่างของหัวใจอีกด้วย แม้ว่าบางครั้งคนเราจะระมัดระวังมากกับการเปิดเผยบางสิ่งผ่านแววตา แต่บางเวลามันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะบอกกับใครสักคนว่าตนคิดอย่างไร
เช่นเดียวกับภาษากายมากมายที่คิมหันต์แสดงออกซึ่งเป็นอย่างหนึ่งที่ผมเฝ้าสังเกตตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เช่นยามใดที่หัวไหล่ของคิมหันต์ลู่ลงเล็กน้อยนั่นหมายความว่าไม่มีอะไรรบกวนจิตใจ เหมือนอย่างที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้
“ก็เรื่องเมื่อคืนนั้นไง ที่เรา เอ่อ...คิมก็รู้” ผมบีบมือตัวเองแน่นมากและกระดากอายเกินกว่าจะพูดประโยคนั้นออกมา
“ที่เราขอให้นวดให้น่ะเหรอ” เขาว่า “ถ้าเป็นเรื่องนั้นรันจะมาขอโทษเราทำไม เราเป็นคนขอเองลืมไปแล้วหรือไง”
ผมหน้าแดง รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายพูด
“แต่--”
“ไม่งั้นก็อดเล่นเกมไม่ใช่เหรอ”
“อืม แต่--”
“เพราะฉะนั้นนายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด” คิมหันต์ซุกมือลงกระเป๋ากางเกง “อย่าคิดมากเลย”
ผมมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
อย่าคิดมากอย่างนั้นหรือ?
แล้วจะไม่ให้ผมคิดมากได้อย่างไรเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องทั่วไปที่ใครเขาทำกันสักหน่อย อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์นี้สามารถทำลายชีวิตของผมจนไม่เหลือชิ้นดี หรือทำให้ผมเปรมปรีดิ์กับการมีชีวิตอยู่ไปจนวันตาย เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคิมหันต์ทั้งสิ้นและผมก็ไม่อยากเสียเขาไปเหมือนปราการ
แต่คิมหันต์ก็คงเหมือนกับผมที่อ่านความคิดออกผ่านทางสายตา ผมพลาดไปว่าเขาฉลาดกว่าใครที่เคยรู้จัก บางทีการมีพ่อแม่เป็นหมออาจช่วยอะไรได้ไม่มากก็น้อยเพราะคิมหันต์มีวิธีคิดและพูดที่หาได้ยากในหมู่เด็กวัยรุ่นทั่วไป
ช่วงขณะที่ผมจมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความคิดสีเทา เขาก็ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย สีหน้าแววตาเปลี่ยนไปและดูจริงจัง จากนั้นคิมหันต์ก็เอ่ยประโยคที่ทำเอาตัวผมแทบลอยไปถึงสรวงสวรรค์
“มันไม่ได้แปลว่าเราไม่ใส่ใจนะรัน แต่อย่าให้อะไรมากวนใจพวกเราดีกว่า เพราะนายสำคัญกว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมาก”
พูดจบเขาก็ยกมือวางบนศีรษะของผม อานุภาพแห่งความอ่อนโยนนั้นทำให้ร่างกายของผมอ่อนแรงเหมือนกับโลหะที่กำลังหลอมละลาย แต่ผมรู้ว่าคิมหันต์จะหล่อผมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สร้างให้เป็นคนที่จะยอมรับและศรัทธาเขาตลอดไป เชื่อและไว้ใจเขาโดยปราศจากข้อกังขา
เดชะพระหรรษทานช่วย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคิมหันต์ไม่ได้มองผมแปลกไปเลย เขายังคงต้องการรักษามิตรภาพนี้เอาไว้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลเดียวที่ผมยังคงยืนไหวและไม่ล้มลงไปเสียก่อน ทำให้น้ำตาแห่งความโล่งใจเอ่อคลอเบ้าอย่างไม่อาจหักห้ามได้
ผมกะพริบตาไว ๆ เพื่อไล่น้ำสีใส ก่อนจะจับมือที่วางบนศีรษะลงมาและมองไปที่แหวน
“ใช่ ต้องเอาไปให้คุณพ่อเสกก่อน” ผมบอกด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น
“อืม” คิมหันต์ยิ้มพลางกุมมือผมเอาไว้
ผมกับเขาหยุดการกระทำทุกอย่างเมื่อเห็นว่าคุณพ่ออรรถพลกำลังเดินตรงมา จากนั้นประมาณสิบนาทีรถกระบะสีแดงพร้อมผู้โดยสารก็เคลื่อนตัวออกจากอาสนวิหาร มุ่งสู่ธนาคารชื่อดังในย่านใจกลางเมือง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ