เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ผู้ชาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมมองท้องฟ้าสีโอลด์โรสของบ่ายสี่โมงเย็นอย่างสบายใจ ขณะที่รถกระบะโตโยต้าพาเรากลับมาถึงบ้านเณรโดยสวัสดิภาพ เด็กนักเรียนบางคนที่เดินเตร็ดเตร่อยู่หน้าโรงเรียนพากันกระโดดด้านหลัง บ้างส่งเสียงหัวเราะและร้องเพลงอย่างสนุกสนานขณะรถขับเคลื่อนช้า ๆ ไปสู่โรงจอด

เมื่อลงจากรถก็ปะทะกับอากาศร้อนอบอ้าวที่ทำให้คันยุบยิบตามผิวหนัง เราทั้งคู่เหงื่อซึมจนเสื้อเริ่มเปียกชุ่ม ผมข่มตัวเองไม่ให้มองแผ่นหลังสีเข้มที่แนบติดกับเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่สุดท้ายความพยายามก็สูญเปล่าเมื่อคิมหันต์ปลดกระดุมทีละเม็ดขณะเดินทอดน่องบนถนน

“ร้อนจริง ๆ” เขาว่าพลางกระพือเสื้อ “คืนนี้ฝนตกแน่เลย”

“ฝน” ผมเอ่ยอย่างเลื่อนลอย

เม็ดเหงื่อที่ผุดพราวบนเนินอกของคนข้าง ๆ ทำให้ผมเสียสมาธิ แทบไม่รู้ตัวเลยว่าพูดอะไรออกไป

“ใช่ ก็อากาศร้อนอบอ้าวขนาดนี้” คิมหันต์ใช้หลังมือปาดเหงื่อใต้คางที่มีตอหนวด

“อืม ร้อนจริง ๆ” ผมเออออตาม

ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ถอดเสื้อออกและเอามาพาดไหล่ ผมแทบลืมหายใจเมื่อได้เห็นกายเปลือยเปล่าท่อนบนของคิมหันต์ซึ่งเป็นมันวาว มัดกล้ามเนื้อแน่นทำให้ร่างกายของผมร้อนวูบวาบราวกับสัญญาณเตือนภัยอันตราย

“ใส่เสื้อเถอะ ไม่อายคนอื่นเหรอ” นี่คือความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมที่จะสกัดกั้นอารมณ์ต้องการอันฉับพลัน เพราะถ้าไม่อาจบังคับตัวเองได้ผมก็ต้องทำให้เขาหยุด

คิมหันต์เลิกคิ้วแล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทางไม่ยีระ

“ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย ผู้ชายเหมือนกัน”

จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ เพื่อพิสูจน์คำพูด แม้จะมีผู้คนนั่งในสวนหย่อมทางซ้ายมือ มีพี่ม. 6 บางคนช่วยลุงกิตเลื่อยกิ่งไม้และคุณพ่อฟิลิปเพิ่งเดินสวนเราไป แต่ไม่มีใครเลยที่สนใจมองคิมหันต์เป็นพิเศษ ผมจึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งกลับถึงห้อง

แล้วเย็นวันนั้นฝนก็ตกตามที่คิมหันต์ทำนายไว้จริง ๆ  เราไปไหนไม่ได้จึงใช้เวลาว่างนั่งปั่นรายงานอยู่ที่ห้อง โดยมีเสียงเพลงจากเครื่องเล่นโซนี่วอล์คแมนของคิมหันต์เปิดเคล้าคลอช่วยให้ไม่น่าเบื่อเกินไป

อย่างไรก็ตามขณะนั่งเขียนหนังสือเงียบ ๆ อยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ภาพงานแต่งงานของพี่เจนก็คอยผุดเข้ามาในหัวจนเริ่มเสียสมาธิ ไม่เข้าใจว่าทำไมสมองต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองชอบน้อยที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งผมก็ร่วมยินดีไปกับเธอด้วย หรือบางทีอาจเป็นเพราะมีเหตุการณ์อื่นทับซ้อนอยู่ในนั้นอีกที

ผมมองแหวนประคำที่นิ้วชี้ขวาและใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างลูบมันอย่างแผ่วเบา

นี่สินะที่ทำให้ผมว้าวุ่นใจ

คิมหันต์คงไม่คิดอะไรมากไปกว่าแค่อยากลองสวมแหวนให้กับผม มันก็แค่การทดลองสินค้าที่ใคร ๆ ต่างก็ทำกัน แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่าการกระทำนั้นส่งผลกระทบถาวรต่อความรู้สึกของผมทั้งในแง่ร้ายและดี

ขณะกำลังคิดเป็นตุเป็นตะถึงความหมายที่อาจซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นั้น จู่ ๆ ผมก็เกิดความคิดบ้า ๆ ขึ้นมา

หรือว่า...คิมหันต์ก็ชอบผมเช่นกัน

ผมหยุดเขียนทันที รู้สึกเย็นสันหลังวาบจนขนลุก หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกวินาทีจนคนทั้งโลกอาจได้ยินเสียงที่บ้าคลั่งของมัน เพราะถ้าวิเคราะห์จากหลายสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันก็น่าคิดไม่ใช่น้อย

ทำไมคิมหันต์ถึงใส่ใจผมมากขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

ทำไมเขาถึงไม่โกรธผมเลยทั้ง ๆ ที่เรื่องเมื่อคืนนั้นควรจะเป็นจุดแตกหักของความเป็นเพื่อนเสียด้วยซ้ำ

และทำไมคิมหันต์ถึงกล่าวทักทายผมด้วยคำว่า “เชา” ในยามเช้าของทุก ๆ วันแต่ไม่เคยพูดแบบนี้กับใครเลย

“เชา” ผมพึมพำออกมาเป็นภาษาอิตาลีเบา ๆ “เชา อะมอเร่”

ผมเคยได้ยินวลีนี้จากเพลงฝรั่งที่คิมหันต์เปิด มีทั้งที่ผมพอฟังรู้เรื่องบ้างและไม่รู้เรื่องเลย แต่กระนั้นเพลงที่มีเนื้อร้องว่า ‘เชา อะมอเร่ เชา’ คือเพลงที่คิมหันต์ฟังบ่อยที่สุด และมันก็เป็นวลีที่ค้างคาใจผมมากที่สุด ณ ตอนนี้

‘เชา’ คำกล่าวทักทายสั้น ๆ ที่ใช้ได้ทุกโอกาส

และ

‘เชา อะมอเร่’ ซึ่งแปลว่าสวัสดีจ้ะที่รักหรืออาจหมายความว่าลาก่อนที่รัก

ผมขมวดคิ้ว

เขาพยายามจะสื่ออะไรบางอย่างใช่ไหม นี่คือสัญญาณใช่หรือเปล่า

ความคิดนี้ยิ่งทำให้ผมตื่นตระหนก ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ในชั่วพริบตาเมื่อคิดว่าทำไมเพิ่งจะสังเกตเห็น จากนั้นก็กลายคนที่ฉลาดที่สุดในโลกหลังตระหนักว่านี่อาจเป็นวิธีแสดงออกโดยธรรมชาติของคิมหันต์ที่มีต่อมิตรสหายก็เท่านั้น

ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างใช้ความคิด

ใช่แล้ว มันอาจเป็นแบบนั้นก็ได้

พ่อขวัญใจมหาชนก็แค่เป็นมิตรกับทุกคน ผมคิดอย่างเจ็บปวดว่าน่าจะสำเนียกให้เร็วกว่านี้ หยุดฝันเฟื่องและอย่าปล่อยให้ตัวเองถลำลึกมากเกินไป

แต่...

“เชา อะมอเร่”

ผมเม้มปากทันที แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดที่เผลอหลุดปากพูดออกมาเสียงดัง

คิมหันต์เลียวมามองและยิ้มกริ่ม

“ติดใจแล้วละสิ” เขาว่า

ผมหน้าแดงก่ำและหลบเลี่ยงการมองหน้าอีกฝ่าย ในใจอยากตอบว่าทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่” เพราะไม่มีอันไหนผิดเลย

“เปิดเพลงนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม” ผมแก้ตัวไปตามน้ำ

คิมหันต์ไม่รอช้าและรีบจัดการเปลี่ยนเพลงให้ตามคำขอ ผมหันกลับไปทำงานต่อและรับฟังบทเพลงที่ลอยอยู่ในบรรยากาศด้วยหัวใจสั่นไหว แล้วเราก็ฟังวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

เช้าวันหนึ่งในเดือนตุลาคมขณะเพื่อน ๆ บางคนวิ่งเล่นและส่งเสียงดังภายในห้องเรียน ผม คิมหันต์และตงเปียนถือโอกาสที่ครูภาษาไทยไม่อยู่เร่งทำรายงานให้เสร็จ ถึงแม้กำหนดส่งคือก่อนสอบปิดเทอมเล็กแต่ผมก็ไม่อยากให้มีอะไรมากวนใจระหว่างใช้เวลาสนุกกับการเข้าค่าย

“เหลือแค่ภาคผนวคแล้วเว้ย” ผมเอ่ยอย่างดีใจขณะมองดูคิมหันต์กับตงเปียนนั่งเขียนอย่างขะมักเขม้น

“มาช่วยกูเขียนหน่อยเร็ว” ตงเปียนเกลาศีรษะ “ของกูได้ยังไม่ถึงครึ่งเล่มเลย”

“กูก็อยากช่วยนะแต่ว่าการบ้านของใครของมันว่ะ” ผมบอกพลางตรวจสอบเลขหน้าที่หัวมุมขวาบนกระดาษ

ตงเปียนทำหน้าบูดก่อนจะหันไปถามคิมหันต์เพื่อหาแนวร่วมว่าถึงไหนแล้ว

“บรรณานุกรม” คิมหันต์ตอบโดยไม่เงยหน้า

“โหยพวกมึงเขียนกันไวจังวะ รอกูด้วยยยยย!”

ว่าแล้วตงเปียนก็รีบก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ ส่วนผมเร่งมือตัดภาพที่ถ่ายเอกสารมาแปะใส่กระดาษอีกใบ

ผ่านไปสักพักผมก็วางกรรไกรลงเมื่อเจอกับภาพวาดชายคนหนึ่ง ภาพนั้นแสดงให้เห็นว่าเขากำลังยืนเปลือยกายต่อหน้าทูตสวรรค์ที่มาประจักษ์ สีหน้าปราศจากความเขินอาย

ผมเพ่งมองบริเวณกลางลำตัว

ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย ผู้ชายเหมือนกัน

ทันใดนั้นประโยคนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว เป็นประโยคธรรมดาที่ผู้พูดอาจไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่สำหรับผู้ฟังอย่างผมกลับรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น เพราะนอกจากหัวใจที่เต้นอยู่ในทรวกอก ระหว่างผมกับคิมหันต์ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักเลยอย่าง เราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในทุกแง่มุม

ผมเงยหน้ามองเจ้าของประโยคสลับกับมองรูปภาพพลางคิดว่าถ้าจะมีสิ่งใดที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจนั่นก็คือเนื้อในของเราแต่ละคน รูปลักษณ์ภายนอกเป็นแค่เปลือกที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณอันซับซ้อน ซึ่งผมพบว่าใช้เวลาก่อนนอนแทบทุกคืนใคร่ครวญถึงอัตลักษณ์แท้จริง

ผมเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ หรือว่าผมไม่ได้เป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว

ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็คงไม่แปลกที่จะไม่สามารถระบุได้ว่าผมคืออะไรกันแน่

ทว่าภายในส่วนลึกอันยุ่งเหยิง ผมกลับรู้สึกว่าตนเป็นมากกว่าสิ่งมีชีวิตใดในโลกจะเข้าใจ แม้ความลึกลับน่าพิศวงนี้จะไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจน แต่จิตวิญญาณของผมกลับรับรู้ว่าสิ่งที่เป็นนั้นอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของทั้งสองสิ่ง ไม่มีนักวิทยาศาสตร์หน้าไหนพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ และพระศาสนจักรก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน

แต่ที่แน่ ๆ คือทุกครั้งที่อยู่ใกล้คิมหันต์ ยามได้มองลำคอหนาและไหล่กว้าง ผมค้นพบว่าอยากบรรจงจูบลงบนเส้นเลือด เส้นเอ็นและชีพจรเต้นตุบ มอบสัมผัสที่ทำให้ช่องท้องของเขากระตุกวูบเหมือนที่ผมเป็นเสมอ ให้มันเย้ายวนมากพอที่คิมหันต์อยากจะจูงมือผมไปยังเตียงนอน ถอดเสื้อผ้าของผมออกและโยนทิ้งไปเสีย เพราะไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับร่างกายของผมซึ่งพร้อมสุดขีดให้เขาทำตามอำเภอใจ หรือกระทั่งให้เขารุกล้ำสอดใส่เข้ามาอย่างไร้ปรานี

กระนั้นส่วนหนึ่งของความคิดผมเองก็ปรารถนาให้คิมหันต์อยู่ใต้ร่างของผมเช่นกัน ร้องคราง บิดเร้าและเกร็งหน้าท้องเป็นจังหวะเมื่อผมมอบการครอบงำอันนุ่มนวลตรงบริเวณอ่อนไหวทุกส่วน ทำให้มันเปียกชุ่มมากพอต่อการสอดใส่ ทุกการขยับและการเคลื่อนไหวจะเป็นไปตามที่เขาร้องขอ ไม่ว่าจะหนักหน่วงพิเศษหรือละมุนละม่อมจนตาลอย ผมสามารถทำให้เขาถึงสวรรค์โดยไม่จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสเลย

หากที่ว่ามาคือองค์ประกอบของผู้ชายทั่วไป ทั้งความปรารถนา การเฝ้ามองและชื่นชมสรีระทรวดทรงในเพศเดียวกัน ผมก็จะยอมรับว่าระหว่างผมกับคิมหันต์เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ถ้าหากนี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็ย่อมหมายความว่าเราแตกต่างกัน

หลังจากจดจ่ออยู่กับภาคผนวคหลายนาทีในที่สุดผมทำเสร็จเรียบร้อย ผมตัดสินใจเดินไปยืดเส้นยืดสายที่หน้าต่างซึ่งอยู่อีกฟากของห้องเรียน ทอดมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าเพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด

แล้วผมก็บังเอิญสบตากับปราการเมื่อหันกลับมา เขากำลังนั่งมองผมจากโต๊ะด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ถ้าจะมีสิ่งใดที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดในตอนนี้ก็คือปราการกับเพื่อน ๆ ของเขานั่นเอง เพราะในใจยังคงหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต

ทว่าแววตาที่มองมานั้นทำให้ผมสมองตื้อ ผมไม่แน่ใจว่าแววตาเป็นประกายนั้นมีนัยอย่างอื่นแอบแฝงหรือไม่เพราะดูเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง อาจเป็นทั้งเรื่องดีและร้ายซึ่งผมเองก็ไม่กล้าคาดเดา

แต่ด้วยความสงสัยผมจึงตัดสินใจทำปากขมุบขมิบเป็นประโยคว่า “มีอะไร”

ปราการกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันกลับไป ตอนนี้เขากำลังเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษเอสี่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรายงานวิชาศาสนา

“มองหาอะไรครับ”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มของปราการเอ่ยขึ้นอย่างไม่เป็นมิตร เขาชื่อว่าธนภูมิ ผู้มีคางแหลมและดวงตากลมโตเหมือนหนูขาดสารอาหาร

ตอนนี้เขาหันไปทางเพื่อน ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ บางคนเช่นชลเทพเงยหน้าขึ้นมองและขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“มาเดินละเมออะไรแถวนี้ครับ เมียมึงนั่งอยู่ทางโน้นนนนน” ธนภูมิพูดแซะอย่างพออกพอใจ จากนั้นเด็กหนุ่มร่างอวบที่มีชื่อว่าตุลธรก็รีบกล่าวสมทบ

“หน้ามึงเท่ดีนะ ไปโดนตีนใครมาว้ะ” พูดจบสองคนนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะดังลั่น

ผมซึ่งยืนฟังอยู่ตรงนั้นได้แต่กำหมัดแน่น อารมณ์เดือดพล่านจนตัวสั่นไปหมด พลางมองหน้าแต่ละคนด้วยสายตาเดียดฉันท์

ทำไมสิ่งที่ออกมาจากปากพวกเขาถึงได้เน่าเฟะขนาดนี้กันนะ ผมควรจะทำอย่างไรดีเพราะขณะนี้ลมหายใจเข้าของผมคือการสาปแช่งให้พวกเขาไปตายซะ ส่วนลมหายใจออกคือผมอยากตะบันหน้าพวกนี้จริง ๆ

“ไอ้ชลมึงน่าจะล่อแม้งให้ยับกว่านี้อีกนะจะได้แก้แค้นให้พวกกูด้วย” ธนภูมิหันไปพูดใกล้ ๆ ชลเทพ “เชี่ย ตูดกูยังเป็นรอยเขียวอยู่เลย”

“เห้ยพวกมึงเงียบ ๆ หน่อยได้เปล่าว้ะกูไม่มีสมาธิทำการบ้าน” สุ้มเสียงของปราการทำให้พวกเราหันไปมองอย่างประหลาดใจ

“เป็นอะไรของมึงว้ะไอ้การ พวกกูก็แค่เล่นขำ ๆ” ตุลธรพูด

“เออ มันก็ไม่ได้เสียงดังขนาดนั้นเปล่าว้ะมึงจะซีเรียสทำไมเนี่ย” เด็กหนุ่มหน้าหนูกล่าวสนับสนุน

แล้วปราการก็เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

“ก็อย่าให้กูเห็นนะว่าพวกมึงสองคนมานั่งปั่นงานหัวฟูตอนใกล้จะส่ง ขอบอกเลยนะว่ากูจะไม่ช่วยเด็ดขาด” เมื่อกล่าวจบเขาก็กลับไปทำการบ้านต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ธนภูมิกับตุลธรมองหน้ากันอย่างเหลอหลา

ขณะเดียวกันฝ่ายชลเทพซึ่งไม่เคยพลาดโอกาสที่จะได้ต่อล้อต่อเถียงทว่าตอนนี้กลับเงียบขรึม สีหน้าบึ้งตึงนั้นไม่อาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สักพักก็ก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อไป ยิ่งทำให้พวกลิ่วล้องงเป็นไก่ตาแตก

เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไรแล้วผมจึงข่มใจเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิมโดยมีเพื่อน ๆ มองดูด้วยสายตาเป็นกังวล โดยเฉพาะตงเปียนซึ่งดูเหมือนสับสนและสงสัยเป็นพิเศษ

หลังจากวันนั้นคิมหันต์ก็มักถามว่าเมื่อไหร่จะเล่าความจริงให้ตงเปียนฟังสักที ผมยอมรับว่าคิดเรื่องนี้ตลอดแต่แค่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ตงเปียนก็น่าจะสงสัยแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาต้องได้ยินที่พวกนั้นพูดในห้องเรียนแน่ ๆ  ผมหวังว่าจะมีเวลาเหมาะเจาะได้อธิบายทุกอย่างก่อนที่เขาจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง

หนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปเข้าค่าย หลังจากทุ่มเทเวลาว่างตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่าน ในที่สุดตงเปียนก็ทำรายงานเสร็จทันเวลาพอดิบพอดี ฉะนั้นช่วงบ่ายวันพุธสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม เราสามคนก็เดินเอางานไปส่งพร้อมกันด้วยความสบายใจ

บรรยากาศในห้องเรียนวันนั้นคึกคักเป็นพิเศษ พวกเราตื่นเต้นกันมากและคุยกันใหญ่ว่าจะไม่ยอมนั่งที่นั่งตอนท้าย ๆ เพราะไม่อยากลงไปดันรถตอนตกหลุม

“พวกเธอไม่ต้องเถียงกันเพราะเขาเปลี่ยนเป็นรถบัสแล้ว” คุณพ่อประเสริฐประกาศให้ได้ยินทั่วทั้งห้องในคาบเรียนวิชาศาสนา “แต่ถ้าใครอยากนั่งสองแถวพ่อก็ไม่ห้ามหรอกนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเราต่างโห่ร้องไชโยด้วยความดีใจ ปกติแล้วรถบัสของสังฆมณฑลจะเอาไว้ใช้เฉพาะเมื่อต้องเดินทางข้ามภูมิภาค ฉะนั้นรถบัสจึงเป็นเหมือนของสูงเกินเอื้อมสำหรับนักเรียนที่นี่เลยก็ว่าได้

“จริงเหรอครับพ่อ! พ่อพูดจริงปะเนี่ย!” เพื่อนคนหนึ่งในห้องร้องถามอย่างดีใจ

“ก็จริงนะสิ พ่อโกหกเธอได้เหรอ” คุณพ่อว่าและยิ้มตามไปด้วย

“ทำไมถึงเปลี่ยนละครับ” คิมหันต์ยกมือถาม สีหน้าแอบผิดหวังเล็กน้อย

“รถเขาไม่ว่างพวกพ่อก็เลยต้องโทรไปขอกับทางสังฆมณฑล”

“มึงจะอยากรู้ไปทำไมว้ะไอ้คิม แค่ไม่ต้องนั่งสองแถวก็ดีโคตร ๆ แล้ว” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังร้องบอก

คิมหันต์พยักหน้า แต่ผมรู้ว่าเขาน่าจะยังอยากเดินทางด้วยรถสองแถวมากกว่าอยู่ดี

ตกเย็นหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมนำเสื้อผ้ามาพับใส่กระเป๋าเป้พร้อมกับฟังเพลงภาษาอิตาลีไปด้วยอารมณ์ดี โดยมีคิมหันต์ร้องคลอตามอย่างสบายใจขณะยืนทาแป้งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า

เมื่อเปิดลิ้นชักเพื่อหากางเกงชั้นในผมจึงนึกขึ้นได้ว่าตากผ้าไว้บนดาดฟ้า

“เดี๋ยวเราขึ้นไปเก็บผ้าก่อนนะ” ผมบอกคิมหันต์

“ไปด้วย ๆ เราก็ตากผ้าไว้เหมือนกัน”

ชายหนุ่มรีบสวมเสื้อฮาวายสีฟ้าสดใสแล้วจึงออกไปหยิบตะกร้าผ้าของเราซึ่งวางอยู่ที่ระเบียง ไม่นานเราก็ออกจากห้องและเดินตรงไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นดาดฟ้า

ผมกับคิมหันต์แยกย้ายไปคนละฝั่งเพื่อเก็บเสื้อผ้า แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ราวตากผ้าของตัวเองสายตาก็เหลียวไปเห็นเงาร่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังผ้าปูเตียงจากราวตากข้าง ๆ  ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไรมากจนกระทั่งมันถูกดึงลงและเผยให้เห็นบุคคลที่อยู่ตรงนั้น

ผมตัวแข็งทื่อ ปราการเองก็ชะงัก เขายืนถือตะกร้าผ้าด้วยสีหน้าละล่ำละลักขณะจ้องมาที่ผม

“เดี๋ยวก่อน”

เขาพุ่งเข้าคว้าแขนซ้ายของผมเมื่อเห็นว่ากำลังจะเดินจากไป ผมหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ เขาดูท่าทางทำอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง

“มีอะไร” ผมถามเสียงแข็ง

เขาวางตะกร้าผ้าลง

“เอ่อ...แผลมึงเป็นไงมั้ง” ปราการมองที่คอและปากของผมสลับกัน

ผมนิ่งเงียบ รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น

“เจ็บมากไหม”

“...” ผมขมวดคิ้ว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ปราการถึงนึกสนใจขึ้นมาว่าผมจะรู้สึกอย่างไรในเมื่อเขากับชลเทพร่วมมือกันซ้อมผมเกือบตายคาโรงเก็บของ ผมคงสะบัดแขนและเดินจากไปอย่างโกรธเคืองถ้าไม่ใช่เพราะประกายวาววับในดวงตาสีเข้มคู่นั้น มันดูเศร้าหมองจนหัวใจของผมเต้นช้าลง

สักพักเขาก็ปล่อยมือจากแขนเมื่อผมออกแรงขยับ

“รันฟังกูก่อนนะ” ปราการขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย หน้าซีดเซียวเหมือนคนจะเป็นลม “กูไม่ได้ตั้งใจ กูไม่คิด...ไม่คิดว่าไอ้ชลมันจะทำขนาดนั้น”

ความสับสนรุมทึ้งสมองของผมอย่างหนัก ปราการคงรู้ว่าผมไม่เชื่อจึงรีบกล่าวเสริม

“กูรู้ว่ามึงไม่เชื่อ แต่กูไม่ได้โกหกนะ กูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ  ก...กู...กูขอโทษ”

สิ้นสุดประโยคนั้นผมกับเขาก็เงียบกันไป แม้จะเป็นความเงียบที่สุดแสนจะอึดอัดแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมบีบมือตัวเองแน่น หลุบสายตามองปลายเท้าขณะครุ่นคิดพิจารณาถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

ผมควรรับคำขอโทษจากเขาดีไหม ยังมีอะไรที่ผมต้องการมากไปกว่ามิตรภาพหรือเปล่า

ผมยอมรับว่ายังคงโกรธและผิดหวังในตัวปราการจนไม่อยากมองหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่การที่เขากล้าเอ่ยคำขอโทษออกมาต่อหน้าก็ทำให้หัวใจของผมอ่อนโยนลง ทิฐิในใจที่เป็นเหมือนควันสีดำก็เริ่มเจือจาง

“เออ กูเชื่อมึง” ผมบอกพร้อมรีบเก็บผ้าใส่ตะกร้า “งั้นกูไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อนสิ” ปราการร้องขึ้นและเข้ามายืนดักหน้า “กูขอถามหน่อยว่า...คือ...มึงไม่ได้เป็นคนบอกพ่อพลเรื่องวันนั้นใช่ไหม”

พูดจบปราการก็กัดริมฝีปากและมองต่ำ ส่วนผมหน้าชาและเหมือนถูกกระชากกลับไปเมื่อตอนเด็กสมัยที่ยังใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งตอนนี้ผมอยากทำแบบนั้นอีกครั้งเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าผมเจ็บปวดแค่ไหนที่เขาไม่เชื่อใจผม แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอย่างข่มอารมณ์

ผมถอนหายใจและจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง

“มึงกับกูรู้จักกันมาตั้งแต่เจ็ดขวบนะ นานขนาดนี้มึงยังรู้จักกูไม่มากพออีกเหรอ ลืมไปแล้วเหรอว่ากูก็เคยช่วยพูดกับพ่อพลตอนที่ไอ้ชลถูกจับได้ว่าขโมยเงินวัด” ผมพูดอย่างฉุน ๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครแถวนี้ได้ยิน “ถึงไอ้ชลจะทำตัวเหลวแหลกแต่มันก็เป็นเพื่อนกูนะ กูไม่กล้าทำร้ายมันขนาดนั้นหรอก อีกอย่างกูก็สงสารพ่อแม่มันด้วย”

ปราการเงยหน้าขึ้นและเม้มปากเป็นเส้นตรง ผมสังเกตว่าเขากำลังกำมือแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

“ทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่แรก ทำไมถึงปล่อยให้พวกกูเข้าใจผิด ทำไม--”

“กูมีเหตุผลของกู” ผมรีบพูดตัดบท

ปราการจ้องมองผม ดวงตาสีเข้มนั้นแดงก่ำและมีน้ำใสเอ่อคลอ ร่างกายของผมปวดร้าวราวกับกำลังจะปริแตก

“เหตุผลอะไร” ผมถามเสียงแตกพล่า

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ  ลังเลที่จะบอกความจริงให้อีกฝ่ายรับรู้เพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดออกมาหรือไม่ แต่ว่า...

“ก็กูกลัวพวกมึงจะไปเล่นงานไอ้ตงน่ะสิ! กูปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกไปปราการก็ขมวดคิ้วและส่ายหน้า

“กูไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“ถึงมึงไม่ทำแต่กูจะรู้ได้ไงว่าไอ้ชลจะคิดเหมือนกับมึง”

“...” เขานิ่งเงียบ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความทรมานแสนสาหัส ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นปราการร้องไห้ แต่แค่ไม่คิดว่าเขาจะดูเปราะบางราวกับคนหัวใจสลายเช่นนี้ เป็นมุมมองใหม่ที่ผมเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ปราการคงเสียใจมากจริง ๆ จนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

แม้จะไม่เรื่องถนัดแต่ผมก็ยื่นมือขวาไปจับไหล่เขาไว้เพื่อช่วยปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องเลย” ผมบอกอย่างอ่อนโยน “เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้น”

ชายหนุ่มสะอื้นไห้จนไหล่สั่น ผมถึงขนาดต้องกัดริมฝีปากเพื่อสะกดกั้นอารมณ์อ่อนไหวภายในทรวงอก สักพักเขาก็พยักหน้าและรีบซับน้ำตาด้วยแขนเสื้อ

“มึงยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า กูมียานะ” ปราการถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้ทว่าสีหน้าดูสดใสขึ้นมาเท่าตัว

“กูไม่เป็นไร แผลกูใกล้หายดีแล้ว” ผมตอบยิ้ม ๆ  รู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็แสดงความรับผิดชอบบ้าง

ขณะที่เราเก้กังว่าจะพูดอะไรต่อคิมหันต์ก็เดินเข้ามาพอดี เขามองผมกับปราการด้วยท่าทีของคนที่กำลังสงสัย จากนั้นก็วางตะกร้าลงข้าง ๆ

“มีอะไรกันหรือเปล่า” เขาถามลอย ๆ แบบไม่เจาะจง

ผมกับปราการมองตากันเพราะไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร และแล้วปราการก็เอ่ยขึ้น

“คิม มึงรู้ความจริงทั้งหมดนี่ใช่ไหม ทำไมมึงถึงไม่บอกพวกกูว้ะ”

คิมหันต์เหลือบผมเป็นเชิงขอคำอธิบาย สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เข้าใจกับสถานการณ์นี้

“มึงไม่ต้องไปว่าเพื่อนหรอกเพราะกูเป็นคนขอร้องคิมมันเอง” ผมบอก “ก็อยากที่บอกไปนั่นแหละ กูทำไปเพราะไม่อยากให้ไอ้ตงมันเดือดร้อน”

ปราการมองผมกับคิมหันต์อย่างหนักใจ

“แต่มึงก็น่าจะบอกอะไรพวกกูบ้าง”

“กูขอโทษ” คิมหันต์กล่าวอย่างลำบากใจไม่แพ้กัน “กูก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกแต่กูสัญญากับรันเอาไว้”

ปราการส่ายหน้า

“พวกมึงไม่ผิดหรอก กูต่างหากที่ต้องขอโทษ ถ้ากูคิดจะห้ามไอ้ชลเอาไว้เรื่องบ้า ๆ แบบนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น” เขาชำเลืองมาทางผม “ไอ้รัน ไอ้คิม ยกโทษให้กูด้วยนะหรือจะให้กูไปเล่าความจริงกับพ่อพลก็ยอม”

คิมหันต์กับผมสบตากัน

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร มึงหยุดคิดมากได้แล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่มึงต้องสัญญากับกูว่าจะไม่ช่วยไอ้ชลทำเรื่องเหลวไหลอีกเข้าใจไหม”

ปราการพยักหน้าและยิ้มให้แทนคำตอบ

แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นไหม แต่ ณ ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะให้โอกาสปราการได้แก้ตัวอีกครั้ง เพราะส่วนหนึ่งของใจยังคงโหยหาชิ้นส่วนมิตรภาพที่สูญหายไปนั้นตลอดเวลา

แล้วจากนั้นเราทั้งสามก็ย้ายไปนั่งปรับความเข้าใจที่ริมระเบียงซึ่งมีเก้าอี้วางเรียงไว้ โดยมีสายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านขณะทอดมองพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยต่ำอย่างโล่งใจ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาประทานความเข้าใจอันแสนอบอุ่นดังเช่นแสงตะวันแก่พวกเรา

ชั่วขณะหนึ่งผมอยากถามปราการว่าอะไรคือเหตุผลที่เขาย้ายห้องและตีตัวออกห่างจากผม แต่ผมก็ตัดสินใจเก็บคำถามนั้นเอาไว้และคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้ารอไว้ถามในโอกาสหน้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา