ขุนเขา สายน้ำ คาวเลือด

-

เขียนโดย Liusanmei

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.20 น.

  4 บท
  2 วิจารณ์
  4,268 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑ เปลี่ยนกษัตริย์ผลัดแผ่นดิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑ เปลี่ยนกษัตริย์ผลัดแผ่นดิน

ภูผากว้างใหญ่สะท้อนเสียงร้องวานร วิหคฟ้อนเหนือสายธารเชียว* ผืนฟ้าพสุธาอันกว้างใหญ่ มีสรรพสัตว์ใต้ผืนแผ่นฟ้า ดำรงเลี้ยงชีพชีวาตลอดจนม้วยมรณาสิ้นลมไป เกิดตายคือปกติของธรรมชาติ มีเพียงจิตวิญญาณที่โศกศัลย์ จักดำรงคงอยู่คู่ชีวัน คือคุณธรรมแลความดี

“ข้านี้เกิดมาเพื่อทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย” คำนี้ประกาศก้องทั่วผืนแผ่นดินเมืองพิงคราชนคร เมื่อพระเจ้าพังคราชทรงปราบดาภิเษกสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดาสวรรคตลงเมื่อ ๗ วันที่แล้ว

เสียงโหร้องดังกึกก้องไปทั่วพระนครหลวง พ่อค้า ประชาชนที่มารวมตัวกันเนืองแน่นหน้าลานพระราชวังต่างยินดีปรีดาปราโมทย์เป็นล้นพ้น

พระเจ้าพังคราชในวัยเพียง ๒๖ พระชันษาโบกพระหัตถ์อยู่บนระเบียงพระราชวังให้เหล่าพสกนิกรของพระองค์ แวดล้อมด้วยเหล่าพระชายา องครักษ์ และเสนาอำมาตย์ ขาดก็แต่เพียงพระอัครมเหสีเทวีคู่บารมีของพระองค์

ขณะที่ทั่วทั้งพระนครต่างยินดีปรีชาเฉลิมฉลองกลับมีมุมมุมหนึ่ง ในห้องห้องหนึ่ง ที่เศร้าโศกโศกา

หญิงสาววัย๒๔ ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีปากกลับดำคล้ำ แม้ใบหน้านางจะซีดขาวแต่ก็ไม่อาจบดบังความงามบนใบหน้าของนางได้เลย นางนอนทอดกายอยู่บนเตียง แวดล้อมไปด้วยผู้คนบนใบหน้าคนเหล้านั้นกลับมีแววตาที่เศร้าสลดเหลือประมาณ บ้างก็ร่ำไห้โศกา บ้างก็ข่มกลั้นหยาดน้ำตา บ้างกล้ำกลืนฝืนทนทรงกายให้ยืนอยู่ไม่หมดลมล้มลงไป

ไกลออกไปไม่เท่าไรนัก มีหญิงรับใช้สองคนอุ้มทารกน้อยวัยสี่ขวบและห้าขวบไว้ ใบหน้าของพวกนางต่างเปื้อนหยาดน้ำตา

เสียงแว่วการเฉลิมฉลองดังมาภายนอก ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้น มีบุรุษแต่งเครื่องทรงกษัตริย์เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน นั่งลงข้างเตียง กุมมีนางไว้แน่น แววตาที่เยือกเย็นสงบนิ่งถูกฉาบทาด้วยความหม่นหมอง ใบหน้าที่งดงามราวกับรูปสลัก กลับยังเรียบเฉยเฉกเช่นเดิม

ไม่ทราบเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร ลมหายใจสตรีที่อยู่บนเตียงแผ่วเบาลงไปทุกที จนสงบแน่นิ่งไม่ไหวติงอีกต่อไป เสนารักษ์ที่ดูอาการสตรีท่านนั้นอยู่ตลอดพลันคุกเข่าลงอย่างเชื่องช้า โคกศีรษะจรดพื้น

บุรุษในชุดกษัตริย์ยังคงกุมมือนางไว้เฉกเช่นเดิม กุมมือนางจนข้อนิ้วปูดโปน ร่างกายไม่ไหวติง แต่คนที่ยืนรายล้อมกลับคุกเข่าลง คารวะสตรีนางนั้นเป็นวาระสุดท้าย

“พระอัครมเหสี” เสียงเรียกที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินของเหล่าผู้คนที่รายล้อม

เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นระคนกับเสียงเพลงในงานเฉลิมฉลองที่แว่วมาแต่ไกล

ไม่มีผู้ใดทราบจิตใจของพระเจ้าพังคราชในขณะนั้นว่าพระองค์รู้สึกเช่นไรที่สูญเสียพระมเหสีที่พระองค์รักที่สุดในวันที่พระองค์ควรจะยินดีที่สุดเช่นนี้ แม้พระองค์ไม่แสดงท่าทีของความอ่อนแอ่ ความเศร้าโศกออกมาให้ผู้ใดได้เห็นเลย แต่พระองค์ก็มีเลือดเนื้อแลจิตใจเช่นกัน “ถ้ากษัตริย์อ่อนแอไม่เข้มแข็งแล้วประชาชนจะไปพึ่งพิงใคร” เป็นคำกล่าวของพระราชบิดาที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของพระองค์ เป็นคำที่คอยข่มกลั้นความอ่อนแอ ความเศร้าเสียใจให้พระองค์ ทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้พระองค์ยืนหยัดต่อไปอีกด้วย เพราะผู้ที่เคยแบ่งเบาภาระบนบ่าคู่นี้ มาบัดนี้ได้จากพระองค์ไปแล้ว จิตวิญญาณได้จากจรไปยังที่ที่ไกลแสนไกล แม้พระองค์ยังคงกุมพระหัตถ์นางไว้แต่ก็ไม่อาจฉุดรั้งจิตวิญญาณของนางไว้ได้แม้เพียงเสี้ยวนาทีเลย

...

อันว่าจอมทัพที่ดีย่อมรู้ว่าควรรุกไล่เวลาใด ควรล่าถอยคอยโอกาสเวลาใด ยามใดควรรบ ยามใดควรบ่มเพราะฟื้นฟูกำลังพล

ยามเปลี่ยนกษัตริย์ผลัดแผ่นดินเช่นนี้คือโอกาสที่ฟ้าประทาน น้อยครั้งจะบังเกิด แม่ทัพเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารที่เคยพักดีถวายหัวกับแผ่นดินต้น น้อยนักที่จิตใจจะไม่หวั่นไหว เพราะความเคารพเชื่อใจ ความเลื่อมใสศรัทธา การที่จะเอาชนะใจทหารนั้นต้องอาศัยผลงานแลระยะเวลาเป็นเครื่องบ่มเพาะ ดังนั้นเสาหลักเหล่านี้มีไม่น้อยที่จะหวั่นไหวเอาใจออกหาก

นี้จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

๗ วันหลังจากพระเจ้าพังคราชขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา ก็ทราบข่าวว่าเจ้านครชัยบุรีศรีแสนช้าง พระเจ้าสิงหนติได้กรีธาทัพยกพล ๗ หมื่นบุกนครพิงคราช

ทั้งยังส่งสารให้พระเอกชัยกรีธาทัพ เจ้าเมืองสิทธานคร เมืองประเทศราชในนครชัยบุรีศรีแสนช้าง กรีธาทัพพล ๒ หมื่นตีขนาบอีกทาง

๒ วันต่อมาข่าวการกรีธาทัพใหญ่มาถึงห้องโถงในพระราชวัง บรรดาขุนนางเดือดร้อนเสนาอำมาตย์ต่างประหวั่นวิตก กิริยาบ้างก็ลุกลนประหนึ่งถูกไฟเผา บ้างก็กราบทูลให้เจ้าเหนือหัวส่งสารยอมแพ้ ยินยอมตกเป็นเมืองประเทศราชของพระเจ้าสิงหนติ บ้างก็ของให้พ่ออยู่หัวแต่งทัพเล่นศึก บ้างก็นิ่งเฉยเสียไม่กล่าววาจา

พ่ออยู่หัวพังคราชนั่งนิ่งอยู่บนแท่นพระราชอาสน์ ไม่ทรงตรัสอะไรอยู่นานจึงยืนขึ้น บรรดาขุนนางในโถงต่างพากันเงียบเสียงโดยพลัน พระองค์ทรงกล่าวว่า “แต่เดิมมากษัตริย์ที่ยอมคุกเข่าทั้งที่ยังไม่เปิดศึกไม่ใช่กษัตริย์ (กษัตริย์แปลว่านักรบ) นักรบที่ยอมแพ้ตั้งแต่สงครามยังไม่เริ่มย่อมไม่ใช่นักรบ แม้พิงคราชเราจะเป็นแต่เมืองน้อย เราก็จะขอสละเลือดเนื้อยอมพลีเพื่อปกป้องประชาชนจากอริราชศัตรู”

เมื่อพระเจ้าพังคราชตรัสพระดำรัสจบลง เหล่าแม่ทัพขุนพล แลเสนาอำมาตย์บางท่านโหร้องขึ้นดังกึกก้องอย่างเฮียมหาญปนด้วยความปีติยินดี ความเคารพเลื่อมใสแลความเชื่อในกษัตริย์หนุ่มองค์นี้เพิ่มขึ้นเท่าทวี

วันนั้นเองพระเจ้าพังคราชเรียกประชุมแม่ทัพนายกองเพื่อตั้งทัพรับศึก

ทัพด้านพระเอกชัยสิงค์ เจ้าเมืองสิทธานคร มีไพร่พลเพียง ๒ หมื่น จะบุกประชิดชายแดนในอีก ๑๐ วันข้างหน้า ทัพของพระเอกชัยสิงค์เมื่อเดินทัพอย่างไรเสียก็ต้องผ่านแม่น้ำอจิรวดีคงคา พระเจ้าพังคราชจึงให้แม่ทัพวิสุทธิกัมมา นำพล ๕ พันไปแต่งกลอุบายดักซุ่มรอรับศึกปราบอริราชศัตรูทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)

ทัพใหญ่ของพระเจ้าสิงหนติมีมากถึง ๗ หมื่น บุกมาทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทิศนั้นทางเป็นหุบเขาเคียวคตลาดชันอย่างยิ่ง พระเจ้าพังคราชคาดการว่าทัพใหญ่น่าจะเดินทัพช้าหากบุคมาทางหุบเขา หรือไม่อีกประการพระเจ้าสิงหนติคิดจะเดินทัพอ้อมเข้าบุกทางน้ำพายเรือทวนกระแสรุกเข้าทางทิศทักษิณ (ทิศใต้) แม้กระนั้นก็ใช้เวลาจวนเดือนกว่าจะประชิดชายแดน

พระองค์จึงสั่งให้แม่ทัพหาญนรงค์ นำไพร่พลราบ ๕๐๐ ป้องกันทางหุบเขา ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทั้งยังสอดส่องตรวจตราหากมีข้าศึกมาให้แต่งกลอาศัยชัยภูมิที่เป็นต่อรับศึก

ส่วนพระองค์จะนำทัพใหญ่ต้านศึกทางทิศทักษิณ (ทิศใต้) ด้วยพระองค์เอง

เมื่อข่าวเปิดศึกสงครามเกิดขึ้น ประชาชนย่อมตื่นตระหนกโกลาหล ข้าวยากหมากแพงไปทั่วทุกหัวระแหง เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

พ่อค้าคนมั่งมีต่างกักตุนข้าวสาร ราคาข้าวสารจึงสูงขึ้นถึง ๕ เท่าตัว

พระเจ้าพังคราชจึงจัดสั่งให้พระวัฒนสุรังสีเจ้ากรมพระคลังควบคุมดูแลเรื่องเสบียงกรังที่จะใช้ในกองทัพตลอดไปจนถึงอาหารเครื่องบริโภคของประชาชนในพระนครหลวง ท่านรับสั่งว่า “ยามศึกสงครามเช่นนี้ประชาชนเดือดร้อนมากอยู่แล้ว กินน้ำบ่อเดียวกันต้องรักใคร่สามัคคีกัน” เพียงพระดำรัสนี้พระวัฒนสุรังสีก็พึงเข้าใจโดยนัยที่แฝงอยู่ จึงออกคำสั่งกำหนดตราเพดานจำนวนข้าวสาลีจะพึงมีในหมู่พ่อค้าแลประชาชนละเอียดจนถึงทุกครัวเรือน ทั้งยังกำหนดราคาข้าวสารและอาหารแห้งป้องกันผู้ฉวยโอกาสสร้างผลประโยชน์ในภาวะสงคราม

แลสั่งพระบดินทร เจ้ากรมทหารรักษาพระนครเพิ่มกำลังทหารรักษานครหลวงป้องกันการปล้นชิง

หลังจากข่าวสารการสงครามทราบไปทั่วแคว้นพิงคราชเพียงไม่กี่ราตรี ทั่วทั้งแคว้นเกิดโกลาหล ประชาชนบ้างก็อพยพหลีกหนีไฟสงคราม บ้างก็ย้ายถิ่นฐานเข้าไปยังนครหลวง ราตรีมาเยือนยากจะข่มตาหลักสนิท

ประชาชนทุกข์เข็ญทั่วหัวระแหง พ่ออยู่หัวก็ยากจะหลับนอนเป็นสุข

ยามค่ำคืนราตรีช่างเนินช้าและยาวนานสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะข่มตาหลับ

พระราชวังหลวงแห่งนครพิงคราชตั้งอยู่บนหุบเขาทางทิศเหนือของนครหลวง นอกเชื้อพระญาติพระวงกริ่งเกรงแล้วมีเพียงอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่เพียงไม่กี่สิบท่านที่ได้พำนักอยู่ในเขตพระราชวัง

เนื้อที่พระราชฐานชั้นในมีเพียงหน่อเนื้อเชื่อกษัตริย์ขัตติยะเท่านั้นที่อยู่อาศัย

สิ่งปลูกสร้างนั้นส่วนมากทำด้วยหินผา แข็งแรงทนทานมั่นคง เรือนใหญ่น้อยมากมายระรายอยู่ตามหุบเขา บ้างก็ซุกซ่อนอยู่ตามแมกไม้ บ้างก็ใช้ถ้ำเป็นเรือนพำนักก็มี ภายในเขตราชฐานยังมีน้ำตกตามธรรมชาติอยู่สิบกว่าแห่ง ราวกับสวรรค์บนดิน

ยามฤดูหนาวพื้นดินก็จะถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอก ประหนึ่งแดนเซียนก็ไม่ปาน

ยามฤดูฝน พรรณไม้เขียวชอุ่มนกกาขับขานไพเราะเสนาะหู อากาศปลอดกำราบไม่อับชื้น

ยามฤดูร้อน เหล่าแมกไม้ประหนึ่งฉัตรบังแดดป้องลม ชวนอภิรมย์ทั้งสามฤดู นับว่าประเสร็จแท้

...

ณ ห้องแห่งหนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน

พระเจ้าพังคราชบ่ายพระพักตร์ไปยังหน้าต่างทอดสายตาไกลออกไปอยู่เนิ่นนานพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ผู้ใด” พระองค์เอ่ยถาม

“เสด็จพี่ ข้าเอง” พระอนุชาเอ่ย

“เข้ามา” พระเจ้าพังคราชกล่าว “มีเรื่องอันใด”

“ข้าใคร่อยากทราบว่าเหตุผลกลใดเสด็จพี่จึงให้พระวัฒนสุรังสีควบคุมดูแลเรื่องราคาข้าวด้วย กรมคลังยามนี้งานล้นมีพออยู่แล้ว” พระอนุชากล่าวพลางเดินไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพระเจ้าพังคราช

“เราจะใช้คนไม่เพียงแต่ดูที่ความสามารถของเขา แต่ต้องพึงดูอุปนิสัยของเขาด้วย พระวัฒนสุรังสีนิสัยเถรตรงไม่คดโกง ทั้งยังชำนาญเรื่องการเงินในช่วงวิกฤตเช่นนี้หามีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขาไม่” พระเจ้าพังคราชกล่าว

“ท่านโหราจารย์ก็ชำนาญการค้าขาย ได้วิชาความรู้มาจากบิดาตน เช่นไรท่านพี่ไม่ใช้สอยบุรุษผู้นี้” พระอนุชาถาม

“ท่านวิทูรปัจจะแม้เชี่ยวชาญการค้ายิ่ง แต่มีนิสัยคดในข้องอในกระดูก ไม่ควรใช้สอย” พระเจ้าพังคราชกล่าว

“ท่านพระวิเศษชัยชาญเล่า ซื่อสัตย์สุจริต ปราบทุจริตทรราช กำราบเหล่าโจรเลื่องลือเล่าขาน” พระอนุชากล่าว

“ท่านพระยามีชื่อผู้นี้แม้เด่นด้านสุจริตเที่ยงธรรม แต่หาได้รอบคอบรัดกุมไม่ ทั้งท่านพระยาเองมีนิสัยเฉียบขาดไม่โอนอ่อนผ่อนปรน หากใช้พระยาผู้นี้ไปทำการพี่กริ่งเกรงว่าหัวพ่อค้าผู้ละโมบเหล่านั้นคงจะหลุดออกจากบ่าเสียทุกรายไป” พระเจ้าพังคราชกล่าว

“ท่านพี่คิดการรอบคอบเสียจริง สมแล้วที่เสด็จพ่อไว้วางพระทัยฟากพิงราชไว้ในมือท่าน” พระอนุชากล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“เจ้าคงไม่ได้มาด้วยหวังไต่ถามหารือเรื่องผู้ดูแลราคาข้าวสารกระมัง” พระเจ้าพังคราชกล่าวพลางมองหน้าน้องชาย

พระอนุชาหัวเราะแห้งๆ พลางกล่าวว่า “ข้าใคร่มาไต่ถามเสด็จพี่อีกเรื่องหนึ่งจริงแท้ ข้าได้ยินข่าวมาว่าทางทิศบูรพาโพ้นทะเลโน้นมีนครเก่าแก่ใหญ่โขอยู่แห่งหนึ่ง ยินว่าเชี่ยวชาญวิชาอาคมดำดินบินบนได้ ฟันไม่เข้าแทงไม่ตาย...” พระอนุชากล่าวยังไม่ทันจบก็ถูกพระเจ้าพังคราชกล่าวขัดขึ้นว่า

“กลุ่มคนพวกนี้ข้าไม่ใคร่ปรารถนาจะคบค้าสมาคมด้วยมัน คนเหล้านี้ส่วนมากใจคออำมหิตโหดเหี้ยมโดยสันดาน เมตตาปรานีในใจแม้เสี้ยวธุลีก็หามีไม่” พระเจ้าพังคราชมองตาน้องตนเขม็งพลางกล่าวต่อ “ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาเพื่อทำลายคนเหล่านี้เจ้าอย่างพึงยุ่งเกี่ยวเป็นดี หากปรารถนาฟันแทงไม่เข้าดังพวกมัน ก็พึงไปให้อาจารย์สรศิลป์วาดลายลงยันต์บนหลังเสีย”

พระอนุชาเห็นแววตาที่ฉายแววดุดันคำพูดที่ปนเปื้อนโทสะบางๆ ของพี่ชายตนเองพลันประหวั่นกริ่งเกรงขึ้นมา น้อยหนักหนาที่พี่ชายจะมีโทสะได้ ไม่รู้ว่าชนเผ่าชาวขอมเหล่านั้นเคยมีความแค้นประการใดกับเสด็จพี่กันแน่

ตั้งแต่ยังเป็นกุมาร แม้จะมีพี่น้องต่างมารดามากมาย แต่เขาทั้งสองรักใครสนิทสนมกลมเกลียวกันมากที่สุด แม้จะต่างอุทรแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน ครั้งสุดท้ายที่เห็นแววตาที่มีโทสะรุนแรงของเสด็จพี่ เป็นครั้งเมื่อพระชนนีมารดาแท้ๆ ของเสด็จพี่สิ้นพระชนม์

“นี้ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด” พระเจ้าพังคราชกล่าว

พระอนุชาได้แต่จำยอมถอนล้นออกจากห้องไป

...

ข่าวคราวการติดต่อสื่อสารยามสงครามเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง แม้แคว้นพิงคราชเนื้อที่ไม่กว้างใหญ่นักเพราะ ๗ในสิบส่วนเป็นป่าไม้แลขุนเขา การเดินทางจึงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง

จากพระนครหลวงจรดชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ที่ตั้งทัพของพระวิสุทธิกัมมาม้าเร็วต้องใช้เวลาเดินทางถึง ๒ วันเต็มๆ ทั้งนี้หากจะสื่อสารประการใดต้องใช้เวลาไปกลับร่วม ๔ วัน

ดังนั้นเหตุการณ์ใดที่เร่งด่วนอย่างยิ่งพระวิสุทธิกัมมาจึงต้องตัดสินใจเองโดยพลัน

แม่น้ำอจิรวดีเดิมที่กว้างขวาง แต่บัดนี้หน้าแล้ง ส่วนที่มีน้ำที่จริงแล้วกว้างเพียงสองเส้นเศษ (๑ เส้น = ๒๐ วา = ๔๐ เมตร) แม้จะข้ามไปมาต้องอาศัยแพ แต่ถ้าประสงค์จะว่ายข้ามมาก็ง่ายดายยิ่ง พระวิสุทธิกัมมาจึงให้ตั้งหอธนูขึ้นริมน้ำ ห่างกัน15วา ตลอดแนวแม่น้ำ 100 เส้น แลกระจายกำลังป้องกันแต่ละหอ หามีศัตรูบุกให้จุดไฟบนหอเป็นสัญญาณ

...

ทางด้านพระหาญนรงค์ก็เดินทัพถึงหุบเขาไร้พันธนาการแล้ว

หุบเขาไร้พันธนาการนี้แต่ก่อนเป็นทางน้ำไหลที่เชี่ยวกราก จึงได้กัดเซาะเป็นช่องเขาขึ้น ช่องเขานี้ กว้างเพียง ๕ ถึง ๖ วาได้ เหมาะแก่การซุ่มโจมตีอย่างยิ่ง

พระหาญนรงค์เห็นชัยภูมิที่เป็นต่อจึงได้สั่งไพร่พลทำกับดักไว้มากมายทั้งสองฝั่งของยอดเขา ทั้งขนหินขึ้นไปบ้าง ทำตาข่ายบ้าง เตรียมน้ำยางสนที่ติดไฟง่ายไว้บ้าง เพียงพอที่รั้งทัพของพระสิงหนติไว้ได้

...

วันเวลาผันผ่านช่างรวดเร็วสำหรับผู้ที่มีงานล้นมือ การสื่อสารที่จำกัดอย่างยิ่ง แต่ก็พอให้ทางแม่ทัพหาญนรงค์ทราบข่าวคราวของทัพใหญ่พระเจ้าสิงหนติบ้าง

ทัพพระเจ้าสิงหนติให้ทัพหน้าเป็นทหารม้าจึงรุดหน้าเดินทางมาได้รวดเร็วอย่างยิ่ง บุกทะลวงปราการด่านแรกที่พระเจ้าพังคราชตั้งทัพไว้ที่ชายแดนทางใต้ ตีทัพหน้าของพระเจ้าพังคราชแตกพ่ายไปในเวลาเพียงชั่วโมง

แม่ทัพหาญนรงค์เรียกประชุมเหล่านางกองทันทีที่ทราบข่าว แล้วไต่ถามเรื่องที่ส่งอุปนิกษิตไปสืบหาสอดแนมตามป่าเขาว่าได้เรื่องราวอย่างไร

“เหล่าเสือหมอบแมวเซาที่ส่งออกไปยังไม่รายงานว่าพบเห็นอริราชศัตรูแม้สักตัวตนเลยขอรับ” นายกองผู้หนึ่งรายงาน

พระหาญนรงค์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงกล่าวเสียงดังปานฟ้าแตกว่า “ถ้าพวกเดรัจฉานนั้นแบ่งกำลังบุกเข้านครทางทิศนี้ มันต้องผ่านเขาไร้พันธนาการนี้เป็นแม่นมั่นแต่นี่ต่อไปนี้ให้ทหารเก็บปากเก็บมือ จักทำการใดระวังให้จงหนักเสียงอย่าให้เล็ดลอดถึงหูเดรัจฉานพวกนั้น กลางคืนห้ามจุดไฟ จะก่อไฟก็อย่าให้มีควัน”

เหล่านายกองฟังคำสั่งอย่างงุนงง แต่ก็ขานรับโดยดุษณี เพราะหากขานรับช้าไปกลัวฟ้าจะแตกลงมากลางกระบาลพวกมัน

พวกมันล้วนทราบกิตติศัพท์ที่ได้ร่ำลือมา ทั้งยังเคยประสบพบเจอมาด้วยตนเองแล้วว่าแม่ทัพผู้นี้เก่งกาจห้าวหาญดุร้ายเฉียบขาดยิ่งนัก แม้จะไม่รู้วิธีจุดเพลิงโดยไม่ให้มีควันแต่พวกมันก็ไม่กล้ากล่าววาจาใด

...

หลังจากทราบข่าวการสงครามทางทิศใต้แล้ว แม่ทัพหาญนรงค์ก็ไม่ได้ข่าวคราวใดจากทางเมืองหลวงอีกเลย บัดนี้ก็ผ่านมาได้ร่วม๑๔กว่าวันแล้ว ทางกองอุปนิกขิตก็ไม่มีความคืบหน้า

วันเวลาผ่านไปอย่างอึมครึม ความทรมานทางใจไหนเลยจะเทียบการเฝ้ารอภัยอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าวันเล่าวันเล่า คืนแล้วคืนเล่ายากจะข่มตาหลับนอนได้อยากเต็มอิ่ม เหล่าทหารนายกองจึงพากันเคร่งเครียดโดยไม่รู้ตัว แต่ท่านแม่ทัพก็หาได้ประหวั่นกริ่งเกรงถูกความหวาดกลัวครอบงำไม่

เหล่าทหารที่ซุกซ่อนตามจุดต่างๆ ก็หาได้อดอยากขาดแคลนในอาหารการอยู่การกินไม่ เพราะท่านแม่ทัพแม้จะดุดันเหี้ยมโหดแต่ก็รักลูกน้องประดุจบุตรหลานของตน ท่านไม่ยอมอิ่มหากเหล่าทหารอด ท่านจะไม่นอนอุ่นหากเหล่าทหารนอนหนาว ท่านจึงเป็นที่เคารพของเหล่าทหารเป็นอย่างมาก

แม่ทัพจึงให้กองเสบียงล่าสัตว์แถบเขานี้มาประกอบอาหารเพิ่มเติม ทั้งท่านแม่ทัพยังเดินตรวจตราค่ายทหารตามจุดต่างๆ ด้วยตนเองทุกวัน

วันหนึ่งขณะที่พระหาญนรงค์กำลังตรวจค่ายอยู่นั้น พลันมีเสียเคาะไม้ดังขึ้น เหล่าทหารที่กำลังนั่งถือชามอาหารอยู่นั้นพลันเงียบเสียงลงในทันที ประหนึ่งคอยฟังบางสิ่งอยู่ก็ไม่ปาน

เสียเคาะดังขึ้นสองทีแล้วหยุดลง ดังอีกสองทีแล้วหยุดลง เมื่อได้ฟังดังนั้นเหล่าทหารก็พากันทิ้งชามข้าววิ่งพละวันต่างไปประจำตำแหน่งของตนในทันที

แม่ทัพหาญนรงค์ไปประจำอยู่ที่หุบเขาคอยออกคำสั่ง ผ่านไปชั่วหมอข้าวเดือนก็มีทหารกองแรกเดินเข้ามาทางปากทางเข้าหุบเขา ช่องหุบเขาไร้พันธนาการนี้ทอดยาวราวสิบกว่าเส้น (1เส้นคือ40เมตร) ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าทหารกองแรกจะเดินพ้นปากทางออกหุบเขาไป ไม่นานนักหลังจากทหารกองแรกเดินผ่านไป ก็มีทหารหน่วยต่อมาเดินเข้าปากทางมาอย่างเป็นระเบียบ

“นี้คงเป็นทัพหน้า ปล่อยมันผ่านไปก่อน” พระหาญนรงค์ที่ซุ่มดูอยู่ในดงไม้กล่าวกับนายกองข้างกาย

“ขอรับ” นายกองรับคำ

ชั่วเคียวมหมากจืด (๓๐นาที) ทัพหน้าก็ผ่านพ้นช่องเขาที่แม่ทัพหาญนรงค์ซุ่มอยู่ไป ครู่ใหญ่จึงมีกองทหารเดินเข้ามา กองนี้สวมชุดเกราะหนัก แต่กลับเดินเท้า การเคลื่อนที่เนิบช้าอย่างยิ่ง ให้แถวซ้ายขวาถือโล่ทรงสูง แถวในถือทวนยาว

“น่าแปลก ปกติแล้วการจัดการกำลังพลที่จะเคลื่อนทัพผ่านหุบเขาเช่นนี้ไม่ควรเอาทหารเกาะหนักมา เช่นไรพวกมันจึงให้ทัพหลวงเป็นทหารเกาะหนักเล่า” พระหาญนรงค์เปรยกับนายกอง

“เหมือนพวกมันจะรู้อยู่แล้วเลยว่าพวกเราจะต้องดักซุ่มโจมตีนะขอรับ” นายกองกล่าวปนหัวเราะอย่าไม่ได้คิด

พระหาญนรงค์มองหน้านายกองผู้นั้น มันจึงพลันเก็บปากสงบคำทันที

“เหมือนมันร่วงรู้หรือ” พระหาญนรงค์เปรย

ระหว่างที่พระหาญนรงค์กำลังครุ่นคิด ทัพหลวงก็เดินเข้ามาในช่องเขาขบวนยาวดังอสรพิษดำ มองจากบนภูเขาสูงประหนึ่งอสรพิษยักษ์ตัวหนึ่งกำลังเลื่อยผ่าน หัวของมันกำลังจะพ้นปากทางออกช่องเขาอยู่รอมร่อ พลันมีธงสีขาวโบกสะบัดขึ้นกลางหุบเขา ปากทางเข้าช่องเขาอยู่ๆ มีหินถล่มลงมาปิดทางเข้าในบัดดล ปากทางออกก็พลันมีหินถล่มลงมาปิดปากทางอีกเช่นกัน อสรพิษดำยักษ์เมื่อครู่แตกตื่นประหนึ่งฝูงมดดำถูกน้ำ แต่ก็พลันมีเสียงก้องกังวานดังขึ้นว่า “โล่และหอก โล่และหอก” เสียงนั้นดังกังวาน ประหนึ่งฆ้องก้องทั้งภูเขา ฝูงมดดำแปรสภาพเป็นก้อนเหล็กกลมๆ หลายสิบก้องตลอดช่องภูเขา

พระหาญนรงค์เห็นดังนั้นสลัดภวังค์จากเสียงฆ้องที่ดังก้องในโสตประสาททิ้งไป สั่งให้นายกองโบกธงแดง

ธงแดงโบกสะบัด กองฟางที่ติดไฟพลันถูกกลิ้งลงจากภูเขานับไม่ถ้วน ก้อนเหล็กกลมๆ เหล่านั้นถูกความร้อน พลันแตกหนีประหนึ่งถูกความร้อนบี้เหล็กแตกก็ไม่ปาน เห็นดังนั้นพระหาญนรงค์สั่งโบกธงแดงอีกครั้งเกาทัณฑ์ไฟที่ชุบด้วยยางสน ถูกยิงลงมาจากบนหุบเขาทุกทิศทางประหนึ่งห่าฝนเพลิงตกลงสู่ช่องเขาด้านล่าง ทุกหนึ่งก้าวต้องมีธนูเพลิงปักหนึ่งดอก เหล่าทหารเกราะเหล็กบ้างก็ยืนหยัดอยู่บ้างก็ล้มลงกับพื้น

ธงขาวถูกโบกสะบัดอีกครา หินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนถูกทิ้งลงมาอีกครา เหล่าทหารเบื้องล่างที่ยังยืนหยัดได้มีน้อยหนักหนา เหล่าทหารที่เหลืออยู่ต่างมารวมกันอยู่ที่เดียว รายล้อมเป็นวงกลม ยกโล่ขึ้นตั้ง ไม่มีที่ว่างให้ธนูเล็ดลอด

ทัพของนครชัยบุรีศรีแสนช้างที่เข้ามาในช่องนี้ราว ๒,๐๐๐ กว่าชีวิต บัดนี้เหลือเพียง ร้อยกว่านายที่ยังยืนหยัดอยู่ได้

“ปลาในแหครานี้ จัดเป็นได้ไม่ยาก” พระหาญนรงค์กล่าวกับนายกอง “พวกเราไปกล่าวโอภาปราศรัยกับแม่ทัพผู้นั้นหน่อยเป็นไร”

ยังไม่ทันที่พระหาญนรงค์จะก้าวเดินออกจากดงไม้ เสียงก้องดังกังวานราวกับฆ้องก็ดังแหวกอากาศมาว่า “ไม่ทราบว่าเป็นแม่ทัพเจนศึกท่านใด ทำทัพเราพินาศย่อยยับได้ไวถึงปานนี้”

พระหาญนรงค์ จึงเดินออกมาจากดงไม้ ยืนอยู่บนหินผาก้อนหนึ่ง กล่าวเสียงดังปานฟ้าแตกว่า “ข้าขุนพลพิงคราช หาญนรงค์ ไม่ทราบแม่ทัพท่านใดคุมทัพมารุกรานแผ่นดินพวกเรา”

“ข้าพระยาพิชัยยุทธ์” ผู้กล่าวลงจากหลังม้าศึกสีดำ เหล่าทหารที่รายล้อมพลันลดโล่หลีกทางให้แม่ทัพตน

พระหาญนรงค์ได้เห็นท่วงท่าที่สง่างามของแม่ทัพอีกฝ่ายยังอดเลื่อมใสไม่ได้ ถ้าหากนี้ไม่ใช่สนามรบ แต่เป็นเพียงร้านสุรา พระหาญนรงค์คงจะชวนคนผู้นี้สนทนาปราสัยคบหาเป็นมิตรอย่างแน่นอน แต่เสียดายที่โชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้งให้เกิดต่างแดน ต่างแผ่นดิน ต่างเจ้านาย

เสียงก้องกังวานกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพเชี่ยวชาญการศึกเสียดาย...” บุรุษในชุดนับรบไม่ได้กล่าวต่อ พลันมีเสียงเป่าเขาควาย แลเสียงกองศึกดังขึ้น

ทัพอริราชศัตรูบุกจู่โจมตีตลบหลังทัพพระหาญนรงค์ ทัพพระหาญนรงค์ที่ถูกดึงความสนใจอยู่ที่ช่องแคบในหุบเขาถูกตีแตกไม่ทันได้ตั้งตัว ถอยร่นไปยังที่ราบชายเขาแห่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักนับไม่ถ้วนรุดเข้ามา เหล่าทหารเกาะดำ แลทหารราบกว่าพัน ยืนประจันหน้ากับทหารพิงคราช๒๐๐กว่านาย

ทหารของแม่ทัพพิชัยยุทธ์ที่ยืนเรียงรายพลันแยกแหวกออกเป็นสองทาง ม้าศึกดำขลับที่ถูกผู้เป็นนายขี่เดินอย่างเชื่องช้าออกมา

เสียงดังกังวานกล่าวขึ้นว่า “ศึกระหว่างเรานี้แม้ชนะไม่สะอาด แต่ก็นับว่าเราต่อให้ท่านแล้ว”

พระหาญนรงค์หัวเราะลั่นเสียงดังจนหมู่นกกาบินหนีไป

“ศึกยังไม่จบ พวกข้ายังยืนอยู่นี้กว่าร้อย ท่านขุนพลเตรียมเก็บศพพวกเราแล้วกระมัง”

“ท่านยังไม่ยอมรับว่าปราชัย”

พระหาญนรงค์ กระชับทวนในมือ กรีดลงเป็นเส้นที่ผืนดิน การกระทำนี้รวดเร็วปานสายฟ้า ผืนดินตรงหน้าบังเกิดรอยลึกกว่าคืบ ยาววาเศษ “มันผู้ใดจะผ่านเส้นนี้มา มันต้องข้ามศพข้าพระยาหาญนรงค์ผู้นี้”

พระพิชัยยุทธ์ ตาเป็นประกายแลเศร้าสลดไปพร้อมกัน กล่าวขึ้นว่า “ท่านไยต้องดื้อดึงถึงเพียงนี้”

“ข้ารับบัญชาพ่ออยู่หัวปกป้องช่องเขาแห่งนี้ หากจะให้ข้าผิดวาจาจงบั่นศีรษะข้าเสียเถอะ” พระหาญนรงค์กล่าวพลางปักทวนลงข้างตน ยืนอยู่เช่นนั้น ทหารด้านหลังพระหาญนรงค์ ชักดาบข้างเอวออกมาพลางกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า “ปกป้องช่องเขา ตราบชีพวาย”

“ปกป้องช่องเขา ตราบชีพวาย”

ยามนั้นเป็นยามบ่ายแก่ๆ เงาร่างที่ยืนหยัดท้าตะวันร่างนั้น ยังคงยืนจับทวนในฝ่ามือ ไม่แน่นเกิดไป ไม่หลวมไป ฟาดฟันอริราชศัตรูจนพลบค่ำ คบไฟถูกจุดขึ้นมากมาย ส่องแสงสะท้อนใบหน้าแม่ทัพนายกอง ๗ ชีวิตที่อิดโรย

ศพทหาร ร่างไร้วิญญาณ นอนเกลื่อนกลาดเป็นวงกว้าง ภายในวงมีทหารหาญ ๗ นาย ยืนหยัดตามคำสัจตราบชีพวาย

เพลานี้เริ่มเข้ายาม๒แล้ว (๒๑.๐๐ น.) พระพิชัยยุทธ์จึงสั่งตั้งค่ายขึ้นไม่ไกลจากตำแหน่งที่พระหาญนรงค์อยู่มากนัก ค่ำคืนอันยาวนานกลับผันผ่านอย่างรวดเร็วประดุจคันศรที่ถูกยิงแหวกอากาศออกไป

แสงแรกแห่งวันมาเยือน บุรุษในชุดนักรบยังคงยืนหยัดไม่ไหวติงดังเดิม ใจของบุรุษผู้นี้ยังคงยึดมั่นสัจจะไม่ผันแปร

กลองรบพลันดังขึ้น เหล่าทหารต่างวิ่งออกมาจากค่ายอย่างเป็นระเบียบ ยืนอยู่สองฝากฝังประตูค่าย ตรงกลางมีบุรุษสวมชุดเกาะสีเงินแวววาวขี่ม้าดำออกมา ด้านหลังมีนายกองสิบกว่านายขี่ม้าออกมาอย่างเชื่องช้า

เสียงดังกังวานทำลายความเงียบขึ้นว่า “วันนี้หากข้าเอาชนะท่านด้วยไพร่พลเกรงว่าต่อไปคงไม่มีหน้าไปสู่เหล่าทหารหาญแล้ว ข้า จักตัดสินชี้ขาดกับท่านด้วยง้าววงพระจันทร์เล่มนี้ของข้า” กล่าวจบลงม้าดำก็เดินมาถึงเส้นที่พระหาญนรงค์ขีดเอาไว

“เพื่อความเป็นธรรม ท่านขุนพลเลือกม้าศึกเถิด” พระพิชัยยุทธ์กล่าวพลางมีทหารนำม้าศึกออกมาสี่ตัว

“ไม่จำเป็น” พระหาญนรงค์กล่าวเสียงดังปานฟ้าแตก ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ร่ายทวนในมือขวาขึ้น “เข้ามา”

พระพิชัยยุทธ์เห็นดังนั้นจึงลงจากม้า ทะยานเข้าไปพร้อมง้าวในมือ ทั้งคู่สู้รบกันตั้งแต่สองโมงเช้า (๘โมง) จนถึงเที่ยงวันก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ รองแม่ทัพของพระพิชัยยุทธ์จึงสั่งทหารตีระฆังพักรบ

 

* บทกวีของตู้ฝู่ 

ภูผากว้างใหญ่สะท้อนเสียงร้องวานร  วิหคฟ้อนเหนือสายธารเชี่ยว

สารทมาเยือนใบไม้ห่อเหี่ยว  ฉางเจียงเทียวน้ำโหมกระหน่ำ

เตร็ดเตร่แดนไกลช่างน่าเศร้า  โรครุมเร้าโถมมาคล้ายตอกย้ำ

ผมขาวโพลนท่วมหัวเพิ่งใจช้ำ  เลิกดื่มด่ำรสสุราก็สายแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา