ขุนเขา สายน้ำ คาวเลือด

-

เขียนโดย Liusanmei

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.20 น.

  4 บท
  2 วิจารณ์
  4,267 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ ๒ ภายนอกฉาบทาด้วยโลหิต ภายในเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒ ภายนอกฉาบทาด้วยโลหิต ภายในเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตา

พระพิชัยยุทธ์เห็นดังนั้นจึงลงจากม้า ทะยานเข้าไปพร้อมง้าวในมือ ทั้งคู่สู้รบกันตั้งแต่สองโมงเช้า ( ๘โมง ) จนถึงเที่ยงวันก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ รองแม่ทัพจึงสั่งทหารตีระฆังพักรบ

...

พระพิชัยยุทธ์ที่นั่งพักอยู่ในกระโจมมองง้าววงพระจันทร์ของตนที่เต็มไปด้วยรอยปิ่น ง้าวเล่มนี้รบศึกเคียงข้างตนมากกว่า ๒๐ ปี ผ่านมา ๗ ศึก ๘สมรภูมิ พบเจอศัตรูมาก็มากมาย นี้นับเป็นครั้งแรกที่สร้างอาวุธคู่กายต้องประสบพบเจอสภาพเยี่ยงนี้ และนี้เป็นครั้งแรกของพระพิชัยยุทธ์เช่นกัน ที่เจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกับตนขนาดนี้

เมื่อจวนเข้ายามบ่าย พระพิชัยยุทธ์ เดินออกมาจากค่ายก็พบว่าพระหาญนรงค์ยืนรออยู่ที่เดิมแล้ว พระพิชัยยุทธ์จึงส่งสายตาให้ทหารที่เฝ้าประตูค่ายเป็นนัยว่าให้มาหาตน พลันสอบถามว่า “ขุนพลท่านนั้นได้ไปพักบ้างหรือไม่”

“หลังจากสู้กับท่านแม่ทัพแล้ว เห็นเขาไปนั่งพักใต้ต้นไม้ ดื่มน้ำ ครู่หนึ่งจึงกลับมายืนต่อขอรับ” ทหารเฝ้าประตูรายงานอย่างละเอียด

“ได้กินอะไรบ้างหรือไม่” พระพิชัยยุทธ์ถาม

“ตั้งแต่กระผมเข้าเวรก็ไม่เห็นเขากินอะไรเลยขอรับ”

“ไปได้” พระพิชัยยุทธ์กล่าวพลางเดินออกนอกประตูค่าย เสียงกลองรบพลันดังขึ้น การต่อสู้ของบุรุษทั้งสองที่เหี้ยมหาญเริ่มขึ้นอีกครา ทั้งคู่สู้รบกันเป็นสามารถตั้งแต่บ่ายจวบจนย่ำค่ำจึงเลิกรา ไม่มีฝ่ายใดเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบ และไม่มีฝ่ายใดเห็นช่องโหว่ในการชิงชัยเช่นกัน

ค่ำคืนนั้นเงียบสงบกว่าคืนก่อนมากนัก คนกว่าพันชีวิตกลับไม่มีเสียงหยอกล้อสนุกสนาน หรือแม้แต่พูดคุยกันแว่วมาให้ได้ยินเลย ความรู้สึกมากมายทั้งโศกเศร้าโศการะคนความเคารพนับถือ

แม้เวลาจะผ่านยามสามมาแล้ว เสียงม้าวิ่งเข้าออกค่ายทหารหลายครา กระโจมใหญ่ถูกจุดไฟสว่างขึ้น เหล่าทหารพระพิชัยยุทธ์ที่เดินตรวจตราค่ายยามค่ำคืน เมื่อมาถึงหน้าประตูค่ายก็มักจะเห็นเงาดำร่างหนึ่งยืนถือทวนในมือประดุจเทวรูป เบื้องหลังมีนายกองแลทหาร๖คนนอนหลับอยู่

จวบจนรุ่งเช้า พระพิชัยยุทธ์และองครักษ์คนสนิทเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเส้นที่พระหาญนรงค์ขีดไว้ พลางยื่นถุงน้ำให้แล้วกล่าวว่า “ย่ำรุ่งมีรายงานเข้ามาว่าพระเจ้าพังคราชประกาศยอมแพ้แลยอมสวามิภักดิ์เป็นเมืองประเทศราชใต้เศวตฉัตรในพระเจ้าสิงหนติแล้ว”

พระหาญนรงค์ที่ยืนอย่างมั่นคงไม่ไหวติงตลอดรุ่ง ไม่มีอะไรทำให้ขาท่านผู้นี้อ่อนลงได้ จวบจนเมื่อได้ยินข่าวนี้ ร่างกายที่กำยำพลันคุกเข่าลงกับพื้นดิน กู่ร้องปานฟ้าแตก เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากด้านหลัง เหล่านายกองต่างพากันร่ำไห้ แม้ตัวจวนเจียนแหลกสลายพวกมันยังคงยืนหยัดสู้ แม้ร้อยพันบาดแผลบนร่างพวกมันยังคงไม่ล่าถอย แต่ข่าวเพียงไม่กี่ประโยคทำหัวใจที่แข็งแกร่งประหนึ่งหินผาของนักรบทั้ง๗จวนเจียนแหลกสลาย สายเลือดพิงคราชไหลเวียนอยู่ในตัวพวกมัน หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ เมื่อแคว้นปราชัย หัวใจประหนึ่งปวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสียงๆ เมื่อได้ยินข่าว

พระพิชัยยุทธ์ ไม่อาจทนดูได้จึงเบนหน้าไปมองขุนเขาพลางกล่าวว่า “ท่านขุนพลผู้กล้าทั้ง๗ ยามนี้พวกเราเป็นดังบ้านพี่เมืองน้อง ยามสุขร่วมเสพ ยามศึกร่วมต้าน ขอเชิญท่านขุนพลให้เกียรติเข้าไปพักผ่อนในค่ายเราเถิด”

เหล่าทหารของพระพิชัยยุทธ์ไม่รู้ออกมายืนเรียงรายอยู่หน้าตั้งแต่เมื่อใด กล่าวเสียงดังก้องพร้อมเพรียงกันว่า “เชิญท่านขุนพล เชิญท่านขุนพล”

พระหาญนรงค์ ที่ใบหน้าและเนื้ออาบด้วยโลหิตเหล่าทหารนครชัยบุรีฯ หันไปมองดูสหายร่วมรบด้านหลัง ที่นั่งอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรง เมื่อวานคือศัตรู วันนี้คือมิตร

แม้เหล่าทหารในพระพิชัยยุทธ์จะล้มตายภายใต้คำสั่งของพระหาญนรงค์ไปกว่าพัน แต่พวกมันก็หาได้มีสายตารังเกียจเคียดแค้นหรือแม้กระทั่งเหยียดหยามขุนพลแพ้ศึกพวกนี้ก็หามีไม่ มีเพียงแต่ความเคารพละคนเลื่อมใส “แม่ทัพดุดันผู้นี้ ได้ใจทหารเราแล้ว” พระพิชัยยุทธ์กล่าวกับคนข้างกาย

...

ภายในกระโจมของพระหาญนรงค์

“ทัพหลวง...” พระหาญนรงค์เอ่ยยังไม่ทันจบก็ถูกนายกองผู้หนึ่งกล่าวขัดขึ้นว่า

“ทัพหลวงของพ่ออยู่หัวถูกทัพพระเจ้าสิงหนติตีแตกพ่ายไปเมื่อ ๗ ทิวาก่อน” นายกองผู้นั้นก้มศีรษะลง บ่ายหน้าไปอีกทางพลางกล่าวต่อว่า “พระเจ้าสิงหนติแต่งกลเผ่าค่ายพ่ออยู่หัวยามค่ำ ทัพหลวงแตกพ่ายหนีไปรั้งอยู่ที่ชายป่าใกล้หมู่บ้านแถบพระนคร พระเจ้าสิงหนติสั่งให้แม่ทัพยุทธนาปลอมเป็นหน่วยเสบียงจากพระนครลอบจู่โจมอีกแย่งชิงจับเป็นพ่ออยู่หัวที่ชายป่า...”

พระหาญนรงค์บีบกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำในมือจนแตก ก่อนจะข่มโทสะเอ่ยปากอย่างยากเย็นว่า “ทัพพระวิสุทธิกัมมาเล่า”

“ทางฝั่งพระวิสุทธิกัมมารั้งทัพพระเอกชัยสิงค์ไว้ได้อยู่ครึ่งเดือน จนมีข่าวจากนครหลวง... จึงถอนทัพ”

พระหาญนรงค์ไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน นายกองผู้นั้นก็นิ่งเงียบไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเช่นกัน ผ่านไปครู่ใหญ่พระหาญนรงค์จึงกล่าวขึ้นว่า “พิกลพิลึก เผ่าค่ายรึ ลอบจู่โจมรึ ประสาเล่ห์ศึกมีรึจะแพ้ศึกเพราะเท่านี้ ยังมีทหารเกาะหนักของมีพระพิชัยยุทธ์อีกเล่า ต้องมีคนหยาบสันดานชั่วอยู่ในพระนครเป็นแน่”

“พ่ออยู่หัวไม่ทราบหรือ” นายกองผู้นั้นกล่าว

“ข้าคิดได้ พ่ออยู่หัวต้องคิดได้” พระหาญนรงค์กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วปูดโปนมองไปยังนายกองผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “เชษฐสินเจ้าไปลอบหาข่าวว่าเหตุใดพระพิชัยยุทธ์จึงรั้นเอาทหารเกาะหนักพวกนั้นมาทางทุรกันดารปานนี้”

“ขอรับ”

“ยังมีอีก” พระหาญนรงค์ขยี้บดก้อนดินเบื้องหน้าด้วยฝ่าเท้าแล้วกล่าวว่า “ชาติสุนัขตัวใดในนครที่บอกข่าวเรื่องทัพเราต่อมัน มันถึงล้อมตีตลบหลังเรา”

“ขอรับ” นายกองเชษฐสินลอบมองมือที่เปื้อนเลือดของพระหาญนรงค์แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อจะให้ข้าเรียกเสนารักษ์หรือไม่ขอรับ”

“ไม่จำเป็น” พระหาญนรงค์กล่าวพลางโบกมือเป็นนัยให้ออกไป นายกองเชษฐสินจึงโค้นคำนับพลางล่าถอยออกมา

...

มีนักกวีท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า “สงครามคือจุดเริ่มต้นและจุดจบของความสูญเสีย”

เมื่อแม่ทัพหาญนรงค์เดินทางใกล้ถึงพระนครเพียงไร ร่องรอยแห่งเพลิงสงครามก็เด่นชัดขึ้นทุกที เหล่านายกองที่ขี่ม้าตามติดท่านแม่ทัพมา ไม่อาจฝืนทนดูสภาพที่อเนจอนาถเหล่านี้ได้ ภายในใจปวดร้าวเพียงใดพลันข่มกลั้นไว้สุดจะทน

๑๐ก้าวพบเลือด ร้อยก้าวพบศพ ตลอดทางหลายโยชน์แถบชานพระนครคือสมรภูมิรบประดับด้วยศพทหาร ชายป่าชานเมืองคือสุสานวีรบุรุษ ผืนแผ่นดินที่อาบย้อมด้วยเลือดเนื้อและหยาดน้ำตาของเหล่าวีรชนผู้กล้านักรบผู้เสียสละ สุดที่จะหาคำกล่าวใดมาเทียบเทียม

...

พระนครหลวงที่เคยโอ่อ่ายามทิวามาเยือนผู้คนควักไขว้ ยามราตรีเสียงเพลงบรรเลงประหนึ่งนครที่ไม่เคยหลับใหลมาบัดนี้ แม้เป็นยามตะวันตระหง่านอยู่เหนือฟากฟ้า เหล่าบรรดาร้านค้าแผงขายกลับปิดเงียบไร้ผู้คน

นครหลวงประหนึ่งนครล้าง หลายหมื่นชีวิตที่ดับสูญ หลายหมื่นหยาดน้ำตาที่หลั่งริน

เมื่อพระหาญนรงค์ย่างก้าวลงจากหลังม้า เหยียบย่างลงบนผื่นพสุธา เข่าพลันอ่อนยวบลงในบัดดล ก้มกราบธรณีอย่างไร้สุ้มเสียง ความเศร้าโศกามากล้นเหลือประมาณ

...

ณ ท้องพระโรงเบื่องบนภูผา เขตพระราชวัง

พระเจ้าสิงหนตินั่งอยู่เหนือเศวตฉัตรราชบัลลังก์พระเจ้าพังคราชนั่งบนพระราชอาสน์ที่ต่ำลงมาข้างพระเจ้าสิงหนต์ สีพระพักตร์ของพระเจ้าพังคราชที่เคยฉาบด้วยแสงอาทิตย์กลับหมองคล้ำ แววตาที่เข้มแข็งบัดนี้กลับดูเหนือล้าอย่างยิ่ง กลับจากสงครามสงบลง บัดนี้ก็ล่วงเลยมาได้ครึ่งเดือนแล้ว

พระเจ้าสิงหนติทรงมีรับสั่งให้พระราชโอรสองค์โตในพระเจ้าพังคราช พระทุรพล ไปพำนักยังนครชัยบุรีศรีแสนช้าง

แลให้พระราชธิดาในพระเจ้าพังคราช พระสุรนารีมณีบวร เมื่อพระชนมายุครบ๑๖พระชันษา ต้องอภิเษกสมรสกับพระปัณฑูระ พระราชโอรสองค์ที่ ๘ ในพระเจ้าสิงหนติ

นอกจะพระราชโอรสแลพระราชธิดาทั้งสองแล้ว พระเจ้าสิงหนติยังชมชอบพระขนิษฐาในพระเจ้าพังคราช พระนางศรีสุดาปทมาเทวี พระองค์จึงทรงรับพระนางไว้เป็นพระชายา

ทุกสี่ปีนครพิงคราชต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นทองคำสี่หีบให้นครชัยบุรีศรีแสนช้าง

พระเจ้าพังคราช ทำพิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ต่อหน้าเสวทฉัตร ขุนนางอำมาตย์แลพระเจ้าสิงหนติ

ก่อนที่พระเจ้าสิงหนติจะเสด็จกลับพระนครชัยบุรีฯ พระองค์ยังทรงเสด็จไปยังภูผาฝั่งตะวันออกนอกเขตพระนครหลวง เพียงแต่พระองค์และราชองครักษ์คนสนิทเท่านั้น

ภูผาแห่งนั้นเป็นเขาสูงชันตามธรรมชาติหาได้มีสิ่งใดพิเศษแปลกตาลี้ลับพิสดารก็หาไม่ แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าเมืองแห่งแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ที่ครอบครองเมืองประเทศราชไว้ภายใต้เศวตฉัตรถึง๗แว่นแคว้นกลับเสด็จมายังที่แห่งนี้ด้วยพระองค์เอง ที่แห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงขุนเขาธรรมดาอีกต่อไป

หุบเขานี้มีถ้ำคูหาแห่งหนึ่งชื่อถ้ำนิลกาฬ แต่โบราณกาลราชประเพณีเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่สามารถติดต่อสวรรค์เบื่องบนแลพิภพเบื่อล่างได้ ทั้งที่แห่งนี้ยังมีบุรุษกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ บุรุษกลุ่มนี้ นุ่งขาวห่มขาวจะเป็นฤๅษีก็หาคล้ายไม่ จะเป็นนักพรตก็หาเหมือนไม่ ชาวบ้านจึงต่างพาเรียกกันว่าท่านพราหมณ์

ทุกวันพระจันทร์เต็มดวงชาวบ้านแถบนี้ต่างพากันเข้าถ้ำทั้งยามเช้าแลยามเย็น

ยามย่ำรุ่งจะพากันถือข้าวน้ำโภชนาหารเข้าไป

ยามย่ำค่ำจะพากันถือของหอมน้ำผึ้งน้ำอ้อยเข้าไป

ทั้งยังร่ำลือกันอีกว่า หากผู้ใดคิดย่ำกรายเข้าไปนอกเหนือจะวันพระจันทร์เต็มดวงแล้ว จักไม่มีผู้ใดหาปากทางเข้าถ้ำเจอ ทั้งยังหลงทางกลับออกมา บ้างก็เสียสติวิปราดเพราะความหวาดกลัว บ้างก็ซูบผอมอิดโรยล้มตายไป

ยามนี้ไม่ใช่วันพระจันทร์เพ็ญ ทั้งยังเป็นข้างแรมอีกด้วย พระเจ้าสิงหนติกลับเดินไปทางเขาลูกนั้น ทั้งยังตรงไปยังถ้ำแห่งนั้นอีกด้วย ชาวบ้านมากมายต่างพากันทัดทานขวางกั้น กลัวพระองค์จะมีภัยอันตราย แลเดือดร้อนจะแผ่กระจายสู้พระนครตน

พระองค์เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนไม่กล่าวอันใด จวนถึงภูเขาก็สั่งให้ราชองครักษ์ทั้งสี่ ยืนรออยู่ ณ ที่แห่งนั้นรับสั่งเพียงว่า “เราจักเข้าไปเพียงผู้เดียว พวกเธอรั้งรอเรา ณ ที่แห่งนี้”

แล้วพระเจ้าสิงหนติก็เดินลับหายเข้าไปในหุบเขา

๗ ราตรีผันผ่านไป พระองค์ถึงได้เดินกลับออกมา

ไม่มีผู้ใดหาญกล้าเอ่ยวาจาไต่ถาม ทั้งยังไม่มีผู้ใดร่วงรู้ว่าพระองค์ได้พบเจอดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับแห่งนั้นหรือไม่

หลังจากพระองค์กลับออกมาเพียงไม่กี่วัน ก็ยกทัพเรือนแสนกลับสู่พระนครชัยบุรีฯ

...

เมื่อทัพพระเจ้าสิงหนติได้ถูกถอนกำลังออกจากพระนครหลวงไปเสียสิ้น พระเจ้าพังคราชก็เรียกองครักษ์คนสนิทมาสั่งงานอย่างลับๆ ในห้องทรงงานเหตุที่พระเจ้าพังคราชต้องระแวดระวังไม่ให้ผู้ใดร่วงรู้นั้นไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่ไว้ใจผู้ใด เพียงแต่พระองค์ต้องการทราบบางอย่างก่อนตัดสินใจเรื่องบางประการเท่านั้น

เหตุอีกประการหนึ่งก็คือตั้งแต่เสียเอกราชไปพระอนุชาต่างมารดาก็คอยตามติดพระเจ้าพังคราชพระหนึ่งเงาตามตัวตลอด ยามเมื่อจำต้องปลีกตัวไปสะสางธุระก็คอยให้คนสนิทตามติดพระเจ้าพังคราช แม้พระเจ้าพังคราชจะสั่งห้ามเสียแต่พระอนุชาก็กล่าวว่า “น้องประหวั่นว่าจะมีผู้ใดลอบทำร้ายพระองค์” พระเจ้าพังคราชไม่ใช่บุคคลที่ชมชอบการโต้เถียงสักเท่าไหร่ พระองค์กล่าวเพียงสองคราก็ไม่กล่าวอีก พระอนุชาย่อมทราบนิสัยของพี่ชายตนดีจึงสั่งคนสนิทสองคนคอยตามเสด็จพี่ตนไม่คลาดสายตา

แต่นี้เป็นกลางดึก ทั้งยังเป็นเวลาส่วนพระองค์ แม้คนสนิทที่พระอนุชาใช้ให้คอยติดตามพระเจ้าพังคราชก็รั้งอยู่เพียงด้านหน้าเท่านั้น ส่วนองครักษ์พระเจ้าพังคราชนั้นย่อมมีวิชากำบังประหนึ่งภูตพาย หลบเร้นรอดสายตาผู้คนได้ประหนึ่งธุลีดิน เข้าแลออกไม่มีผู้ใดพบเห็นเป็นแน่

“ได้เรื่องประการใดให้มารายงานข้า”

“น้อมรับ”

สิ้นคำเงาสีดำสายหนึ่งเล็ดลอดออกไปทางหน้าต่างประหนึ่งลมหอบ หลังจากองครักษ์ไปแล้วพระเจ้าพังคราชก็เดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองพระจันทร์คืนข้างแรมพลางนึกถึงเรื่องการศึกเมื่อไม่กี่วันก่อน

...

ครั้งนั้น เมื่อทัพหลวงพระองค์ตั้งมั่นรั้งทัพอยู่ ณ แม่น้ำนาคทำนบ พระองค์ทรงสั่งตั้งค่ายยาวริมฝั่งแม่น้ำที่ไหลทอดจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ และทรงสั่งทำทำนบกั้นน้ำขึ้นสามจุด แต่ละจุดให้วางกำลังทหารไว้จุดละ ๕๐๐นาย หากทัพพระเจ้าสิงหนติเดินทัพทางน้ำไม่มีทางที่จะรอดพ้นสายตาพระเจ้าพังคราชไปได้

แต่ถ้าพระเจ้าสิงหนติเดินทัพทางบก ลัดเลาะตามริมฝั่งมาก็คงใช้เวลากว่าครึ่งเดือนเป็นแน่ พระองค์จึงทรงส่งพระยากุมภัณฑ์เป็นทัพหน้า นำไพร่พลสามพันตั้งทัพสกัดเส้นทางขึ้นเหนือ

คาดไม่ถึงเหมือนดังพระเจ้าสิงหนติจะล่วงรู้ จึงสั่งให้ทัพม้าทะลวงบุกเคลื่อนทัพมาก่อนเพียงไม่กี่ทิวาก็ตีทัพพระยากุมภัณฑ์แตก บั่นคอพระยามีชื่อขาดสะบั้นแลลอบจู่โจมปล้นค่ายหลวงยามดึกแลเผ่าเสบียงกรังทัพพระเจ้าพังคราชเสียสิ้น ทัพหลวงพระเจ้าพังคราชมีถึง ๒๐,๐๐๐แตกพ่ายล้มตายเป็นอันมาก เหตุการณ์นี้เกิดเพียงชั่ว๕ราตรี ประหนึ่งว่ามีไส้ศึกในหมู่แม่ทัพนายกองก็ไม่ปาน ชี้จุบอกตำแหน่งให้ล่วงรู้เสียหมดสิ้น

พระเจ้าพังคราชออกทัพครานี้ได้มอบหมายให้พระอนุชาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รั้งอยู่ที่พระนคร ‘คงไม่ใช่ไอ้เกริกเป็นแน่’ พระพระเจ้าพังคราชคิด ‘มันรั้งอยู่นครหลวงส่งข่าวให้ทัพหลวงพระเจ้าสิงหนติยากลำบาก ทั้งเส้นทางทุกเส้นเราให้คนสกัดไว้สิ้น’

พระเจ้าพังคราชเลยตรงใคร่ครวญต่อถึงเหล่าขุนทัพนายกองที่ออกมาร่วมศึกกับพระองค์ ก็ไม่มีผู้ใดน่าระแวงสงสัย เป็นขุนทัพที่ซื่อสัตย์พรรคดีตั้งแต่สมัยรัชกาลต้น พระองค์ทรงใคร่ครวญต่อ...

ครั้งนั้นพระองค์แตกทัพหลีกหนีไปรั้งอยู่ชายป่าห่างจากพระนคร ๗ โยชน์ รวบรวมไพร่พลกลับมาได้ราว ๗,๐๐๐ ก็ทรงคาดการว่าจะตั้งทัพดักซุ่มโจมตีทัพพระเจ้าสิงหนติที่ชายป่าละเมาะแห่งนี้ จึงให้พระยาสมานสุกโสภณนำกำลัง ๓,๐๐๐ ไปตั้งทัพอยู่ ณ ทางหลวงทิศใต้ ถ้าทัพพระเจ้าสิงหนติจะบุกตีพระนครหลวงอย่างไรต้องผ่านเส้นทางสายนี้เป็นแม่นมั่น แลให้พระสมานทำทีเพลี่ยงพล้ำเสียที ถอยร่นมายังป่าละเมาะแห่งนี้ พระเจ้าพังคราชจะนำทัพพล๔,๐๐๐ที่เหลือโอบล้อมตีต้องพิชิตชัยได้แน่

เป็นไปตามแผนที่พระเจ้าพังคราชวางไว้ ๓วันต่อมา ทัพม้าที่เร่งรุดบุกทะลวงมาตามทางหลวงทางทิศใต้ประสงค์จะพิชิตเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว มีท่านออกยาสุขพิบูลย์เป็นแม่ทัพนำทหารม้าธนูสามพันบุกทะลวงมาก่อนรบพุ่งกับพระยาสมานสุกโสภณเป็นสามารถ แม้ท่านพระยาสมานจะอายุปาน๖๐แล้ว แต่ยังแข็งแรงองอาจไม่แม้วัยหนุ่มเพลงทวนยังคงรวดเร็วหนักแน่นยากต้านทาน

รบไปได้ครู่ใหญ่ท่านพระยาสมานทำทีเพลี่ยงพล้ำเสียทีข้าศึก ล่อลวงทัพออกยาสุขพิบูลย์มายังป่าละเมาะได้สำเร็จ สองทัพรุมขนาบทัพออกยาสุขพิบูลย์แตกพ่ายหนีไปสิ้น

พระเจ้าพังคราชให้คนส่งข่าวไปยังนครหลวงส่งกำลังหนุนแลเสบียงกรังเพิ่ม แลถอยร่นไปตั้งค่ายยังชายป่าห่างจากเมือง ๕ โยชน์ รอกำลังเสริม

ครั้นสามวันต่อมาทัพที่โบกสะบัดธงตราพญางูใหญ่ก็รุดมาถึง นายกองจึงสั่งยกแผงกั้นม้าออก เปิดประตูค่ายเข้าใจว่าทัพหนุนมาถึงแล้ว แต่พลันบังเกิดเสียงโห่ร้องลั่นทหารกองหนุนพลันกลายเป็นทัพศัตรูบุกจู่โจมค่ายพระเจ้าพังคราชไม่ทันตั้งตัวจับเป็นพระเจ้าพังคราชได้ ณ ที่นั้น

พระเจ้าพังคราชที่ถูกคุมตัวโดยแม่ทัพยุทธนากลับยังนครพิงคราช บัดนั้นพระเจ้าพังคราชจึงได้ทราบว่าพระนครหลวงได้ตกเป็นของพระเจ้าสิงหนติเสียสิ้นแล้ว

มาถึงกาลบัดนี้พระองค์จังไม่แจ้งพระทัยว่าเหตุผลกลใดพระนครถึงถูกคร่ายึดโดยง่ายปานนี้ เพียงแต่ทราบว่าทัพพระเจ้าสิงหนติบุกยึดพระนครเมื่อ ๕ วันก่อนก็ยึดได้โดยง่าย

...

พระเจ้าพังคราชใคร่ครวญเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหาจุดผิดพลาดแต่ก็ไม่พบเจอจึงสั่งราชองครักษ์คนสนิทไปลอบสืบหาต้นเหตุที่แท้จริงที่พระนครถูกยึดไป

๒ วันต่อมา ราชองครักษ์จึงมารายงานดังนี้ว่า

“ข้าพระองค์ไปลอบสืบจากทหารที่เฝ้าประตูพระนครได้ความว่า ครั้นเมื่อทัพพระเจ้าสิงหนติ นำโดยสมเด็จพระยาวิมังสันนำทหาร ๑๐,๐๐๐ บุกประชิดเมืองพระยาบดินทรสั่งทหารรักษาพระนครต้านศึกเต็มกำลัง ต้านทัพศัตรูตั้งแต่ยามบ่ายจนถึงสองยาม ไพร่พลทหารเลวข้างนครชัยบุรีล้มตายเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระยาวิมังสันจึงสั่งถอยทัพตั้งค่ายห่างจากพระนคร๒๐๐เส้น

ยามนั้นใกล้ย่ำรุ่ง...พวกมันเล่าว่ามีกลุ่มผู้มากวิชายุทธยี่สิบกว่าคนสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทสังหารเหล่าทหารยามที่เฝ้าประตูฝั่งทิศใต้แลลอบเปิดประตูพระนคร พลุสัญญาณดังขึ้นยามแสงแรกสาดส่องพอดี”

ราชองครักษ์นายนั้นเล่าสืบไปว่า “ข้าพระองค์สืบสาวอย่างไรก็หาตัวตนกลุ่มคนชุดดำเหล่านั้นไม่ได้ ราวกับไม่เคยมีอยู่”

พระเจ้าพังคราชที่ทรงยืนนิ่งอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข่าวในกองทัพมีบ้างหรือไม่”

พระเจ้าพังคราชสั่งราชองครักษ์ตนไปสืบข่าว ๓ ประการด้วยกัน สืบหาเหตุที่ทำให้เมืองแตกประการหนึ่ง สืบหาไส้ศึกในกองทัพของพระองค์หนึ่ง สืบเรื่องพระปิตุลาอีกประการหนึ่ง

ราชองครักษ์เอ่ยตอบว่า “ไม่มีข่าวในกองทัพเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่มีข่าวเกี่ยวกับพระยารามรณรงค์ (พระปิตุลา) ขอรับ สองคืนก่อนทัพศัตรูจะบุกตีเมือง พระปิตุลาได้มีปากเสียงกับท่านโหราจารย์ยกใหญ่ ถึงขนาดลงไม้ลงมือแต่ดีที่ทหารยามเข้าไประงับเหตุทัน ทั้งยังด่าทอว่ากล่าวท่านโหราเสียหายหยาบช้า...” ราชองครักษ์กล่าววาจายังไม่ทันจบพระเจ้าพังคราชก็ตรัสถามขึ้นว่า “ว่ากล่าวอย่างไร”

ราชองครักษ์ทำสีหน้าแปลกใจตอบไปว่า “เฒ่าหัวหดบ้าง...จิตสตรีบ้าง...รักตัวกลัวตายบ้าง...ขอรับ”

พระเจ้าพังคราชเพียงโบกพระหัตถ์เป็นนัยว่ากล่าวต่อ ราชองครักษ์จึงกล่าวว่า “รุ่งเช้าพระปิตุลาจึงไปยังกองบัญชาการตะวันตกเข้าพบพระยาวิเศษชัยชาญขอรับ”

พระเจ้าพังคราชตรัสถามว่า “เรื่องใด”

“ผู้น้อยก็ไม่ทราบขอรับ คนรอบตัวท่านพระยาไม่ยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใด”

พระเจ้าพังคราชเพียงพยักหน้า “ทำงานดีมาก” ราชองครักษ์เห็นกิริยาดังนั้นก็ทราบเสร็จหน้าที่ตนจึงถวายบังคมลาลับไป

...

แม้ทัพใหญ่ของพระเจ้าสิงหนติจากร่วงลับลาจากพระนครหลวงพิงคราชไปได้ ๑๐กว่าวันแล้ว แต่ราวกับยังมีเมฆหมอกอันอึมครึมปกคลุมทั่วทั้งพระนคร

พระเจ้าพังคราชเถลิงราชย์ได้เพียงไม่จวนเดือน พระนครก็ถูกรุกราน เวลาเพียงสองเดือนกว่า พิงคราชก็ตกเป็นเมืองประเทศราชแก่ชัยบุรีศรีแสนช้างไปเสียแล้ว

การประชุมเหล่าขุนนางในวันนี้บรรยากาศชวนอึดอัดกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ที่พระชันษาเพียง ๘ พรรษาก็กลับต้องถูกพาตัวไปเป็นประกัน พระขนิษฐาธิราชเจ้า พระชนมายุเพียง ๑๙พรรษาก็ถูกพระเจ้าสิงหนติรับไว้เป็นพระชายา ความเสื่อมเสีย สูญเสียใดจะหนักหนากว่าเสียเอกราชแก่ผู้อื่น ความเสื่อมเกียรติใดจะหนักหนาปานนี้

พระเจ้าพังคราชประหนึ่งร่วงรู้ถึงความคิดของเหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายจึงมีพระราชดำรัสขึ้นท่ามกลางเหล่าขุนนางว่า “แม้เอกราชจะสูญสิ้นไป แต่พิงคราชนครบวรสิงขรยังดำรงอยู่ไม่สูญสลาย อาณาประชาราษฎร์ยังไม่สิ้นชาติสูญพันธุ์ แต่นี้สืบไปทุกลมหายใจของเราจักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร”

คำกล่าวนี้ประหนึ่งดังสายลมในฤดูร้อนผัดปัดเป่าเมฆหมอกที่บดบังดวงตะวันให้จางหายมลายสิ้นไปในบัดดล ทั้งยังเป็นประหนึ่งแสงส่องทางที่ทำลายความมืดมิดให้อันตรธานไปสิ้น ประหนึ่งดังเสียงระฆังนำทางสรรพสัตว์สู่สุขคติฉะนั้น

พระราชดำรัสนี้ดึงสติเรียกปัญญาเหล่าขุนนางเสนาอำมาตย์ในท้องพระโรงขึ้นมาได้บ้าง ว่าแต่นี้ไปควรทำสิ่งใด พระองค์ยังทรงกล่าวต่อไปอีกว่า

“งานของเรายังไม่สิ้น งานของเราจักดำเนินต่อไป ตราบชีพวาย” พระเจ้าพังคราชทรงยืนขึ้นพลางตรัสต่อว่า “พวกท่านเป็นขุนนางกินเบี้ยหวัดหลวง อย่าพึงลืมหน้าที่ของตน ถ้าพวกเราอ่อนแอ่ท้อแท้แล้วประชาชนจะพึ่งพาผู้ใด”

หลังจากพระเจ้าพังคราชตรัสพระวาจาเหล่านี้เสร็จสิ้นลง พระองค์ก็ทรงแจกจ่ายงานการบูรณะซ่อมแซมบรรดาสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนราษฎรที่ได้รับความเสียหายภัยสงคราม การฟื้นฟูภายในพระนครหลวงและหมู่บ้านแถบชานเมือง

การแจกจ่ายงานของพระเจ้าพังคราชละเอียดถี่ถ้วนแลรอบคอบอย่างยิ่งจนหามีผู้ใดที่งานขาดมือแม้แต่ผู้เดียว ทั้งยังให้พระอนุชาต่างมารดาตั้งกระโจมหลวงทางเข้าออกหัวเมืองทั้งสี่จุด ขาดน้ำประทานน้ำ ขาดข้าวสารประทานข้าวสาร ขาดเสื้อผ้าประทานเสื้อผ้า

ทั้งยังให้พระยาวิเศษชัยชาน ตั้งกระโจมทหารทุกมุมเมืองรองรับบรรดาชาวบ้านที่ไร้ที่พักพิง ให้ได้อยู่ได้อาศัยเป็นการชั่วคราวจนกว่าทางกรมโยธาจะซ่อมแซมบ้านเรือนตนจนแล้วเสร็จ

สมเด็จฯ พระยา ยันขุนหลวง หมื่น นาย ต่างมีหน้าที่ตนเสียสิ้นกระทั่งพระโหราจารย์เองก็ยังได้รับมอบหมายให้ตั้งกระโจมโหรหลวงกลางลานหน้าพระราชวังสงเคราะห์บรรดาผู้คนที่ผ่านไปมาผู้ใดใคร่ได้รับคำทำนายจากโหราจารย์ประจำราชวงศ์มันผู้นั้นก็ดังได้สัมผัสกล้ำกรายกลิ่นอายในราชสำนัก พลันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มีแต่เพียงโหราจารย์ที่ใบหน้าหมองคล้ำพลันรู้สึกว่าไม่เหมาะกับฐานะตน แต่ก็ยังเป็นพระราชดำรัสจากพระเจ้าพังคราชที่ก้องในหัวโหราผู้นี้ว่า

“ราษฎรเหล่านี้ประสบทุกข์ภัยมากพอแล้ว หากท่านทำให้พวกเขาเหล่านั้นสุขใจขึ้นได้แม้เพียงน้อยนิดนับว่าประเสร็จยิ่ง”

โหราจารย์วิทูธรปัจจะผู้นี้ร่ำเรียนวิชานี้มาจากอาจารย์เลื่องชื่อในตำนานผู้หนึ่ง ทำนายทายทักได้แม่นยำอย่างยิ่ง ถ้ามันผู้นี้ทำนายว่าเดือนนี้ท่านจะประสบเคราะห์สามครั้ง ท่านก็จะต้องพลันประสบเคราะห์สามครั้งไม่มีเคลื่อนคลาดเป็นสี่ไปได้

ถ้าหากมันทำนายว่าคู่ครองท่านจะเป็นหญิงสาวที่มีบุตรแล้วสองคน ท่านผู้นั้นก็จะพลันได้ครองคู่กับหญิงที่มีบุตรสองคนเป็นแม่นมั่นไม่วิปราดคลาดเคลื่อนไปได้

แต่ราวกับฟากฟ้าบันดาลความเท่าเทียมในหมู่มวลมนุษย์ โหราผู้นี้แม่จักทำนายผู้คนได้อย่างเจนจัดประหนึ่งเห็นเหตุคาดการณ์ได้ประจักษ์แก่ตาตน แต่มันกลับพลันไม่สามารถทำนายทายทักตนเองได้ฉะนั้น ทั้งมันยังเป็นคนขี้หลีทั้งยังเมาหยำเปอีกด้วย

แต่เนื่องเพราะมันมีดีเพียงประการเดียวคือเป็นโหรให้ราชวงศ์ ราชสำนักคุ้มกะลาหัวมันอยู่ ไม่ว่ามันจะไปหรี่หญิงสาวชาวบ้านตลอดจนเมามายหัวราน้ำตื่นขึ้นมาข้างคอกม้าหรือนอนจมกองอุจจาระสุกรก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าไม่ให้ความเคารพมัน เนื่องเพราะมันผู้นี้เป็นโหราจารย์ที่ทำนายทายทักแม่นยำประหนึ่งตาเห็นนั้นเอง

เช่นนั้นเมื่อพระเจ้าพังคราชให้มันมาสงเคราะห์บรรดาพ่อค้าประชาชนคนยากจนยังลานหน้าพระราชวัง นอกจากเหล่าพ่อค้าประชาชนที่มารับคำทำนายหนาแน่นประหนึ่งทางวังแจกจ่ายทองคำแล้ว ก็ยังมีบรรดาเหล่าทหารไปจนถึงแม่ทัพนายกองมาต่อแถวให้ท่านโหราผู้นี้ทำนายทายทักให้ด้วยเช่นกัน บ้างก็ให้ลูกน้องมาต่อแถวให้ บ้างก็ว่ายัดเงินใส่มือชาวบ้านแล้วเข้าไปแทรกแทน มีให้เห็นทุกประการในยามนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา