คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) 00 01
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 01
พฤกษ์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้ามีเพียงแค่ความมืดมิดและเพดานที่ประดับห้อยแชนเดอเลียร์ไว้อย่างหรูหรา สัมผัสที่ด้านหลังคือความอ่อนยวบของเตียงนอนทำให้เขากระเด้งตัวขึ้นมาจากหมอนนุ่มอย่างรวดเร็ว
เสียงหอบหายใจพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนกรอบหน้าอ่อนเยาว์
‘ความทรงจำล่าสุดคือเขาตายไปแล้ว’ ถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายบุญธรรมยิงกระสุนตัดเข้าที่ขั้วหัวใจและแน่นิ่งไปทั้งอย่างนั้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น! พฤกษ์ถามตัวเองซ้ำไปมา ทำไมเล่า ทำไมตัวเขาถึงได้กลับมานอนอยู่ในห้องอย่างสบายใจเฉิบทั้ง ๆ ที่ที่เขาควรได้นอนทอดกายคือโลงศพไม่ใช่เตียง!
พฤกษ์ต้องหาคำตอบของคำถามนั้นด้วยตัวเอง เขาลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทีโขยกเขยก ปรับม่านสายตาให้คุ้นชินกับความมืดสลัวในห้องก่อนจะยื่นมือไปคลำหาสวิตช์ไฟและเปิดการทำงาน
ทั่วทั้งห้องสว่างวาบจนเขาต้องหยีตาลงเล็กน้อย ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือห้องนอนของเขาไม่ผิดเพี้ยนไปจากความทรงจำแน่นอน แต่เมื่อเพ่งพิศดูแล้วจะรู้สึกว่าสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างดูแปลกตาลงไปเล็กน้อย พฤกษ์สะบัดหัวไปที นี่ไม่ใช่เวลาจะมามัวสังเกตเรื่องพวกนี้ เขาจับลูกบิดประตูและเปิดออก โถงทางเดินชั้นสามที่ปูพรมสีเลือดหมูยังคงคุ้นตาแต่ทว่ามันยังดูเหมือนใหม่ สองขาเพรียวนำพาร่างสูงโปร่งเดินจับราวบันไดเพื่อจะลงไปยังชั้นล่าง ไฟถูกเปิดทิ้งไว้ส่องสว่างทั่วทั้งบ้านแต่เขากลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว
กระทั่งเท้าเปลือยเปล่าข้างหนึ่งเหยียบลงบันไดขั้นสุดท้าย พฤกษ์ก็รู้สึกว่าตนเองหมดแรงลงเสียดื้อ ๆ ในตอนนั้นเองใครบางคนก็พุ่งมารับร่างของเขาไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะร่วงลงไปกับกระทบพื้นหินอ่อน
“คุณพฤกษ์!!?” เสียงนั้นเรียกชื่อเขาอย่างร้อนรน มันดูราวกับเพิ่งแตกหนุ่มมาไม่นาน ซ้ำกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ จากอกเสื้อที่เขาเอาหน้าซุกอยู่ตอนนี้ก็ดูคุ้นเคยอย่างน่าตกใจ พฤกษ์จำต้องเงยหน้าขึ้นมองและเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีเข้มนั่นเขาก็ต้องแข็งค้าง
ใช่ ...ผู้ชายตรงหน้าคือคนที่ฆ่าเขาเองกับมือของมัน
“ไอ้เขี้ยว!!” พฤกษ์ไม่รั้งรอเลยที่จะผลักไสและตะบันหมัดข้างหนึ่งเข้าใส่ใบหน้านั้นอย่างแรง เจ้าของชื่อ ‘เขี้ยว’ หงายหลังลงไปนอนราบกับพื้น พฤกษ์โกรธจนเลือดคั่ง เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะตามไปซ้ำอีกหมัดทันที
“มึงฆ่ากูไอ้เขี้ยว!! มึงฆ่ากู!!!” สาบานได้เลยว่านี่เป็นการพูดคำหยาบครั้งแรกในชีวิต พฤกษ์กระชากคออีกคนขึ้นและเหวี่ยงลงพื้นโดยแรงพร้อมใช้เท้าเตะซ้ำเข้าที่หน้าท้องและสีข้างจนอีกฝ่ายนอนตัวงอ เด็กหนุ่มค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ใบหน้าที่เคยสดใสบัดนี้แปดเปื้อนไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ ซ้ำดวงตาพิสุทธิ์ยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มือสองข้างถูกพนมขึ้นมาทั้งที่ตัวเองก็ยังสั่นกลัวไปทั้งร่าง ริมฝีปากบวมเจ่อเอ่ยบางคำออกมาอย่างยากลำบากแต่กระนั้นก็ยังกระเสือกกระสนจะพูดให้เขาฟังด้วยท่าทางเวทนา
“คุณพฤกษ์.. ขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เสียงนั้นวิงวอนแต่พฤกษ์กลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ภาพความทรงจำจากกาลก่อนปรากฏย้ำเตือนอยู่ในหัวว่าพฤกษ์ต้องตายเพราะมันอย่างทุกข์ทรมานเพียงใด เขาซัดกำปั้นใส่คนใต้อาณัติไม่ยั้ง ไม่เว้นที่ให้หายใจ ฝากรอยช้ำจ้ำเบ้าไปทั่วทั้งมุมปาก หางคิ้วและโหนกแก้ม
“ผมขอโทษ..”
พฤกษ์ชะงักนิ่ง สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหยุดลงมือโดยทันทีไม่ใช่เพราะสภาพน่าสงสารของอีกฝ่าย แต่มันคือใบหน้าและรูปร่างที่ดูเด็กลงกว่าเขี้ยวที่เขาเคยรู้จัก!!
คนที่แทบจะกราบเท้าเขาตรงหน้าเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง แม้จะชื่อเขี้ยวเหมือนกัน ดวงหน้ามีความคล้ายคลึงกันแต่กลับไม่ใช่เขี้ยวคนที่ฝากกระสุนไว้ในอกของพฤกษ์ ผู้ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น ใบหน้าเย็นชาน่าหวาดหวั่นสมกับชื่ออย่าง อินทรชิต ผิดกับเด็กน้อยอ่อนแอที่ร้องขอชีวิตจากเขาตรงหน้า
“นี่ นี่มันอะไรกัน ทำไมแก..”
พฤกษ์ตัวสั่น ชายหนุ่มถอยไปข้างหลัง
แล้วในตอนนั้นเอง เป็นตอนที่คนในบ้านต่างตกใจกับเสียงเอะอะโวยวาย แม่บ้าน คนขับรถ คนสวนต่างกรูกันออกมาจากห้องของตนเพื่อมาดูยังที่เกิดเหตุก่อนจะพากันตกใจกับเหตุการณ์สลดที่พบเห็น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!” เสียงเข้มดูทรงอำนาจดังกังวานที่ชานพักบันไดกลางโถง พฤกษ์เบิกตากว้างเพราะนั่นคือบิดาผู้ให้กำเนิดเขาอย่างเจ้าสัวพนา วัฒนารายณ์และข้างลำตัวชายวัยกลางคนนั้นมีเด็กหญิงเด็กชายยืนขนาบข้างมองมาด้วยสีหน้าสงสัย เด็กพวกนั้นพฤกษ์ไม่มีทางจำผิดไปจากความทรงจำแน่ ๆ นั่นคือ พงพี และ มาลีวัลย์ น้องชายน้องสาวต่างมารดาของเขา
พฤกษ์หันไปมองรอบกายเหมือนคนเสียสติ หน้าเขาซีดเผือด สมองเขามึนเบลอคิดสิ่งใดไม่ออก พฤกษ์ตอนนี้ราวกับหนูติดจั่นและก่อนจะได้เอ่ยอะไร วูบลมสายหนึ่งก็ปะทะเข้ากับเขาจนใบหน้ากระชากหันไปด้านหนึ่ง
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!” พนาตวาดลูกชายลั่น พฤกษ์หันกลับมาพร้อมความเจ็บปวดที่แก้มซีกซ้าย เขาไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นผู้เป็นพ่อที่ลงมือกับตนรุนแรง กลับกันเสียด้วยซ้ำ การตบหน้าเมื่อสักครู่กลายเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าทุกอย่างตรงหน้าคือความจริง
พฤกษ์ได้ย้อนเวลากลับมา!!
เป็นเวลาหนึ่งวันแล้วที่พฤกษ์ วัฒนารายณ์กักขังตนเองอยู่แต่ในห้องนอน เขาไม่ยอมออกไปไหนเลยตั้งแต่เหตุการณ์คืนนั้น วันนี้เป็นวันที่สองของการเก็บตัว พฤกษ์ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ย่ำรุ่งและยืนมองดูตนเองที่หน้ากระจกบานใหญ่ ชายหนุ่มสังเกตได้อีกอย่างว่านอกจากใบหน้าและร่างกายที่อ่อนเยาว์ลงเป็นสิบปีแล้วยังมีความผิดปกติอีกอย่างนั่นคือรอยแผลเป็นที่ปรากฏอยู่ที่อกด้านซ้าย พฤกษ์ลูบรอยแผลนั้นอย่างแผ่วเบาและคิดว่ามันคือรอยกระสุนที่อินทรชิตเป็นคนฝากฝังเอาไว้ไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงอีกครั้ง สมองที่หนักอึ้งตกตะกอนอะไรบางอย่าง ความทรงจำจากกาลก่อนค่อย ๆ ฉายซ้ำขึ้นทีละน้อยให้ได้รำลึก
เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากตรงไหนกันนะ?
อะไรที่ทำให้เขาต้องมาพบจุดจบแบบนั้นกัน?
เขาคือ พฤกษ์ วัฒนารายณ์ บุตรชายคนแรกของเจ้าสัวพนาผู้มั่งคั่งในธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ ชีวิตของเขาเติบโตด้วยความรักจากพ่อและแม่เสมอมา ไม่มีอะไรที่เงินของพ่อให้เขาไม่ได้และไม่มีอะไรที่แม่จะทำเพื่อเขาไม่ได้
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่งวันหนึ่งตอนที่พฤกษ์อายุได้เจ็ดปี พ่อของเขาพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน เธอคนนั้นเข้ามาในฐานะภรรยาอีกคนของพ่อ แม่ใจสลายทันทีที่รู้เรื่อง แต่โดยอำนาจแล้วแม่ของเขาที่เป็นภรรยาหลวงผู้ถือสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของบ้านสามารถไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปได้ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาแต่ทว่าแม่ไม่ทำเพียงเพราะว่าผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวแท้ ๆ และมีศักดิ์เป็นน้าของพฤกษ์ แม่บอกเขาว่ารักพ่อมากแต่ก็รักน้องสาวเพียงคนเดียวของแม่มากเช่นกัน ดังนั้นแล้ว แม่จึงยอมรับความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีมือที่สามเข้าแบ่งปันสามีของแม่อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใด ในปีนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ให้กำเนิดน้องชายของพฤกษ์ที่ชื่อว่าพงพีและในอีกหนึ่งปีต่อมาก็ให้กำเนิดน้องสาวที่ชื่อว่ามาลีวัลย์ตามมาติด ๆ พฤกษ์ชิงชังเด็กอ้วนจ้ำม่ำทั้งสองที่เกิดออกมาอย่างถึงที่สุด แต่ต่อให้ชิงชังมากเพียงใดก็ไม่เคยแสดงออกมาเพราะแม่ของเขาค่อนข้างเอ็นดูและเอาใจใส่เด็กพวกนั้นเป็นพิเศษ
กระทั่งอีกปีต่อมา แม่ของเขาก็ได้อุ้มท้องเองบ้าง น้องที่กำลังจะเกิดมานั้นเป็นเด็กผู้หญิง พฤกษ์ในวัยสิบขวบเห่อครรภ์ราวกับได้รับของขวัญ ต่อจากนี้เขาจะไม่ทนเหงาอีกแล้วเพราะกำลังจะกลายเป็นพี่ชายของน้องสาวที่น่ารัก พฤกษ์นับวันและเดือนรอคอยที่จะได้พบน้องสาวคนเล็กอย่างใจจดใจจ่อแต่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้น
แม่ของเขาแท้งลูก สาเหตุทั้งหมดมันมาจากฝีมือของผู้หญิงคนนั้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวของแม่ เป็นน้าสาวของเขา ผู้หญิงคนนั้นใจคอโหดเหี้ยมกระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็ยังลงมือได้ แอบเอาสารหนูผสมกับยาบำรุงล่อลวงให้แม่ของเขารับประทานมันในปริมาณทีละน้อยทุกวันจนแท้งลูก แม่ช็อกจนเข้าขั้นโคม่า ต้องนอนติดเตียงอยู่นานปีก่อนที่จะตรอมใจตายในที่สุด ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็กลายเป็นคนวิปลาส ถูกจับไปบำบัดก่อนจะถูกตรวจพบว่ามีอาการเป็นโรคทางจิตเภทพ่วงด้วยโรคซึมเศร้าที่เป็นมาก่อนหน้านี้ สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ไปจบชีวิตตัวลงด้วยการฆ่าตัวตายในโรงพยาบาล
พฤกษ์ที่เหลือเพียงตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ก็ทำอะไรกับชีวิตต่อไปไม่ถูก ขาดทั้งแม่ที่เป็นเพียงสิ่งเดียวคอยยึดเหนี่ยวจิตใจและน้องสาวที่เฝ้ารอจะได้เจอกัน กระนั้นผู้เป็นพ่อที่รู้สึกผิดกับเรื่องทั้งหมดก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกอบกู้เศษซากหัวใจที่แตกสลายของลูกชายให้กลับคืนมา แต่แล้วอย่างไร? ความรู้สึกที่ร้าวรานไปแล้วต่อให้ประกอบกลับมาให้เหมือนดังเดิมเช่นไร รอยร้าวนั้นก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นนั้นเสมอ
ความเกลียดชังยังคงมีอยู่ในส่วนลึกของพฤกษ์มาตั้งแต่ตอนนั้น ถึงมาลีวัลย์และพงพีในวัยสามและสี่ขวบจะไม่รู้เรื่องอะไรแต่เขาก็จงเกลียดจงชังเลือดเนื้อที่เกิดมาจากผู้หญิงคนนั้นอยู่ดี ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของเขาและคนอื่นจึงห่างเหินราวกับอีกฝ่ายไม่เคยมีตัวตน ยิ่งน้องสาวน้องชายเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่เรื่องราวในอดีตก็ยิ่งถูกกำชับไม่ให้พูดถึงมากขึ้นเท่านั้น
กระทั่งการมาของอินทรชิต วันนั้นในวัยสิบห้าปีของพฤกษ์ เจ้าสัวพนาพาอินทรชิตที่อายุอ่อนกว่าเขาห้าปีมาแนะนำตัวในฐานะบุตรบุญธรรมของตระกูลวัฒนารายณ์ ในตอนแรกเขาโกรธจัดจนถึงขั้นสาดน้ำในแก้วใส่หน้าอีกฝ่ายเพราะคิดว่าอินทรชิตคือลูกนอกสมรสที่พ่อแอบไปมีไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ไม่นานความจริงก็ปรากฏ อินทรชิตเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นในสถานรับเลี้ยงแห่งหนึ่งที่พ่อของเขาเคยให้เงินบริจาค บังเอิญว่าเจ้าสัวพนาเกิดถูกชะตาเด็กชายขึ้นมาเลยนำกลับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมก็เท่านั้น แต่ถึงจะรู้ความจริง อย่างไรพฤกษ์ก็หมายหัวเด็กนั่นว่าเป็นแค่คนอีกคนที่เขาจะจงเกลียดจงชังไปตลอดชีวิตก็แค่นั้น
ถ้าถามว่าพฤกษ์จงเกลียดจงชังเด็กคนนั้นขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าไม่ยอมรับให้อินทรชิตกลายมาเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายและใช้นามสกุลร่วมกันกับตน
‘ถ้าคุณพ่อจะยกให้มันมาเป็นวัฒนารายณ์เทียบกับผม ผมจะเป็นคนออกไปจากที่นี่เอง’ เขาประกาศกร้าวกับผู้เป็นพ่ออย่างโกรธจัดในตอนที่รู้เรื่อง พนาที่ยังคงรู้สึกผิดต่อลูกชายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตามใจอีกฝ่าย สุดท้ายอินทรชิตก็ได้กลับไปใช้นามสกุลของผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเดิม แต่ถึงกระนั้นพนาก็เลี้ยงดูอินทรชิตเสมือนกับเป็นบุตรบุญธรรม
ดูเอาเถอะ พฤกษ์น่ะเกลียดเด็กอินทรชิตมากจนถึงขนาดไม่เรียกชื่อเล่นว่า อินทร์ เหมือนคนอื่น ๆ แต่กลับตั้งชื่อเล่นว่า เขี้ยว ให้แทนเพราะอินทรชิตหมายถึงยักษ์ตนหนึ่งในรามเกียรติ์และพฤกษ์มักถากถางอีกฝ่ายอยู่เสมอว่ายักษ์นั้นน่าเกลียดเดียดฉันท์มากที่สุด พวกมันทั้งตัวใหญ่ มีฟันเขี้ยวแหลมคมเอาไว้บดกินมนุษย์ ดังนั้น ชื่อเขี้ยวจึงเป็นชื่อเล่นที่เหมาะกับอินทรชิตมากกว่าอินทร์
พฤกษ์ตั้งใจจะสร้างการปมด้อยให้อินทรชิตด้วยชื่อน่าเกลียดนั่นแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับรู้สึกชอบชื่อเล่นนี้เสียอย่างนั้น รอยยิ้มโง่ ๆ ของมันตอนที่บอกว่าชื่อเขี้ยวที่คุณพฤกษ์ตั้งให้ก็เท่ไม่หยอกทำเอาเขารู้สึกขยะแขยงเด็กคนนี้ขึ้นมาอีกสิบเท่า ดังนั้นช่วงชีวิตวัยมัธยมของเขาจึงมีเพียงแค่การรังแกและใจร้ายใส่เด็กทั้งสามไปวัน ๆ ประหนึ่งตัวร้ายในละครก็เท่านั้น
จุดแปรเปลี่ยนในชีวิตเขาคือตอนเข้ามหาลัย พฤกษ์ได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าอัครา ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ทำให้เขารู้ตัวว่าตนเองนั้นมีรสนิยมรักใคร่ผู้ชายด้วยกัน แต่อัคราไม่ใช่คนรักที่ดีนัก เขามักมากและเห็นแก่ตัว แต่ด้วยความเข้ากันบางอย่างจึงทำให้พวกเขามักวนกลับมาคบหากันอยู่หลายต่อหลายครั้ง
อัครา มาจากครอบครัวเลิศบดินทร์ ตระกูลที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยและมั่งคั่งไม่เป็นรองใครและสามารถทัดเทียมกับวัฒนารายณ์ของพฤกษ์ได้อย่างสบาย ๆ พวกเขาที่รู้อยู่แบบนั้นจึงใช้ความสัมพันธ์นี้เป็นสะพานเชื่อมความสำเร็จและผลประโยชน์มากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เรื่องราวมันกลับพลิกผันเมื่อตัวละครลับที่ใครก็คาดไม่ถึงอย่างอินทรชิตกลับมามีเอี่ยวด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตระกูลเลิศบดินทร์เองก็มีเหตุการณ์ชิงรักหักสวาทเหมือนกันกับวัฒนารายณ์ เพราะหลานที่เกิดจากบุตรชายคนโตที่มีสิทธิ์ในกองมรดกมากกว่าพี่น้องคนอื่นได้หายตัวไปในตอนที่เด็กคนนั้นอายุได้เพียงสามขวบ นี่เป็นฝีมือของใครสักคนในตระกูลแต่กระนั้นผู้มีศักดิ์เป็นปู่อย่างสิงขรก็ไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาเอาผิดใครได้เลย ที่ทำได้ก็เพียงแค่ตามสืบหาตัวหลานชายคนนั้นให้เจอถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมามากกว่าสิบปีก็ตาม
ใช่ ..สิ่งที่คุณคิดอยู่ถูกต้อง
อินทรชิตคือหลานชายที่หายตัวไปคนนั้น
พฤกษ์จำรายละเอียดถึงความจริงที่ถูกค้นพบว่าเด็กเขี้ยวนั่นคือหลานชายของสิงขรไม่ค่อยได้ แต่มันเกี่ยวพันที่ว่าความจริงแล้วพ่อของเขาได้รับฝากเด็กคนนั้นมาจากบุตรชายคนโตที่อยู่ในสภาพปางตายของสิงขรที่ชื่อว่าสิงหาให้ช่วยดูแลต่อจนกว่าอินทรชิตจะโตพอที่จะรู้ความจริง ในตอนนั้นเองเป็นช่วงที่พ่อของเขาพาภรรยาน้อยเข้ามาในบ้าน เจ้าสัวพนาเลยตัดความยุ่งยากด้วยการนำเด็กคนนั้นไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อนจะไปรับตัวมาเลี้ยงดูต่อในฐานะบุตรบุญธรรมของวัฒนารายณ์ พฤกษ์ปะติดปะต่อได้ว่าความจริงที่ปรากฏก็เพราะพ่อของเขานั่นเองที่เป็นผู้กุมความลับทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง
เมื่อฐานะที่แท้จริงปรากฏ ตัวหมากที่มีสิทธิ์ในกองมรดกมากกว่าใครกลับเข้าสู่กระดาน นั่นหมายถึงอัคราและอินทรชิตมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดโดยตรง ทุกคนในตระกูลจึงต้องหาทุกวิถีทางเพื่อกำจัดอินทรชิตให้ออกไปอีกครั้งเพื่อปูทางให้หลานชายอีกคนที่เกิดมาจากบุตรชายคนรองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด แล้วเรื่องเลวร้ายก็ได้เกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็เหตุผลที่ทำให้พฤกษ์ต้องจบชีวิตตัวเองลง มันเป็นแผนของอัครา เขาใช้พฤกษ์เป็นเหยื่อล่อให้อินทรชิตออกมาหาเพียงลำพังก่อนจะตลบหลังด้วยการฆ่าและอำพรางศพ ทว่าเรื่องราวกลับพลิกผัน อินทรชิตแย่งกระบอกปืนมาจากอัคราได้แล้วยิงออกไปทันทีเพื่อป้องกันตัวแต่ใครมันจะคิดว่าคนที่เป็นเป้าของกระสุนลูกนั้นคือตัวพฤกษ์เอง
นั่นคือเรื่องราวจากกาลก่อน พฤกษ์ลืมตาขึ้นหลังจากรำลึกอดีตที่อาจจะเป็นอนาคตของตนเอง เขาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาดู ช่วงเวลานี้คืออดีตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เขายังเป็นแค่นักศึกษา ชายหนุ่มลูบหน้าโดยแรงก่อนจะคิดว่าหลังจากนี้ควรทำอะไรต่อไปดี
ทำอย่างไรพฤกษ์จึงจะไม่ตาย?
ในตอนที่กำลังคิดหาวิธีอยู่เงียบ ๆ นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พฤกษ์มองตัวเลขที่ปรากฏบนจอก็พลันตกใจเพราะมันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของอัครา
พฤกษ์สูดหายใจลึกก่อนจะกดรับ
“อัคร..”
(อัคร?) น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นราวกับสงสัย (ใครหรือครับ?)
พฤกษ์ลดโทรศัพท์ลงมามองจอ รายชื่อที่โชว์หราอยู่คือคำว่า คุณฉัตร เขาขมวดคิ้วแน่น พฤกษ์จำหมายเลขโทรศัพท์ของอัคราได้แต่ทำไมปลายสายถึงกลายเป็นใครอีกคนไปเสียอย่างนั้น
“นี่ใคร..”
(หืม) ปลายสายอุทาน (นึกว่าคุณพฤกษ์จะเมมชื่อผมไว้นานแล้วเสียอีก ผมฉัตรตะวันไงครับ ที่เป็นเพื่อนคุณและเรียนเอกเดียวกับคุณ)
ฉัตรตะวัน?
พฤกษ์กดวางสายใส่ทันที ชายหนุ่มกำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับรีดเค้นความทรงจำที่พอจะนึกออก
“ฉัตรตะวัน.. ฉัตรตะวัน ..” ชื่อนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว เพียงชั่วครู่พฤกษ์ก็พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกฝ่ายคือใคร ฉัตรตะวันคือเพื่อนสมัยมัธยมของเขา พฤกษ์จำได้ว่ามีฉัตรตะวันเป็นเพื่อนเล่นที่ตัวติดกันมาตั้งแต่ประถม กระทั่งช่วงเทอมสองของมัธยมปลายปีสุดท้าย ฉัตรตะวันก็มาจากเขาไปอย่างไม่หวนกลับด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ฉัตรตะวันที่เขารู้จัก ..ตายไปเกือบยี่สิบปีแล้ว
ร่างโปร่งเดินไปที่ชั้นหนังสือตรงกำแพงห้อง เขาย่อตัวลงเพื่อดึงอัลบั้มรวมภาพสมัยเรียนเล่มหนึ่งขึ้นมากาง ทุกภาพเป็นอิริยาบถของพฤกษ์และฉัตรตะวันรวมไปถึงเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เขาจำได้ว่าหน้าสุดท้ายเป็นภาพถ่ายจบการศึกษาชั้นมอหก ในภาพนั้นทุกคนยืนถ่ายรูปรวมกันตามเลขที่ในห้องแต่เว้นที่เก้าอี้ว่างไว้ตัวหนึ่งเพื่อรำลึกถึงการสูญเสียไปของฉัตรตะวัน พฤกษ์มั่นใจว่าภาพนั้นจะเป็นเครื่องยืนยันหากสิ่งที่เขาคิดมันถูกต้อง กระทั่งเปิดไปหน้าสุดท้าย พฤกษ์ก็ต้องแข็งค้างเพราะตำแหน่งเก้าอี้ในภาพที่ควรจะเว้นว่างไว้กลับมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งยิ้มแย้มส่งมาที่กล้อง
ฉัตรตะวันยังไม่ตายและสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง
การมีอยู่ของตัวเขาที่ตายไปแล้วในอนาคตทำให้เหตุการณ์ในอดีตเปลี่ยนไป!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นฉัตรตะวันที่ติดต่อกลับมา คราวนี้พฤกษ์มีสติพร้อมมากกว่าเมื่อครู่แต่ก็ยังคงตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเพราะได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทที่ตายจากกันไปนานแล้ว
ฉัตรตะวันถือโทรศัพท์ฟังเสียงรอสายอยู่ได้ไม่นานเขาก็กดรับ
“คุณฉัตร” พฤกษ์เรียกเขาด้วยน้ำเสียงโหยหาอย่างปิดไม่มิด ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกระแอมเบา ๆ กลบเกลื่อนริ้วสีแดงบนหน้า
(ทำไมคุณพฤกษ์ถึงวางสายใส่ผมล่ะครับ) ฉัตรตะวันพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบายกว่าที่เขาจำได้เมื่อตอนมัธยมมาก ความรู้สึกเบาโหวงโล่งใจพลันเกิดขึ้นในอก เขาคงคิดถึงเพื่อนคนนี้เหลือเกิน
“ขอโทษครับ” ริมฝีปากบางเม้มแน่น พยายามหาข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นมากที่สุด “เผอิญเมื่อครู่แบตผมหมด”
(อ๋อ) ฉัตรตะวันลากเสียงยาวก่อนจะเข้าธุระ (อีกสิบนาทีผมจะเข้าไปหาคุณพฤกษ์ที่บ้านนะครับ)
“มาหาผมหรือ? ห๋า เรื่องอะไร” ปลายสายหัวเราะกับนิสัยที่แปลกไปจากปกติ ฉัตรตะวันไม่ได้ติดใจอะไรจึงพูดต่อว่า
(คุณพฤกษ์ลาป่วยนี่ เมื่อคืนก็ส่งข้อความไปบอกในไลน์ว่าวันนี้ผมจะอาสามาเอางานไปส่งที่มหาลัยให้ สงสัยจะถูกคุณพฤกษ์ดองแชทอีกเสียแล้ว)
เพิ่งรู้อีกอย่างจากฉัตรตะวันว่าตอนนี้เขาอยู่ในช่วงลาป่วย มิน่าล่ะ เมื่อคืนวานถึงได้รู้สึกหมดแรงเสียจนเกือบตกบันได พฤกษ์คุยกับอีกฝ่ายไม่กี่ประโยค ฉัตรตะวันก็ขอวางสายเพื่อขับรถต่อ ส่วนเขาก็เก็บอัลบั้มภาพนั้นกลับเข้าไปที่เดิมก่อนจะเดินมาที่โต๊ะทำงานที่มีหนังสือ ชีทเรียนและโน้ตบุ๊ควางอยู่ พฤกษ์นั่งลงบนเก้าอี้ สำรวจตัวตนของเขาในช่วงเวลานี้ก่อนสายตาเลื่อนไปเห็นรายงานเล่มหนึ่งที่ถูกวางเอาไว้แต่เมื่อพฤกษ์หยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันยังไม่เข้าเล่มให้เรียบร้อยดี ชายหนุ่มถอนใจ ตัวเขาก็ยังเป็นตัวเขา นิสัยที่โหมงานหนักจนล้มป่วยแก้ไม่เคยหายไปเลยจริง ๆ
พฤกษ์รวบรายงานทั้งหมดมาเคาะปึงกับโต๊ะเพื่อให้หน้ากระดาษเรียงกันเป็นระเบียบก่อนจะใส่เสื้อคลุมตัวยาวและถือรายงานที่ยังไม่สมประดีเล่มนั้นออกจากห้อง
ร่างโปร่งสวมสลีปเปอร์เดินลากเท้าอย่างอ้อยอิ่งลงมายังชั้นล่าง เหล่าแม่บ้านและคนงานที่เห็นเขาออกมาจากห้องในรอบสองวันต่างก็พากันไปหลบมุมและยื่นหน้าออกมามองด้วยแววตาเป็นประกาย
“ป้า! คุณพฤกษ์ยอมออกมาแล้ว! ” คนงานคนหนึ่งพูด
“ชู่วว เบา ๆ หน่อยซี่นังต่าย ประเดี๋ยวคุณพฤกษ์ก็ได้ยินหรอก”
“คุณพฤกษ์เขาจะทำอะไรหรือป้า ท่าทางดูเหมือนกำลังรอใคร”
ด้านหลังเหล่าแม่บ้านที่ยืนออปรากฏร่างของหญิงชรารูปร่างผอมคนหนึ่งพร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“งานที่ทำเสร็จแล้วหรือไงฮึ?”
เพียงเท่านั้นทุกคนก็พร้อมใจกันหน้าซีดและกระโจนออกจากมุมไปกันคนละทิศละทาง เมื่ออยู่ตัวคนเดียวหญิงชราก็บ่ายหน้า บ่นอะไรพึมพำที่พฤกษ์เดาเอาว่าคงไม่พ้นเรื่องที่คนงานแอบดอดมาดูเจ้านายเป็นแน่
พฤกษ์ที่ได้เห็นหญิงชราอีกครั้งก็ยิ้มกว้าง เธอคือคนที่อยู่ดูแลบ้านหลังนี้มาตั้งแต่ที่พ่อยังไม่แต่งงานกับแม่เสียด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ในไม่กี่คนในชีวิตที่พฤกษ์จะเคารพรัก แม่พลอยก็คือหนึ่งในนั้น โชคร้ายที่ในอนาคตแม่พลอยต้องด่วนมาจากเขาไปอีกคนเพราะโรคร้าย
อย่างว่า.. คนดีมักขึ้นสวรรค์เร็วเสมอ พระเจ้าคงจะหวงแหนไม่อยากให้คนเหล่านั้นต้องทนทุกข์อยู่กับคนเลว ๆ จึงมาพาพวกเขากลับไปอยู่ในที่ ๆ ควรอยู่
ทั้งฉัตรตะวัน แม่ของเขาและแม่พลอย
ร่างโปร่งน้ำตาตื้นเล็กน้อย ความสุขขุมหนึ่งสว่างไสวในอก แม่พลอยที่หันมามองจึงรู้สึกตกใจอย่างเสียไม่ได้และคิดว่าคุณพฤกษ์ของตนคงจะยังเสียใจที่ถูกพ่อของตนเองตบหน้าไปครานั้น
“คุณพฤกษ์ของยายเป็นอะไรไปคะ ยังเจ็บอยู่ตรงไหนหรือ?” มือที่เหี่ยวย่นจับสะเปะสะปะไปทั่วตามกรอบหน้าและร่างกายเพื่อหาร่องรอยบาดเจ็บ
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ..” พฤกษ์ยิ้มบาง เขาส่ายหน้า
“แค่รู้สึกคิดถึงแม่พลอยขึ้นมา”
“โถ่ ..คุณพฤกษ์ขา” แม่พลอยยิ้มละไมพลางยื่นแขนทั้งสองออกกว้าง พฤกษ์รีบโน้มตัวลงสวมกอดทันที จมูกโด่งซุกลงบนเนื้อผ้า กลิ่นอายนุ่มนวลของคนสูงวัยทำให้เขาลืมทุกอย่างไปจนหมดเหลือเพียงแต่ความสบายใจ
ช่วงแปดโมงเช้า ฉัตรตะวันมาสายกว่าเวลาที่บอกไว้ก็ขับรถคันงามเข้ามาจอดท่า คนงานที่อยู่ใกล้ทิ้งงานในมือไปช่วยเปิดประตูรถให้โดยเร็วและบอกทางมาหาเจ้านาย พฤกษ์ที่นั่งคอยอยู่ในสวนด้านหน้าวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะเมื่อร่างสูงของฉัตรตะวันเดินเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ชัดเจน
พฤกษ์หัวใจเต้นรัว ฉัตรในวัยยี่สิบปี เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีและเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว พอขึ้นมหาลัย อยู่ในชุดนักศึกษานิยมก็ฉายความหล่อเหลาออกมาอย่างปิดไม่มิด
คงจะเนื้อหอมน่าดูเลยล่ะสิเนี่ย..
“รอนานไหม” คำแรกที่เสียงทุ้มทัก ฉัตรตะวันนั่งลงตรงข้าม “พอดีผมเพิ่งเสร็จธุระจากอีกที่”
“ไม่ ..นาน” ยอมรับว่าเสียงยังสั่น พฤกษ์เลยกระแอมออกมากลบเกลื่อน เขายังเป็นไข้อยู่ อีกฝ่ายคงไม่สังเกตถึงความไม่ปกตินี้
“นี่งาน” พฤกษ์ดันรายงานไปตรงหน้า “ผมยังไม่ได้รวมเล่มเลย วานคุณฉัตรช่วยทีได้ไหม”
“ได้สิ” ชายหนุ่มหยิบรายงานเล่มนั้นขึ้นและใช้สายตาคม ๆ กวาดมองตัวหนังสืออย่างสนใจ “เป็นคุณก็ได้เสมอนั่นแหละ..”
“หืม?” พฤกษ์ได้ยินไม่ค่อยชัด ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดด้วยหรือรำพึงรำพันคนเดียว ฉัตรตะวันเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มกว้างเป็นคำตอบ
“ดีขึ้นบ้างหรือยังครับ”
พฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ เออออตามไป
“ก็ดี ดีขึ้นมากเลย พรุ่งนี้ก็น่าจะไปเรียนได้”
“ถ้าไม่ไหวจะลาอีกวันก็ได้ ผมเป็นห่วงนะ.. สุขภาพควรมาก่อนทุกอย่าง” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้พฤกษ์รู้สึกคันยุบยิบในอก เขาไม่รู้จะวางตาสายตาไว้ตรงไหนดีเพราะฉัตรตะวันเล่นจ้องเขาเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่างมากกว่านั้น
ไม่ใช่หรอก.. พฤกษ์ยับยั้งความคิดนั้นทันที
“หยุดเยอะเดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อนเอา อีกอย่าง ผมไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก เอ่อ..” พฤกษ์หยุดพูด เขากระแอม พูดว่า
“ขอบคุณคุณฉัตรที่เป็นห่วง”
ฉัตรตะวันเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทางก่อนที่ใบหูจะขึ้นริ้วสีแดงเถือกลามไปจนถึงหลังคอ ในอกเต้นระส่ำจนแทบจะหลุดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“บ้าจริง..” เขาพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาเกาแก้มแกรก ๆ ท่าทางกระดากอาย
“ผมว่าผมขอตัวดีกว่า ขืนอยู่นานกว่านี้คงไม่ไหว”
“อ่า ..” เขาสงสัย ที่ว่าคงไม่ไหวมันหมายถึงอะไร “งั้นผมเดินไปส่งที่รถ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณพฤกษ์ควรพักผ่อนเยอะ ๆ” พูดจบฉัตรตะวันก็เร่งลุกขึ้น พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นก็จนปัญญาที่จะเดินไปส่งตามที่ตั้งใจเลยลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการส่งแขกแทน
“เอาไว้คืนนี้จะคอลหานะ”
“ครับ” พฤกษ์ยิ้ม “คุณฉัตรขับรถดี ๆ ”
ฉัตรตะวันเดินออกไปด้วยท่าทางมีความสุข ทว่าพฤกษ์ที่ยืนมองแผ่นหลังนั้นอยู่ก็ต้องพบว่าชายหนุ่มที่เขากำลังเห็นคือภาพซ้อนความทรงจำจากกาลก่อน ตรงหน้านั้น พฤกษ์กลับเห็นฉัตรตะวันในชุดนักเรียนมัธยมปลายโชกไปด้วยเลือด ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในหัวใจทันทีพร้อมกับสองขาที่ก้าวเดินออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฉัตรตะวันรู้สึกถึงแรงยื้อบางอย่างจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เจอมือขาวที่กำลังกำเสื้อเชิ้ตนักศึกษาไว้แน่นจนยับ
“คุณพฤกษ์?” ฉัตรตะวันเอียงหน้า
พฤกษ์รู้สึกตัวทันที ภาพซ้อนความทรงจำหายไปแล้ว คงเหลือไว้เพียงแค่ฉัตรตะวันในวัยยี่สิบปี เขายังคงกำเชิ้ตสีขาวของอีกฝ่ายไว้แน่น ความรู้สึกถูกบีบรัดทรมานลามเลียไปทั่วหัวใจ ดวงตาของพฤกษ์ร้อนผ่าวคล้ายจะมีบางอย่างไหลออกมาในไม่ช้า ฉัตรตะวันเห็นสีหน้าเพื่อนของตนไม่สู้ดี ชายหนุ่มอยากจะเอ่ยอะไรแต่ริมฝีปากสีแดงเรื่อก็ชิงพูดออกไปทันที
“คุณฉัตร”
“...? ”
“ขอ ..ผมกอดคุณได้ไหม”
อีกด้านหนึ่งของสวน หลังพุ่มต้นแก้วที่ชู่ช่องดงาม ปรากฏร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง อินทรชิตยืนมองบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์แต่ทว่าดวงตากลับวูบไหวคล้ายจะเห็น ‘ความไม่พึงพอใจ’ ปรากฏอยู่รำไร
ดอกแก้วช่อหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ใกล้ ๆ ถูกฝ่ามือเรียวขยำเสียจนกลีบดอกสีขาวแตกระแหงและร่วงลงบนพื้นอย่างน่าสงสาร
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากของตนจนช้ำเลือด
..ความเจ็บปวดที่คุ้นชินแล่นริ้วขึ้นมากลางอกอีกครั้ง เขารู้จักมันดี ความรู้สึกที่ถูกแย่งของรัก
-----------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ