คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) 00 03
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 03
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พฤกษ์จงใจเดินไปยังรถยนต์ให้ช้าลงเพื่อให้เด็ก ๆ ที่ยืนรออยู่ได้สวัสดีเขาก่อนไปโรงเรียน
“สวัสดีครับคุณพฤกษ์! ” พงพีพูดขึ้นเป็นคนแรก เสียงดังและฉะฉาน
“สวัสดีครับคุณพฤกษ์ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ” ตามด้วยอินทรชิตที่ยืนยิ้มสดใสกว่าใคร
“สวัสดีค่ะ..” พฤกษ์พยักหน้ารับไปครั้งหนึ่งก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหญิงผมเปียที่ยืนหน้าตูมตั้งแต่เช้า เขาหรี่ตาลง ดวงหน้าสดใสของมาลีวัลย์ดูเศร้าหมองจนเห็นได้ชัด
อะไรหนอ เด็กตัวแค่นี้มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ใจนักหนา
“มะลิ เป็นอะไรไหม” พฤกษ์ได้ยินเสียงคนเป็นพี่อย่างพงพีถามพร้อมกับอินทรชิตที่ยกมือขึ้นอังหน้าผาก
ช่างเป็นภาพที่ดูเหมือนเป็นครอบครัวมากกว่าเขาที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเด็กพวกนี้เสียอีก
“ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมถึงดูซึม ๆ ”
“ใครแกล้งมาหรือเปล่า? ”
พฤกษ์พูดขึ้นหยั่งเชิงเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไป แต่ปรากฏว่ามาลีวัลย์มีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยทันที เด็กหญิงก้าวถอยหลัง ดวงตากลมโตสั่นคลอนเล็กน้อย มาลีวัลย์คล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที สุดท้ายจึงได้แต่ส่ายหน้าไหว ๆ จนหางเปียปลิว เด็กหญิงพูดว่า
“มะลิไม่สบาย.. ปวดหัว เมื่อคืนนอนดึกคะ.. ค่ะ”
“จริงหรือ” เขาเหยียดตามองต่ำ มาลีวัลย์รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงเรื่อย ๆ เมื่อถูกคุณพฤกษ์คาดคั้นด้วยสายตาจับพิรุธบางอย่าง เด็กหญิงจึงกลั้นใจพูดออกไปเสียงเบาหวิว
“ค่ะ..”
กิริยาลอกแลกแบบนั้นหากเป็นเด็กด้วยกันอย่างพงพีคงไม่ทันได้สังเกตเห็นอาการของน้องสาวเป็นแน่ แต่ไม่ใช่กับคนมีวุฒิภาวะอย่างพฤกษ์ที่ดูออกอย่างง่ายดายในทันที เขาเก็บเรื่องมาลีวัลย์ไปคิดในใจเงียบ ๆ ไม่ได้ถามต่อหรือเซ้าซี้อะไรให้ผิดวิสัย จากนั้นจึงขับรถออกจากออกไปตามปกติ
อินทรชิตมองตามหลังรถยนต์สีดำคันหรูของคุณเขาไปจนลับหายสุดสายตาก่อนจะหันกลับมามองเด็กหญิงข้างกายที่มีสีหน้าวิตก เด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงคำพูดที่คุณพฤกษ์ทิ้งเอาไว้
“มะลิ เลิกเรียนแล้วพี่ไปรับที่ห้องนะ”
พฤกษ์เจอกับฉัตรตะวันที่ลานจอดรถพอดี ทั้งคู่จึงตกลงที่จะเดินเข้าตึกพร้อมกัน ระหว่างทางเดินฉัตรตะวันยื่นหนังสือเล่มหนึ่งที่ห่อปกอย่างดีให้ พฤกษ์รับมันมา เป็นหนังสือเล่มเดิมที่เขาอ่านไม่จบในคาเฟ่เมื่อสองสามวันก่อน
“คุณฉัตรไม่น่าลำบากเลย” ใช่ ไม่น่าลำบากเลยเพราะพฤกษ์เพิ่งกดสั่งซื้อหนังสือชุดนี้จากเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ไปแล้วในวันเดียวกัน
“ลำบากตรงไหนครับ ใช้เงินซื้อมาไม่ได้ขอฟรี ๆ เสียหน่อย”
พฤกษ์หัวเราะ พูดขอบคุณเสียครั้งหนึ่งก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า
“คุณพฤกษ์ชอบวรรณกรรมเด็กหรือ ผมไม่ยักรู้ นึกว่ายังชอบอ่านพวกนิยายแปลสืบสวน ฆาตกรรม สยองขวัญอะไรพวกนี้เสียอีก”
“อยากลองเปลี่ยนแนวบ้าง อยากเสพอะไรที่มันอ่านง่ายย่อยง่าย เบื่อจะอ่านอะไรที่ต้องใช้ความคิดแล้ว”
“รสนิยมเปลี่ยนเร็วจนน่ากลัวเหมือนกันนะ”
“คนเราไม่มีวันเหมือนเดิมหรอกครับคุณฉัตร” พฤกษ์หยุดเดินและส่งยิ้มให้เพื่อน “เมื่อวานเป็นอีกคน พรุ่งนี้เป็นอีกคน ใครจะไปรู้ได้ ตรงหน้าคุณอาจจะเป็นคนอื่นไม่ใช่เพื่อนคุณคนเดิม”
“น่ากลัว พูดเหมือนพล็อตหนังสยองขวัญเลยแฮะ” พฤกษ์ไม่พูดอะไรได้แต่ยกยิ้ม ฉัตรตะวันมองรอยยิ้มนั้น สายตาเขาก็พลันอ่อนโยนลง อดไม่ได้ที่มอบรอยยิ้มส่งตอบอีกคนไป
“แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นใครกันนะ? ”
พฤกษ์หัวเราะฮึในลำคอ
“ก็ยังเป็นผมไงล่ะครับ”
“คนเดิม? ” ชายหนุ่มหรี่ตาลง
“เดาดูสิ”
“ผมยอมแพ้” ฉัตรตะวันยกฝ่ามือขึ้น แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่จำเป็นต้องแข่งขันอะไรกับเพื่อนสนิท เราทั้งสองเท่าเทียมกันทุกอย่าง หน้าตา ฐานะและความรู้ความสามารถ หรือต่อให้แข่งขันกันจริง ๆ เขาก็ยอมที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และให้พฤกษ์ได้กำชัยชนะ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ และจะคงเป็นเสมอไป
พวกเขาเดินคุยสัพเพเหระไปเรื่อยจนเดินมาถึงใต้ตึก ฉัตรตะวันมองหาโต๊ะม้านั่งตัวยาวว่าง ๆ ได้จึงจูงมือเขาตรงเข้าไปจับจองทันที เสียงพูดคุยเซ็งแซ่เงียบลงพร้อมนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นพากันจ้องมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว
“เป็นคนดังก็น่าอึดอัด” ฉัตรตะวันเปรยขึ้น “รู้อย่างนี้คงไม่ประกวดดาวเดือนอะไรนั่นหรอก”
“ที่แท้คุณฉัตรเป็นเดือนคณะเองหรือนี่” ฉัตรตะวันขมวดคิ้ว และเหมือนพฤกษ์จะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรผิดพิรุธไปเลยแสร้งหันหน้าไปมองอย่างอื่นแทน ทิ้งให้สายตาคมของอีกคนค้างคาไปด้วยความสงสัย
“คุณพฤกษ์ก็พูดแปลก ทั้งที่ตอนปีหนึ่งเป็นคนขู่เข็ญให้ผมประกวดเองแท้ ๆ ”
“ผมหรือขู่เข็ญคุณ? ”
“ใช้คำว่าขู่อาจจะนุ่มนวลไปน่ะสิ คุณพฤกษ์น่ะบังคับข่มขู่ผมต่างหาก” ฉัตรตะวันว่าพลางทำทีร้องไห้กระซิกกระซี้ ดูน่าหยิกไม่สมตัวจนพฤกษ์อดไม่ได้ที่จะชกเบา ๆ ตรงสีข้างไปทีจนอีกคนเซเล็กน้อย
“ดัดจริต” ฉัตรตะวันขำพรืด
“ดูพูดเข้า ปากร้าย แต่ผมเปล่าดัดจริตนะ คุณพฤกษ์ทำแบบนั้นจริง ๆ ~”
“ไม่พูดด้วยแล้วครับ ปวดหัว”
ถึงจะบอกว่าไม่พูดด้วยอีกแต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวฉัตรตะวันก็ริเริ่มชวนเขาคุยไปเรื่อยอีกครั้ง พฤกษ์นั่งคุยสัพเพเหระราวสิบนาทีก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นที่หน้าลิฟต์ไม่ไกลจากที่พวกเขานั่งอยู่
พฤกษ์หันไปมองโดยทันทีในขณะที่ฉัตรตะวันเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรไปเรื่อยแทน ตรงหน้าลิฟต์ เกิดเหตุการณ์บางอย่าง พฤกษ์ดันแว่นตาที่ตกลงขึ้นและมองอย่างสนอกสนใจ คล้ายจะเป็นการวิวาทของนักศึกษาหญิงสองคน คนหนึ่งใส่กระโปรงรัดทรวดทรง ผมยาวสยาย ริมฝีปากแดงจัด เสื้อเชิ้ตนักศึกษาของเธอเปื้อนของเหลวอะไรบางอย่างเป็นดวง พฤกษ์รู้จักผู้หญิงคนนี้ดีเพราะเธอคือ ริต้า เป็นพี่รหัสของเขาที่อยู่ปีสาม ส่วนคู่กรณีนั้น พฤกษ์เห็นหน้าไม่ชัดเท่าไรนักเพราะมีคนยืนล้อมดูเหตุการณ์เป็นวงกลม
“คนจะตบกันหรือไง ถามจริงเถอะ ในสถานศึกษาเนี่ยนะ” พฤกษ์เปรยขึ้น ฉัตรตะวันที่ได้ยินเช่นนั้นจึงละหน้าจากจอขึ้นมา พูดยิ้ม ๆ
“ออกจะบ่อยครับ คุณพฤกษ์อย่าสนใจเลย” ชายหนุ่มก้มลงอ่านหน้าจอโทรศัพท์ “ดูเหมือนในไลน์ อาจารย์จะแคนเซิลคลาสนะ เสียเที่ยวจริง เอาอย่างไรกันดี ไปดูหนังกับผมสักเรื่องไหม? ”
“แต่ นั่น..ริต้า เธอเป็นพี่รหัสผม”
“ริต้า? อ้อ คุณพฤกษ์ไม่ต้องห่วงว่าเธอจะเจ็บตัวหรอก เธอตบเก่งจะตายไป”
“...” พฤกษ์ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทว่าในอกกลับวูบไหวน่ากลัว เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดว่ามันจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเขา
ตรงหน้าลิฟต์ หลี่เหมาเหมายืนตัวสั่นงันงก หน้าของเธอซีดขาวทันทีที่รู้ว่าคนที่ตนเองเดินทะเล่อทะล่าไปชนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่กลับเป็น ริต้า ป้ารหัสของเธอเอง
แต่เวรซ้ำกรรมซัด เธอยอมเดินชนคนทั้งโลกยังจะดีเสียกว่าเดินชนผู้หญิงที่ชอบมองราวกับเธอเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่งที่น่ากำจัดทิ้งไปเสียแล้วโลกจะสะอาดขึ้นจม สีหน้าริต้าตอนนี้มองแทบไม่ออกว่าคือคนหรือมารร้าย ใบหน้าบูดเบี้ยว คิ้วเครียดตึง ขบฟันแน่นจนดังกรอด ๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย วินาทีต่อมาหลี่เหมาเหมาถูกเธอผลักให้ล้มลงไปโดยแรง แก้มเนียนข้างหนึ่งสัมผัสความเย็นของพื้นปูลายหินอ่อนและแว่นสายตาที่หลวมเพราะความเก่าก็หลุดหายไป เธออับอายและอยากหนีหายไปจากตรงนี้ อยากหายตัวไปเลยในทันที ไปที่ไหนก็ได้เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าคนที่มุงดูเธออยู่ทั้งใกล้ไกลเริ่มโห่ฮาและผิวปาก บ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย บ้างก็ส่งเสียงพูดคุย
แต่กลับไม่มีใครเลยที่กล้าหาญพอจะเดินเข้ามาพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน
มันคือสิ่งที่หลี่เหมาเหมาเจอมาตลอดทั้งเทอม
“เหมาเหมา! นี่เธอตาบอดหรือไง มีตั้งสี่ตามัวไปมองอะไรอยู่!! สะเหล่อไม่ดูเวล่ำเวลา!!! ” เธอพูดเสียงกร้าวหมายจะให้ความอับอายของหลานรหัสได้ยินกันโดยทั่วบริเวณ หลี่เหมาเหมาเม้มปากสั่นระริก เธออยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ขอ ขอโทษนะคะ พี่ริต้า เหมาเหมาไม่ได้ตั้งใจ”
“ขอโทษแล้วเสื้อฉันจะกลับมาสะอาดเหมือนเดิมไหม! ทำเป็นแค่พูดขอโทษหรือไง!! ”
เหมาเหมาพยายามควานหาแว่นตาที่หลุดหายไปของตนเอง ทัศนวิสัยของเธอพร่ามัวจนย่ำแย่ ด้วยค่าสายตาที่สั้นเกือบหนึ่งพัน เธอไม่สามารถแยกออกได้ว่าที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร ผู้คนรอบข้างมีหน้าตาราวกับถูกโมเสกปิดบังเอาไว้เหมือนกันหมด ริต้าเห็นหนทางนั้น เธอใช้ปลายเท้าเรียวที่ห่อด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างดีเตะแว่นสายตาของหลานรหัสปลิวออกไปไกลและไม่มีใครรู้ว่ามันได้หลุดเข้าไปในซอกไหนหรือหลืบใดของใต้ตึกแห่งนี้
หลี่เหมาเหมาเห็นการกระทำร้ายกาจนั้นจะแม้เพียงเลือนลางก็ทรมานใจเจียนตาย ทำไมคนอย่างเธอถึงต้องมาตกนรกทั้งเป็นอย่างนี้ด้วย! เธอไม่เคยว่าร้ายใคร ไม่เคยหยามน้ำใจใครหรือทำให้ใครเจ็บแค้น แล้วทำไม ทำไมเธอต้องถูกผู้คนมากมายที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักระบายความเกลียดชังใส่อยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน
เธอมีความรู้สึก เจ็บได้ รักเป็น และเป็นคนเหมือนกับผู้คนเหล่านั้น แต่แล้วทำไมถึงไม่มีใครปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นคนเลยล่ะ?
“ขอโทษ ขอโทษค่ะ ..ขะ ขอโทษ จะชดใช้ให้ค่ะ” เธอพร่ำพูดซ้ำไปเรื่อยไม่ยอมหยุด แต่คนที่ยืนค้ำหัวกลับปรายสายตามองลงมาที่เธอด้วยความคิดบางอย่าง
“ชดใช้หรือ? ” ริต้าเธอหัวเราะ กวาดสายตาโดยรอบเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างจนไปหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่ง ริต้าก้าวเท้ายาว ๆ ไปคว้าขวดน้ำเปล่าของใครก็ไม่ทราบที่วางเอาไว้ มันเพิ่งถูกซื้อมาและยังไม่ได้เปิดดื่ม คาดคะเนว่าเจ้าตัวคงลืมทิ้งเอาไว้ เธอไม่รั้งรอ เดินกลับไปหาหลี่เหมาเหมาที่เพิ่งยันตัวเองให้ลุกขึ้น ทว่ายังไม่ได้ทรงตัวให้ดีก็ถูกริต้าผลักให้ล้มลงไปเช่นเดิม เสียงคนรอบข้างขบขัน ท่าทางราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่งก็ไม่ปาน และริต้าก็ทำในสิ่งที่ทุกคนเดาออกได้ เธอเปิดขวดน้ำและเทราดลงไปบนศีรษะของหลี่เหมาเหมาจนหมดขวด น้ำจำนวนมากไหลรดและแทรกซึมไปตามร่างกาย เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวเปียกชุ่มจนเห็นเสื้อชั้นในสตรีสีดำชัดเจน เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงผู้ชายร้อง ‘อู้ว’ ขึ้นเป็นระยะจนน่าขยะแขยง มันทุเรศจนเธออยากจะหายไปจากโลกบ้า ๆ นี่เสียที
และในที่สุด ความอดทนบางอย่างของหลี่เหมาเหมาก็พังทลายลง เธอไม่ได้ลุกฮือขึ้นมาต่อสู้และเอาคืนริต้าด้วยการตบสักฉาดเหมือนในละครค่ำ แต่สิ่งที่เธอพึงกระทำได้คือการร้องไห้..
ใช่ เธอแค่ร้องไห้ออกมา
พฤกษ์กระชากตัวเองออกจากเก้าอี้โดยแรงแต่กลับถูกรั้งข้อมือไว้โดยเพื่อนสนิท ฉัตรตะวันมองมาด้วยแววตาเรียบนิ่งและส่ายหน้า
“อย่า” ฉัตรตะวันพูด แต่เขากลับไม่สน
“คุณพฤกษ์อย่าไปยุ่งเลยครับ เรื่องของคนอื่น” พฤกษ์ขืนตัวจากแรงของอีกฝ่ายแต่ไม่ว่าจะแงะอย่างไรก็สู้แรงของฉัตรตะวันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“คุณทำอย่างนี้ตลอดเลยหรือเปล่าเวลาที่เห็นเธอโดนแบบนั้น”
“แน่นอน ผมทำทุกครั้ง” ชายหนุ่มพูด “คุณพฤกษ์ก็ด้วย”
คำตอบนั้นทำเอาเจ็บเสียดไปทั่วร่าง พฤกษ์รู้สึกว่ากำลังจมอยู่ในน้ำและหายใจไม่ออก เขาในกาลนี้ปล่อยให้คนที่ดีกับตัวเองต้องเจอกับเรื่องแบบนี้โดยไม่ช่วยเหลือมานานตั้งเท่าไหร่กันแล้ว
“นั่นมันเมื่อก่อน ผมไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกแล้ว”
“ผมไม่เข้าใจ มีเหตุผลอะไรต้องไปยุ่งกับเธอ”
“เหตุผล? จะไปช่วยเหลือใครต้องมีเหตุผลด้วยหรือครับ! อ้อ!! ถ้าสมมติคนที่ถูกทำแบบนั้นเป็นผม คุณฉัตรจะมานั่งหาเหตุผลแบบนี้ไหม!? ”
“ใช่! เหตุผลก็คือคุณเป็นเพื่อนของผม เรารู้จักกัน แค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้ผมไปช่วยคุณอยู่แล้ว”
“ถ้าเหตุผลของคุณคือคำว่ารู้จัก ผมก็รู้จักเหมาเหมา เธอเป็นน้องรหัสผม แค่นี้มันมากพอที่จะทำให้คุณปล่อยมือผมได้หรือยัง!! ” ฉัตรตะวันบีบข้อมือเขาแน่นขึ้นอีก แต่พฤกษ์ไม่สนอะไรแล้ว เขายกมือขึ้นกำคอเสื้อเชิ้ตนักศึกษาของอีกฝ่าย ดวงตาที่เคยไร้ความรู้สึกฉายความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ฉัตรตะวันไม่เคยเห็นมาก่อน
“ปล่อย”
“คุณพฤกษ์ ผมหวังดีกับคุณนะ”
“ถ้ายังไม่ปล่อย ผมจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ”
“....”
“แล้วก็ช่วยถอดแจ็คเก็ตคุณออกมาด้วย” เคยบอกแล้วใช่ไหม ..ว่าคนอย่างฉัตรตะวันจะต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับพฤกษ์อยู่เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่หรือเรื่องอะไร
ท่ามกลางความรู้สึกขบขันของเหล่านักศึกษา ความรู้สึกสาแก่ใจของริต้าและความรู้สึกอับอายของหลี่เหมาเหมา เสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งก็ถูกทาบลงมาที่ไหล่ของเธอและโอบคลุมปิดบังไปถึงทรวงอกอย่างอ่อนโยน บรรยากาศรอบข้างเงียบกริบ ไม่มีใครหัวเราะหรือผิวปากออกเลยแม้แต่คนเดียว ผู้คนต่างพากันอ้ำอึ้งและนิ่งค้างราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง หลี่เหมาเหมาสะอื้นฮักจนตัวสั่นเทิ้ม แม้จะมองไม่ชัดเจนว่าใครที่เป็นคนก้าวเข้ามายืนเคียงข้างตนเองในเวลาที่ย่ำแย่นี้ แต่ด้วยกลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว เธอจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือพี่รหัสของตนเอง
“พี่.. พี่พฤกษ์” พฤกษ์ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่สวมแจ็คเก็ตให้และจูงมือเธอเดินออกไปจากผู้คนที่มาห้อมล้อมอย่างเงียบเชียบ
“หลีก” เขาพูดกับกลุ่มคนที่ยืนแข็งค้าง ผู้คนจึงค่อยได้สติและกุลีกุจอต่างพากันหลีกทางให้คนดังของคณะเดินได้สะดวก
เป็นริต้าที่ได้สติอีกคน เธอกำหมัดแน่น เริ่มออกวิ่งและเขวี้ยงขวดเปล่าใส่หลังของพฤกษ์ตามมาติด ๆ
“พฤกษ์! หยุดนะ!! นายทำบ้าอะไร!!! หยุด!!!! ” แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดเดิน กระทั่งเธอเหวี่ยงจัด ก้าวขายาวขึ้นและเมื่อถึงตัวน้องรหัสก็คว้าไหล่ของพฤกษ์ให้หันกลับมาโดยแรง พฤกษ์เซไปอีกทาง ท่าทีเหมือนจะล้มลงเพราะมือยังจับหลี่เหมาเหมาเอาไว้อยู่แต่ก็เป็นฉัตรตะวันที่แทรกตัวมารับไว้ได้ทัน
“เล่นแรงเกินไปแล้วครับพี่ริต้า” ฉัตรตะวันดันพฤกษ์และหลี่เหมาเหมาให้อยู่ด้านหลังและตนเองก้าวมายืนด้านหน้า ประชันกับริต้าอย่างสูสี
“นายก็อีกคนนะฉัตร! เกิดนึกอยากเป็นคนดีขึ้นมาหรือไง!? ปกติสนใจยายนั่นด้วยหรือ!! ”
“ผมว่าพี่ริต้ากำลังเข้าใจผิดนะ” ฉัตรตะวันมองหน้าเธอด้วยความไม่พอใจ แววตาวาวโรจน์จนริต้าสะเทือนไปเล็กน้อย
“ผมไม่สนว่าพี่จะทำทุเรศกับใครบ้าง แต่คน ๆ นั้นต้องไม่ใช่กับพฤกษ์เพื่อนของผม เมื่อกี้พี่ริต้ารู้ตัวไหมว่าเกือบผลักเพื่อนผมล้มลงไปกับพื้นแล้วนะครับ”
“....”
“พื้นมันสกปรก พฤกษ์เพื่อนผมเขารักสะอาด” ฉัตรตะวันยิ้มละมุน ก้าวเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางเป็นมิตรและสุภาพ ชายหนุ่มก้มลงต่ำ กระซิบข้างแก้มเธอแผ่วเบา
“ถ้ายังไม่หยุด ผมจะทำให้หยุดเอง”
“.....”
“ดูเหมือนคุณวิรุจน์พ่อของพี่ริต้ากำลังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายอยู่นะครับ ถ้าพี่ยังดื้อดึง และเกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้นกับคุณพ่อ”
ริต้าหน้าซีดเผือด ร่างกายพลันอ่อนแรงจนยืนไม่ตรง เธอรู้สึกราวกับว่าเสียงกระซิบของฉัตรตะวันนั้นราวกับยมทูตไม่มีผิด
“ผมไม่รู้ด้วยนะ”
“คุณพฤกษ์จะทำอย่างไรกับเธอต่อ” ฉัตรตะวันมองไปที่หลี่เหมาเหมา เธอกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนฟุตบาทข้างรถยนต์ของพวกเขาทั้งสอง
“ผมจะไปส่งเธอ”
“เอาจริงหรือครับ”
พฤกษ์ไม่ตอบแต่เดินสะบัดหน้าไปทางที่หลี่เหมาเหมานั่งคุดคู้อยู่ เพียงเท่านั้นฉัตรตะวันก็เป็นต้องถอนหายใจโดยแรง ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังโกรธเขาจากการโต้เถียงกันเมื่อครู่
พฤกษ์มาหยุดยืนตรงหน้าน้องรหัส และอีกฝ่ายก็รับรู้ถึงการมาของเขา หลี่เหมาเหมาเงยหน้าเปื้อนน้ำตาดูน่าสังเวชขึ้นมามองเขา
“ยืนไหวนะ” พฤกษ์ก้มตัวลงจับแขนเธอให้ลุกยืน
“กลับบ้านกัน ฉันจะไปส่ง” ฉัตรตะวันที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็ห้ามใจไม่ให้ตนเองคิดไปไกลไม่ได้ เขากลัวว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้จะก่อเกิดความสัมพันธ์บางอย่างในใจของคนทั้งคู่
ไม่ได้.. มันจะเกิดขึ้นไม่ได้
“ให้ผมไปส่งเธอดีกว่า” ฉัตรตะวันก้าวเข้ามาโดยทันที ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอาเธอไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งแทน ทว่าหลี่เหมาเหมาที่เห็นหน้าเขาก็ขวัญกระเจิงจนมุดหน้าแอบอยู่ด้านหลังของพฤกษ์และไม่ออกมาอีกเลย
“หลีกไป” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้น ติดจะเย็นชาจนน่ากลัว “นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณไม่ใช่หรือครับ”
ฉัตรตะวันได้แต่กำหมัดแน่น ไม่คิดว่าคำพูดที่เคยพูดออกไปตอนนี้มันได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองเสียแล้ว
“บ้านเธออยู่ตรงไหน” พฤกษ์ถามขึ้นขณะที่กำลังขับรถออกมาจากมหาวิทยาลัย
“..ยังไม่อยากกลับ” เธอพูดเสียงหงอยก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง พฤกษ์จนปัญญาจะคั้นเอาคำตอบเลยได้แต่ขับรถเล่นไปเรื่อย หันมาอีกครั้งหญิงสาวก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
เขาถอนหายใจ ค่อย ๆ จอดรถและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ไม่นานปลายสายก็รับ
“แม่พลอย วานช่วยเตรียมห้องนอนแขกไว้สักห้องนะครับ ..ครับ ขอบคุณครับ”
เลิกเรียนวันนี้ อินทรชิตเดินขึ้นอาคารเรียนฝั่งประถมเพราะให้คำมั่นกับมาลีวัลย์ว่าจะไปรับ ให้น้องคอยอยู่ที่ห้อง ส่วนพี่ชายอย่างพงพีตอนนี้กำลังเล่นฟุตบอลอยู่กับเพื่อนในสนาม เด็กหนุ่มเลยตกลงกันว่าจะให้พงพีรออยู่ที่สนามส่วนเขาจะไปรับน้องสาวด้วยตนเอง พอไปถึง เสียงเอะอะมะเทิ่งก็ดังออกมาจากในห้อง ภาพตรงหน้าคือมาลีวัลย์กำลังถูกเพื่อนในห้องรุมรังแกโดยการดึงทึ้งผมเปียทั้งสองจนหลุดลุ่ย
คำพูดของคุณพฤกษ์ยังคงอยู่ในหัวของเขา
‘ใครแกล้งมาหรือเปล่า? ’
อินทรชิตยืนคิด เด็กหนุ่มควรจะทำอย่างไรหนอให้สมกับที่ตนเป็นพี่ชาย หากโพล่งเข้าไปเลยเด็กเลวพวกนั้นอาจจะหนีหายไป ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะให้ใครเชื่อและวันต่อมามาลีวัลย์อาจจะถูกรังแกอีก ซ้ำร้ายอาจจะโดนหนักกว่าเดิม อินทรชิตกำหมัดแน่นอยู่สักพัก ไม่นานเขาก็ถอยหลังออกมาและเดินตรงไปยังห้อง ๆ หนึ่งทันที
ห้องพักครู..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ