โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
6.3
10) ข้าคงต้องสอนเจ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อเห็นคู่สนทนาไม่เอ่ยอะไรอีก
เอาแต่ยืนนิ่งเป็นรูปสลักหิน
ฟิโลโซเฟอร์จึงเริ่มซุกซนอีกครั้ง
เขาลากปลายนิ้วจากปลายคางสู่ลำคอขาวผ่อง
แล้วทำท่าจะเลื้อยต่ำลงเรื่อยๆ
อีกฝ่ายรีบคว้ามือข้างนั้นไว้ไวยิ่งกว่างูฉก
“ อย่ามาล้อเล่นกับข้า ”
หนุ่มน้อยคนนั้นพูด
น้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว
“ อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่น ”
นอกจากจะไม่กลัวแล้ว
ฟิโลโซเฟอร์ยังแกล้งทะเล้นได้อีก
ดารีลจ้องเด็กชายด้วยประกายตาสุดประหลาด
“ อยากโดนกัดอีกหรือไง ”
เขาทำเสียงดุ
“ แล้วแต่เจ้าสิข้าอย่างไรก็ได้ ”
ไม่ใช่ว่าไมเจ็บ
แต่ในความเจ็บยังมีความวาบหวามน่าถวิลหา
จนเด็กชายแอบติดใจเล็กๆ
“ ข้าคงต้องสอนเจ้า ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ไม่จำเป็น เพราะข้าไม่มีความคิดอยากกัดเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอรีบบอก
“ ข้าจะสอนเจ้าว่ายน้ำ อย่างน้อยจะได้แน่ใจว่าหากข้าไม่มีข้าอยู่ด้วยเจ้าจะไม่ตาย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามเจ้าจะต้องเอาตัวรอดได้ ”
ดารีลโน้มริมฝีปากเข้าหาลำคอของเด็กชาย
ทำท่าเหมือนจะกัดแต่ก็หยุดเพียงเท่านั้น
เขารวบมือเด็กชายทั้งสองข้างจับไพล่หลังเอาไว้
“ ตัวสั่นนี่นาหนาวหรืออย่างไร บางทีผ้าห่มอุ่นๆ คือสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดในเวลานี้ ”
“ ไม่ใช่หรอก ”
เด็กชายปฏิเสธ
“ เปลี่ยนใจยังทันนะ ”
ดารีลว่า
เขาดันเด็กชายตัวน้อยไปยืนบนก้อนหิน
เพื่อให้ปีนกลับขึ้นฝั่งได้เอง
เมื่อปล่อยมือให้เป็นอิสระ
เด็กชายคนนั้นกลับปลดเสื้อคลุมของตนออกจนหมดสิ้น
แล้วโอบแขนรอบคอของดารีลเอาไว้
“ บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้หนาวแถมยังไม่ง่วง เอาแต่ไล่ไปนอนแบบนี้มีแผนอะไร ”
“ มีคนเตือนเจ้าหรือยัง ว่าข้านอกจากจะชอบใช้ความรุนแรงแล้วยังเอาแต่ใจตนเอง ให้โอกาสเปลี่ยนใจอีกครั้งก่อนที่จะเจ็บตัวมากไปกว่านี้ ”
คนอายุมากกว่าขู่
“ น่ากลัวจัง แต่ข้าโดนเจ้ากัดหลายรอบแล้วยังไม่เคยขัดขืน สงสัยนักว่าเจ้าชอบใช้กำลังแบบไหนอีก ”
ฟิโลโซเฟอร์แกล้งทำเสียงยั่วโมโห
หนุ่มน้อยคนนั้นจึงค่อยๆ ถอยหลัง
พาสู่น้ำลึก
“ แท้จริงแล้วข้าไม่เคยปราณีใคร แต่ถ้าเจ้าเจ็บก็ร้องได้นะ ข้าไม่ถือสาหรอก ”
ดารีลนั้นดูอ่อนหวานและบอบบางแต่นั่นเป็นแค่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
ตัวตนแท้จริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เขากดร่างของเด็กน้อยให้ค่อยๆ จมลงไป
แล้วพาม้วนตัวสู่ความดำมืดและลึกลับใต้ผืนน้ำ
ฟิโลโซเฟอร์จำได้ว่ามันทั้งทรมานและหนาวเย็น
หนุ่มน้อยคนนั้นแทบจะฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ
แต่พวกเขาก็ยังจับมือกันแน่นไม่เคยปล่อย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เด็กชายฟื้นขึ้นบนที่นอนอบอุ่นของตนเอง
หนุ่มน้อยผู้งดงามใช้ผ้านุ่มๆ บรรจงเช็ดไปตามร่างกายของเขา
ในเวลานี้รู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่าง
จนเผลอครางออกมา
ดารีลจึงหันมาสนใจคนบาดเจ็บทันที
หนุ่มน้อยคนนั้นใช้นิ้วลูบไล้ปลายคางอย่างทะนุถนอม
ฟิโลโซเฟอร์ได้โอกาสยืดแขนขึ้นโอบรอบคอของเขา
“ เจ้าอย่าหาเรื่องจะดีกว่า ”
เจ้าของร่างงามเอ่ยเตือน
พลางกวาดสายตาดูรอยช้ำตามจุดต่างๆ
จูบย้ำๆ ตามรอยแผลที่เขาเองเป็นผู้ก่อ
เป็นความอ่อนโยนดุจผู้สำนึกผิดแต่สายตานั้นพร้อมขย่ำเหยื่อทุกเมื่อ
“ ข้าบอกให้เจ้าร้องถ้ารู้สึกไม่ดี นิ่งเงียบแบบนั้นข้าเดาไม่ถูกหรอก คราวหลังยังทำแบบนี้เกิดถึงตายขึ้นมาจะยุ่งเอานะ ”
“ มีคราวหลังด้วยหรือ ”
เด็กชายแกล้งทำตาโต
“ ดารีลคนปรกติที่ไหนเขาตะโกนในน้ำได้ อีกอย่างข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะดำน้ำได้นานขนาดนั้น ”
“ ข้าตั้งใจฝึกให้เจ้าดำน้ำลึก เจ้าก็เอาแต่เล่นแผลงๆ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองควรทำได้ดีกว่านี้ ”
หนุ่มน้อยต่อว่า
“ แล้วข้าทำได้ไม่ดีหรือไร ครั้งแรกของข้าแท้ๆ เจ้าจะไม่ให้โอกาสหน่อยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ท้วง
“ ก็ไม่ได้แย่แต่ข้ากลัวเจ้าจะตายเอา ”
“ ได้ตายในมือเจ้าก็นับว่าคุ้มแล้ว ”
เด็กชายเอ่ยทีเล่นทีจริง
แต่กลับไปสะกิดแผลเดิมเข้าโดยไม่ตั้งใจ
เพราะนั่นเคยเป็นคำกล่าวของเจ้าหญิงลูเซียน่า
หนุ่มน้อยรูปงามกัดฟันกรอด
แล้วกระโจนขึ้นไปคร่อมร่างฟิโลโซเฟอร์เอาไว้
ทำท่าจะจับหักคอเสียให้ได้
“ ทำไม ข้าพูดผิดหรือ ”
เด็กชายรู้สึกงุนงงกับท่าทีนั้น
“ เจ้าไม่รู้อะไรล่ะก็หุบปากไปเลย ”
ดารีลตวาด
“ เป็นความจริงสินะข้าพูดผิดเช่นนั้นข้าจะไถ่โทษให้ ”
เขาจับแขนข้างหนึ่งของดารีลดึงให้ล้มลงไปนอนข้างๆ
แล้วเป็นฝ่ายพลิกขึ้นไปอยู่ด้านบน
แต่เด็กชายก็อยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน
เพราะหนุ่มน้อยผุดลุกนั่งโดยไม่ยอมให้มีโอกาสตั้งตัว
ทำเอาฟิโลโซเฟอร์หงายหลังแทบตกเตียง
ดารีลคว้าร่างเด็กชายเอาไว้
ได้ทันก่อนจะล้มฟาดลงไปจริงๆ
เขาจ้องมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยแววตาดุดัน
เพื่อเตือนว่าอย่าซุกซนให้มากนัก
เด็กชายกลับฉวยโอกาสนั้นจูบเร็วๆ ไปทีหนึ่ง
ดารีลสะดุ้งเฮือกแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อไปอีก
ยังคงนิ่งเฉยอยู่แบบนั้น
“ เจ้าไม่ชอบให้ใครอยู่ด้านบนเหนือตัวเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เดาจากท่าทีลนลานเมื่อครู่
หนุ่มน้อยคนนั้นหรี่ตามองแทนคำตอบ
ตอนนี้พวกเขานั่งแนบชิด
แทบจะติดเป็นเนื้อเดียวกัน
เด็กชายจึงค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมของคนตรงหน้าออกช้าๆ
เพื่อดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับการกระทำนี้
เมื่อเห็นว่าดารีลไม่มีอาการขัดขืนอันใด
อีกทั้งแววตาที่เคยเกียวกราดก็เชื่อมลง
เขาจึงจูบอีกครั้งอย่างอ่อนโยน
แต่ดารีลกลับตอบโต้ด้วยความคุ้มคลั่งและหิวกระหาย
ฟิโลโซเฟอร์เหมือนถูกมอมเมาด้วยรสหวานลึกลับ
ลุ่มหลงอยู่กับการสัมผัสที่ร้อนแรงแผดเผา
ยอมศิโรราบต่อทุกการกระทำที่คุกคาม
“ อุ๊ ”
เด็กน้อยเผลออุทาน
เมื่อริมฝีปากล่างถูกกัดเลือดสาด
ดารีลจึงยอมปล่อยแล้วเฝ้ามองผลงานของตนเองด้วยความพึงใจ
เด็กน้อยเอาข้อมือกดแผลไว้
ไม่รู้ทำไมแม้แผลจะปวดตุบๆ
แต่เขากลับเสียววาบลงถึงช่องท้อง
“ ข้าว่าพอเท่านี้ล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะปลุกคนทั้งบ้านขึ้นมา ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น
แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือจากเด็กชาย
ซ้ำยังจ้องมองเหมือนอยากกลืนกินทั้งตัว
เมื่อได้ยินดังนั้น
ฟิโลโซเฟอร์จึงทิ้งตัวลงนอนคว่ำ
หยิบหมอนมาปิดปากตนเองไว้
หนุ่มน้อยคนนั้นทอดร่างลงแนบชิด
จับหมอนใบนั้นโยนออกไปข้างๆ
แล้วสอดมือเข้าไปปิดปากเด็กชายเอาไว้
“ จริงๆ แล้วหมอนอุดจมูกก็ทำให้ตายได้เหมือนกัน แม้ข้าไม่นิยมความรุนแรงแต่ถ้าเจ้าอยากกัด ข้าก็ไม่ว่าอะไรนะ ”
ดารีลกระซิบบอก
เด็กชายไม่ตอบได้แต่กลั้นหายใจรอ
เขารู่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่เริ่มจากอ่อนโยนไปหาหนักหน่วง
แต่สามารถร้อนแรงได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่บอกว่าดารีลชำนาญการทรมานเหยื่อคงจริงไม่น้อย
เพราะแม้เขาไม่ใช่เหยื่อยังแทบขาดใจตายในอ้อมแขน
มือของเด็กชายกำผ้าปูที่นอนแน่น
แต่ไม่ยอมส่งเสียงร้องใด
หนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้แสดงความรัก
แต่ถูกฝึกมาฆ่าโดยเฉพาะ
เด็กน้อยที่ลุ่มหลงในสัมผัสแห่งเวทมนตร์
กับพ่อมดวัยเยาว์ขี้สงสัย
คนหนึ่งอยากแสดงความจริงใจ
อีกคนก็ปรารถนาใครสักคนที่สามารถเชื่อใจได้
เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ความสงสัยอันไร้ที่สิ้นสุด
ก็พาพวกเขาดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุด
ฟิโลโซเฟอร์ได้เรียนรู้ความเจ็บปวดที่ไร้การปราณี
เด็กน้อยขยำผ้าปูเตียงจนฉีกขาดคามือ
เขาไม่ได้ขัดขืน
เพียงแต่ทนไม่ไหวจนดิ้นพล่านออกมา
ดารีลที่รู้เห็นและเข้าใจ
กลับไม่หยุดการกระทำที่สุดบ้าคลั่งนั้น
แม้เด็กชายจะสลบไป
เขากลับใช้ความเจ็บปวดเรียกสติของเด็กน้อยกลับมาอีกครั้ง
ซ้ำไปซ้ำมาจนเด็กน้อยอ่อนยวบไปในมือเขา
พร้อมกับลมหายใจที่รวยรินแทบไม่รู้สึก
เขาจึงหยุด
แล้วก้มลงมอบจูบที่ละเมียดละไม
ปลอบโยนเด็กน้อยที่กำลังหลับใหลไร้สติ
เมื่อแสงแดดยามเช้ามาเยือน
เด็กชายได้ตื่นขึ้นมาบนที่นอนในผ้านวมที่แสนอบอุ่น
จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับขึ้นมาจากบึงเมื่อไหร่และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไร
ทุกอย่างผ่านไปราวกับฝันแต่รอยแผลเล็กๆ ที่ยังมีเลือดซึม
ย้ำว่าทั้งหมดนี่คือเรื่องจริง
เขาพบว่าร่องรอยแห่งความรุนแรงถูกเช็ดล้างไปจนหมด
เหลือเพียงรอยกัดที่หัวไหล่และรอยช้ำบางจุด
เด็กชายยกมือปิดหน้าพลางหัวเราะ
ดารีลถ้าเจ้าจะป่าเถื่อนขนาดนี้
สตรีที่ไหนจะรับมือเจ้าได้
ไม่ขาดใจตายเลยหรือ
ดูอย่างเขาเอง
แม้ฟัดกับฝีร้ายทั้งฝูงยังไม่บาดเจ็บเท่านี้
เช้าวันนั้นฟิโลโซเฟอร์ตื่นมาแล้วอารมณ์ดีจนที่บ้านประหลาดใจ
แม้จะมีไข้ต่ำๆ ก็ตามที
ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าดารีลกลับมายังโอรีเวียอย่างปลอดภัย
เอาแต่ยืนนิ่งเป็นรูปสลักหิน
ฟิโลโซเฟอร์จึงเริ่มซุกซนอีกครั้ง
เขาลากปลายนิ้วจากปลายคางสู่ลำคอขาวผ่อง
แล้วทำท่าจะเลื้อยต่ำลงเรื่อยๆ
อีกฝ่ายรีบคว้ามือข้างนั้นไว้ไวยิ่งกว่างูฉก
“ อย่ามาล้อเล่นกับข้า ”
หนุ่มน้อยคนนั้นพูด
น้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว
“ อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่น ”
นอกจากจะไม่กลัวแล้ว
ฟิโลโซเฟอร์ยังแกล้งทะเล้นได้อีก
ดารีลจ้องเด็กชายด้วยประกายตาสุดประหลาด
“ อยากโดนกัดอีกหรือไง ”
เขาทำเสียงดุ
“ แล้วแต่เจ้าสิข้าอย่างไรก็ได้ ”
ไม่ใช่ว่าไมเจ็บ
แต่ในความเจ็บยังมีความวาบหวามน่าถวิลหา
จนเด็กชายแอบติดใจเล็กๆ
“ ข้าคงต้องสอนเจ้า ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ไม่จำเป็น เพราะข้าไม่มีความคิดอยากกัดเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอรีบบอก
“ ข้าจะสอนเจ้าว่ายน้ำ อย่างน้อยจะได้แน่ใจว่าหากข้าไม่มีข้าอยู่ด้วยเจ้าจะไม่ตาย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามเจ้าจะต้องเอาตัวรอดได้ ”
ดารีลโน้มริมฝีปากเข้าหาลำคอของเด็กชาย
ทำท่าเหมือนจะกัดแต่ก็หยุดเพียงเท่านั้น
เขารวบมือเด็กชายทั้งสองข้างจับไพล่หลังเอาไว้
“ ตัวสั่นนี่นาหนาวหรืออย่างไร บางทีผ้าห่มอุ่นๆ คือสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดในเวลานี้ ”
“ ไม่ใช่หรอก ”
เด็กชายปฏิเสธ
“ เปลี่ยนใจยังทันนะ ”
ดารีลว่า
เขาดันเด็กชายตัวน้อยไปยืนบนก้อนหิน
เพื่อให้ปีนกลับขึ้นฝั่งได้เอง
เมื่อปล่อยมือให้เป็นอิสระ
เด็กชายคนนั้นกลับปลดเสื้อคลุมของตนออกจนหมดสิ้น
แล้วโอบแขนรอบคอของดารีลเอาไว้
“ บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้หนาวแถมยังไม่ง่วง เอาแต่ไล่ไปนอนแบบนี้มีแผนอะไร ”
“ มีคนเตือนเจ้าหรือยัง ว่าข้านอกจากจะชอบใช้ความรุนแรงแล้วยังเอาแต่ใจตนเอง ให้โอกาสเปลี่ยนใจอีกครั้งก่อนที่จะเจ็บตัวมากไปกว่านี้ ”
คนอายุมากกว่าขู่
“ น่ากลัวจัง แต่ข้าโดนเจ้ากัดหลายรอบแล้วยังไม่เคยขัดขืน สงสัยนักว่าเจ้าชอบใช้กำลังแบบไหนอีก ”
ฟิโลโซเฟอร์แกล้งทำเสียงยั่วโมโห
หนุ่มน้อยคนนั้นจึงค่อยๆ ถอยหลัง
พาสู่น้ำลึก
“ แท้จริงแล้วข้าไม่เคยปราณีใคร แต่ถ้าเจ้าเจ็บก็ร้องได้นะ ข้าไม่ถือสาหรอก ”
ดารีลนั้นดูอ่อนหวานและบอบบางแต่นั่นเป็นแค่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
ตัวตนแท้จริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เขากดร่างของเด็กน้อยให้ค่อยๆ จมลงไป
แล้วพาม้วนตัวสู่ความดำมืดและลึกลับใต้ผืนน้ำ
ฟิโลโซเฟอร์จำได้ว่ามันทั้งทรมานและหนาวเย็น
หนุ่มน้อยคนนั้นแทบจะฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ
แต่พวกเขาก็ยังจับมือกันแน่นไม่เคยปล่อย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เด็กชายฟื้นขึ้นบนที่นอนอบอุ่นของตนเอง
หนุ่มน้อยผู้งดงามใช้ผ้านุ่มๆ บรรจงเช็ดไปตามร่างกายของเขา
ในเวลานี้รู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่าง
จนเผลอครางออกมา
ดารีลจึงหันมาสนใจคนบาดเจ็บทันที
หนุ่มน้อยคนนั้นใช้นิ้วลูบไล้ปลายคางอย่างทะนุถนอม
ฟิโลโซเฟอร์ได้โอกาสยืดแขนขึ้นโอบรอบคอของเขา
“ เจ้าอย่าหาเรื่องจะดีกว่า ”
เจ้าของร่างงามเอ่ยเตือน
พลางกวาดสายตาดูรอยช้ำตามจุดต่างๆ
จูบย้ำๆ ตามรอยแผลที่เขาเองเป็นผู้ก่อ
เป็นความอ่อนโยนดุจผู้สำนึกผิดแต่สายตานั้นพร้อมขย่ำเหยื่อทุกเมื่อ
“ ข้าบอกให้เจ้าร้องถ้ารู้สึกไม่ดี นิ่งเงียบแบบนั้นข้าเดาไม่ถูกหรอก คราวหลังยังทำแบบนี้เกิดถึงตายขึ้นมาจะยุ่งเอานะ ”
“ มีคราวหลังด้วยหรือ ”
เด็กชายแกล้งทำตาโต
“ ดารีลคนปรกติที่ไหนเขาตะโกนในน้ำได้ อีกอย่างข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะดำน้ำได้นานขนาดนั้น ”
“ ข้าตั้งใจฝึกให้เจ้าดำน้ำลึก เจ้าก็เอาแต่เล่นแผลงๆ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองควรทำได้ดีกว่านี้ ”
หนุ่มน้อยต่อว่า
“ แล้วข้าทำได้ไม่ดีหรือไร ครั้งแรกของข้าแท้ๆ เจ้าจะไม่ให้โอกาสหน่อยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ท้วง
“ ก็ไม่ได้แย่แต่ข้ากลัวเจ้าจะตายเอา ”
“ ได้ตายในมือเจ้าก็นับว่าคุ้มแล้ว ”
เด็กชายเอ่ยทีเล่นทีจริง
แต่กลับไปสะกิดแผลเดิมเข้าโดยไม่ตั้งใจ
เพราะนั่นเคยเป็นคำกล่าวของเจ้าหญิงลูเซียน่า
หนุ่มน้อยรูปงามกัดฟันกรอด
แล้วกระโจนขึ้นไปคร่อมร่างฟิโลโซเฟอร์เอาไว้
ทำท่าจะจับหักคอเสียให้ได้
“ ทำไม ข้าพูดผิดหรือ ”
เด็กชายรู้สึกงุนงงกับท่าทีนั้น
“ เจ้าไม่รู้อะไรล่ะก็หุบปากไปเลย ”
ดารีลตวาด
“ เป็นความจริงสินะข้าพูดผิดเช่นนั้นข้าจะไถ่โทษให้ ”
เขาจับแขนข้างหนึ่งของดารีลดึงให้ล้มลงไปนอนข้างๆ
แล้วเป็นฝ่ายพลิกขึ้นไปอยู่ด้านบน
แต่เด็กชายก็อยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน
เพราะหนุ่มน้อยผุดลุกนั่งโดยไม่ยอมให้มีโอกาสตั้งตัว
ทำเอาฟิโลโซเฟอร์หงายหลังแทบตกเตียง
ดารีลคว้าร่างเด็กชายเอาไว้
ได้ทันก่อนจะล้มฟาดลงไปจริงๆ
เขาจ้องมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยแววตาดุดัน
เพื่อเตือนว่าอย่าซุกซนให้มากนัก
เด็กชายกลับฉวยโอกาสนั้นจูบเร็วๆ ไปทีหนึ่ง
ดารีลสะดุ้งเฮือกแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อไปอีก
ยังคงนิ่งเฉยอยู่แบบนั้น
“ เจ้าไม่ชอบให้ใครอยู่ด้านบนเหนือตัวเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เดาจากท่าทีลนลานเมื่อครู่
หนุ่มน้อยคนนั้นหรี่ตามองแทนคำตอบ
ตอนนี้พวกเขานั่งแนบชิด
แทบจะติดเป็นเนื้อเดียวกัน
เด็กชายจึงค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมของคนตรงหน้าออกช้าๆ
เพื่อดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับการกระทำนี้
เมื่อเห็นว่าดารีลไม่มีอาการขัดขืนอันใด
อีกทั้งแววตาที่เคยเกียวกราดก็เชื่อมลง
เขาจึงจูบอีกครั้งอย่างอ่อนโยน
แต่ดารีลกลับตอบโต้ด้วยความคุ้มคลั่งและหิวกระหาย
ฟิโลโซเฟอร์เหมือนถูกมอมเมาด้วยรสหวานลึกลับ
ลุ่มหลงอยู่กับการสัมผัสที่ร้อนแรงแผดเผา
ยอมศิโรราบต่อทุกการกระทำที่คุกคาม
“ อุ๊ ”
เด็กน้อยเผลออุทาน
เมื่อริมฝีปากล่างถูกกัดเลือดสาด
ดารีลจึงยอมปล่อยแล้วเฝ้ามองผลงานของตนเองด้วยความพึงใจ
เด็กน้อยเอาข้อมือกดแผลไว้
ไม่รู้ทำไมแม้แผลจะปวดตุบๆ
แต่เขากลับเสียววาบลงถึงช่องท้อง
“ ข้าว่าพอเท่านี้ล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะปลุกคนทั้งบ้านขึ้นมา ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น
แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือจากเด็กชาย
ซ้ำยังจ้องมองเหมือนอยากกลืนกินทั้งตัว
เมื่อได้ยินดังนั้น
ฟิโลโซเฟอร์จึงทิ้งตัวลงนอนคว่ำ
หยิบหมอนมาปิดปากตนเองไว้
หนุ่มน้อยคนนั้นทอดร่างลงแนบชิด
จับหมอนใบนั้นโยนออกไปข้างๆ
แล้วสอดมือเข้าไปปิดปากเด็กชายเอาไว้
“ จริงๆ แล้วหมอนอุดจมูกก็ทำให้ตายได้เหมือนกัน แม้ข้าไม่นิยมความรุนแรงแต่ถ้าเจ้าอยากกัด ข้าก็ไม่ว่าอะไรนะ ”
ดารีลกระซิบบอก
เด็กชายไม่ตอบได้แต่กลั้นหายใจรอ
เขารู่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่เริ่มจากอ่อนโยนไปหาหนักหน่วง
แต่สามารถร้อนแรงได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่บอกว่าดารีลชำนาญการทรมานเหยื่อคงจริงไม่น้อย
เพราะแม้เขาไม่ใช่เหยื่อยังแทบขาดใจตายในอ้อมแขน
มือของเด็กชายกำผ้าปูที่นอนแน่น
แต่ไม่ยอมส่งเสียงร้องใด
หนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาให้แสดงความรัก
แต่ถูกฝึกมาฆ่าโดยเฉพาะ
เด็กน้อยที่ลุ่มหลงในสัมผัสแห่งเวทมนตร์
กับพ่อมดวัยเยาว์ขี้สงสัย
คนหนึ่งอยากแสดงความจริงใจ
อีกคนก็ปรารถนาใครสักคนที่สามารถเชื่อใจได้
เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ความสงสัยอันไร้ที่สิ้นสุด
ก็พาพวกเขาดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุด
ฟิโลโซเฟอร์ได้เรียนรู้ความเจ็บปวดที่ไร้การปราณี
เด็กน้อยขยำผ้าปูเตียงจนฉีกขาดคามือ
เขาไม่ได้ขัดขืน
เพียงแต่ทนไม่ไหวจนดิ้นพล่านออกมา
ดารีลที่รู้เห็นและเข้าใจ
กลับไม่หยุดการกระทำที่สุดบ้าคลั่งนั้น
แม้เด็กชายจะสลบไป
เขากลับใช้ความเจ็บปวดเรียกสติของเด็กน้อยกลับมาอีกครั้ง
ซ้ำไปซ้ำมาจนเด็กน้อยอ่อนยวบไปในมือเขา
พร้อมกับลมหายใจที่รวยรินแทบไม่รู้สึก
เขาจึงหยุด
แล้วก้มลงมอบจูบที่ละเมียดละไม
ปลอบโยนเด็กน้อยที่กำลังหลับใหลไร้สติ
เมื่อแสงแดดยามเช้ามาเยือน
เด็กชายได้ตื่นขึ้นมาบนที่นอนในผ้านวมที่แสนอบอุ่น
จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับขึ้นมาจากบึงเมื่อไหร่และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไร
ทุกอย่างผ่านไปราวกับฝันแต่รอยแผลเล็กๆ ที่ยังมีเลือดซึม
ย้ำว่าทั้งหมดนี่คือเรื่องจริง
เขาพบว่าร่องรอยแห่งความรุนแรงถูกเช็ดล้างไปจนหมด
เหลือเพียงรอยกัดที่หัวไหล่และรอยช้ำบางจุด
เด็กชายยกมือปิดหน้าพลางหัวเราะ
ดารีลถ้าเจ้าจะป่าเถื่อนขนาดนี้
สตรีที่ไหนจะรับมือเจ้าได้
ไม่ขาดใจตายเลยหรือ
ดูอย่างเขาเอง
แม้ฟัดกับฝีร้ายทั้งฝูงยังไม่บาดเจ็บเท่านี้
เช้าวันนั้นฟิโลโซเฟอร์ตื่นมาแล้วอารมณ์ดีจนที่บ้านประหลาดใจ
แม้จะมีไข้ต่ำๆ ก็ตามที
ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าดารีลกลับมายังโอรีเวียอย่างปลอดภัย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ