คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.37K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 00 02
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 02
หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น พฤกษ์ก็เริ่มคุ้นชินกับช่วงเวลาในยุคนี้มากกว่าวันแรกที่ได้สติ เขาสามารถใช้ชีวิตเป็นตัวเองในวัยยี่สิบได้อย่างแนบเนียนแม้ว่าอายุจริง ๆ ของเขาในกาลก่อนจะล่วงเข้าสู่สามสิบห้าไปแล้วก็ตาม
นอกจากเรื่องบางเรื่องในอดีตที่เปลี่ยนไป แต่สิบกว่าปีที่แล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวพฤกษ์เป็นอย่างไร บัดนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ความห่างเหิน เมินเฉยและไม่ใคร่สนใจผู้อื่นของเขาก็ยังคงมีให้เห็นอยู่
เขาควรต้องทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า หรือควรปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ อย่างนี้ดี?
พฤกษ์ถอนใจ เขามองตนเองในกระจกห้องนอน ปรากฏรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหน้าตานุ่มนวลติดจะไร้อารมณ์ ผิวกายขาวเนียนสะอาดสะอ้าน แม้จะรู้สึกกระดากอยู่ไม่น้อยที่อายุขนาดนี้แล้วยังต้องกลับมาเรียนหนังสืออีก แต่ก็กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤกษ์ที่อยู่ในชุดนักศึกษานั้นดูน่าดึงดูดใจผู้คนขนาดไหน
ชายหนุ่มสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะหยิบตลับแว่นสายตาและนำขึ้นมาสวมไว้ที่ใบหน้า พฤกษ์สายตาสั้นมาตั้งแต่มัธยม เขาจำได้ว่าตนเองตัดสินใจทำเลสิกก็ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปีสองเข้าไปแล้ว
พอมองดูในกระจกอีกครา สำหรับคนอื่น แว่นสายตานั้นมักจะบดบังความงดงามของคนแต่สำหรับพฤกษ์แล้ว แว่นตาก็ไม่ต่างอะไรเลยกับเครื่องประดับสักชิ้น ที่งดงามอยู่แล้วก็เฉิดฉาย ดวงหน้าที่นุ่มนวลอยู่แล้วก็ล่อลวงใจขึ้นไปอีกเมื่อแววตาไร้อารมณ์นั้นถูกแว่นสายตาควบคุมให้อยู่ในกรอบ
พฤกษ์หยิบนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาใส่ แตะน้ำหอมที่ซอกคอและข้อพับก่อนจะหิ้วกระเป๋าสะพายข้างสีดำติดมือเป็นอย่างสุดท้ายก่อนออกจากห้อง
ระหว่างเดินไปห้องอาหาร เขาได้ยินพวกเด็ก ๆ พูดคุยกันลอยแว่วออกมา ฟังจากน้ำเสียงคงเป็นเรื่องที่สนุกน่าดู แต่ในตอนที่พฤกษ์ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหาร อินทรชิต พงพี และมาลีวัลย์ต่างก็พร้อมใจกันหยุดคุย เด็กทั้งสามก้มหน้ารับประทานข้าวต้มอย่างเงียบเชียบและพึงรักษามารยาทที่สุดเพื่อไม่ให้คุณพฤกษ์ตำหนิตนได้ ชายหนุ่มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แม่บ้านปรี่เข้ามาประชิดพร้อมกับจัดแจงตักข้าวต้มหมูสับใส่ถ้วยให้เขา พฤกษ์หยิบช้อนคนข้าวสวยเหลวให้คลายร้อน เมื่ออุ่นกำลังดีจึงตักขึ้นรับประทานเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
เวลาไม่นาน พงพีและมาลีวัลย์รีบจ้วงกินจนเสร็จ เด็กชายหญิงทั้งคู่ค่อย ๆ วางช้อนลงและลุกออกไปเงียบ ๆ เพราะกลัวเสียงกระทบกันของเครื่องเซรามิกจะไปรบกวนการรับประทานอาหารจนคุณเขาหงุดหงิด ไม่มีใครในบ้านอยากให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดเพราะเวลานั้นคุณพฤกษ์จะน่ากลัวและโมโหร้ายเหมือนพายุสลาตัน พงพีเคยถูกปาข้าวของใส่ส่วนมาลีวัลย์เองก็เคยถูกคุณพฤกษ์หยิกจนช้ำ สาหัสถึงขนาดที่ว่าเจ้าสัวพนาหรือแม่พลอยเองก็รับมือไม่อยู่
เมื่อทั้งโต๊ะเหลือเพียงเขาและอินทรชิต พฤกษ์จึงได้มีโอกาสสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายยังคงมีรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นอยู่ถึงแม้ว่าจะจางลงไปมากก็ตาม ความรู้สึกหนึ่งคอยสะกิดใจพฤกษ์มาหลายครั้งนับจากวันแรกที่รู้ตัวว่าย้อนอดีตกลับมา
ความรุนแรงของอินทรชิตในวัยเด็กที่เขาเป็นกระทำนั้นอาจเป็นสาเหตุแรกเริ่มที่นำพาพฤกษ์ไปสู่ความตายก็ได้
ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่พฤกษ์จะทำอย่างไรดี
“เฮ้อ..” เสียงถอนใจโดยแรง เรียกให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่สะดุ้งตัวขึ้นและแอบชำเลืองมองเขาผ่านหางตา
ร่างสูงที่นั่งหลังตรงรับประทานอาหารอยู่นั้นช่างโปร่งบางดูสะโอดสะอง ไม่ได้กำยำหรือผอมเกร็งจนเกินไป ริมฝีปากแดงเรื่อ แก้มขาวจนเห็นเลือดฝาด คิ้วอ่อนโค้งรับกับใบหน้านุ่มนวลชวนลุ่มหลง ไม่ว่ามองมุมไหนคุณพฤกษ์ก็ดูหล่อเหลาและสง่างามอยู่ตลอดเวลา
คนแบบนั้นจะมีวันชายตาแลเขาสักครั้งไหมหนอ..
หลังรับประทานอาหารเสร็จดี พฤกษ์จึงเดินออกมาหน้าคฤหาสน์เพื่อขับรถยนต์ไปเรียนโดยมีอินทรชิตเดินตามหลังห่างไปสองช่วงแขน ชายหนุ่มถอดสลีปเปอร์ออกไว้หน้าประตูก่อนจะรับรองเท้าหนังขัดมันวาวที่อินทรชิตอาสารับจากแม่บ้านมาวางตรงหน้าเขาอีกที
พฤกษ์มุ่นคิ้ว พูดด้วยสีหน้าราบเรียบไม่ใส่อารมณ์
“ทีหลังไม่ต้องทำอีกนะ” อินทรชิตใจหายวาบ เกร็งตัวขึ้นเพราะกลัวถูกคุณเขาตำหนิ พฤกษ์ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็ถอนใจ พยายามอย่างยิ่งยวดในการระงับความหงุดหงิดตามนิสัยเจ้าอารมณ์ของตนเอง พูดว่า “หน้าที่คนงานก็ให้เขาทำไป แกอย่าไปแย่งงานเขาอีก ไม่อย่างนั้นจะมีเงินเดือนไปทำไม”
“ครับ” เด็กชายตอบเสียงเบาหวิว ในใจพลันโล่งไปเพราะคิดว่าจะถูกคุณเขาใส่อารมณ์แต่เช้าเสียแล้ว พฤกษ์ที่ใส่รองเท้าเสร็จจึงเดินผ่านหน้าเด็กหนุ่ม ทำให้กลิ่นน้ำหอมอ่อนโยนกำจายออกมา อินทรชิตนิ่งค้างไป ก่อนจะสูดกลิ่นอายนั้นเอาไว้แล้วเดินตามหลังออกมาเป็นคนสุดท้ายด้วยสีหน้าเบิกบาน
พฤกษ์เดินตรงไปที่รถเบนซ์สีดำของตนเองซึ่งจอดข้างโตโยต้า แอลฟาร์ด รถตู้โดยสารที่เอาไว้ใช้รับส่งเด็ก ๆ ในบ้านไปโรงเรียน ขณะนั้นเองพฤกษ์ก็สบเข้ากับพงพีและมาลีวัลย์ที่ยืนจ้องมาเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ถ้าหากเป็นกาลก่อนเขาคงรีบขึ้นรถและขับออกไปทันทีโดยไม่ใจพวกเด็ก ๆ ที่ยืนตาใสถือกระเป๋าจาคอปรออยู่แบบนี้ ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่
เขาควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเสียตั้งแต่ตอนนี้
ก่อนจะสายไป
ร่างโปร่งเดินเข้ามาใกล้ พฤกษ์ชะลอความเร็วลงเปลี่ยนมาเดินเชื่องช้าไม่รีบเร่งเหมือนทุกวัน พอใกล้ถึงตัวรถ เสียงเล็ก ๆ ของพวกเด็กน้อยในชุดนักเรียนก็ดังขึ้น
“คุณพฤกษ์ สวัสดีครับ” พงพีอายุสิบสามพนมมือ
“มะลิไปเรียนก่อนนะคะคุณพฤกษ์” มาลีวัลย์น้องสาวอายุสิบสองสมทบตามมา
“คุณพฤกษ์ ..ขับรถดี ๆ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ปิดท้ายด้วยอินทรชิตที่เดินตามหลังมา เด็กหนุ่มวัยสิบห้ายิ้มกว้างแม้จะรู้อยู่แล้วว่าคงไม่อยู่ในสายตาคุณเขา ทว่าวันนี้อีกฝ่ายกลับแปลกไปจากทุกวันเมื่อท่าทีที่เคยเมินเฉยต่อคำทักทายยามเช้า วันนี้คุณพฤกษ์กลับหันมาพยักหน้าให้พวกเด็ก ๆ ก่อนจะขับรถออกไป
คุณเขาออกไปได้เกือบสามนาทีแล้ว แต่เหล่าเด็กนักเรียนยังยืนอ้ำอึ้งกับสิ่งที่ประสบเมื่อครู่ไม่หาย เป็นมาลีวัลย์ที่ได้สติก่อนใคร สาวน้อยเปียยาวผูกหางเปียด้วยริบบิ้นสีขาวจึงเอ่ยกับพี่ชายทั้งสอง
“เมื่อกี้คือคุณพฤกษ์ตัวจริงหรือเปล่าคะพี่พีร์ พี่อินทร์”
พงพีไม่มีคำตอบให้น้องสาวเพราะเด็กชายเองยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ ส่วนอินทรชิตได้แต่ยิ้มบาง วันนี้คงเป็นวันแรกที่เด็กหนุ่มไปโรงเรียนอย่างมีความสุข
พฤกษ์มีเรียนช่วงสิบโมงถึงเที่ยง ตารางช่วงบ่ายว่างยาว แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เขาเลยมาสั่งของว่างในคาเฟ่ใกล้ ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือหนึ่งเล่มจากชั้นวางแนะนำติดมือมานั่งอ่านฆ่าเวลาเล่นระหว่างรอเรียน พนักงานพาร์ทไทม์ที่เป็นนักศึกษาคนหนึ่งยกออร์เดอร์มาเสิร์ฟ พฤกษ์ไม่ได้ใคร่สนใจเธอนักแต่ก็เห็นแววตาที่เธอจ้องมองมาเขาอยู่ตลอด จนกระทั่งอีกฝ่ายยกของหวานมาเสิร์ฟที่โต๊ะเป็นรอบที่สอง เธอจึงออกปาก
“พี่พฤกษ์ไม่มีเรียนหรือคะ” พฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อ เรื่องของม่าเหมี่ยว* ที่อ่านได้แค่สองบทในมือขึ้น คิ้วเรียวสวยมุ่นเข้าหากันเป็นปมเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสารบบของพฤกษ์ในกาลก่อนเลย
อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก ใส่ชุดนักศึกษาตัวเก่าที่เริ่มเหลืองตัดกับผิวขาวซีด สวมแว่นตาหนาเตอะท่าทางนิยมตั้งใจเรียน หากไม่มีรอยปรุจากสิว ความน่ารักก็คงเฉิดฉายออกมาจนสะดุดตาผู้คน พฤกษ์เพ่งพิศคนตรงหน้าครู่หนึ่งก็รู้สึกนึกถึงใครบางคนที่เคยรู้จัก แต่นึกเท่าไหร่เขาก็นึกไม่ออก เขาดันแว่นตาของตนขึ้นสันจมูก พูดว่า
“ตอนนี้ไม่มีครับ” แล้วก้มลงอ่านเรื่องของม่าเหมี่ยวต่อ กลับกันที่อีกฝ่ายโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ดีเลย” เธอยิ้มแป้น
“รบกวนเวลาพี่พฤกษ์หน่อยได้ไหม”
พูดก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงตรงข้ามทันที พฤกษ์ชะงัก ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนกับท่าทางสนิทสนมที่เธอมีต่อเขา ..หรือในกาลนี้ ผู้หญิงคนนี้คือคนรู้จักของเขา พฤกษ์นึกย้อนกลับไปช่วงมหาลัย แต่ไม่มีความทรงจำไหนเลยที่บ่งชี้ว่าตนเองสนิทสนมกับเพศตรงข้ามในช่วงปีสอง
อดีตเปลี่ยนไปอีกแล้วหรือ?
“มีอะไรหรือครับ” พฤกษ์ตัดสินใจถามออกไป
“เหมาเหมาอยากให้พี่พฤกษ์ช่วยติวให้หน่อยค่ะ”
เหมาเหมา..
“เอ่อ คือเหมาเหมาขอโทษพี่พฤกษ์ด้วยนะคะที่วันนั้นไปเลี้ยงสายรหัสไม่ได้ พอดีต้องช่วยป๊าทำงาน ไม่มีเวลาว่างเลย”
“หลี่เหมาเหมา?” พฤกษ์ไม่ได้ฟังที่เธอพูด คล้ายว่าเขากำลังเหม่อเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา พฤกษ์จับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
“ห้ะ คะ? เรียกหรือคะ? ”
“นี่มัน ..อะไรกัน ทำไมเธอ” พฤกษ์พูดจบเพียงเท่านั้นก่อนจะยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ หลี่เหมาเหมาเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่เกาแก้มตัวเอง มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่รหัสอย่างใคร่รู้
ใครจะคิด ...กาลเวลากำลังเล่นตลกกับเขาหรืออย่างไรกัน
แค่เรื่องฉัตรตะวันกลับมาจากความตายก็ทำเอาสติพฤกษ์ตุปัดตุเป๋อยู่หลายวัน มาวันนี้เลขาคนสนิทของเขาก็ยังมาเป็นน้องรหัสสมัยเรียนอีกงั้นหรือ!!
หลี่เหมาเหมาจากกาลก่อน .. คือหญิงสาวลูกครึ่งจีนที่สวยสะคราญ มีหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวของเขา พฤกษ์รู้จักกับอีกฝ่ายในตอนที่เรียนจบและเริ่มมาทำงานในบริษัทใหม่ ๆ เจ้าสัวพนาผู้เป็นพ่อไว้ใจเธอให้มาดูแลลูกชายคนโตด้วยเพราะประสบการณ์ทำงานที่มีมากกว่าและด้วยอายุที่ห่างกันเพียงไม่กี่ปี เลขาหลี่นับว่าเป็นผู้ช่วยและเป็นมิตรแท้ที่ดีของเขาอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ พฤกษ์ไม่ค่อยใคร่รู้เรื่องส่วนตัวหรือภูมิหลังของเลขาตัวเองมากนักนอกจากลักษณะนิสัยที่ตัวเขารู้ดีในระดับที่เรียกว่าสนิทสนมกัน เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนขยันทำงาน รอบคอบ รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยบ่นให้พฤกษ์ได้ยิน รู้อีกว่าเธอสามารถจัดการอารมณ์ส่วนตัวเมื่อไม่พอใจและคอยระงับอารมณ์โมโหร้ายของพฤกษ์ให้สงบลงได้อย่างดีเยี่ยม
ในตอนที่อัคราเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตและคอยปั่นหัวเขาเรื่องอินทรชิตก็มีเพียงหลี่เหมาเหมาที่คอยเตือนสติให้พฤกษ์ฉุกคิดหรือสะกิดใจอยู่เสมอ
เธอเป็นเพียงไม่กี่คนที่หวังดีต่อเขาโดยเนื้อแท้และไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่
“เล..” พฤกษ์ชั่งใจ “เหมาเหมา” เขาเรียกพลางมองหน้าเธอลึกล้ำ ใบหน้าขาวใสที่เปื้อนไปด้วยรอยสิวและคราบไขมันรวมไปถึงแว่นตาหนาเตอะนั่นทำให้โครงหน้าที่แท้จริงของหญิงสาวถูกบดบัง แต่หากพฤกษ์เพ่งพิศดูโดยละเอียดแล้วเธอคนนี้ก็คือหลี่เหมาเหมา เลขาคนเก่งของเขาในอนาคตไม่ผิดแน่
“พี่พฤกษ์หน้าซีดจัง ไหวไหมคะ”
“ไหว ฉันไหว” พฤกษ์เปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนตัวเสียใหม่ นั่นทำให้น้องรหัสแปลกใจเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่เขายังทำราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่ทั้งคู่มีสัมพันธ์ในเชิงสายรหัสอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตาม เดิมทีพี่รหัสของเขาก็มักจะใช้สรรพนามบุรุษแทนตัวต่างไปจากตนเองและคนอื่นในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรแน่นะคะ”
“เธอจะให้ฉันติวอะไร” พฤกษ์วกเข้าสู่บทสนทนาที่ยังคงค้างเอาไว้ก่อนหน้า หลี่เหมาเหมาตาเป็นประกายเพราะไม่คิดว่าพี่รหัสที่ท่าทางเชิดหยิ่งและโลกส่วนตัวสูงจะยอมยื่นมือมาช่วยเหลือตนโดยง่ายเหมือนพี่รหัสคนอื่น ๆ
“พี่ พี่จะติวให้จริง ๆ หรือคะ” หลี่เหมาเหมาทวนซ้ำท่าทีลุกลี้ลุกลน พฤกษ์จึงเลิกคิ้ว พูดว่า
“เธอเป็นน้องรหัสฉันนี่ ทำอย่างกับมันแปลกนัก”
“แปลกจริง ๆ ค่ะ” หลี่เหมาเหมายิ้มหงอย “ปกติเหมาเหมาจะถูกพี่พฤกษ์เมินใส่ตลอดเลย เดินสวนกันก็ไม่เคยมอง เหมาเหมาทักก็ไม่หัน ยกมือไหว้ก็เดินผ่านเหมือนเหมาเหมาเป็นตัวเชื้อโรคเลย”
พฤกษ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น รู้สึกร้อนในอกพิกลและอธิบายไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เพื่อน ๆ ในเอกบอกว่าพี่พฤกษ์จะคบแต่กับคนที่เท่าเทียมกัน ไม่สุงสิงกับคนแบบเหมาเหมา ..คนจน ๆ ”
“...”
“เหมาเหมาก็เลยเดาว่าพี่พฤกษ์คงไม่อยากมีเหมาเหมาเป็นน้องรหัส ที่ไม่ได้ไปเลี้ยงสายรหัสคราวก่อนนอกจากเหตุผลที่ต้องช่วยงานป๊า เหมาเหมาก็ไม่อยากทำให้พี่รู้สึกแย่เพราะเหมาเหมากลัวว่าไปแล้วจะทำลายบรรยากาศ”
เขาเผลอกลั้นหายใจ
“ทุกคนในสายรหัสมีแต่คนรวย ๆ กันทั้งนั้น เทียบกับเหมาเหมาแล้วเหมือนอยู่คนละโลกกันเลย..”
“หลี่เหมาเหมา” พฤกษ์เรียกเธอแผ่วเบา เขารู้สึกผิดหวังกับตัวเองในกาลนี้อย่างรุนแรงที่ได้กระทำหยามเหยียดน้ำใจต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรแท้ของเขาในกาลก่อน
พฤกษ์รู้ตัวเองเสมอว่าเป็นคนใจร้ายและชอบดูถูกดูแคลนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เขาไม่เคยคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะตัวเขาในอนาคตย้อนกลับสู่อดีตเลยทำให้เรื่องราวในกาลนี้ไม่ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น
เขาทำอะไรลงไป ..ไม่ เขาไม่ได้เป็นคนทำเสียหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างในกาลนี้มันเปลี่ยนไปเพราะพฤกษ์เข้าไปแทรกแซงกาลเวลาก็จริง แต่คนที่อยู่ในกาลนี้ไม่ใช่ตัวเขาที่อยู่ตรงหน้าหลี่เหมาเหมาตอนนี้ แม้จะเป็นคนเดียวกันและอาจจะมีจิตวิญญาณเชื่อมโยงกัน แต่เขาในตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้กระทำเสียหน่อย
เมื่อคิดเข้าข้างให้ตนเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ พฤกษ์ก็เรียบเรียงคำพูดใหม่ โดยในทีแรก เขากำลังคิดหาคำพูดมากมายมาขอโทษหลี่เหมาเหมาในสิ่งที่กระทำลงไปโดยเจตนาแต่เมื่อตัวเขาที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นคนทำ ดังนั้นจึงไร้ประโยชน์ที่เขาจะขอโทษขอโพยแทนผู้อื่น
ถึงแม้ผู้อื่นที่ว่าจะคือตัวของพฤกษ์เองก็ตาม
“เรื่องในอดีตช่างมันไปเสียเถอะ” เขาโบกมือไหวตรงหน้าหลี่เหมาเหมา ตัดฉับได้กระชับและหันมาสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยขอ
“จะให้ช่วยติวตรงไหน”
หลี่เหมาเหมาคล้ายจะตามอะไรผู้ชายที่เป็นพี่รหัสไม่ทันเลยสักอย่าง ตั้งแต่คำพูดและสีหน้าที่แปลกไปตลอดจนถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
หญิงสาวทำหน้าเด๋อด๋าอยู่ค่อนนาที พอเห็นสายตาคู่สวยที่มองมาอย่างคาดคั้นก็รีบกระตือรือร้นวิ่งหายเข้าไปหลังร้านและออกมาพร้อมกับถุงผ้ารักษ์โลกที่พฤกษ์คาดคะเนเอาว่าน้องรหัสคงจะใช้ใส่หนังสือและชีทเรียน
หลี่เหมาเหมาเอาชีทเรียนยับ ๆ พับครึ่งราวสิบกว่าแผ่นที่สอดอยู่หน้าใดหน้าหนึ่งของหนังสือเรียนออกมากางเต็มโต๊ะ พื้นที่ใช้สอยลำบากอยู่เล็กน้อย พฤกษ์จึงจัดการยกขนมและของว่างอื่นลงไปวางบนเก้าอี้อีกตัว
หลี่เหมาเหมาชี้ดินสอกดไปที่จุดหนึ่งของกระดาษ
“ตรงนี้ค่ะ จริง ๆ ไม่ถึงขั้นต้องติวหรอกค่ะ เหมาเหมาไม่อยากรบกวนมาก พี่พฤกษ์ช่วยบอกแนวข้อสอบให้คร่าว ๆ ก็ได้ค่ะ”
“วิชาอะไร” พฤกษ์ดันแว่นตาที่ตกลงขึ้นสันจมูก มองหัวกระดาษ
“intro to business? ใครสอน?”
“อาจารย์ธิติกานต์ค่ะ”
“ปีหนึ่งเทอมหนึ่งวิชานี้แค่ปูพื้นฐานคร่าว ๆ ถ้าอาจารย์ธิติกานต์บอกว่าออกตรงไหนแกก็ออกตรงนั้นจริง ๆ ไม่มีหลอกนักศึกษา เธอไปจำพวกไฟแนนซ์ เอชอาร์ เมเนจเม้นท์ มาร์เก็ตติ้งอะไรพวกนี้ให้ดีแล้วกัน บางทีอาจจะออกโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งไทยและต่างประเทศ ปรนัยออกง่ายถ้าเธอเตรียมตัวมาอย่างดี ทุกอย่างอยู่ในหนังสือ อ่านแล้วทำสรุป เรียนตรงไหนออกตรงนั้น ส่วนอัตนัยก็ออกวน ๆ วิเคราะห์ธุรกิจของเดลล์ อาจารย์ให้หนังสือมาอ่านแล้วใช่ไหม อ่า นั่นแหละ เขียนยาว ๆ เยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน แต่อย่าวกไปวนมา ไอ้ประเภทสิบบรรทัดยังงมโข่งอยู่เรื่องเดิม ๆ แบบนี้ไม่เอานะ เปลืองหมึก อาจารย์แกชอบอ่านความคิดเห็นของนักศึกษานอกจากสูตรสำเร็จที่อยู่ในหนังสือ เธอก็ลองใส่ความคิดเห็นของตัวเองดู”
หลี่เหมาเหมามองริมฝีปากแดงเรื่อที่ขยับไปมา ทั้งใบหน้า แววตาจริงจังตั้งใจผิดกับพี่พฤกษ์ที่เธอรู้จักมาตลอดทั้งเทอม
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพี่พฤกษ์ที่ใคร ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้กลับมีการแสดงออกที่ดูสมกับเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาเหมือนกัน
“ที่พูดไปเข้าใจไหม” เสียงพี่พฤกษ์เอ็ดขึ้นเมื่อเห็นเธอเหม่อ หลี่เหมาเหมากุลีกุจอพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พฤกษ์หยิบดินสอกดเคาะเบา ๆ ที่หน้าผากของน้องรหัสก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่เห็นต้องร้อนรนขนาดนั้น ฉันแค่จะถามว่าเข้าใจหรือเปล่า ถามเพราะถ้าเธอไม่เข้าใจ ฉันจะได้อธิบายให้ฟังอีกรอบอย่างช้า ๆ ไม่ได้จะดุเสียหน่อย”
หลี่เหมาเหมาเม้มปากแน่นจนแก้มพองตัว ลมแอร์จากในร้านพัดพาเอากลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยมาแตะใต้จมูก หลี่เหมาเหมานิ่งค้าง เธอรู้สึกว่ามีลมร้อนออกมาจากหน้าของตนเองอยู่ตลอดเวลา ข้างในอกรู้สึกเต้นรัวชอบกล
เสียงกระดิ่งที่ประตูคาเฟ่ดังขึ้น พร้อมร่างสูงของฉัตรตะวันที่เดินเข้ามา ชายหนุ่มเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ สั่งของทานเล่นพร้อมเครื่องดื่มอย่างละหนึ่งก่อนจะมองหามุมสงบเพื่อนั่งเล่นรอเวลาเข้าเรียนในช่วงสิบโมง
สายตาคมหันไปเห็นใครบางคนที่คุ้นเคย เป็นพฤกษ์ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน อีกฝ่ายยังคงดูดีมีใบหน้านุ่มนวลเช่นเดิมทว่าไม่ได้อยู่คนเดียวแต่กลับมีน้องรหัสที่ร้อยวันพันปีเจ้าตัวไม่เคยใคร่จะใยดีนั่งตาแป๋วอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ อย่างขะมักเขม้นด้วย ฉัตรตะวันเลิกคิ้วอย่างแปลกประหลาดไม่น้อย พลอยให้พนักงานที่อยู่ใกล้ ๆ สังเกตเห็นไปด้วย
“น้องก็ว่าแปลกใช่ไหม” ฉัตรตะวันหันมาหาพนักงานหนุ่มที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ เขาเอียงหน้า ยิ้มตอบ
“แปลกยังไงครับ”
“นักศึกษาคนนั้นเป็นคนดังในมอนะ” ฉัตรตะวันมองไปที่คนดังของมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้กำลังอธิบายอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง ดูแปลกตาอย่างที่เขาว่าไม่ผิด
“รู้สึกจะชื่อพฤกษ์หรืออะไรเนี่ยแหละ ข่าวว่าเป็นพี่รหัสของเหมาเหมามันด้วย แต่เห็นว่าเป็นพวกลูกอีลีทปากร้ายชอบเหยียดชาวบ้านใช่ย่อยเลยไม่ใช่หรือ ปกติก็แทบไม่ยุ่งกับคนอื่นที่ต่ำต้อยกว่าอย่างพวกลูกตาสีตาสา ขนาดกับเหมาเหมาเองมันยังโดนพี่รหัสเมินเสียทุกที แต่วันนี้มาแปลกแฮะ นั่งจับหัวชนกันเสียได้ เอ๊.. หรือคนเขาลือกันผิด ๆ นะ”
ฉัตรตะวันอยากจะพูดอะไรสักอย่าง คล้ายจะหาคำพูดบางอย่างมาปกป้องคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกอีลีทปากร้ายชอบเหยียดชาวบ้าน แต่ก็จนปัญญาเพราะสิ่งที่เขากล่าวหาพฤกษ์นั้นเป็นความจริงทุกประการ
น้ำท่วมปากโดยแท้ ..ฉัตรตะวันได้แต่ส่งยิ้มตอบไม่ได้ร่วมวงสนทนาต่อแต่อย่างใด เขาเดินไปนั่งโต๊ะอีกตัวที่อยู่ไม่ห่างกัน มีพนักกำแพงกั้นแต่ก็สามารถได้ยินเสียงชัดเจน พฤกษ์ไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน อีกฝ่ายสาละวนอยู่กับการขีดเขียนบางอย่างบนชีทเรียนพร้อมอธิบายจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ฉัตรตะวันเท้าคางมองใบหน้านุ่มนวลภายใต้กรอบแว่นของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถละสายตาจากไปไหนได้
รูปร่างโปร่งบางสะโอดสะอง ช่วงไหล่เพรียวบางและลำคอยาวระหงที่โผล่พ้นมาจากเชิ้ตนักศึกษา ฉัตรตะวันเคลื่อนสายตาไปยังมือเรียวขาวที่ตวัดดินสอกดไปมาราวกับจิตรกรเอกกำลังรังสรรค์ผลงานศิลปะ น้ำเสียงนุ่มที่พูดกับหลี่เหมาเหมาอย่างใจเย็นทำให้เขาเคลิบเคลิ้มอยู่ในภวังค์
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่พนักงานนำออร์เดอร์มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นหลี่เหมาเหมารวบหนังสือและชีทเรียนเก็บใส่ถุงผ้าใบเก่า ยกมือไหว้พฤกษ์ไปครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกจากร้าน
ฉัตรตะวันลุกขึ้นยืนทันที
หลี่เหมาเหมาไปแล้ว พฤกษ์มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของอดีตเลขาคนเก่งออกไปจนอีกฝ่ายเดินลับหายไปจากสายตาของเขา
พฤกษ์ยกนาฬิกาขึ้นมาดู ยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงเศษ เขาจึงเรียกพนักงานมาเก็บเครื่องดื่มที่ละลายจนเสียรสเดิมกลับไปและสั่งกาแฟสักแก้วมาแทนที่ พฤกษ์หยิบเรื่องของม่าเหมี่ยวที่ถูกวางทิ้งก่อนหน้าขึ้นมาอ่านต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้อ่าน เก้าอี้ตรงข้ามก็ถูกผู้มาใหม่เลื่อนออก เขาเงยหน้าขึ้น พบรอยยิ้มอ่อนละมุนของฉัตรตะวันเป็นอย่างแรก
“คุณฉัตร” เขาทักทาย
“มานานแล้วหรือ”
“สักพัก คุณล่ะ? ”
“เพิ่งมาเมื่อกี้เอง” ฉัตรตะวันพูดปด แล้วใครกันที่นั่งมองพฤกษ์อยู่ครึ่งชั่วโมงตรงมุมนั้นถ้าไม่ใช่เขา
“เมื่อครู่ผมเห็นคุณพฤกษ์อยู่กับน้องรหัส” เขายิ้ม “ดูแปลกตาดี”
“พูดแบบนี้เป็นคนที่สองแล้วนะ เหมาเหมาก็พูดกับผมแบบนี้” ฉัตรตะวันหัวเราะ อันที่จริงต้องสามคนต่างหาก รวมพนักงานชายหน้าเคาน์เตอร์นั่นด้วยปะไร
“เหมาเหมา? เรียกชื่อกันด้วยหรือเนี่ย ทั้งที่ปกติคุณออกจะไม่ชอบเธอขนาดนั้นแท้ ๆ ”
“ผมบอกอย่างนั้นหรือ” อีกฝ่ายพยักหน้า
“คุณบอกว่าเธอจน ใช้แต่ของเก่า ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย”
“โห..” พฤกษ์หลุดอุทาน “ฟังดูเหมือนคนใจร้ายเลย”
“คุณร้ายจะตาย”
พฤกษ์เลิกคิ้ว จังหวะเดียวกันกับพนักงานยกของที่สั่งมาเสิร์ฟ เขารับกาแฟมาและยกขึ้นจิบ รสขมปร่าทว่าหวานนุ่มช่วยให้ประสาทสัมผัสตื่นตัว ที่ฉัตรตะวันพูดมาพฤกษ์แทบปฏิเสธไม่ได้เพราะไม่ว่าจะกาลนี้หรือกาลก่อนเขาก็เป็นบุคคลที่จัดอยู่ในประเภทที่มีนิสัยแย่กว่าคนอื่นอยู่สิบเท่า แต่กับคนที่หวังดีด้วย พฤกษ์ไม่เคยทำนิสัยแย่หรือกิริยาชั่วใส่เลยสักครั้ง แต่ในกาลนี้เรื่องของหลี่เหมาเหมามันเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นว่าเขาและเธอที่ควรเจอกันตอนที่เรียนจบและทำงานแล้วกลับมาเจอกันในฐานะพี่และน้องรหัสเสียได้
ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเขาในกาลนี้จะปฏิบัติต่อหลี่เหมาเหมาได้ย่ำแย่และไม่ให้เกียรติ เพราะสันดานโดยเนื้อแท้แล้วพฤกษ์เป็นคนที่ไม่ชมชอบผู้ที่ตกต่ำกว่าตนเองอยู่แล้ว
เฮ้อ.. เห็นทีคงต้องปฏิวัติกันเสียใหม่
“ผมถามอะไรหน่อยสิ” ฉัตรตะวันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอและคว่ำโทรศัพท์ลงกับโต๊ะทันที
“ครับ” ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและลักษณะที่เขาเท้าคางมองมาที่พฤกษ์อย่างไม่ปิดบังทำเอาคนถูกจับจ้องหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
“คุณฉัตรรู้อะไรเกี่ยวกับหลี่เหมาเหมาบ้างไหม” พฤกษ์พูดจบก็ยกมือขึ้นเกาจมูก สายตาของเพื่อนสนิทที่มองมามันทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างเสียไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าฉัตรตะวันที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะโตขึ้นมาเขย่าใจผู้คนได้ขนาดนี้
“ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากรู้เรื่องเธอขึ้นมา” แล้วไอ้ท่าทางเก้อเขินนั่นมันคืออะไร ฉัตรตะวันรู้สึกคันยุบยับอยู่ในอก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น กระดกนิ้วชี้เคาะกับโต๊ะนั่นอย่างหัวเสีย
“ไม่ใช่ว่าชอบเธอหรอกนะ คุณพฤกษ์เป็นเกย์ไม่ใช่หรือครับ”
พฤกษ์ยกมือขึ้นแทบจะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่แล้ว ทำไมการที่เขาถามไถ่เรื่องน้องรหัสมันถึงทำให้ฉัตรตะวันคิดในแง่ชู้สาวไปเสียได้
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมยังชอบผู้ชาย”
ฉัตรตะวันโล่งใจทันทีที่ได้ยินประโยค ‘ผมยังชอบผู้ชาย’ ของพฤกษ์ เขาผ่อนคลายลง เปลี่ยนอากัปกิริยามาเป็นท่านั่งสบาย ๆ มุมปากยังคงแย้มยิ้มอบอุ่นเหมือนทุกที
“ผมแค่อยากทำตัวดี ๆ เอ่อ ยังไงดี พัฒนาตัวให้ดีกว่าเมื่อก่อนอะไรแบบนั้น”
“หืม ทำไมหรือครับ หรือมีคนพูดจาแย่ ๆ ใส่อีก ปกติคุณพฤกษ์ไม่สนใจคำพูดใครนี่นา”
“เปล่า ไม่ใช่ ผมไม่แคร์ใครอยู่แล้ว”
“แสดงว่าคุณแคร์เธอ? ”
“ประมาณนั้น” พฤกษ์ลูบจมูก “เหมาเหมาเป็นน้องรหัสผม อย่างน้อยผมก็ควรปฏิบัติกับเธอดี ๆ ”
เพราะว่าเธอเป็นมิตรแท้ที่ดีของพฤกษ์ในกาลก่อนต่างหาก เขาจึงอยากรักษาคนดี ๆ แบบนี้เอาไว้ในชีวิตให้นานเท่านาน ไม่ใช่เพราะหลี่เหมาเหมาเป็นน้องรหัส
“คุณดูเปลี่ยนไปนะ?” พฤกษ์ที่กำลังจิบกาแฟอยู่สะดุ้งเฮือก
“แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าดีใจ”
“คุณพูดเหมือนผมทำตัวชั่วช้ามาตลอด”
“ไม่ผิดหรอก แต่คุณมันตัวแสบ”
“ฮึ” พฤกษ์ทำเสียงขึ้นจมูกและทำปากยื่น ท่าทางนั้นน่าเอ็นดูเสียจนคนมองขบกรามแน่น
“คุณยังไม่ตอบคำถามผมเรื่องหลี่เหมาเหมาเลยนะ”
“อ้อ เรื่องนั้น” ฉัตรตะวันกดเปิดโทรศัพท์ ดูจากเวลาแล้วพวกเขาสามารถนั่งคุยกันตรงนี้ไปได้อีกสักพักใหญ่ ๆ
“เท่าที่ผมรู้ หลี่เหมาเหมาเป็นเด็กค่อนข้างยากจน” พฤกษ์พยักหน้าหงึกหงัก สังเกตจากเสื้อนักศึกษาที่ดูซีดเหลืองเหมือนถูกใช้มานานทั้งที่เธอเพิ่งอยู่ปีหนึ่งก็พอจะรู้ได้ว่าฐานะทางบ้านคงลำบากไม่น้อย
“ที่บ้านเปิดกิจการน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ขาย เป็นหน้าร้านหนึ่งคูหา อาศัยอยู่กับพ่อและน้องเล็ก ๆ อีกหลายคน แต่ด้วยความที่ขยันและผลการเรียนดีเยี่ยม เธอเลยได้ทุนมาเข้ามหาลัยเอกชนชั้นนำ อ้อ เจ้าของทุนก็คือเจ้าสัวพนา คุณพ่อของคุณไงครับ”
“โอ้ โลกกลมเหลือเชื่อแฮะ” ในกาลก่อนหลี่เหมาเหมาก็เป็นเด็กที่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเขาในการส่งเสียเรื่องการเรียนจนเรียนจบและได้มาทำงานเป็นเลขานุการของเจ้าสัวพนาอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะถูกส่งให้มาเป็นเลขานุการของพฤกษ์ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน
อดีตมันเปลี่ยนแปลงและบิดเบี้ยวจนเขาปวดหัวที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวให้ตนเองเข้าใจได้โดยง่าย
“หลี่เหมาเหมาเข้าเรียนที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากแกะดำนั่นแหละ บางทีอาจจะเป็นลูกแกะดำท่ามกลางฝูงหมาป่าก็ได้ คุณพฤกษ์รู้ใช่ไหมว่าในสังคมมหาลัยแบบนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องการเหยียดชนชั้น”
“อ่า..”
“ผมไม่ได้ชอบใส่ใจเรื่องคนอื่นหรอกนะ แต่บางทีก็เห็นเธอถูกเพื่อนแกล้งให้ทำอะไรแปลก ๆ ทุกที ทำให้อับอาย ทำให้ขายหน้ากลางสาธารณะบ้างล่ะ พวกผู้หญิงนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ”
“แย่จัง”
“หือ” ฉัตรตะวันเลิกคิ้ว “คนที่ทำให้มันแย่ก็คือคุณพฤกษ์นะครับ”
อะ ..อ้าว
“คุณฉัตรว่าอย่างไรนะ เพราะผม? ผมไปทำอะไร?”
ฉัตรตะวันหัวเราะน้อย ๆ พูดว่า
“เดิมทีก็มีคนไม่ชอบหลี่เหมาเหมาอยู่แล้วแต่แค่ไม่แสดงออกมากนัก จนเธอมาเป็นน้องรหัสคุณพฤกษ์นั่นแหละ”
“เพราะว่าเป็นน้องรหัสผมงั้นหรือ? ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ
“คุณพฤกษ์เป็นคนดังนี่นา แต่ถ้าคุณคิดว่าเธอถูกแกล้งเพราะมีพี่รหัสหล่อน่ะมันไม่ใช่หรอกนะครับ ที่เธอถูกแกล้งก็เพราะคุณพฤกษ์ทำท่าทีรังเกียจเธอจนออกนอกหน้านั่นแหละ เลยจุดชนวนให้คนอื่นเริ่มรังแกเธอ จากตอนแรกเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างพูดแซว นินทาให้ได้ยิน ทำร้ายร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ ลามไปจนถึงให้เธอไปเป็นเบ๊ ใช้ให้ทำนู่นทำนี่เหมือนแรงงานทั่วไป”
พฤกษ์รู้สึกจุกอยู่ในอกลามไปถึงถึงลำคอ สีหน้าของเขาที่แสดงออกมาตอนนี้ย่ำแย่เอามาก
“แล้ว แล้วคุณไม่เข้าไปห้ามหรือเตือนอะไรเลยหรือ” เขาคิดว่าฉัตรตะวันดูเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีเหตุผลอยู่มาก ไม่แน่ว่าที่อีกฝ่ายรู้เรื่องหลี่เหมาเหมาขนาดนี้คงเป็นเพราะเคยเข้าไปช่วยเหลือในตอนที่เธอถูกรังแกก็เป็นไปได้
“อ๋อ” ฉัตรตะวันกลับหัวเราะขึ้นมา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรเสียอย่างนั้น
“มันไม่ใช่เรื่องของผมนี่นา ทำไมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยล่ะครับ”
“...”
“อีกอย่างคุณพฤกษ์เองก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ผมเข้าไปยุ่งล่ะก็.. ขอยุ่งแค่เรื่องที่ทำให้คุณพฤกษ์เดือดร้อนจะดีกว่า”
เขาถอนหายใจโดยแรง สูญสิ้นศรัทธาจากคนตรงหน้าไปหลายส่วน แล้วในตอนนั้นเอง พฤกษ์ก็ได้ตระหนักถึงความเพิกเฉยขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
มนุษย์หนอ ..ถ้าไม่ใช่เรื่องของตนเองก็จะเพิกเฉยและไม่สนใจเสียดื้อ ๆ ต่อให้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ตาม แต่ถ้าเมื่อใดเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับตนเอง มนุษย์นั้นจะดิ้นเร่าอยู่ไม่เป็นสุขทันที
พฤกษ์ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่านั่งต่อไปก็รั้นจะทำให้บรรยากาศย่ำแย่อยู่ไม่น้อย เขาเสียความรู้สึกกับฉัตรตะวันเรื่องหลี่เหมาเหมาพอสมควร แต่ครั้นจะไปเร่งเร้าให้เพื่อนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่นก็ไม่สมควรอีกเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่ชอบละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผู้อื่นอยู่ดี
“เข้ามอกันเถอะครับ แอร์มันหนาว ผมไม่อยากนั่งที่นี่แล้ว” ฉัตรตะวันทำหน้างุนงงแต่ก็ลุกขึ้นตามออกไปอย่างเชื่อฟัง พฤกษ์เดินไปคืนหนังสือเรื่องของม่าเหมี่ยวที่ชั้นวางก่อนจะยืนมองอย่างเสียดายเพราะตั้งแต่หยิบมาเขาแทบจะไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเสียที ฉัตรตะวันที่สังเกตท่าทีนั้นได้จึงมองตามไปที่ชั้นวาง จดจำปกหนังสือเอาไว้ในสมองทันทีและคิดว่าค่อยแวะมาที่คาเฟ่นี้อีกครั้งในช่วงเลิกเรียน
______________________________________
*สุมาลี. เรื่องของม่าเหมี่ยว. พิมพ์ครั้งที่ 11 . กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2546. 168 หน้า
หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น พฤกษ์ก็เริ่มคุ้นชินกับช่วงเวลาในยุคนี้มากกว่าวันแรกที่ได้สติ เขาสามารถใช้ชีวิตเป็นตัวเองในวัยยี่สิบได้อย่างแนบเนียนแม้ว่าอายุจริง ๆ ของเขาในกาลก่อนจะล่วงเข้าสู่สามสิบห้าไปแล้วก็ตาม
นอกจากเรื่องบางเรื่องในอดีตที่เปลี่ยนไป แต่สิบกว่าปีที่แล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวพฤกษ์เป็นอย่างไร บัดนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ความห่างเหิน เมินเฉยและไม่ใคร่สนใจผู้อื่นของเขาก็ยังคงมีให้เห็นอยู่
เขาควรต้องทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า หรือควรปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ อย่างนี้ดี?
พฤกษ์ถอนใจ เขามองตนเองในกระจกห้องนอน ปรากฏรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหน้าตานุ่มนวลติดจะไร้อารมณ์ ผิวกายขาวเนียนสะอาดสะอ้าน แม้จะรู้สึกกระดากอยู่ไม่น้อยที่อายุขนาดนี้แล้วยังต้องกลับมาเรียนหนังสืออีก แต่ก็กลับปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤกษ์ที่อยู่ในชุดนักศึกษานั้นดูน่าดึงดูดใจผู้คนขนาดไหน
ชายหนุ่มสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะหยิบตลับแว่นสายตาและนำขึ้นมาสวมไว้ที่ใบหน้า พฤกษ์สายตาสั้นมาตั้งแต่มัธยม เขาจำได้ว่าตนเองตัดสินใจทำเลสิกก็ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปีสองเข้าไปแล้ว
พอมองดูในกระจกอีกครา สำหรับคนอื่น แว่นสายตานั้นมักจะบดบังความงดงามของคนแต่สำหรับพฤกษ์แล้ว แว่นตาก็ไม่ต่างอะไรเลยกับเครื่องประดับสักชิ้น ที่งดงามอยู่แล้วก็เฉิดฉาย ดวงหน้าที่นุ่มนวลอยู่แล้วก็ล่อลวงใจขึ้นไปอีกเมื่อแววตาไร้อารมณ์นั้นถูกแว่นสายตาควบคุมให้อยู่ในกรอบ
พฤกษ์หยิบนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาใส่ แตะน้ำหอมที่ซอกคอและข้อพับก่อนจะหิ้วกระเป๋าสะพายข้างสีดำติดมือเป็นอย่างสุดท้ายก่อนออกจากห้อง
ระหว่างเดินไปห้องอาหาร เขาได้ยินพวกเด็ก ๆ พูดคุยกันลอยแว่วออกมา ฟังจากน้ำเสียงคงเป็นเรื่องที่สนุกน่าดู แต่ในตอนที่พฤกษ์ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหาร อินทรชิต พงพี และมาลีวัลย์ต่างก็พร้อมใจกันหยุดคุย เด็กทั้งสามก้มหน้ารับประทานข้าวต้มอย่างเงียบเชียบและพึงรักษามารยาทที่สุดเพื่อไม่ให้คุณพฤกษ์ตำหนิตนได้ ชายหนุ่มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แม่บ้านปรี่เข้ามาประชิดพร้อมกับจัดแจงตักข้าวต้มหมูสับใส่ถ้วยให้เขา พฤกษ์หยิบช้อนคนข้าวสวยเหลวให้คลายร้อน เมื่ออุ่นกำลังดีจึงตักขึ้นรับประทานเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
เวลาไม่นาน พงพีและมาลีวัลย์รีบจ้วงกินจนเสร็จ เด็กชายหญิงทั้งคู่ค่อย ๆ วางช้อนลงและลุกออกไปเงียบ ๆ เพราะกลัวเสียงกระทบกันของเครื่องเซรามิกจะไปรบกวนการรับประทานอาหารจนคุณเขาหงุดหงิด ไม่มีใครในบ้านอยากให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดเพราะเวลานั้นคุณพฤกษ์จะน่ากลัวและโมโหร้ายเหมือนพายุสลาตัน พงพีเคยถูกปาข้าวของใส่ส่วนมาลีวัลย์เองก็เคยถูกคุณพฤกษ์หยิกจนช้ำ สาหัสถึงขนาดที่ว่าเจ้าสัวพนาหรือแม่พลอยเองก็รับมือไม่อยู่
เมื่อทั้งโต๊ะเหลือเพียงเขาและอินทรชิต พฤกษ์จึงได้มีโอกาสสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายยังคงมีรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นอยู่ถึงแม้ว่าจะจางลงไปมากก็ตาม ความรู้สึกหนึ่งคอยสะกิดใจพฤกษ์มาหลายครั้งนับจากวันแรกที่รู้ตัวว่าย้อนอดีตกลับมา
ความรุนแรงของอินทรชิตในวัยเด็กที่เขาเป็นกระทำนั้นอาจเป็นสาเหตุแรกเริ่มที่นำพาพฤกษ์ไปสู่ความตายก็ได้
ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่พฤกษ์จะทำอย่างไรดี
“เฮ้อ..” เสียงถอนใจโดยแรง เรียกให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่สะดุ้งตัวขึ้นและแอบชำเลืองมองเขาผ่านหางตา
ร่างสูงที่นั่งหลังตรงรับประทานอาหารอยู่นั้นช่างโปร่งบางดูสะโอดสะอง ไม่ได้กำยำหรือผอมเกร็งจนเกินไป ริมฝีปากแดงเรื่อ แก้มขาวจนเห็นเลือดฝาด คิ้วอ่อนโค้งรับกับใบหน้านุ่มนวลชวนลุ่มหลง ไม่ว่ามองมุมไหนคุณพฤกษ์ก็ดูหล่อเหลาและสง่างามอยู่ตลอดเวลา
คนแบบนั้นจะมีวันชายตาแลเขาสักครั้งไหมหนอ..
หลังรับประทานอาหารเสร็จดี พฤกษ์จึงเดินออกมาหน้าคฤหาสน์เพื่อขับรถยนต์ไปเรียนโดยมีอินทรชิตเดินตามหลังห่างไปสองช่วงแขน ชายหนุ่มถอดสลีปเปอร์ออกไว้หน้าประตูก่อนจะรับรองเท้าหนังขัดมันวาวที่อินทรชิตอาสารับจากแม่บ้านมาวางตรงหน้าเขาอีกที
พฤกษ์มุ่นคิ้ว พูดด้วยสีหน้าราบเรียบไม่ใส่อารมณ์
“ทีหลังไม่ต้องทำอีกนะ” อินทรชิตใจหายวาบ เกร็งตัวขึ้นเพราะกลัวถูกคุณเขาตำหนิ พฤกษ์ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็ถอนใจ พยายามอย่างยิ่งยวดในการระงับความหงุดหงิดตามนิสัยเจ้าอารมณ์ของตนเอง พูดว่า “หน้าที่คนงานก็ให้เขาทำไป แกอย่าไปแย่งงานเขาอีก ไม่อย่างนั้นจะมีเงินเดือนไปทำไม”
“ครับ” เด็กชายตอบเสียงเบาหวิว ในใจพลันโล่งไปเพราะคิดว่าจะถูกคุณเขาใส่อารมณ์แต่เช้าเสียแล้ว พฤกษ์ที่ใส่รองเท้าเสร็จจึงเดินผ่านหน้าเด็กหนุ่ม ทำให้กลิ่นน้ำหอมอ่อนโยนกำจายออกมา อินทรชิตนิ่งค้างไป ก่อนจะสูดกลิ่นอายนั้นเอาไว้แล้วเดินตามหลังออกมาเป็นคนสุดท้ายด้วยสีหน้าเบิกบาน
พฤกษ์เดินตรงไปที่รถเบนซ์สีดำของตนเองซึ่งจอดข้างโตโยต้า แอลฟาร์ด รถตู้โดยสารที่เอาไว้ใช้รับส่งเด็ก ๆ ในบ้านไปโรงเรียน ขณะนั้นเองพฤกษ์ก็สบเข้ากับพงพีและมาลีวัลย์ที่ยืนจ้องมาเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ถ้าหากเป็นกาลก่อนเขาคงรีบขึ้นรถและขับออกไปทันทีโดยไม่ใจพวกเด็ก ๆ ที่ยืนตาใสถือกระเป๋าจาคอปรออยู่แบบนี้ ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่
เขาควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเสียตั้งแต่ตอนนี้
ก่อนจะสายไป
ร่างโปร่งเดินเข้ามาใกล้ พฤกษ์ชะลอความเร็วลงเปลี่ยนมาเดินเชื่องช้าไม่รีบเร่งเหมือนทุกวัน พอใกล้ถึงตัวรถ เสียงเล็ก ๆ ของพวกเด็กน้อยในชุดนักเรียนก็ดังขึ้น
“คุณพฤกษ์ สวัสดีครับ” พงพีอายุสิบสามพนมมือ
“มะลิไปเรียนก่อนนะคะคุณพฤกษ์” มาลีวัลย์น้องสาวอายุสิบสองสมทบตามมา
“คุณพฤกษ์ ..ขับรถดี ๆ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ปิดท้ายด้วยอินทรชิตที่เดินตามหลังมา เด็กหนุ่มวัยสิบห้ายิ้มกว้างแม้จะรู้อยู่แล้วว่าคงไม่อยู่ในสายตาคุณเขา ทว่าวันนี้อีกฝ่ายกลับแปลกไปจากทุกวันเมื่อท่าทีที่เคยเมินเฉยต่อคำทักทายยามเช้า วันนี้คุณพฤกษ์กลับหันมาพยักหน้าให้พวกเด็ก ๆ ก่อนจะขับรถออกไป
คุณเขาออกไปได้เกือบสามนาทีแล้ว แต่เหล่าเด็กนักเรียนยังยืนอ้ำอึ้งกับสิ่งที่ประสบเมื่อครู่ไม่หาย เป็นมาลีวัลย์ที่ได้สติก่อนใคร สาวน้อยเปียยาวผูกหางเปียด้วยริบบิ้นสีขาวจึงเอ่ยกับพี่ชายทั้งสอง
“เมื่อกี้คือคุณพฤกษ์ตัวจริงหรือเปล่าคะพี่พีร์ พี่อินทร์”
พงพีไม่มีคำตอบให้น้องสาวเพราะเด็กชายเองยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ ส่วนอินทรชิตได้แต่ยิ้มบาง วันนี้คงเป็นวันแรกที่เด็กหนุ่มไปโรงเรียนอย่างมีความสุข
พฤกษ์มีเรียนช่วงสิบโมงถึงเที่ยง ตารางช่วงบ่ายว่างยาว แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เขาเลยมาสั่งของว่างในคาเฟ่ใกล้ ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือหนึ่งเล่มจากชั้นวางแนะนำติดมือมานั่งอ่านฆ่าเวลาเล่นระหว่างรอเรียน พนักงานพาร์ทไทม์ที่เป็นนักศึกษาคนหนึ่งยกออร์เดอร์มาเสิร์ฟ พฤกษ์ไม่ได้ใคร่สนใจเธอนักแต่ก็เห็นแววตาที่เธอจ้องมองมาเขาอยู่ตลอด จนกระทั่งอีกฝ่ายยกของหวานมาเสิร์ฟที่โต๊ะเป็นรอบที่สอง เธอจึงออกปาก
“พี่พฤกษ์ไม่มีเรียนหรือคะ” พฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อ เรื่องของม่าเหมี่ยว* ที่อ่านได้แค่สองบทในมือขึ้น คิ้วเรียวสวยมุ่นเข้าหากันเป็นปมเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสารบบของพฤกษ์ในกาลก่อนเลย
อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก ใส่ชุดนักศึกษาตัวเก่าที่เริ่มเหลืองตัดกับผิวขาวซีด สวมแว่นตาหนาเตอะท่าทางนิยมตั้งใจเรียน หากไม่มีรอยปรุจากสิว ความน่ารักก็คงเฉิดฉายออกมาจนสะดุดตาผู้คน พฤกษ์เพ่งพิศคนตรงหน้าครู่หนึ่งก็รู้สึกนึกถึงใครบางคนที่เคยรู้จัก แต่นึกเท่าไหร่เขาก็นึกไม่ออก เขาดันแว่นตาของตนขึ้นสันจมูก พูดว่า
“ตอนนี้ไม่มีครับ” แล้วก้มลงอ่านเรื่องของม่าเหมี่ยวต่อ กลับกันที่อีกฝ่ายโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ดีเลย” เธอยิ้มแป้น
“รบกวนเวลาพี่พฤกษ์หน่อยได้ไหม”
พูดก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงตรงข้ามทันที พฤกษ์ชะงัก ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนกับท่าทางสนิทสนมที่เธอมีต่อเขา ..หรือในกาลนี้ ผู้หญิงคนนี้คือคนรู้จักของเขา พฤกษ์นึกย้อนกลับไปช่วงมหาลัย แต่ไม่มีความทรงจำไหนเลยที่บ่งชี้ว่าตนเองสนิทสนมกับเพศตรงข้ามในช่วงปีสอง
อดีตเปลี่ยนไปอีกแล้วหรือ?
“มีอะไรหรือครับ” พฤกษ์ตัดสินใจถามออกไป
“เหมาเหมาอยากให้พี่พฤกษ์ช่วยติวให้หน่อยค่ะ”
เหมาเหมา..
“เอ่อ คือเหมาเหมาขอโทษพี่พฤกษ์ด้วยนะคะที่วันนั้นไปเลี้ยงสายรหัสไม่ได้ พอดีต้องช่วยป๊าทำงาน ไม่มีเวลาว่างเลย”
“หลี่เหมาเหมา?” พฤกษ์ไม่ได้ฟังที่เธอพูด คล้ายว่าเขากำลังเหม่อเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา พฤกษ์จับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
“ห้ะ คะ? เรียกหรือคะ? ”
“นี่มัน ..อะไรกัน ทำไมเธอ” พฤกษ์พูดจบเพียงเท่านั้นก่อนจะยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ หลี่เหมาเหมาเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่เกาแก้มตัวเอง มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่รหัสอย่างใคร่รู้
ใครจะคิด ...กาลเวลากำลังเล่นตลกกับเขาหรืออย่างไรกัน
แค่เรื่องฉัตรตะวันกลับมาจากความตายก็ทำเอาสติพฤกษ์ตุปัดตุเป๋อยู่หลายวัน มาวันนี้เลขาคนสนิทของเขาก็ยังมาเป็นน้องรหัสสมัยเรียนอีกงั้นหรือ!!
หลี่เหมาเหมาจากกาลก่อน .. คือหญิงสาวลูกครึ่งจีนที่สวยสะคราญ มีหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวของเขา พฤกษ์รู้จักกับอีกฝ่ายในตอนที่เรียนจบและเริ่มมาทำงานในบริษัทใหม่ ๆ เจ้าสัวพนาผู้เป็นพ่อไว้ใจเธอให้มาดูแลลูกชายคนโตด้วยเพราะประสบการณ์ทำงานที่มีมากกว่าและด้วยอายุที่ห่างกันเพียงไม่กี่ปี เลขาหลี่นับว่าเป็นผู้ช่วยและเป็นมิตรแท้ที่ดีของเขาอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ พฤกษ์ไม่ค่อยใคร่รู้เรื่องส่วนตัวหรือภูมิหลังของเลขาตัวเองมากนักนอกจากลักษณะนิสัยที่ตัวเขารู้ดีในระดับที่เรียกว่าสนิทสนมกัน เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนขยันทำงาน รอบคอบ รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยบ่นให้พฤกษ์ได้ยิน รู้อีกว่าเธอสามารถจัดการอารมณ์ส่วนตัวเมื่อไม่พอใจและคอยระงับอารมณ์โมโหร้ายของพฤกษ์ให้สงบลงได้อย่างดีเยี่ยม
ในตอนที่อัคราเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตและคอยปั่นหัวเขาเรื่องอินทรชิตก็มีเพียงหลี่เหมาเหมาที่คอยเตือนสติให้พฤกษ์ฉุกคิดหรือสะกิดใจอยู่เสมอ
เธอเป็นเพียงไม่กี่คนที่หวังดีต่อเขาโดยเนื้อแท้และไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่
“เล..” พฤกษ์ชั่งใจ “เหมาเหมา” เขาเรียกพลางมองหน้าเธอลึกล้ำ ใบหน้าขาวใสที่เปื้อนไปด้วยรอยสิวและคราบไขมันรวมไปถึงแว่นตาหนาเตอะนั่นทำให้โครงหน้าที่แท้จริงของหญิงสาวถูกบดบัง แต่หากพฤกษ์เพ่งพิศดูโดยละเอียดแล้วเธอคนนี้ก็คือหลี่เหมาเหมา เลขาคนเก่งของเขาในอนาคตไม่ผิดแน่
“พี่พฤกษ์หน้าซีดจัง ไหวไหมคะ”
“ไหว ฉันไหว” พฤกษ์เปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนตัวเสียใหม่ นั่นทำให้น้องรหัสแปลกใจเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่เขายังทำราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่ทั้งคู่มีสัมพันธ์ในเชิงสายรหัสอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตาม เดิมทีพี่รหัสของเขาก็มักจะใช้สรรพนามบุรุษแทนตัวต่างไปจากตนเองและคนอื่นในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรแน่นะคะ”
“เธอจะให้ฉันติวอะไร” พฤกษ์วกเข้าสู่บทสนทนาที่ยังคงค้างเอาไว้ก่อนหน้า หลี่เหมาเหมาตาเป็นประกายเพราะไม่คิดว่าพี่รหัสที่ท่าทางเชิดหยิ่งและโลกส่วนตัวสูงจะยอมยื่นมือมาช่วยเหลือตนโดยง่ายเหมือนพี่รหัสคนอื่น ๆ
“พี่ พี่จะติวให้จริง ๆ หรือคะ” หลี่เหมาเหมาทวนซ้ำท่าทีลุกลี้ลุกลน พฤกษ์จึงเลิกคิ้ว พูดว่า
“เธอเป็นน้องรหัสฉันนี่ ทำอย่างกับมันแปลกนัก”
“แปลกจริง ๆ ค่ะ” หลี่เหมาเหมายิ้มหงอย “ปกติเหมาเหมาจะถูกพี่พฤกษ์เมินใส่ตลอดเลย เดินสวนกันก็ไม่เคยมอง เหมาเหมาทักก็ไม่หัน ยกมือไหว้ก็เดินผ่านเหมือนเหมาเหมาเป็นตัวเชื้อโรคเลย”
พฤกษ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น รู้สึกร้อนในอกพิกลและอธิบายไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เพื่อน ๆ ในเอกบอกว่าพี่พฤกษ์จะคบแต่กับคนที่เท่าเทียมกัน ไม่สุงสิงกับคนแบบเหมาเหมา ..คนจน ๆ ”
“...”
“เหมาเหมาก็เลยเดาว่าพี่พฤกษ์คงไม่อยากมีเหมาเหมาเป็นน้องรหัส ที่ไม่ได้ไปเลี้ยงสายรหัสคราวก่อนนอกจากเหตุผลที่ต้องช่วยงานป๊า เหมาเหมาก็ไม่อยากทำให้พี่รู้สึกแย่เพราะเหมาเหมากลัวว่าไปแล้วจะทำลายบรรยากาศ”
เขาเผลอกลั้นหายใจ
“ทุกคนในสายรหัสมีแต่คนรวย ๆ กันทั้งนั้น เทียบกับเหมาเหมาแล้วเหมือนอยู่คนละโลกกันเลย..”
“หลี่เหมาเหมา” พฤกษ์เรียกเธอแผ่วเบา เขารู้สึกผิดหวังกับตัวเองในกาลนี้อย่างรุนแรงที่ได้กระทำหยามเหยียดน้ำใจต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรแท้ของเขาในกาลก่อน
พฤกษ์รู้ตัวเองเสมอว่าเป็นคนใจร้ายและชอบดูถูกดูแคลนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เขาไม่เคยคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะตัวเขาในอนาคตย้อนกลับสู่อดีตเลยทำให้เรื่องราวในกาลนี้ไม่ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น
เขาทำอะไรลงไป ..ไม่ เขาไม่ได้เป็นคนทำเสียหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างในกาลนี้มันเปลี่ยนไปเพราะพฤกษ์เข้าไปแทรกแซงกาลเวลาก็จริง แต่คนที่อยู่ในกาลนี้ไม่ใช่ตัวเขาที่อยู่ตรงหน้าหลี่เหมาเหมาตอนนี้ แม้จะเป็นคนเดียวกันและอาจจะมีจิตวิญญาณเชื่อมโยงกัน แต่เขาในตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้กระทำเสียหน่อย
เมื่อคิดเข้าข้างให้ตนเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ พฤกษ์ก็เรียบเรียงคำพูดใหม่ โดยในทีแรก เขากำลังคิดหาคำพูดมากมายมาขอโทษหลี่เหมาเหมาในสิ่งที่กระทำลงไปโดยเจตนาแต่เมื่อตัวเขาที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นคนทำ ดังนั้นจึงไร้ประโยชน์ที่เขาจะขอโทษขอโพยแทนผู้อื่น
ถึงแม้ผู้อื่นที่ว่าจะคือตัวของพฤกษ์เองก็ตาม
“เรื่องในอดีตช่างมันไปเสียเถอะ” เขาโบกมือไหวตรงหน้าหลี่เหมาเหมา ตัดฉับได้กระชับและหันมาสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยขอ
“จะให้ช่วยติวตรงไหน”
หลี่เหมาเหมาคล้ายจะตามอะไรผู้ชายที่เป็นพี่รหัสไม่ทันเลยสักอย่าง ตั้งแต่คำพูดและสีหน้าที่แปลกไปตลอดจนถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
หญิงสาวทำหน้าเด๋อด๋าอยู่ค่อนนาที พอเห็นสายตาคู่สวยที่มองมาอย่างคาดคั้นก็รีบกระตือรือร้นวิ่งหายเข้าไปหลังร้านและออกมาพร้อมกับถุงผ้ารักษ์โลกที่พฤกษ์คาดคะเนเอาว่าน้องรหัสคงจะใช้ใส่หนังสือและชีทเรียน
หลี่เหมาเหมาเอาชีทเรียนยับ ๆ พับครึ่งราวสิบกว่าแผ่นที่สอดอยู่หน้าใดหน้าหนึ่งของหนังสือเรียนออกมากางเต็มโต๊ะ พื้นที่ใช้สอยลำบากอยู่เล็กน้อย พฤกษ์จึงจัดการยกขนมและของว่างอื่นลงไปวางบนเก้าอี้อีกตัว
หลี่เหมาเหมาชี้ดินสอกดไปที่จุดหนึ่งของกระดาษ
“ตรงนี้ค่ะ จริง ๆ ไม่ถึงขั้นต้องติวหรอกค่ะ เหมาเหมาไม่อยากรบกวนมาก พี่พฤกษ์ช่วยบอกแนวข้อสอบให้คร่าว ๆ ก็ได้ค่ะ”
“วิชาอะไร” พฤกษ์ดันแว่นตาที่ตกลงขึ้นสันจมูก มองหัวกระดาษ
“intro to business? ใครสอน?”
“อาจารย์ธิติกานต์ค่ะ”
“ปีหนึ่งเทอมหนึ่งวิชานี้แค่ปูพื้นฐานคร่าว ๆ ถ้าอาจารย์ธิติกานต์บอกว่าออกตรงไหนแกก็ออกตรงนั้นจริง ๆ ไม่มีหลอกนักศึกษา เธอไปจำพวกไฟแนนซ์ เอชอาร์ เมเนจเม้นท์ มาร์เก็ตติ้งอะไรพวกนี้ให้ดีแล้วกัน บางทีอาจจะออกโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งไทยและต่างประเทศ ปรนัยออกง่ายถ้าเธอเตรียมตัวมาอย่างดี ทุกอย่างอยู่ในหนังสือ อ่านแล้วทำสรุป เรียนตรงไหนออกตรงนั้น ส่วนอัตนัยก็ออกวน ๆ วิเคราะห์ธุรกิจของเดลล์ อาจารย์ให้หนังสือมาอ่านแล้วใช่ไหม อ่า นั่นแหละ เขียนยาว ๆ เยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน แต่อย่าวกไปวนมา ไอ้ประเภทสิบบรรทัดยังงมโข่งอยู่เรื่องเดิม ๆ แบบนี้ไม่เอานะ เปลืองหมึก อาจารย์แกชอบอ่านความคิดเห็นของนักศึกษานอกจากสูตรสำเร็จที่อยู่ในหนังสือ เธอก็ลองใส่ความคิดเห็นของตัวเองดู”
หลี่เหมาเหมามองริมฝีปากแดงเรื่อที่ขยับไปมา ทั้งใบหน้า แววตาจริงจังตั้งใจผิดกับพี่พฤกษ์ที่เธอรู้จักมาตลอดทั้งเทอม
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพี่พฤกษ์ที่ใคร ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้กลับมีการแสดงออกที่ดูสมกับเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาเหมือนกัน
“ที่พูดไปเข้าใจไหม” เสียงพี่พฤกษ์เอ็ดขึ้นเมื่อเห็นเธอเหม่อ หลี่เหมาเหมากุลีกุจอพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พฤกษ์หยิบดินสอกดเคาะเบา ๆ ที่หน้าผากของน้องรหัสก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่เห็นต้องร้อนรนขนาดนั้น ฉันแค่จะถามว่าเข้าใจหรือเปล่า ถามเพราะถ้าเธอไม่เข้าใจ ฉันจะได้อธิบายให้ฟังอีกรอบอย่างช้า ๆ ไม่ได้จะดุเสียหน่อย”
หลี่เหมาเหมาเม้มปากแน่นจนแก้มพองตัว ลมแอร์จากในร้านพัดพาเอากลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยมาแตะใต้จมูก หลี่เหมาเหมานิ่งค้าง เธอรู้สึกว่ามีลมร้อนออกมาจากหน้าของตนเองอยู่ตลอดเวลา ข้างในอกรู้สึกเต้นรัวชอบกล
เสียงกระดิ่งที่ประตูคาเฟ่ดังขึ้น พร้อมร่างสูงของฉัตรตะวันที่เดินเข้ามา ชายหนุ่มเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ สั่งของทานเล่นพร้อมเครื่องดื่มอย่างละหนึ่งก่อนจะมองหามุมสงบเพื่อนั่งเล่นรอเวลาเข้าเรียนในช่วงสิบโมง
สายตาคมหันไปเห็นใครบางคนที่คุ้นเคย เป็นพฤกษ์ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน อีกฝ่ายยังคงดูดีมีใบหน้านุ่มนวลเช่นเดิมทว่าไม่ได้อยู่คนเดียวแต่กลับมีน้องรหัสที่ร้อยวันพันปีเจ้าตัวไม่เคยใคร่จะใยดีนั่งตาแป๋วอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ อย่างขะมักเขม้นด้วย ฉัตรตะวันเลิกคิ้วอย่างแปลกประหลาดไม่น้อย พลอยให้พนักงานที่อยู่ใกล้ ๆ สังเกตเห็นไปด้วย
“น้องก็ว่าแปลกใช่ไหม” ฉัตรตะวันหันมาหาพนักงานหนุ่มที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ เขาเอียงหน้า ยิ้มตอบ
“แปลกยังไงครับ”
“นักศึกษาคนนั้นเป็นคนดังในมอนะ” ฉัตรตะวันมองไปที่คนดังของมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้กำลังอธิบายอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง ดูแปลกตาอย่างที่เขาว่าไม่ผิด
“รู้สึกจะชื่อพฤกษ์หรืออะไรเนี่ยแหละ ข่าวว่าเป็นพี่รหัสของเหมาเหมามันด้วย แต่เห็นว่าเป็นพวกลูกอีลีทปากร้ายชอบเหยียดชาวบ้านใช่ย่อยเลยไม่ใช่หรือ ปกติก็แทบไม่ยุ่งกับคนอื่นที่ต่ำต้อยกว่าอย่างพวกลูกตาสีตาสา ขนาดกับเหมาเหมาเองมันยังโดนพี่รหัสเมินเสียทุกที แต่วันนี้มาแปลกแฮะ นั่งจับหัวชนกันเสียได้ เอ๊.. หรือคนเขาลือกันผิด ๆ นะ”
ฉัตรตะวันอยากจะพูดอะไรสักอย่าง คล้ายจะหาคำพูดบางอย่างมาปกป้องคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกอีลีทปากร้ายชอบเหยียดชาวบ้าน แต่ก็จนปัญญาเพราะสิ่งที่เขากล่าวหาพฤกษ์นั้นเป็นความจริงทุกประการ
น้ำท่วมปากโดยแท้ ..ฉัตรตะวันได้แต่ส่งยิ้มตอบไม่ได้ร่วมวงสนทนาต่อแต่อย่างใด เขาเดินไปนั่งโต๊ะอีกตัวที่อยู่ไม่ห่างกัน มีพนักกำแพงกั้นแต่ก็สามารถได้ยินเสียงชัดเจน พฤกษ์ไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน อีกฝ่ายสาละวนอยู่กับการขีดเขียนบางอย่างบนชีทเรียนพร้อมอธิบายจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ฉัตรตะวันเท้าคางมองใบหน้านุ่มนวลภายใต้กรอบแว่นของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถละสายตาจากไปไหนได้
รูปร่างโปร่งบางสะโอดสะอง ช่วงไหล่เพรียวบางและลำคอยาวระหงที่โผล่พ้นมาจากเชิ้ตนักศึกษา ฉัตรตะวันเคลื่อนสายตาไปยังมือเรียวขาวที่ตวัดดินสอกดไปมาราวกับจิตรกรเอกกำลังรังสรรค์ผลงานศิลปะ น้ำเสียงนุ่มที่พูดกับหลี่เหมาเหมาอย่างใจเย็นทำให้เขาเคลิบเคลิ้มอยู่ในภวังค์
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่พนักงานนำออร์เดอร์มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นหลี่เหมาเหมารวบหนังสือและชีทเรียนเก็บใส่ถุงผ้าใบเก่า ยกมือไหว้พฤกษ์ไปครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกจากร้าน
ฉัตรตะวันลุกขึ้นยืนทันที
หลี่เหมาเหมาไปแล้ว พฤกษ์มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของอดีตเลขาคนเก่งออกไปจนอีกฝ่ายเดินลับหายไปจากสายตาของเขา
พฤกษ์ยกนาฬิกาขึ้นมาดู ยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงเศษ เขาจึงเรียกพนักงานมาเก็บเครื่องดื่มที่ละลายจนเสียรสเดิมกลับไปและสั่งกาแฟสักแก้วมาแทนที่ พฤกษ์หยิบเรื่องของม่าเหมี่ยวที่ถูกวางทิ้งก่อนหน้าขึ้นมาอ่านต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้อ่าน เก้าอี้ตรงข้ามก็ถูกผู้มาใหม่เลื่อนออก เขาเงยหน้าขึ้น พบรอยยิ้มอ่อนละมุนของฉัตรตะวันเป็นอย่างแรก
“คุณฉัตร” เขาทักทาย
“มานานแล้วหรือ”
“สักพัก คุณล่ะ? ”
“เพิ่งมาเมื่อกี้เอง” ฉัตรตะวันพูดปด แล้วใครกันที่นั่งมองพฤกษ์อยู่ครึ่งชั่วโมงตรงมุมนั้นถ้าไม่ใช่เขา
“เมื่อครู่ผมเห็นคุณพฤกษ์อยู่กับน้องรหัส” เขายิ้ม “ดูแปลกตาดี”
“พูดแบบนี้เป็นคนที่สองแล้วนะ เหมาเหมาก็พูดกับผมแบบนี้” ฉัตรตะวันหัวเราะ อันที่จริงต้องสามคนต่างหาก รวมพนักงานชายหน้าเคาน์เตอร์นั่นด้วยปะไร
“เหมาเหมา? เรียกชื่อกันด้วยหรือเนี่ย ทั้งที่ปกติคุณออกจะไม่ชอบเธอขนาดนั้นแท้ ๆ ”
“ผมบอกอย่างนั้นหรือ” อีกฝ่ายพยักหน้า
“คุณบอกว่าเธอจน ใช้แต่ของเก่า ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย”
“โห..” พฤกษ์หลุดอุทาน “ฟังดูเหมือนคนใจร้ายเลย”
“คุณร้ายจะตาย”
พฤกษ์เลิกคิ้ว จังหวะเดียวกันกับพนักงานยกของที่สั่งมาเสิร์ฟ เขารับกาแฟมาและยกขึ้นจิบ รสขมปร่าทว่าหวานนุ่มช่วยให้ประสาทสัมผัสตื่นตัว ที่ฉัตรตะวันพูดมาพฤกษ์แทบปฏิเสธไม่ได้เพราะไม่ว่าจะกาลนี้หรือกาลก่อนเขาก็เป็นบุคคลที่จัดอยู่ในประเภทที่มีนิสัยแย่กว่าคนอื่นอยู่สิบเท่า แต่กับคนที่หวังดีด้วย พฤกษ์ไม่เคยทำนิสัยแย่หรือกิริยาชั่วใส่เลยสักครั้ง แต่ในกาลนี้เรื่องของหลี่เหมาเหมามันเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นว่าเขาและเธอที่ควรเจอกันตอนที่เรียนจบและทำงานแล้วกลับมาเจอกันในฐานะพี่และน้องรหัสเสียได้
ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเขาในกาลนี้จะปฏิบัติต่อหลี่เหมาเหมาได้ย่ำแย่และไม่ให้เกียรติ เพราะสันดานโดยเนื้อแท้แล้วพฤกษ์เป็นคนที่ไม่ชมชอบผู้ที่ตกต่ำกว่าตนเองอยู่แล้ว
เฮ้อ.. เห็นทีคงต้องปฏิวัติกันเสียใหม่
“ผมถามอะไรหน่อยสิ” ฉัตรตะวันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอและคว่ำโทรศัพท์ลงกับโต๊ะทันที
“ครับ” ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและลักษณะที่เขาเท้าคางมองมาที่พฤกษ์อย่างไม่ปิดบังทำเอาคนถูกจับจ้องหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
“คุณฉัตรรู้อะไรเกี่ยวกับหลี่เหมาเหมาบ้างไหม” พฤกษ์พูดจบก็ยกมือขึ้นเกาจมูก สายตาของเพื่อนสนิทที่มองมามันทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างเสียไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าฉัตรตะวันที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะโตขึ้นมาเขย่าใจผู้คนได้ขนาดนี้
“ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากรู้เรื่องเธอขึ้นมา” แล้วไอ้ท่าทางเก้อเขินนั่นมันคืออะไร ฉัตรตะวันรู้สึกคันยุบยับอยู่ในอก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น กระดกนิ้วชี้เคาะกับโต๊ะนั่นอย่างหัวเสีย
“ไม่ใช่ว่าชอบเธอหรอกนะ คุณพฤกษ์เป็นเกย์ไม่ใช่หรือครับ”
พฤกษ์ยกมือขึ้นแทบจะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่แล้ว ทำไมการที่เขาถามไถ่เรื่องน้องรหัสมันถึงทำให้ฉัตรตะวันคิดในแง่ชู้สาวไปเสียได้
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมยังชอบผู้ชาย”
ฉัตรตะวันโล่งใจทันทีที่ได้ยินประโยค ‘ผมยังชอบผู้ชาย’ ของพฤกษ์ เขาผ่อนคลายลง เปลี่ยนอากัปกิริยามาเป็นท่านั่งสบาย ๆ มุมปากยังคงแย้มยิ้มอบอุ่นเหมือนทุกที
“ผมแค่อยากทำตัวดี ๆ เอ่อ ยังไงดี พัฒนาตัวให้ดีกว่าเมื่อก่อนอะไรแบบนั้น”
“หืม ทำไมหรือครับ หรือมีคนพูดจาแย่ ๆ ใส่อีก ปกติคุณพฤกษ์ไม่สนใจคำพูดใครนี่นา”
“เปล่า ไม่ใช่ ผมไม่แคร์ใครอยู่แล้ว”
“แสดงว่าคุณแคร์เธอ? ”
“ประมาณนั้น” พฤกษ์ลูบจมูก “เหมาเหมาเป็นน้องรหัสผม อย่างน้อยผมก็ควรปฏิบัติกับเธอดี ๆ ”
เพราะว่าเธอเป็นมิตรแท้ที่ดีของพฤกษ์ในกาลก่อนต่างหาก เขาจึงอยากรักษาคนดี ๆ แบบนี้เอาไว้ในชีวิตให้นานเท่านาน ไม่ใช่เพราะหลี่เหมาเหมาเป็นน้องรหัส
“คุณดูเปลี่ยนไปนะ?” พฤกษ์ที่กำลังจิบกาแฟอยู่สะดุ้งเฮือก
“แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าดีใจ”
“คุณพูดเหมือนผมทำตัวชั่วช้ามาตลอด”
“ไม่ผิดหรอก แต่คุณมันตัวแสบ”
“ฮึ” พฤกษ์ทำเสียงขึ้นจมูกและทำปากยื่น ท่าทางนั้นน่าเอ็นดูเสียจนคนมองขบกรามแน่น
“คุณยังไม่ตอบคำถามผมเรื่องหลี่เหมาเหมาเลยนะ”
“อ้อ เรื่องนั้น” ฉัตรตะวันกดเปิดโทรศัพท์ ดูจากเวลาแล้วพวกเขาสามารถนั่งคุยกันตรงนี้ไปได้อีกสักพักใหญ่ ๆ
“เท่าที่ผมรู้ หลี่เหมาเหมาเป็นเด็กค่อนข้างยากจน” พฤกษ์พยักหน้าหงึกหงัก สังเกตจากเสื้อนักศึกษาที่ดูซีดเหลืองเหมือนถูกใช้มานานทั้งที่เธอเพิ่งอยู่ปีหนึ่งก็พอจะรู้ได้ว่าฐานะทางบ้านคงลำบากไม่น้อย
“ที่บ้านเปิดกิจการน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ขาย เป็นหน้าร้านหนึ่งคูหา อาศัยอยู่กับพ่อและน้องเล็ก ๆ อีกหลายคน แต่ด้วยความที่ขยันและผลการเรียนดีเยี่ยม เธอเลยได้ทุนมาเข้ามหาลัยเอกชนชั้นนำ อ้อ เจ้าของทุนก็คือเจ้าสัวพนา คุณพ่อของคุณไงครับ”
“โอ้ โลกกลมเหลือเชื่อแฮะ” ในกาลก่อนหลี่เหมาเหมาก็เป็นเด็กที่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเขาในการส่งเสียเรื่องการเรียนจนเรียนจบและได้มาทำงานเป็นเลขานุการของเจ้าสัวพนาอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะถูกส่งให้มาเป็นเลขานุการของพฤกษ์ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน
อดีตมันเปลี่ยนแปลงและบิดเบี้ยวจนเขาปวดหัวที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวให้ตนเองเข้าใจได้โดยง่าย
“หลี่เหมาเหมาเข้าเรียนที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากแกะดำนั่นแหละ บางทีอาจจะเป็นลูกแกะดำท่ามกลางฝูงหมาป่าก็ได้ คุณพฤกษ์รู้ใช่ไหมว่าในสังคมมหาลัยแบบนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องการเหยียดชนชั้น”
“อ่า..”
“ผมไม่ได้ชอบใส่ใจเรื่องคนอื่นหรอกนะ แต่บางทีก็เห็นเธอถูกเพื่อนแกล้งให้ทำอะไรแปลก ๆ ทุกที ทำให้อับอาย ทำให้ขายหน้ากลางสาธารณะบ้างล่ะ พวกผู้หญิงนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ”
“แย่จัง”
“หือ” ฉัตรตะวันเลิกคิ้ว “คนที่ทำให้มันแย่ก็คือคุณพฤกษ์นะครับ”
อะ ..อ้าว
“คุณฉัตรว่าอย่างไรนะ เพราะผม? ผมไปทำอะไร?”
ฉัตรตะวันหัวเราะน้อย ๆ พูดว่า
“เดิมทีก็มีคนไม่ชอบหลี่เหมาเหมาอยู่แล้วแต่แค่ไม่แสดงออกมากนัก จนเธอมาเป็นน้องรหัสคุณพฤกษ์นั่นแหละ”
“เพราะว่าเป็นน้องรหัสผมงั้นหรือ? ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ
“คุณพฤกษ์เป็นคนดังนี่นา แต่ถ้าคุณคิดว่าเธอถูกแกล้งเพราะมีพี่รหัสหล่อน่ะมันไม่ใช่หรอกนะครับ ที่เธอถูกแกล้งก็เพราะคุณพฤกษ์ทำท่าทีรังเกียจเธอจนออกนอกหน้านั่นแหละ เลยจุดชนวนให้คนอื่นเริ่มรังแกเธอ จากตอนแรกเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างพูดแซว นินทาให้ได้ยิน ทำร้ายร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ ลามไปจนถึงให้เธอไปเป็นเบ๊ ใช้ให้ทำนู่นทำนี่เหมือนแรงงานทั่วไป”
พฤกษ์รู้สึกจุกอยู่ในอกลามไปถึงถึงลำคอ สีหน้าของเขาที่แสดงออกมาตอนนี้ย่ำแย่เอามาก
“แล้ว แล้วคุณไม่เข้าไปห้ามหรือเตือนอะไรเลยหรือ” เขาคิดว่าฉัตรตะวันดูเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีเหตุผลอยู่มาก ไม่แน่ว่าที่อีกฝ่ายรู้เรื่องหลี่เหมาเหมาขนาดนี้คงเป็นเพราะเคยเข้าไปช่วยเหลือในตอนที่เธอถูกรังแกก็เป็นไปได้
“อ๋อ” ฉัตรตะวันกลับหัวเราะขึ้นมา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรเสียอย่างนั้น
“มันไม่ใช่เรื่องของผมนี่นา ทำไมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยล่ะครับ”
“...”
“อีกอย่างคุณพฤกษ์เองก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ผมเข้าไปยุ่งล่ะก็.. ขอยุ่งแค่เรื่องที่ทำให้คุณพฤกษ์เดือดร้อนจะดีกว่า”
เขาถอนหายใจโดยแรง สูญสิ้นศรัทธาจากคนตรงหน้าไปหลายส่วน แล้วในตอนนั้นเอง พฤกษ์ก็ได้ตระหนักถึงความเพิกเฉยขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
มนุษย์หนอ ..ถ้าไม่ใช่เรื่องของตนเองก็จะเพิกเฉยและไม่สนใจเสียดื้อ ๆ ต่อให้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ตาม แต่ถ้าเมื่อใดเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับตนเอง มนุษย์นั้นจะดิ้นเร่าอยู่ไม่เป็นสุขทันที
พฤกษ์ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่านั่งต่อไปก็รั้นจะทำให้บรรยากาศย่ำแย่อยู่ไม่น้อย เขาเสียความรู้สึกกับฉัตรตะวันเรื่องหลี่เหมาเหมาพอสมควร แต่ครั้นจะไปเร่งเร้าให้เพื่อนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่นก็ไม่สมควรอีกเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่ชอบละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผู้อื่นอยู่ดี
“เข้ามอกันเถอะครับ แอร์มันหนาว ผมไม่อยากนั่งที่นี่แล้ว” ฉัตรตะวันทำหน้างุนงงแต่ก็ลุกขึ้นตามออกไปอย่างเชื่อฟัง พฤกษ์เดินไปคืนหนังสือเรื่องของม่าเหมี่ยวที่ชั้นวางก่อนจะยืนมองอย่างเสียดายเพราะตั้งแต่หยิบมาเขาแทบจะไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเสียที ฉัตรตะวันที่สังเกตท่าทีนั้นได้จึงมองตามไปที่ชั้นวาง จดจำปกหนังสือเอาไว้ในสมองทันทีและคิดว่าค่อยแวะมาที่คาเฟ่นี้อีกครั้งในช่วงเลิกเรียน
______________________________________
*สุมาลี. เรื่องของม่าเหมี่ยว. พิมพ์ครั้งที่ 11 . กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2546. 168 หน้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ