เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) กาย โลหิต ชีวิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมคิดหนักทุกครั้งที่ส่องกระจก ถึงสารรูปจะไม่แย่มากนักแต่ก็ใช่ว่าจะดูดี ผมนึกอยากได้เครื่องสำอางมาช่วยปกปิดรอยฟกช้ำที่มุมปากกับแผลพุพอง แต่คงไม่มีทางหาของแบบนั้นได้จากเด็กผู้ชายแน่นอน ดังนั้นจึงทำได้แค่ปล่อยมันไว้แบบนั้น แค่ต้องพยายามหลบหน้าพวกคุณพ่อไปวัน ๆ
หลายคนมองผมและถามอย่างสงสัยปนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะตงเปียนซึ่งแทบสิ้นสติเมื่อได้เห็นสภาพของผม
“มึงไปโดนอะไรมา!” เพื่อนตัวน้อยร้องถามเมื่อพบกันที่หน้าหอพัก
“กู...เอ่อ...กูลื่นตกบันไดที่นี่แหละ” ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจึงโกหกไปแบบนั้น หวังว่าจะฟังดูน่าเชื่อถือบ้าง
ตงเปียนทนไม่ไหวถึงขนาดต้องเข้ามาสำรวจตามร่างกายของผมอย่างเป็นห่วง ดวงตาตี๋ไล่มองดูแผลพุพองที่แขนและลำคอ ก่อนจะเลื่อนขึ้นมายังรอยช้ำแดง ๆ ที่มุมปากแล้วจึงขมวดคิ้ว
“มึงมันหนักมากอะ ให้กูพาไปหาบราเดอร์ไหม”
“เห้ยไม่ต้อง ๆ กูไม่เป็นไรมาก” ผมรีบบอกและพยายามเคลื่อนไหวเหมือนไม่รู้สึกเจ็บตามร่างกาย “แค่ทายาก็พอเดี๋ยวก็หาย”
“มึงแน่ใจนะไอ้รัน สภาพมึงแย่มากเลยรู้ตัวไหมเนี่ย”
“เออกูแน่ใจ” ผมบอกพร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้ “ขอบใจนะที่เป็นห่วง”
ถึงอย่างนั้นผมต้องใช้เวลาพอสมควรในการพูดให้ตงเปียนเชื่อว่ายังสบายดีและไม่จำเป็นต้องไปพบบราเดอร์วิน แต่สุดท้ายเขาก็ยอมฟังและปล่อยให้ผมกลับห้องจนได้
อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นงานกีฬาสีนั้นค่อนข้างลำบากทีเดียว เพราะนอกจากจะต้องตอบคำถามสารพัดจากเพื่อนร่วมทีมวอลเลย์บอลถึงสาเหตุที่หายตัวไป ผมก็แทบไม่มีกะจิตกะใจจะลงวิ่งแข่งในวันสุดท้ายด้วยเช่นกัน เวลานี้สภาพจิตใจของผมย่ำแย่มาก ซึ่งทุกอย่างคงดิ่งลงเหวหากไม่ใช่เพราะว่าได้รับกำลังใจจากคิมหันต์
เย็นวันเดียวกันนั้นเองหลังจากอาบน้ำเสร็จ คิมหันต์ก็สั่งให้ผมรีบขึ้นห้องมาทำแผล เขายืนกรานว่าอย่างน้อยก็ควรใส่ยาสักหน่อยจะได้หายไว ๆ
“ไม่แสบ ๆ อยู่นิ่ง ๆ” เขาบอกขณะใช้สำลีชุบเบตาดีนป้ายบริเวณบาดแผลของผม
“ให้เราทำเองก็ได้ เกรงใจ” ผมขอร้อง แต่คิมหันต์ก็ไม่ฟังอีกตามเคย ยังคงตั้งใจทายาต่อไปโดยมีผมลอบมองอยู่เงียบ ๆ ด้วยหัวใจพองโต
“ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้นายช่วยเราแย่แน่” ผมบอกเมื่อคิมหันต์ทำแผลให้เสร็จแล้ว ผมพยายามจะยิ้มแต่ก็เจ็บปากเกินไปจนเผลอหลุดเสียงครางออกมา
“นี่รัน ถ้าเจ็บมากก็ไม่ต้องฝืน ส่วนเรื่องวิ่งแข่งนายสละสิทธิ์ให้คนอื่นแข่งแทนก็ได้ ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าร่างกายของเราหรอก” เขาว่าอย่างมีเหตุผล
ผมพยักหน้า แล้วจึงเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อเก็บแว่นตาเลนส์แตกชำรุดและควานหาแว่นตาอันเก่า
“ไม่ต้องห่วง เรายังไหวอยู่” ผมปั้นสีหน้าสดชื่นหลังจากสวมแว่นตากรอบสี่เหลี่ยม “เราไม่อยากทำให้เพื่อนในทีมเดือดร้อนน่ะ อุตส่าห์ฝึกซ้อมกันมาตั้งนานจู่ ๆ จะเปลี่ยนตัวกระทันหันแบบนี้มันไม่โอเค”
คิมหันต์แสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจเป็นอย่างดี จากนั้นจึงยื่นถุงพลาสติกหน้าตาคุ้น ๆ ให้
“เอ้า ถ้างั้นก็กินยานี่ซะ” เขายื่นห่อยาแก้อักเสบที่ผมเคยให้ไปเมื่อคราวก่อน “ตอนนี้นายต้องการมันมากกว่าเรา”
ผมรับมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ พิกลและทานไปหนึ่งเม็ดตามปริมาณที่กำหนด
“สู้ ๆ” คิมหันต์ลูบหลังผม “ทำให้เต็มที่แล้วกัน ขอให้วิ่งถึงเส้นชัยเป็นคนแรกนะ”
“อืม ขอบใจมาก” ผมยิ้มกว้างออกมาจนได้แม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่มุมปาก
วินาทีนั้นไม่มีอะไรในโลกเทียบได้กับคำอวยพรและแววตาเชื่อมั่นที่คิมหันต์มองมายังผมเลย หรือต่อให้ได้รับความบรรเทาจากพระจิตเจ้าก็ยังไม่รู้สึกสงบเท่ากับการได้ยินเสียงของเขา
ผมคิดว่านี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม ช่วยให้มีพลังที่จะทำบางสิ่งให้บางคนภูมิใจด้วยการวิ่งถึงเส้นชัยเป็นคนแรกดังปรารถนา ซึ่งผมคงทำไม่สำเร็จหากไม่มีคิมหันต์คอยอยู่เคียงข้าง
สามวันต่อมาหลังงานกีฬาสี กิจกรรมทั้งหมดจบลงอย่างงดงาม เช่นเดียวกับพิธีมอบเหรียญและถ้วยรางวัลอันน่าประทับใจ ผู้คนส่วนใหญ่ค้นพบรอยยิ้มและความสุข แต่ผมคงเป็นคนส่วนน้อยที่ค้นพบน้ำตาและความทุกข์ มันช่วยไม่ได้ที่สมองจะยังคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเก็บของตลอดเวลา
คนเราจะขาดสติได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?
มนุษย์จะไม่คิดยั้งมือของเขาเพราะเห็นแก่มิตรภาพที่เคยมีให้แก่กันเลยหรือ?
แล้วถ้าหากผมสิ้นใจลงตรงนั้นชลเทพจะมางานศพของผมหรือไม่นะ?
บางทีเขาอาจเจียดเวลามาร่วมพิธีเพราะไม่อยากตอบคำถามของใครให้วุ่นวาย แต่หลังจากผ่านไปหลายปีเขาก็อาจเริ่มเอะใจและเก็บไปคิดทั้งวันทั้งคืนจนนอนไม่หลับ แล้วในที่สุดเมื่อสวรรค์ได้เปิดเผยความจริงให้เขารู้ เมื่อถึงเวลานั้นความตายก็ดูจะไม่สาสมจนชลเทพต้องร้องขอพระเจ้าให้ทำลายดวงจิตของเขาเสีย
กระนั้นความบาดเจ็บทางร่างกายที่ผมได้รับก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับบาดแผลในจิตใจ นี่จะเป็นเหมือนตราประทับถาวรที่ไม่มีวันลบล้างได้ ผมจะนึกมันเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าที่ตะวันทอแสงสีทองแจ่มใส เพราะต่อไปนี้คงไม่มีอะไรเป็นปกติสุขสำหรับผมอีกแล้ว โลกนี้จะมีคนดีไปทำไมในเมื่อพระเจ้ามักอนุญาตให้พวกเขาประสบภัยร้ายเสมอ บางทีการเป็นคนเลวอาจง่ายและสบายกว่ามาก
กลางดึกคืนหนึ่งผมนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาขณะกล่อมตัวเองให้หลับ พลางคิดว่าเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงดูจะไม่พอสำหรับคิดหาวิธีแก้แค้นสารพัดรูปแบบ แต่บางทีผมอาจมีเวลาเหลือเฟือในนรกคร่ำครวญถึงมันเมื่อฟาดชลเทพอย่างแรงที่หัวด้วยท่อนไม้
คงไม่เป็นไรหรอกถ้าผมจะฆ่าใครสักคนตราบใดที่ยังทำเป็นไม่เห็นตู้แก้บาป
เพราะตอนนี้สวรรค์ก็เป็นเพียงแค่นิทานปรัมปราและนรกก็เป็นเพียงแค่คำขู่ของคนอ่อนแอไร้ค่า
ทว่ามีบางสิ่งสะกิดใจผมขณะพลิกตัวเข้าหาผนังห้องอันดำมืด มันบอกกับผมว่านี่อาจเป็นบทเรียนที่พระเจ้าประทานให้ซึ่งช่วยให้ตาสว่าง เพราะจริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเลยที่จะต้องมาแบกรับชะตากรรมของคนอื่น
ผมไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ผู้วิเศษหรือใครก็ตามที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง ผมมันก็แค่เด็กมัธยมธรรมดา ๆ ที่แทบจะจัดการปัญหาของตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วยังจะมีหน้าไปยุ่งกับปัญหาของคนอื่น บางทีตงเปียนอาจมีวิธีรับมือที่ดีกว่าผมก็ได้ ผมแค่ต้องไว้ใจให้เขาดูแลชีวิตของตัวเองก็เท่านั้น
หรือผมควรจะเล่าความจริงให้คุณพ่ออรรถพลฟังดีนะเรื่องทุกอย่างจะได้จบลงสักที
ผมไตร่ตรองเกี่ยวกับทางเลือกนี้อยู่นานและขอเดาว่าคุณคงอยากให้ผมทำแบบนั้น
แต่ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่กลัวผลกระทบที่จะตามมา ทุกอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ ผมอาจได้รับความยุติธรรม คิมหันต์ได้ล้างมลทิน แต่สุดท้ายเราทั้งหมดอาจลงเอยด้วยการถูกเชิญออกจากสถาบันเพราะพวกผู้ใหญ่ที่นี่จริงจังกับเรื่องการใช้ความรุนแรงเป็นอย่างมาก กระทั่งเด็กกำพร้าไม่มีที่ซุกหัวนอนอย่างผมก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฉะนั้นผมจึงมีเหตุผลที่เลือกจะจัดการปัญหาเองหากเป็นไปได้ แม้จะต้องทนกับการถูกชลเทพมองว่าความใจดีของผมนั้นเป็นจุดอ่อนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ช่วงสาย ๆ วันหนึ่งขณะนั่งเรียนวิชาภาษาไทย ผมรู้สึกปวดปัสสาวะจึงยกมือขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ ขณะเดียวกันก็พยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาของชลเทพที่กำลังจ้องเขม็ง
“ไปได้” อาจารย์บอกขณะเขียนข้อความบนกระดานดำ
“ผมขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำด้วยนะครับอาจารย์” คิมหันต์ยกมือขึ้นตามมาติด ๆ ผมหันไปมองเขาอย่างสงสัย
“อะไรกันคิมหันต์ เธอเพิ่งจะไปห้องน้ำเมื่อตะกี้เองนะ” อาจารย์ว่า
“ก็ผมปวดท้องนี่ครับจารย์ ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้หรอกครับ” จากนั้นเขาก็ทำหน้าบิดเบี้ยวและเอามือกุมท้อง
“เอ้า ๆ รีบไปรีบมาล่ะเธอสองคน” อาจารย์มองผมกับคิมหันต์ด้วยสายตาจับพิรุธแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
แล้วคิมหันต์ก็รีบเดินนำหน้าออกจากห้องเรียนไปรอข้างล่าง
“ท้องเสียเหรอ” ผมถามอย่างเป็นห่วง
เขาส่ายหน้า
“เปล่าหรอก แค่อยากมาเป็นเพื่อน” เขาบอก
ผมหยุดเดิน ไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกอย่างไรระหว่างดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นกับทำหน้าบึ้งตึงที่รู้ว่าเขาโกหกอาจารย์ แต่ผมก็เผลอยิ้มออกไปแล้ว
หลังจากเหตุการณ์นั้นคิมหันต์ก็แทบจะไม่ปล่อยให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียวอีกเลย แม้ว่าบางครั้งแค่ไปทำธุระส่วนตัวก็ตาม ถึงจะไม่ชินแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีมาก เพราะการได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลาคือสิ่งที่ผมต้องการ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง
โดยสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาตอนที่เราสองคนเพิ่งจะรู้จักกัน เราเคยเข้ากันดีเฉพาะตอนที่อยู่ในห้องพักเท่านั้นและผมก็มักที่จะถามคำถามต่าง ๆ เพื่อทำความรู้จักเขา เช่น เรื่องบ้านที่กรุงเทพฯ ว่าใครเป็นคนดูแล สถานที่ท่องเที่ยวที่นั่นหรือแม้กระทั่งเมืองโปรดในประเทศอิตาลี
หลังจากพูดคุยกันเรื่องเสน่ห์ของเมืองเวนิสจนเบื่อแล้วผมก็จะนั่งลงข้าง ๆ คิมหันต์เพื่อดูเขาเล่นเกมบอยจนดึกดื่น กระทั่งถึงเวลาที่ต้องก้าวข้ามธรณีประตูออกไปเผชิญโลกภายนอก ความจริงจะบีบบังคับให้ผมยอมรับว่านี่คือโลกใบใหม่ เป็นโลกที่ผมกับเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรร่วมกันเลย
ครั้งหนึ่งมันเคยทำให้ผมรู้สึกเศร้าเพราะเอาแต่เฝ้ามองเขาจากที่ห่างไกล ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
นี่เป็นความคิดที่ทำให้ผมมีความสุขมาก และถึงแม้ว่าคงเป็นไปได้ยากแต่ผมก็จะเฝ้ารอวันที่จะได้สารภาพทุกอย่างออกมาหมดเปลือก แม้จะต้องแลกมันมาด้วยเลือดและน้ำตาก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนกันยายน ผม คิมหันต์และตงเปียนใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ขลุกอยู่ที่ห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลเขียนรายงานวิชาศาสนา พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันบ้าง แล้วจากนั้นต่างคนก็ต่างขะมักเขม้นเร่งทำให้เสร็จเพื่อจะได้มีเวลาว่างไปทำอย่างอื่น
ปกติแล้วบรรยากาศในห้องสมุดไม่ต่างอะไรจากสุสาน เงียบเหงาและวังเวง แล้วมันก็จะมีสภาพไม่ต่างกับงานวัดเมื่อถึงตอนใกล้สอบ แต่อาจยกเว้นช่วงฤดูฝนซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ไม่รู้จะไปไหนจึงพากันมาที่นี่เพราะหวังว่าหนังสือจะช่วยแก้เบื่อได้บ้าง ทว่าส่วนใหญ่อ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็อ้าปากหาวเสียแล้ว บางคนก็เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างอาลัยอาวรณ์
ผมเองก็คิดถึงแสงแดดกับบรรยากาศโล่งสบายตอนฤดูร้อนเช่นกัน คิดถึงการนั่งเขียนหนังสือบนโต๊ะปูนในสวนหย่อม แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาให้ฝนเจ้ากรรมหยุดตกสักที
“เมื่อยตัวจัง”
จู่ ๆ คิมหันต์ก็พูดขึ้นพร้อมกับออกแรงนวดที่ท้ายทอย แขนและขาตามลำดับ
“ไม่ค่อยได้เล่นกีฬาหรือเปล่า ช่วงนี้ฝนตกยาวเลย” ผมบอกขณะก้มหน้าเขียน
“อืม สงสัยเป็นงั้นแหละ” คิมหันต์เห็นด้วยก่อนจะมองนอกหน้าต่างอย่างเซ็ง ๆ “เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกซักที”
“เอางี้ไหมไอ้คิม มึงเตะไอ้รันแทนไปก่อนก็ได้นะ ตอนนี้หน้าแม้งกลมเป็นลูกบอลเชียว” ตงเปียนพูดหยอกพลางพยักพเยิดมาทางผม
ผมวางปากกาลง
“อ้อ มึงจะบอกว่ากูอ้วนเหรอ”
“มึงพูดเองน้า”
“ไอ้ตง!”
ผมเผลอพูดเสียงดังจนบรรณารักษ์หันมามองตาเขียวปัด ตงเปียนพยายามกลั้นขำจนไหล่สั้นโดยมีผมนั่งทำจมูกบานอย่างฉุน ๆ คิมหันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองดูเราสองคนด้วยสีหน้าตลกขบขัน
ต่อมาพวกเราก็แอบซุบซิบกันเรื่องไปเข้าค่ายก่อนปิดเทอมเล็กซึ่งเป็นกิจกรรมภาคบังคับของนักเรียนชั้นม. 5 คิมหันต์ดูท่าทางสนใจมากทีเดียวเพราะโรงเรียนเก่าของเขาไม่มีกิจกรรมแบบนี้
“มึงเตรียมลงไปช่วยกันดันท้ายได้เลยไอ้คิม” ตงเปียนบอก
“ทำไมว้ะ” คิมหันต์ทำหน้าสงสัย
“มึงยังจำสภาพรถสองแถวที่นั่งตอนงานกีฬาสีได้ป้ะ นั่นแหละคือรถที่พวกเราจะได้นั่ง”
“เหรอ...น่าสนุกดีออก”
ผมกับตงเปียนสบตากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ พ่อหนุ่มนี่จะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว จากนั้นพวกเราก็กลับไปทำงานของตัวเองต่อ ผมอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่บรรทัดก็เบนสายตาไปที่คิมหันต์ซึ่งกำลังคัดลอกบทความลงในกระดาษอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม จู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคิมหันต์ไม่เข้ามาช่วยผมเอาไว้
มันยากที่จะยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ แต่ผมกลับยินดีอย่างยิ่งถ้านั่นจะทำให้ได้รับความห่วงใยจากคิมหันต์ ถึงแม้จะแค่ในฐานะเพื่อน แต่คราบเลือดบนเสื้อยืดสีแดงก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้โกหกเลยที่บอกว่าจะยอมทุกอย่างทำเพื่อผม
แล้วคิมหันต์ก็ทำให้ผมว่อกแว่กด้วยการเคาะปากกาที่สันจมูก ผมลอบมองเหนือขอบหนังสืออย่างสนใจ จากบรรดาสิ่งมากมายในตัวคิมหันต์ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าสันจมูกโด่งของเขากระตุ้นอารมณ์ของผมได้มากไม่แพ้กัน
คิมหันต์ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
“มีอะไรรึเปล่า” เขาถาม
“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร”
ผมรีบสลัดภาพจมูกนั้นที่กำลังคลอเคลียบนเรือนร่างกายของผมออกไปจากสมองและกลับไปสนใจบทความในหนังสือต่อ
ตกเย็นพอดีเมื่อออกจากห้องสมุด เราสามคนแวะไปโรงอาหารก่อนจะเดินทางกลับหอพัก ซึ่งขณะต่อแถวรอตักอาหารอยู่นั้นชลเทพกับเพื่อน ๆ ก็เดินถือถาดสวนไปพอดี เขาเหลือบมองคิมหันต์แวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นชาและผ่านหน้าผมไปโดยไม่คิดมอง
ผมเก็บซ่อนอารมณ์ขุ่นมัวขณะเดินตามคนอื่น ๆ มาที่โต๊ะประจำ แล้วเราก็รีบจัดการข้าวผัดกะเพราหมูให้เสร็จเพราะดูเหมือนฝนกำลังจะตกอีกในไม่ช้า
“ซี้ดดดดด” ผมสูดปากเมื่อพริกในอาหารโดนแผลข้างใน
“ยังไม่หายอีกเหรอ” ตงเปียนถามอย่างเป็นห่วง
ผมส่ายหน้าก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับคิมหันต์อย่างรู้ความนัย
“ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่” ตงเปียนถามสงสัย “ตอนนั้นบอกว่าตกบันได พอตอนนี้บอกเป็นปากนกกระจิบ กูว่ามึงให้คุณพ่อพาไปหาหมอเถอะ”
“ไม่เป็นไร กูใกล้จะหายแล้ว” ผมพูดพลางดึงคอปกเสื้อขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อปกปิดรอยแผลพุพอง “มึงรีบ ๆ กินเถอะเดี๋ยวก็ติดฝนอยู่ที่นี่อะ”
ทว่าห้านาทีหลังจากนั้นฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก แต่เนื่องพวกเราไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่และมีความห้าวสูง จึงใช้กระเป๋าบังศีรษะและวิ่งฝ่าสายฝนมุ่งหน้าไปยังหอพักนักบุญมัทธิว 2
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคิมหันต์เริ่มเปลี่ยนทิศทางในคืนนั้นเอง เช่นเดียวกับบาปของผมที่เข้มข้นขึ้นเหมือนเลือดในตัว ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำชัดเจน ทั้งเสียงฟ้าร้อง ความเย็นชื้นในอากาศและความร้อนจากผิวกายของเขา
ผมยังคิดถึงการลูบสัมผัสนั้นเสมอ เช่นเดียวกับอาการเสียวในช่องท้องอย่างฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างสุขสม ทุกอย่างให้ความรู้สึกดีและเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เหมือนกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็มานั่งทำแผลบนเตียง ส่วนคิมหันต์ที่ใส่แค่กางเกงกีฬาสีน้ำเงินตัวเดียวกำลังนั่งเล่นเกมบอยอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ
ขณะกำลังทายาผมก็มองไปทางคิมหันต์บ้างสลับกับมองกระจก และเนื่องจากอีกฝ่ายรู้ว่าผมชอบดูเขาตอนเล่นเกมจึงไม่ระแคะระคายยามที่ผมเลื่อนสายตาจากเครื่องเกมบอยลงมาที่ก้อนคลื้นบนหน้าท้องสีกาแฟ สองสามวินาทีต่อมาก็เลื่อนขึ้นไปที่ใบหน้าคมคายก่อนจะเลื่อนลงมายังจุดที่ต่ำกว่าเดิม ซึ่งตรงนั้นไม่เคยมีชั้นในห่อหุ้มเลยนอกจากผ้าโพลีเอสเตอร์มันลื่นบาง ๆ
ผมสังเกตมานานแล้วว่าคิมหันต์ชอบแต่งตัวสบาย ๆ เวลาอยู่ห้อง เขาไม่เคยใส่เสื้อผ้าเกินสองชิ้นเลย ผมจินตนาการตอนที่เจ้าโลกของเขากวัดแกว่งยามเคลื่อนไหว ผมอยากจะเป็นกางเกงตัวนั้นให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อจะได้รู้สึกถึงคิมหันต์ตลอดเวลา
เหนือสิ่งอื่นใดผมชอบเวลาที่คิมหันต์เกร็งหน้าท้องขณะลุ้นกับการเล่นเกม ส่วนหนึ่งของใจภาวนาให้เขาอ้าขากว้างอีกนิด และแม้หลอดไฟบนเพดานจะหรี่กระพริบเมื่อฟ้าร้องคำราม แต่ผมก็มองเห็นลวดลายน้องชายของเขาชัดเจนยิ่งกว่าเงาสะท้อนในกระจก
“อยากเล่นไหม” คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมาถาม
“อยากดิ” ผมตอบ “ใกล้จะจบหรือยัง”
“ใกล้แล้ว” เขาว่า “แต่นวดขาให้ก่อน ไม่งั้นไม่ให้เล่น”
“ไม่เอา”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วผมมือไม้สั่นไปหมดด้วยความพร้อมอย่างยิ่ง
“ไม่อยากเล่นก็ตามใจ” คิมหันต์บอกเรียบ ๆ และกลับไประดมกดปุ่มรัว ๆ อย่างสะใจ
ผมเงียบไปครู่หนึ่งขณะเก็บยาใส่ถุงและดันเก้าอี้ออกไปด้านข้าง จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นตรงหว่างขาคิมหันต์ สายตาไล่มองดูขายาวด้วยความคิดไม่บริสุทธิ์
แล้วผมก็ใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างกดลงบนน่องขาขวา รู้สึกทึ่งมากที่กล้ามเนื้อของเขาแน่นและแข็งกว่าที่คิด ผมหลับตาลงทำใจให้นิ่งก่อนจะค่อย ๆ รีดเส้นขึ้นลง แล้วจึงลืมตาขึ้นมาดูว่าคิมหันต์มีปฏิกิริยาอย่างไร
เขาทำหน้าเหยเกและส่งเสียงครวญคราง
“มือเย็นมาก” คิมหันต์ว่า แต่ยังคงเพ่งสมาธิอยู่ที่เกมบอย
“ยังอยากให้นวดอยู่อีกไหม”
“นวด ๆ เน้นตรงเอ็นร้อยหวายให้หน่อย โคตรปวดเลย”
ผมต้องใช้พลังอย่างมหาศาลในการบังคับจิตใจให้สงบเพราะมันเรียกร้องให้ผมคำนึงถึงศีลธรรม แต่เจ้ากรรมเอ๋ยแทนที่ผมจะคิดถึงคำว่า “เอ็นร้อยหวาย” ทว่าผมกลับคิดถึงแต่คำว่าท่อนเอ็น ท่อนเอ็นและท่อนเอ็น
เขาทำเสียงพอใจเมื่อผมนวดคลึงบริเวณข้อเท้า บางครั้งก็สะดุ้งเมื่อผมบีบถูกจุด ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และทำแบบเดียวกันกับขาอีกข้างจนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที
“แล้วตรงนี้ปวดไหม” ผมออกแรงบีบที่ขาอ่อนข้างซ้าย
คิมหันต์สะดุ้งและพยักหน้าตอบรับ
ผมถกขากางเกงของเขาขึ้น เผยให้เห็นเฉดสีผิวที่อ่อนกว่าบริเวณอื่นเป็นไหน ๆ เมื่อมาถึงจุดนี้ผมต้องอาศัยพละกำลังจากนักบุญทุกองค์ในการหักห้ามอารมณ์สารพัดที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน เพราะต้นขาของคิมหันต์คือส่วนที่ผมปรารถนาจะสัมผัสมากที่สุด
ผมสูดหายใจเข้าอย่างสั่น ๆ ขณะบีบคลึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ความร้อนจากผิวกายของเขาทำให้มือของผมอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว คิมหันต์ขยับตัวไปมาขณะผมนวดคลึงทั่วต้นขาด้วยน้ำหนักมือสม่ำเสมอ เขาก้มมองผม ผ่อนลมหายใจออก แล้วจึงกลับไปจดจ่อกับการเล่นเกมอีกครั้ง
สักพักผมก็เปลี่ยนไปนวดขาอีกข้าง ค่อย ๆ บรรจงบีบนวดใต้ขาอ่อนและรีดเส้นขึ้นลงช้า ๆ ผมยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าคิมหันต์หายใจแรงขึ้นกว่าเดิม มันคงรู้สึกดีมากถ้าให้ผมเดา คิมหันต์ต้องชอบที่ผมทำให้แน่ ๆ และอาจจะเกินกว่าที่คาดด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่การที่เป้ากางเกงของเขาเริ่มโป่งพองก็ได้พิสูจน์สมมติฐานทั้งหมดแล้ว
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ ขณะจ้องดูสิ่งนั้นขยายใหญ่ขึ้น ถ้าเป็นผมคงรู้สึกอายมาก แต่คิมหันต์ดูจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ยังคงให้ความสนใจเกมบอยราวกับว่ามันคือสิ่งเดียวในโลกที่สามารถช่วยเขาจากสถานการณ์ล่อแหลมนี้ได้
จนเมื่อผมกล้าที่จะขยับขึ้นมาถึงเอ็นขาหนีบ คิมหันต์จึงวางเครื่องเล่นเกมลงบนโต๊ะและจ้องมองผมนิ่ง
เมื่อได้สติว่ากำลังทำอะไรอยู่ผมจึงชักมือกลับ ทุกอย่างคงกลับสู่ภาวะปกติถ้าไม่ใช่เพราะคิมหันต์คว้ามันเอาไว้
“คิม” ผมสะดุ้งตกใจกับแรงบีบที่ข้อมือขวา
ความรู้สึกผิดถาโถมเหมือนพายุโหดร้าย สมองเร่งคิดหาคำพูดแก้ตัวสารพัดเพื่อเอาตัวรอด ผมหลบสายตาคิมหันต์และมองไปทางอื่นอย่างช่วยไม่ได้
ผมตายแน่ ๆ เขาต้องฆ่าผมแน่ทีเดียว ทำไมผมถึงปล่อยให้มือไวกว่าความคิดได้นะ!
ผมหลับปี๋เพราะคาดว่าจะถูกตะคอกใส่ด้วยคำพูดเจ็บปวด แต่ผมกลับรู้สึกว่าคิมหันต์กำลังดึงมือของผมไปยังตำแหน่งที่ชาตินี้คงทำได้แค่จินตนาการตอนอยู่ในห้องน้ำเท่านั้น ลมหายใจของผมติดขัดเหมือนใกล้จะตาย ราวกับว่าร่างกายกำลังจะสูญเสียการควบคุมไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่จิตวิญญาณเร่าร้อนถึงขีดสุดด้วยไฟแห่งราคะ จู่ ๆ ฟ้าก็ร้องดังลั่นและทันใดนั้นไฟฟ้าก็ดับลง ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มือของผมสัมผัสกับท่อนเนื้อของคิมหันต์ มันร้อนผาวและแข็งขืน กระดกงึกสู้มือเมื่อผมกลั้นใจกอบกำ แล้วสติของผมก็แตกกระเจิงไปทันที
ทุกวินาทีผ่านไปราวกับละครหลังข่าว แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผมกำลังทำสิ่งนี้อยู่ในห้องของเรา ทำมันให้กับเขา ทั้งการสาวมือและใช้นิ้วโป้งบดคลึงส่วนหัวที่เป็นจุดอ่อนไหว
ขณะเดียวกันแม้จะหลงระเริงไปกับความปรารถนาดิบตามสัญชาตญาณ ทว่าฝ่ายจิตวิญญาณเองก็เกิดความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงเช่นกัน
นี่มันผิดมาก ผมควรต้องหยุดเดี๋ยวนี้!
แต่ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะนำมาซึ่งเรื่องลำบากใจในภายหลัง ทว่าราคะที่ไหลเวียนในกระแสเลือดนั้นช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน เสมือนได้ลิ้มรสชาติแห่งสวรรค์ที่มีเพียงแค่เราสองคน
“อือ...รัน” คิมหันต์เปล่งเสียงร้องแต่ก็ถูกกลบด้วยเสียงฝนไปจนหมด
ผมกัดฟันแน่น ยิ่งได้ยินน้ำเสียงกระเส่าเช่นนั้นก็ยิ่งนึกสนุกและหักห้ามใจไม่ไหว สมองเบลอไปหมด แถมยังเพิ่มระดับความหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงจุดหนึ่งคิมหันต์ถึงกับต้องแอ่นตัวเด้งรับเป็นจังหวะ
“อืมมมมม” เสียงครางทุ้มลึกนั้นทำให้ผมรู้สึกดีมากจนไม่อยากหยุด
แล้วคิมหันต์ก็คว้าข้อมือผมเอาไว้อีกครั้งและบีบแน่นมาก
“อ้า”
ท่อนเนื้อในกำมือซ้ายกระตุกถี่รัว แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงของเหลวร้อน ๆ ที่ไหลอาบหลังมือและนิ้ว
ผมดึงมืออีกข้างกลับและใช้มันคลำไปที่พนักเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เพื่อหยิบเสื้อยืดสีแดงมาเช็ดทำความสะอาด หัวใจเต้นแรงแทบระเบิด โชคดีที่ไฟดับเพราะผมไม่อยากเห็นภาพที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยจริง ๆ
ไม่นานนักความกลัวก็แทรกเข้ามาในหัวใจ ผมไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไรเพราะไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ถึงจะอ้างว่าเป็นเพราะสถานการณ์พาไปแต่ก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี และที่ผมกลัวที่สุดคือสายตาที่เปลี่ยนไปของคิมหันต์
ผมควรทำอย่างไรต่อไปดี?
“นอนกันเถอะ” ผมพูดขึ้นในที่สุด
“อืม” คิมหันต์ตอบสั้น ๆ แล้วเขาก็เดินดุ่ม ๆ ฝ่าความมืดและล้มตัวลงบนเตียงนอน
ผมกำเสื้อยืดสีแดงเอาไว้ด้วยความรู้สึกโหวงเหวง จากนั้นจึงตัดสินใจพากาย โลหิตและชีวิตที่ร้อนรุ่มเป็นไฟไปสำเร็จความใคร่เงียบ ๆ ณ สวรรค์บนเตียง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ