ขุนเขา สายน้ำ คาวเลือด

-

เขียนโดย Liusanmei

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.20 น.

  4 บท
  2 วิจารณ์
  4,132 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ ๓ ภัยยามสุขสงบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓ ภัยยามสุขสงบ

พระเจ้าพังคราชได้ใส่พระทัยเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือราษฎรอย่างยิ่งถึงขนาดไปลงเสด็จตรวจงานด้วยพระองค์เอง ทั้งยังทรงแวะเวียนไปเยี่ยมยังกองเสนารักษ์ (แพทย์ทหาร) ตรวจดูเหล่าทหารได้สละเลือดเนื้อปกป้องแว่นแคว้น เมื่อเหล่าทหารเห็นพระเจ้าพังคราชปานประหนึ่งได้รับหยาดน้ำทิพย์จากฟากฟ้าหายจากอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้งก็ไม่ปาน ด้วยพระบารมีพระองค์ ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนไปทุกค่าย ทั้งยังมีเวลาในช่วงเย็นแวะเวียนไปยังค่ายผู้ประสบภัยนอกเมืองอีก กว่าพระองค์จะเสด็จกลับวังก็จวนยามสองเข้าไปแล้ว

พระเจ้าพังคราชทรงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันเป็นเวลาร่วมสองเดือนจึงคลายงานวางมือมอบหมายให้ผู้อื่นไปตรวจแทน

แม้การทำลายล้างจะใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่การฟื้นฟูหรือสร้างรากฐานในบางสิ่งกลับกลายเป็นใช้เวลาเนิ่นนานยิ่ง พระองค์ยังตรัสต่อบรรดาขุนนางในท้องพระโรงอีกว่า “การวางรากฐานใช้เวลาเนิ่นนานแต่ยั่งยืน ประหนึ่งปลูกมะม่วง ๕ ปีแรกเราต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่มัน พอพ้น๕ปีไปแล้วมันจึงเลี้ยงดูเรา”

การฟื้นฟูพระนครนั้นใช้เวลาถึงสองเดือนเศษกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่เหมือนดังเดิม ประหนึ่งแจกกันร้าว ปะติดปะต่ออย่างไรก็ไม่ใช้ใบเดิมอีกต่อไป

แต่จิตใจคนเรานั้นกลับแตกต่างออกไป พิเศษออกไป แม้ว่าจะเจอเรื่องราวทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงไหน หากใจผู้นั้นสู้ไม่ยอมแพ้แล้วไซร้ จิตใจดวงนั้นพลันกลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ประหนึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเกราะปราการห่อหุ้มจิตใจฉะนั้น

แต่เมื่อพลันเรื่องราวอันทุกข์ทรมานเกิดกับจิตใจผู้ใดมากมายเกินไปมันกลับกลายเป็นจิตใจที่ด้านชาไร้ความรู้สึก ทั้งกับคุณงามความดี แลกับความช่วยร้าย ประหนึ่งกลายเป็นสีเดียวกันแยกแยะไม่ออก

แต่หากคนผู้นั้นมีเมตตากรุณาอยู่ในดวงจิตแล้วไซร้ ประหนึ่งพระโพธิสัตว์จุติก็ไม่ปาน แม้ตนจะทุกข์ทรมานสักเพียงใดขอเพียงผู้อื่นสุขเป็นพอ พระเจ้าพังคราชก็พลันเป็นมหาบุรุษประเภทนี้

พระเจ้าพังคราชมีพระโอรส ๔ พระองค์ พระองค์โต ชื่อพระทุรพล เกิดจากพระราชเทวีเกศินีสุจริตนารี พระชนมายุ ๘ พระชันษา

พระโอรสองค์ที่สอง ชื่อพระไอศุริยะ เกิดจากพระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวี พระชนมายุ ๗ พระชันษา

พระโอรสองค์ที่สาม ชื่อพระสรฏะ เกิดจากพระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวี พระชนมายุ ๕ พระชันษา

พระโอรสองค์ที่สี่ ชื่อพระวาตะ เกิดจากพระอัครมเหสีกมลวิไลธราเทวีมณีบวร พระชนมายุ ๔ พระชันษา

พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือพระสุรนารีมณีบวร เกิดจากพระอัครมเหสีกมลวิไลธราเทวีมณีบวร พระชนมายุ ๕ พระชันษา

พระเจ้าพังคราชมีพระภรรยาเจ้าสามพระองค์และข้าบาทบริจาริกา๑พระองค์

พระราชเทวีเกศินีสุจริตนารี พระมารดาของโอรสองค์โตเป็นพระนางที่ถูกอภิเษกกับพระเจ้าพังคราชเพราะการเมืองภายในพระนครในรัชกาลต้น ตั้งแต่พระเจ้าพังคราชมีพระชนมายุได้๑๖พระชันษา

พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวี พระมารดาของพระโอรสสองพระองค์ พระนางเป็นบุตรีแม่ทัพขุนศึกชาญนรงค์มีชื่อผู้หนึ่ง การอภิเษกสมรสครั้งนี้ช่วยระงับการก่อกบฏในพระนครที่กำลังคลุกรุ่นไว้ได้อย่างทันท่วงที

พระอัครชายามาสรยุวดีโสภณเป็นบุตรีของพระเจ้ามหาทิวาธีรภพ เจ้าครองแคว้นสุวรรณไกรสร พระนางได้สิ้นพระชนม์ลงในราตรีวันงานเถลิงราชย์ของพระเจ้าพังคราช ด้วยวัยเพียง๒๓ พระชันษา

และเจ้าจอมไพรินทร์ นางไร้ฐานันดรสักใดๆ เป็นแต่เพียงพระวิมาดา (แม่เลี้ยง) ทรงประทานให้พระเจ้าพังคราชเมื่อปีกลาย

เนื่องในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศรัชกาลต้นมีพระโอรสเพียงสองพระองค์ พระราชธิดาพระองค์เดียว การสานสัมพันธ์แลการเกี่ยวดองญาติจึงพัวพันอยู่ในพระราชโอรสสองพระองค์นี้

...

โดยปกแล้วเหล่าพระราชโอรสแลพระราชธิดาในพระเจ้าพังคราชต่างได้ร่ำเรียนศึกษาพร้อมกับเหล่าบรรดาลูกหลานแม่ทัพแลขุนนางผู้ใหญ่ในส่วนหน้าของพระราชวัง แม้จะมีพระชนมายุห่างกันสี่ถึงห้าพระชันษาก็ตามที เนื่องจากเหล่าอนุชนของพิงคราชเหล่านี้มีไม่ถึงสี่สิบชีวิต จึงไม่เป็นการลำบากสำหรับปราชญ์เมธีที่มาสั่งสอน

ยามเช้าร่ำเรียนศาสตร์ศิลป์ ยามบ่ายฝึกปรือวรยุทธ

แต่ยามหลังจากเกิดสงครามแคว้นครานี้พระเจ้าพังคราชมีพระราชดำรัสให้เปิดรับเหล่าบรรดาลูกหลานชาวบ้านมาร่ำเรียนศึกษาศิลปวิทยาแลร่ำเรียนวิชายุทธด้วยเนื่องจากพระองค์เล็งเห็นความสำคัญของอนุชนเหล่านี้

โดยพระองค์ให้พระปิตุลา (น้าชาย) เป็นผู้ควบคุมดูแล และจัดตั้งสำนักศึกษาขึ้นรับเหล่าอนุชนตั้งแต่อายุ ๕ปี จนถึง ๒๕ ปี ใช้ความรู้วัดลำดับชั้นในศาสตร์แต่ละแขนง ไม่แบ่งแยกด้วยอายุเพศวัย

นอกจากพระองค์จะเปิดสำนักศึกษาแล้ว พระเจ้าพังคราชยังสั่งเปิดโรงหมออีกด้วย โดยปกติแล้วยามประชาชนเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนมากแล้วจะไม่ได้รับการรักษา เนื่องด้วยเพราะไม่มีอัฐ (หน่วยเงินสมัยก่อน 8 อัฐ จะเท่ากับ 1 เฟื้อง) มากพอที่จะเชื้อเชิญหมอมารักษาเลยพากันล้มตายเสียโดยมาก

ครานี้พระเจ้าพังคราชเลยสั่งหัวหน้าหน่วยเสนารักษ์ประจำกองทัพมาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ทางการแพทย์แลยาสมุนไพรให้เหล่าผู้คนที่สนใจใคร่ศึกษา และยังให้เปิดโรงหมอรับรักษาบรรดาคนป่วยไข้ทั้งในและนอกพระนครหลวง รวมแล้วสามที่ด้วยกัน สองที่ในพระนคร อีกที่หนึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเขตพระนครใกล้หมู่บ้านปักษา (นก) ห่างจากพระนครหลวง ๔ โยชน์

นอกจากพระเจ้าพังคราชจะพัฒนาทางด้านความเป็นอยู่ของเหล่าพสกนิกรแล้ว พระองค์ยังทรงจัดตั้งหน่วยอหิมาศ (งูทอง) คัดสรรบรรดาทหารนายกองที่มากฝีมือจำนวน ๕๐ นายขึ้นมาเป็นการพิเศษอย่างลับๆ แม้กระทั่งพระอนุชาต่างมารดายังไม่อาจล่วงรู้

บรรดาเหล่าทหารที่ได้รับนั้นมีเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทั้ง๗ที่ร่วมต้านศึกในหุบเขาไร้พันธนาการอยู่๓คน หนึ่งในนั้นคือนายกองเชษฐสิน บุตรของพระหาญนรงค์ นั้นเอง

...

๘ ปีต่อมา

ณ ลานฝึกยุทธในสำนักศึกษา

“น้องเจ็ดสู้ๆ” “น้องห้าสู้ๆ” เสียงตะโกนโหร้องให้กำลังใจไม่ขาดสาย ครู่ต่อมาพลันหยุดลง

“เจ้า๕ ฉะไหนเจ้าแพ้อีกแล้วเล่า เช่นนี้เมื่อไรจะได้เลื่อนลำดับขั้นเสียที” เสียงเด็กผู้หนึ่งที่รุมล้อมราชกุมารน้อยที่นั่งหอบหายใจอยู่กลางลานประลอง

“พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ถือกระบอกอยู่ในมือพลันกล่าวขึ้น “มา ตาข้าแล้ว ดูสิว่าครานี้ข้าจะผ่านลำดับที่ ๗ ได้หรือยัง”

“เสด็จพี่สี่ ท่านอยากร่ำเรียนกับพระยาสมานมากกระนั้นเชียวหรือ ท่านไว้หน้าเสด็จพี่สามน้อยปะไร” กุมารหนุ่มผู้ได้ชัยในครานี้เอ่ยขึ้น

“พระยาสมานเก่งกล้าสามารถ เฮียมหาญ ๑ ต้านร้อย ผู้ใดบ้างไม่อยากร่ำเรียน” ราชกุมารผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

พลันมีเสียงฝีเท้าที่หนักหน่อยเดินมา เหล่าราชกุมารพลันแยกย้ายลงจากลานประลองโดยพลัน เหลือเพียง ราชกุมารองค์ที่สี่ แลราชกุมารองค์ที่สอง

“พระวาตะราชกุมาร หากพระองค์ได้ชัยในครานี้ พระองค์จักได้เลื่อนขั้นจากลำดับขั้น ๖ เป็นลำดับขั้น ๗ แลจักได้ฝึกศิลปวิทยากับพระยาสมานสุกโสภณ ลำดับขั้น ๗ เป็นลำดับสูงสุด ขอสวรรค์ปฐพีจงคุ้มครอง เริ่มได้!!”

เมื่อสิ้นคำพระสีตะ ราชกุมารทั้งสองพระองค์ก็พลันร่ายรำกระบอกรุดจู่โจมอีกฝ่ายรวดเร็วเฉียบพลัน ครั้นไอศุริยะ หมายจะฟาดกระบอกตีเขาซ้าย ก็พลันมีกระบอกมาขวาง เมื่อไอศุริยะ พลันจะพุ่งแทงไม้กระบอกเข้าที่หัวไหลขวา วาตะก็พลันเอี้ยวตัวหลบ มาดแม้วาตะจะป้องกันการโจมตีของไอศุริยะ ได้ทุกกระบวนท่า แต่วาตะเองก็ไม่สามารถจู่โจมไอศุริยะ ให้ปราชัยได้เช่นกัน

ราชกุมารทั้งสองพระองค์ร่ายรำกระบองมาได้ครู่ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเล็งเห็นได้แม้เพียงน้อยเดียวเลยว่าผู้ใดจะได้ชัย พลันเหล่าราชกุมารแลอนุชนที่ร่ำเรียนศาสตร์ศิลป์ละแวกนั้นต่างพากันมามุงดูจนเต็มลานประลอง ไร้สุ้มเสียงใดๆ พลันจับจ้องแต่กุมารทั้งสองบนลานอย่างไม่คลาดสายตา

แม้ไอศุริยะ จะใช้วิธีหลอกซ้ายตีขวาแต่วาตะก็พลันหลบเลี่ยงได้เสมอ พลันเบื่องล่างลานประลองกลุ่มผู้มามุงชมแหวกทางแยกออกเป็นสองฝากฝัง มีบุรุษหนุ่มสวมใส่อาภรณ์เครื่องทรงหรูหรา มีผู้ติดตามสี่คนเดินมาอย่าแช่มช้า จนเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของไอศุริยะ จนต้องเหลียวไปมอง เพียงชั่วรัดนิ้วมือนั้นแล วาตะพลันพุ่งกระบอกแทงเข้ากลางอกไอศุริยะ จนล้มลงก้นกระแทกพื้นไป

กระนั้นเองเสียงโหร้องพลันดังขึ้น พลันมีเสียงดังขึ้นว่า “ถวายพระพรพ่ออยู่หัว” เหล่าบรรดาอนุชนทั้งหลายจึงพลันเหลือบมองไปเห็นบุรุษในอาภรณ์หรูหรานั้น พากันคุกเข่าลงโดยพลัน ทั้งไอศุริยะ และวาตะที่อยู่บนลานประลองต่างก็คุกเข่าลงอย่างว่องไวเช่นกัน

“ลุกขึ้นเถิด” พระเจ้าพังคราชเอ่ยขึ้น “ไอศุริยะ เจ้าต้องแน่วแน่กว่านี้ วาตะ เจ้าใส่เหล็กถ่วงกี่ชั่ง” (๑ ชั่งคือ ๑.๒ กิโล)

“๒ชั่งขอรับ” ไอศุริยะ ตอบทั้งที่ยังคุกเข่า

“ข้างละ๒ชั่งหรือไร ตอบพลันให้แจ้งในคราเดียว” พระเจ้าพังคราชกล่าวเสียงเรียบเฉย

“โคนแขน แลข้อขา ข้างละ๒ชั่ง รวม๘ชั่งขอรับ” วาตะกล่าวเสียงดังฟังชัด

“เพิ่มไปอีกข้างละ ๑๐ ตำลึง” (๑ ตำลึงคือ ๖๐ กรัม)

“ขอรับ” วาตะกล่าวตอบ

แม้พระเจ้าพังคราชจะสั่งให้ลุกขึ้นนานแล้ว แต่บรรดาคนเหล่านั้นไหนเลยจะมีผู้ใดกล้ายืนค้ำหัวพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งพวกมันยังใคร่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินจะตรัสสั่งอะไรเป็นอย่างยิ่ง พลันคุกเข่าลอบฟังอยู่ที่นั่น

ครั้นพระเจ้าพังคราชเห็นดังนั้นเลยตรัสต่อว่า “ไปพวกเราไปคุยกันข้างใน”

เป็นอันเข้าใจว่าพระองค์มีวาจาใคร่กล่าวกับเหล่าราชกุมาร พระเจ้าพังคราชจึงเดินนำหน้าเหล่ากุมารไปประทับนั่งบนแท่นสำหรับดูการแข่งขัน

เหล่าราชกุมารเลยพลันนั่งลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ

บรรยากาศรอบข้างแม้เป็นลานประลองโล่งแจ้ง แต่แท่นที่นั่งชมยังคงมีจากมุงบังแดดบังฝนอยู่บ้างเลยชวนให้ร่มเย็นเมื่อมาพักอยู่ใต้ชายคาหลังจากตากแดดมาเนิ่นนาน

แต่พลันบรรยากาศกลับน่ากลัวโดยพลัน ประหนึ่งราวกับเหล่าลูกไก่ทั้งหลายถูกพญาราชสีห์จ้องจะตะปบอยู่ฉะนั้น

“สุหฤทเจ้ารั้งอยู่ขั้น๓มาตั้งแต่ปีกลาย มาตรแม้นฤดูนี้หากเจ้ายังไม่เหยียบขั้น๔ ขุนอินทรพึงจักไปอบรมเจ้าทุกทิวาราตรี” พระเจ้าพังคราชกล่าวน้ำเสียงราบเรียบพลางจ้ององค์ชาย ๕ สุหฤทกุมาร

“ขอรับเสด็จพ่อ” สุหฤทกุมารรับคำคอตก

“สุญญตาลา แม้เจ้าจักมีชัยเหนือสุหฤทแต่อย่าได้หลงตัวพานให้เกียจคร้านเลินเล่อเผลอสติเป็นอันขาด” พระเจ้าพังคราชกล่าวพลางมององค์ชาย ๗ สุญญตาลากุมาร

“ขอรับเสด็จพ่อ” สุญญตาลากุมารรับคำ

“สรฏะ เจ้าเป็นพี่ควรเดินเป็นแบบอย่างน้อง เจ้าสนใจศาสตร์หลายแขนงนั้นประเสร็จยิ่ง แต่จะพึงประเสร็จกว่าหาศาสตร์ที่เจ้าสนใจใคร่รู้นั้นพึงทำประโยชน์ต่อคนหมู่มากได้” พระเจ้าพังคราชกล่าวพลางจ้ององค์ชายสามเขม็ง

“เกล้ากระผมมิใคร่ชมชอบศัสตราวุธ...” สรฏะกุมารกล่าวยังไม่ทันสิ้นพลันได้ยินพระสุรเสียงพระเจ้าพังคราชจึงหยุดกล่าวโดยพลัน

“หือ หรือเจ้าใคร่สนใจไปเป็นพ่อครัวหรือ” พระเจ้าพังคราชกล่าวเสียงราบเรียบ แต่พลันประหนึ่งฟากฟ้าจะถล่มลงมาใส่พระเศียรองค์ชายสาม

ร่างกายองค์ชายสามพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว ทั้งยังสั่นเทิ้มไม่หยุดไม่ทราบจะตอบเช่นไรจึงได้แต่เพียงก้มหน้าลงมองเบื้องพระยุคลบาทพระราชบิดาเสีย

“เจ้าใคร่สนใจศาสตร์ใดข้าไม่หักห้ามเจ้าดอก แต่เจ้าต้องพึงชำนาญศาสตร์พื้นฐานอันจำเป็นเสียด้วย เพราะเจ้าเกิดมามีสายเลือดราชวงศ์หาใช่ราษฎรสามัญทั่วไปไม่ ที่ใคร่อยากเรียนรู้แสวงหาสิ่งใดก็พึงกระทำได้

ความสะดวกสบายที่เจ้าได้รับมากกว่าชาวบ้านสามัญทั่วไป เนื่องจากเป็นราชโอรสเรา เจ้าก็พึงต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าพวกเขาเช่นกัน” พระสุรเสียงที่ราบเรียบอ่อนโยน แลความหมายที่ลึกซึ้งของพระเจ้าพังคราชพาให้เหล่าผู้ได้สลับเหมือนตกอยู่ในห้องแห่งภวังค์

เมื่อพระองค์เห็นสรฏะนั่งนิ่งก็ไม่ตรัสอันใดอีก หันไปหาองค์ชายหกอักขระราชกุมาร

“วันนี้เจ้าประลองไปหรือยัง”

“ยังขอรับเสด็จพ่อ” อักขระกุมารกราบทูล

“ไปสิ สู้กับสุญญตาลาใช่หรือ”

“ขอรับ” องค์ชายทั้งสองพระองค์รับคำพร้อมกัน

กุมารทั้งสองรับคำแล้วก็ก้มกราบเดินไปสู่ลานประลอง

“น้อง๗เหล็กถ่วงที่เสด็จพ่อถามพี่๔คือสิ่งใดเจ้ารู้หรือไม่” อักขระกล่าว

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เอาไว้เราค่อยไปถามพี่๔ด้วยกัน” สุญญตาลากล่าวตอบ

ทั้งสองเดินพลางคุยพลางพลันถึงลานประลองอักขระถือมีดคู่ สุญญตาลาใช้ดาบยาว

สุญญตาลาเห็นช่องโหว่คิดชิงลงมือพลางกระชับด้ามดาบในมือก้าวขาซ้ายไปหมายจะพุ่งจู่โจม พลันบัดนั้นร่างอักขระมายืนอยู่ด้านหลังเอามีดจ่อคอสุญญตาลาอยู่แล้ว

ในสายตาผู้อื่นการประลองพลันจบเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม สุญญตาลาพลันยังยืนงงงวยอยู่กลางลาน ทั้งคู่โค้งให้กันแล้วต่างพากันเดินไปถวายบังคมพระเจ้าพังคราช นั่งลงอย่างเรียบร้อยพลางเงี่ยหูฟังว่าจะตรัสสิ่งใด

พระเจ้าพังคราชเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงพยักหน้าให้อักขระเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

...

หลังจากพระเจ้าพังคราชเสด็จล่วงพ้นจะสายตา ทุกคนต่างมามุมขยี้หัวน้อง๖อย่างมันมือ “ยินว่าขุนอินทรให้เจ้าไปเดินบนเชือกหรือ” “ยินว่าเจ้าเกือบตกหน้าผาหรือ” เสียงหัวเราะแทรกเข้ามามิขาด “เจ้า๖พวกเราจะแซงหน้าพี่ๆ เสียสิ้น”

“ใช่แล้วพี่๔ เหล็กถ่วงที่เสด็จพ่อกล่าวคือสิ่งใดข้าใคร่รู้ยิ่งนัก” อักขระกล่าวพลางกระโดดล้อมหน้าล้อมหลังวาตะ

“หรือว่าคือปลอกขาปลอกแขนแท่งนี้” สุญญตาลากล่าวพลางจับลูบคลำประคตแขนที่ทำด้วยเหล็กของวาตะ

วาตะเห็นดังนี้จึงถอดส่งให้สุญญตาลาดู สุญญตาลารับพลางพินิจพิจารณา ราชกุมารทั้งหลายต่างพากันไปรุมดูยกเว้นเพียงไอศุริยะ วาตะเห็นเช่นนั้นพลางขมวดคิ้ว ‘เกินหน้าเกินตาพี่รองเกินไปเภทภัยจะมาเยือนเป็นแน่’

จึงเก็บสายตากลับมาแลกล่าวว่า “พวกเราไปเล่นน้ำกันเถิด” ว่าดังนั้นเหล่าราชกุมารทั้งหลายก็ต่างพากันวิ่งไปยังสระบัวหน้าลานพระราชวัง แลกระโดดลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เหล่าอนุชนบางคนที่มาร่ำเรียนวิชาในสำนักศึกษาเห็นเข้าก็แทบจะโยนใบลานในมือทิ้งแล้วลงไปเล่นน้ำ แต่พลันนึกขึ้นได้จึงถอดเสื้อที่สวมใส่ห่อในลานอย่างบรรจงวางลงที่ริมสระแล้วเสร็จจึงพลันกระโดดลงสระประหนึ่งเสื้อตะครุบเหยื่อ

ไอศุริยะ ยืนมองสระน้ำนั้นอยู่ไกลๆ แววตาฉายความเกลียดชังอย่างเด่นชัด มันยืนมองเด็กสิบกว่าคนเล่นน้ำอย่างสนุกสนานพลันสะบัดหน้าหนีเดินหายลับไปอีกทาง อาการทั้งหมดของมันกลับอยู่ในสายตาของดรุณีน้อยนางหนึ่งอย่างชัดเจน

ในมือนางถือตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยขนมหวาน ด้านหลังนางมีหญิงรับใช้คุกเข่าอยู่ภายในมือถือใบลานที่ถูกห่อด้วยผ้าอย่างประณีต

ดรุณีนางนี้ใบหน้าขาวงามประหนึ่งดอกบวบ เกล้าผมเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ สวมผ้าสไบสีม่วงอ่อนชายยาวจรดโคนขา กลืนกันกับผ้าถุงสีม่วงเข้ม เป็นที่ดึงดูดสายตาของเหล้าบุรุษและสตรีที่เดินผ่านไปมาบริเวณลานหน้าพระราชวัง

ความงามของนางประหนึ่งนางอัปสรมาจุติก็ไม่ปาน

นางนั่งรออยู่โคนต้นไม้ ดูเหล่าราชกุมารที่เล่นน้ำตัวเปียกปอนขึ้นมาจะสระ มีเสียงหนึ่งในเหล่าราชกุมารตะโกนมาว่า “นั้นพี่หญิงนี้ พี่หญิงน้ำขนมมาด้วย” เหล่าราชกุมารน้อยต่างพากันวิ่งมือเปล่าเท้าเปลือยไปพัวพันอยู่หน้าดรุณีนางนั้น โจงกระเบนที่เปียกโชกของเหล่าราชกุมารพลันเลอะเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนเต็มตัวมือและหน้าก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แต่นางก็หาได้รังเกียจไม่ เอ่ยเสียงเรียบว่า

“ล้างมือก่อนค่อยรับทาน”

เหล่าราชกุมารพลันวิ่งไปล้างมือที่สระใหม่อีกครา นางมองดูด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง “พี่หญิงพวกข้าล้างมือแล้ว” เหล่าอนุชนแลราชกุมารทั้งหลายกล่าว

นางยิ้มน้อยๆ และหยิบห่อใบตองในตะกร้าหวายแจกให้คนละห่อ

“น้องหญิงของข้าเล่า” สรฏะกล่าว

ดรุณีนางนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหยิบห่อใบตองในตะกร้ายื่นให้ พลางกล่าวว่า “พี่๓ครานี้ท่านคงต้องปีนต้นมะพร้าวอีกแล้ว ข้าใคร่ได้กะทิเพิ่ม”

เหล่าอนุชนทั้งหลายแลราชกุมารที่นั่งอยู่บนพื้นดินอย่างไม่รังเกียจ พลางเคียวขนมเต็มปากกล่าวเสียงดังว่า “ข้าไปด้วย” “ข้าก็เช่นกัน”

“เวลากินห้ามพูด” ดรุณีน้อยกล่าว

“ท่านหญิงสุรนารีเจ้าคะ ใกล้ได้เพลาแล้วเจ้าค่ะ” ทาสหญิงข้างกายกล่าว

เจ้านางน้อยสุรนารีเพียงพยักหน้า ส่งตะกร้าหวายในมือให้นางกล่าวว่า “เจ้าเอาไปแบ่งเด็กแถวนี้” พลางหยิบห่อใบลานแล้วเดินเข้าสำนักศึกษาไป

หลังจากเหล่ากุมารน้อยทั้งหลายกินขนมเรียบร้อยแล้วก็พาวิ่งไปยังป่านอกพระนคร เพื่อเก็บลูกมะพร้าว

“พี่๓ปกติแล้วท่านปีนอย่างไร” วาตะกล่าวพลางมองต้นมะพร้าวที่สูงกว่าตนถึงสามชั่วตัว

สรฏะหัวเราพลางกล่าวว่า “เจ้านี้ ดูข้า” ว่าแล้วก็กระโดดเหยียบไหล่วาตะแล้วก็เกาะต้นมะพร้าวค่อยๆ ปีนไปถึงยอด โยนลูกมะพร้าวลงมาลูกแล้วลูกเล่า จนเหลือเพียงลูกเล็กๆ ไว้แล้วค่อยๆ ปล่อยตัวลงมา

เมื่อเหล่าน้องๆ เห็นดังนั้นก็ประหนึ่งวิญญาณลิงเข้าสะกิดร่าง พลันปีนต้นมะพร้าวสองสามต้นแถบนี้ตามอย่างพี่๓เสียสิ้น วาตะยังคงยืนนิ่งอยู่กับอักขระ กุมารทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

องค์ชาย๖ พระอักขระเกิดในพระมารดาพระนามว่า พระปิยนุชบวรวิจิตโสภณ เป็นพระขนิษฐาในพระเจ้าสิงหนติที่ทรงพระราชทานอภิเษกให้เมื่อเสร็จศึก หลังจากอภิเษกได้ไม่นานพระนางก็ทรงพระครรภ์ พระอักขระขึ้น

พระปิยนุชยังมีโอรสอีกพระองค์ ชื่อรัตติกรราชกุมาร แลพระธิดาพระนาม นภกัลยาณี

แม้อักขระเป็นพระอนุชาต่างมารดาแต่วาตะก็สนิทสนมกับอักขระเป็นอย่างยิ่ง อักขระมองดูพี่น้องตนปีนต้นไม้ตาลุกวาว หันไปมองพี่ชายที่ยืนหัวเราะข้างตนพลางกล่าวว่า “พี่๔ข้าใคร่ปีนบ้าง” กล่าวจบพลันตัวถึงโคนต้นไม้แล้ว กระโดดเกาะลำต้นอย่างปราดเปรียวสองสามครั้งพลันถึงยอด ทั้งยังปลดลูกมะพร้าวโยนลงมาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวยิ่ง เด็กน้อยหกเจ็ดคนด้านล่างรับลูกมะพร้าวที่โยนลงมามือเป็นระวิง

บัดนั้นเองอยู่ดีๆ ต้นมะพร้าวที่อักขระปีนอยู่พลันหักโค่นลงมา เหล่าราชกุมารแลอนุชนทั้งหลายพากันวิ่งกรูไปยังทิศที่ต้นมะพร้าวหัก กุมารที่อยู่บนต้นมะพร้าวสามสี่คนพลันโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว

“เวรกรรม ซวยแล้ว” สรฏะสบถพลางวิ่งเข้าไปดูอักขระ

วาตะที่ไม่รู้ไปถึงตัวอักขระตั้งแต่เมื่อใดอุ้มอักขระออกมาช้าๆ ร่างอักขระเต็มไปด้วยรอยเลือด บัดนี้อักขระไม่ได้สติแต่ยังมีลมหายใจอยู่ วาตะเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งวิ่งปราดเดียวก็หายลับไปจากที่นั่นเสียแล้ว ผู้ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นบ้างก็ยังตกใจไม่จางหาย บ้างก็ยังงุนงงอยู่ไม่รู้ควรทำเช่นไร บ้างก็วิ่งไปทิศที่วาตะหายลับไป

...

โรงหมอที่ยามปกติแล้วก็มีคนพลุกพล่านมากเป็นสามัญ แต่วันนี้กลับมากจนล้นออกมาถึงถนน วาตะไม่ใคร่สนใจสายตาแลคำด่าพอของผู้ใด วิ่งถลันฝ่าหมู่ชนเข้าไปในโรงหมอโดนพลัน ตรงรี่เข้าไปยังด้านในสุดพลางตะโกนว่า

“ท่านหมอ โปรดช่วยน้อง๖ด้วย น้องหกตกต้นไม้” เสียงของวาตะทั้งแหบพร่าและสั่นเครืออย่างยิ่ง

เมื่อเสนารักได้ยินจึงพลันวางงานละกิจที่ทำมายังร่างอักขระที่อยู่บนเตียงโดยพลัน หมอชำนาญการสามสี่คนรุมอักขระมือเป็นระวิง วาตะ ยังคงยืนทื่อมองดูอยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดต่อ พลันเหล่าราชกุมารทั้งหลายมาถึง บ้างก็ถือลูกมะพร้าว บ้างก็หอบหายใจ คนหลังสุดที่วิ่งเข้ามาเป็นสรฏะ

สรฏะฝ่าฝูงกุมารที่ยืนขวางทางเข้าไปดูอักขระใกล้ๆ แต่ถูกเสนารักษ์ตวาดไล่ มันจึงไปยืนหลบมุมอยู่พลางเอามือกุมศีรษะ ไม่รู้มันคิดประการใด หน้าบัดเดี๋ยวซีดขาวบัดเดี๋ยวดำคล่ำ

“พี่๔เจ้า๖จะรอดหรือไม่” สุหฤทเอ่ยถาม

วาตะไม่แม้แต่จะมองสุหฤท ทั้งยังไม่เอื้อนเอ่ยประการใด

ครู่ใหญ่ พระเจ้าพังคราชก็มาถึงโรงหมอ เหล่าอนุชนที่มามุงดูพลันหายลับไปประหนึ่งไม่เคยอยู่ ไม่รู้พวกมันหายไปแต่เมื่อใด เหล่าราชกุมารคุกเข่าถวายบังคมแล้วก็คลานไปเรียงแถวกันที่มุมห้องด้านหนึ่งอย่างเรียบร้อยโดยพลัน พระเจ้าพังคราชไม่กล่าววาจาใดเพียงนั่งดูเหล่าเสนารักษ์สี่คนที่เร่งมือช่วยชีวิตอักขระอยู่

ครู่ต่อมา หนึ่งในเสนารักเหล่านั้นมาถวายบังคมพระเจ้าพังคราชแล้ว กราบทูลว่า

“องค์ชาย๖ได้รับบาดเจ็บเพียงภายนอก ไม่ร้ายแรงมากนัก ทั้งยังไม่เป็นผลต่อการฝึกวิทยายุทธใดๆ เพียงช่วงสี่ห้าวันนี้เดินเหินไปสะดวกเท่านั้น”

สิ้นเสียงเสนารักษ์ เหล่าราชกุมารพากันโหร้องด้วยความดีใจ แต่พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้เลยเงียบในบัดดล ลอบมองไปยังพระเจ้าพังคราชที่ยังคงมีใบหน้าสงบนิ่งอยู่

...

เย็นวันนั้น เหล่าราชกุมารทั้งหลายพากันคุกเข่าอยู่เป็นแถวกลางห้องโถงอย่างเงียบๆ เบื่องหน้าเหล่าราชกุมารเป็นพระเจ้าพังคราช ถัดไปเป็นพระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณ ตามด้วยเหล่าพระชายาทั้งหลายแลเจ้าจอม เบื้องหลังพระเจ้าพังคราชเป็นองค์ชายรอง พระไอศุริยะ

พระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณลอบมองพระเจ้าพังคราชที่ยังคงนิ่งเฉยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอยู่เนิ่นนานพระนางจึงพลันกล่าววาจาขึ้นเองว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันไปปีนต้นไม้ ผู้ใดเป็นต้นคิด”

สำนวนพระนางเพียงผู้มีสติปัญญาหน่อยฟังก็ทราบความได้ว่าพระนางจงใจหาผู้รับผิด ทั้งยังไม่ถามไถ่ต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย

เหล่าราชกุมารที่มองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้าตอบ พระนางคล้ายอดรนทนไม่ไหวจึงตรัสว่า “สุหฤทเจ้ากล่าวมา” นางกล่าวพลางชี้หน้าองค์ชาย๕ ด้วยศักดิ์ของนางไม่มีแม้แต่สิทธิ์เรียกชื่อพระโอรสพระเจ้าแผ่นดินโดยไม่มีคำนำหน้าพระนามทั้งยังหาญหน้าใช้นิ้วชี้หน้าพระโอรสอีก แม้องครักษ์ข้างหลังจะมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในบัดดลแต่ก็หามีผู้ใดในห้องโถงขยับกายไม่ เพราะพระเจ้าพังคราชยังทรงนิ่งเฉยประหนึ่งไม่ได้ยิน พวกมันจึงต้องพลันนิ่งเฉยตามเสีย

“พวกข้า...ไปเก็บมะพร้าว...” สุหฤทกล่าวตะกุกตะกัก

“เหตุผลกลใดไยต้องไปเก็บมะพร้าว” นางกล่าวตวาดขึ้น

“เพราะว่า... พี่...” สุหฤทกล่าวยังไม่ทันจบก็มีเสียงดังสอดขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าชักชวนน้องๆ ไปเก็บมะพร้าวที่นอกเมืองขอรับ” วาตะสอดปากกล่าวเสียงดัง

ทุกสายตาจับจ้องไปที่วาตะ สรฏะที่คุกเขาอยู่ข้างๆ วาตะกำลังจะพูดบางอย่างแต่วาตะพลันส่งเสียงชูวว์ขึ้นมันจึงพลันหุบปากลงทันที “ข้าพเจ้าเป็นผู้ต้นคิดขอรับ” วาตะกล่าวย้ำอีกคราประหนึ่งประโยคเมื่อครู่ยังไม่หนักแน่นในใจผู้ฟังเพียงพอ

“ดูๆ ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ไอ้ลูกแม่ไม่สั่งสอน” พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีกล่าว

คำกล่าวเพียงประโยคเดียวกับด่าว่าบุคคลถึงสองคน ทั้งยังเป็นประหนึ่งคมมีดกรีดเฉือนหัวใจวาตะก็ปาน วาตะพลันกำหมัดในมือแน่น

“พระนางว่าเกล้าเพียงกระหม่อมเป็นพอ ไยต้องจาบจ้วงล่วงละเมิดถึงมารดาข้า!!” คำสุดท้ายมันเน้นเสียงดังอย่างยิ่ง หน้าวาตะพลันแดงคล้ำบอกได้ว่าโทสะรุนแรงอย่างยิ่ง

“ดูสิ ช่างก้าวร้าวยิ่งนัก กุมารนี้ตัวเภทภัยโดยแท้” พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีกล่าว

“เป็นเจ้าที่ต้นคิดจนทำให้เจ้า๖บาดเจ็บ?” พระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณถาม

“เป็นข้า” วาตะกล่าว

พระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณลอบมองพระสวามีที่นั่งอยู่ข้างๆ หมายรอให้พระองค์เอื้อนเอ่ยลงโทษ พลันเห็นแววตาที่ครุกกลุ่นด้วยความโกรธเข้า มือที่กำแน่น จึงพลันตีความไปว่าพระองค์ทรงมีโทสะจากเจ้า๔เป็นแม่นมั่นจึงไม่รีรอกล่าวตัดสินด้วยตนเองว่า

“ทหาร เอาองค์ชาย๔ไปโบยยี่สิบไม้”

เหล่าทหารยังไม่ขยับเยือนอันใด เหล่าพระชายาทั้งหลายพลันหันไปมองพระเจ้าพังคราช พระองค์ทรงนิ่งเฉยไม่กล่าววาจาพลางเพ่งพินิจมองวาตะด้วยแววตาคมกริบ

“หรือเสด็จพี่...” พระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณกล่าว

“ยี่สิบไม้น้อยไปกระมัง” พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีกล่าว

พระเจ้าพังคราชที่นิ่งเงียบอยู่นานโบกมือเล็กน้อย ทหารจึงเข้ามาคุมตัววาตะออกจากห้องโถงไป พระเจ้าพังคราชมององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเล็กน้อย องครักษ์ผู้นั้นพลันเดินตามวาตะที่ถูกคุมตัวออกไปด้วย

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นตามจังหวะเสียงไม้ที่กระทบลงบนผิวมนุษย์ ในห้องโถงพลันเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงแม้เล็กน้อย สุหฤทร้องไห้น้ำตาไหลแต่ไม่กล้าให้มีเสียง ทั้งห้องเงียบอยู่เนิ่นนานจนประตูห้องโถงถูกเปิดขึ้นอีกครา ทหารสี่คนหิ้ววาตะที่นอนคว่ำหน้าเข้ามาวางไว้ระหว่างราชกุมารและเหล่าพระชายา เลือดสีแดงสดไหลรินเต็มหลังวาตะ ทั้งห้องเงียบกริบ

ทหารทำผิดวินัยทัพโทษโบยขั้นต่ำคือ๒๐ไม้แต่นี่เด็กอายุ๑๒พระชายายังประทานโทษทันทีเท่าเทียมกันอย่างไร้ปรานี เจ้าจอมผู้หนึ่งที่นั่งอยู่สุดท้ายเห็นเลือดสดๆ พลันเป็นลมไปโดยพลัน จึงเป็นการยุติการประชุมโทษในบัดนั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา