Sasoric Thieves Guild

-

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  6,298 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) A Lady that they called “Bandits Slayer”, too bad she is my boss.

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          หลังจากที่ซาโซริคประกาศสงครามกับสหภาพกิลด์พ่อค้าและสหภาพกิลด์นักรบ เปลี่ยนเมืองโซฟานอเรียให้กลายเป็นสนามรบ เป็นศัตรูกับคนค่อนเมือง รอดพ้นจากการลอบโจมตีจากกองโจรกลุ่มใหญ่มาได้โดยความช่วยเหลือของหมู่จันทร์ห้าเสี้ยว หลังจากวันนั้น ซาโซริก็สั่งให้เราฝึกรีดพลังเวทอย่างหนัก ส่วนตัวเธอออกไปธุระด้วยชุดลำลองอยู่หลายครั้ง เขียนจดหมายไปส่งที่ค่ายทหารอยู่ก็หลายครา ดูเหมือนเธอจะยังสงสัยในตัวผมอยู่ เลยออกไปทำอะไร ๆ ด้วยตัวเอง แต่ก็เอาเถอะ ไม่โดยใช้งานก็สบายดีเหมือนกัน บางครั้ง ระหว่างที่เรากำลังฝึก พาเลนเต้ก็มาสังเกตการณ์แต่ก็ไม่ได้พูดหรือชี้แนะอะไร นั่งจิบชาเงียบ ๆ อยู่คนเดียว หรือในบางครั้งก็นั่งพูดคุยกับซาโซริไปเรื่อย ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่

 

          ในค่ำคืนที่หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา กิลด์ซาโซริคก็ออกเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง เพื่อตอบโต้กลุ่มโจรที่ลอบโจมตีพวกเราเมื่อคราวก่อน ซาโซรินำพวกเราเข้าโจมตีซ่องโจรแห่งหนึ่งแถบเขตเหนือของเมือง แน่นอน ว่าซาวาริและพาเลนเต้ไม่ได้มาด้วย เพื่อความปลอดภัยของซาวาริเอง ส่วนพาเลนเต้ยังคงไม่ให้ความร่วมมือกับเราเท่าไหร่ เหมือนดังทุกที พวกเราที่เหลือเข้าตีพวกโจรเสียจนแตกพ่ายคาบ้าน แต่ไม่นานกำลังเสริมของพวกมันมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกแรก ๆ ที่มาถึงก็ไม่มีอะไรพิเศษนัก ไม่นานเราก็สวนกลับจนแตกพ่ายตามพวกก่อนหน้านี้ไป แต่กำลังเสริมระลอกที่สอง มาพร้อมกับดวงตากระหายเลือดและความเดือดดาลมากกว่าเก่า การโต้กลับของศัตรูหนักแน่นและถาโถมด้วยจำนวนมหาศาล จนเราตระหนักได้ว่าศึกครั้งนี้ไม่อาจจะเอาชนะได้ ซาโซริก็จึงสั่งให้ตีฝ่าเอาตัวรอดออกมา กลางดึกคืนนั้น พวกเรากลับมายังสำนักงานในสภาพที่ดูไม่สู้ดีนัก ฮาบาริและเอยาบิช่วยกันหามอาราลิที่บาดเจ็บสาหัสมานอนที่กลางสำนักงาน สภาพเลือดท่วมของเพื่อนที่มีผ้าพันแผลรัดอย่างรีบ ๆ ทำเอาซาวาริตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนแข็งขยับตัวไม่ออก ซาโซริรีบเดินเข้าไปในห้อง เหมือนจะเข้าไปเอาอุปกรณ์รักษามาเพิ่ม ผมที่ทำอะไรไม่ได้ ก็ถอยออกมา ยืนมองความวุ่นวายที่ชี้ความเป็นความตายเพียงเสี้ยวนาทีตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ถึงผมกับอาราลิจะไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน แต่ถ้าต้องเห็นพี่แกจากไปต่อหน้าต่อตาก็คงสะเทือนใจหน้าดู

“แผลติดพิษน่ะ ดูท่าจะสายเกินไปแล้ว สำหรับวิธีรักษาของพวกเจ้า” พาเลนเต้พูด แล้วเดินเข้ามา ก้มลงไปวางมือลงที่แผล เรืองแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ออกมา “ฉันกำจัดพิษให้แล้ว รีบทำแผลห้ามเลือดเสีย” เธอพูดขณะค่อย ๆ ชักมือออกแล้วถอยออกไป ฮาบาริยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ขอบอกขอบใจพาเลนเต้เสียยกใหญ่ ดูท่าพวกโจรจะใช้อาวุธอาบยาพิษ? ซาโซริที่เดินกลับมา ได้ยินสิ่งที่พาเลนเต้พูดเข้าพอดี ยื่นอุปกรณ์รักษาพยาบาลให้ฮาบาริทำแผลให้เพื่อน ก่อนจะสั่งให้พวกเราตรวจสอบบาดแผลของตัวเองและคนข้าง ๆ ปรากฏว่าฮาบาริกับเอยาบิได้แผลฟันบาง ๆ มาด้วย ซึ่งพาเลนเต้ก็ตรวจสอบดู แต่ก็ไม่ถึงกับอันตราย

 

          วันต่อมา ซาโซรินำพวกเราเข้าโจมตีซ่องโจรอีกครั้ง แต่ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ คราวนี้เราเข้าตี สังหารคนคุ้มกัน ทำลายเสบียงและของมีค่าที่พวกมันเก็บไว้ แล้วชิ่งออกมา บางครั้งก็ปะทะเข้ากับกำลังเสริมบ้าง แต่ซาโซริก็เลือกที่จะตีฝ่าออกมาทุกครั้ง ไม่หยุดอยู่กับที่รอให้พวกมันรุมกินโต๊ะได้อีก รวมแล้ว อาทิตย์นั้น เราถล่มรังโจรไปสามสิบห้าแห่ง รับมือกับชุดลอบสังหารที่ถูกส่งมาจากสหภาพกิลด์พ่อค้าสามครั้ง ปะทะกับนักล่าค่าหัวจากสหภาพกิลด์นักรบอีกหกครั้งและเกือบเอาตัวไม่รอดจากการปะทะกับชุดโจมตีพิเศษของกิลด์นักรบที่เราบังเอิญไปเจอเข้าระหว่างทาง โดยสรุป ฝีมือของพวกเราสามารถต่อกรกับพวกลิ่วล้อได้สบาย แต่จะแพ้ก็ที่จำนวน พวกศัตรูจากสหภาพกิลด์นักรบเองก็ยุ่งยากที่จะจัดการด้วย เราไม่รู้และไม่มีทางรู้ ว่าพวกลิ่วล้อที่เราเจอนั้นจะเป็นศัตรูกับเรารึเปล่า เพราะแม้จะอยู่ในสหภาพกิลด์นักรบก็จริง แต่หลายกิลด์ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะสู้กับเรา หลายกิลด์ก็กังวลกับการเคลื่อนไหวของเรา แต่ก็ไม่คิดที่จะสู้ด้วย ก็จะเป็นการดีกว่า ที่จะไม่ดึงคนกลุ่มนี้กลายมาเป็นศัตรูของเรา ดังนั้น การต่อกรกับกิลด์นักรบจึงต้องรอให้พวกมันเป็นฝ่ายลงมือก่อนแล้วเราถึงจะตอบโต้ได้ สำหรับกิลด์นักรบที่ประกาศตนเป็นศัตรูของเราชัดเจน สมาชิกระดับสูงของพวกมันก็มีฝีมือที่มองข้ามไม่ได้ พวกเขาเองก็ผ่านศึกมาไม่น้อย ไม่ใช่ศัตรูที่จะกลืนลงได้ง่าย ๆ แม้ว่าเราจะถือครองอาวุธเวทมนตร์ที่เหนือกว่าก็ตาม เก่งกันจริง ๆ สหภาพกิลด์พ่อค้าเองก็ไม่น้อยหน้า ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้าก็ย่อมผ่านสงครามธุรกิจมาก็มาก แม้จะไม่อาจสู้ด้วยกำลังได้ แต่ด้วยเงินตราและเส้นสายต่าง ๆ พวกเขาก็เริ่มทำสงครามตอบโต้กับเรา ด้วยวิธีอื่นที่พวกเราคาดไม่ถึง ซาโซริถึงกับเหงื่อตกเมื่อได้อ่านหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวัน “โจรป่าเถื่อน บุกสังหารโหด เหยื่อสังเวยนับร้อย!” “อาชญากรในชุดทหาร บุกล้างบางคู่อริไม่เกรงกลัวกฎหมาย” “ความสงบสุขที่พังทลาย! กลุ่มก่อการร้ายซาโซริคประกาศสงคราม” ข้อความที่ผมกล่าวไปข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์ฉบับของหลาย ๆ สำนักพิมพ์ ก่อนหน้านี้ ซาโซริใช้ความชั่วของพวกกิลด์พ่อค้าเป็นความชอบธรรมในการประกาศสงคราม โดยมีพยานรับฟังเพียงแค่ประชาชนที่อยู่โดยรอบนั้น ในตอนนี้ พวกกิลด์พ่อค้าได้ใช้หนังสือพิมพ์ตราหน้าพวกเราเป็นผู้ร้ายในหนังสือพิมพ์ ประจวบเหมาะกับที่เราเริ่มทลายรังโจร พวกเขาก็ได้ฉวยโอกาสนี้ ใส่สีตีไข่เพิ่ม ทำให้เราดูเป็นผู้ร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ความจริงอันบิดเบี้ยวกันทั้งเมือง ทำลายความชอบธรรมที่เราถืออยู่จนสิ้น ครั้นเราจะออกไปแก้ต่างก็คงไม่มีพื้นที่กระจายข่าวได้มากเท่าพวกเขา อีกทั้งคงจะไม่มีใครรับกระจายข่าวให้ ซ้ำร้ายถึงเราจะหาช่องทางแก้ต่างได้ แต่ก็คงไม่มีใครเชื่อพวกนอกกฎหมายอย่างเรา ดูถูกไม่ได้เลยจริง ๆ นะ สหภาพกิลด์พ่อค้าเนี่ย เล่นใช้เงินคุมสื่อบิดเบือนความจริงให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ร้ายจริง... ซาโซริในชุดลำลองก็รีบออกจากสำนักงานไปแล้วกลับมาในช่วงเย็น สีหน้าของเธอดูเหนื่อยและเคร่งเครียดอย่างมาก หลังมื้อเย็น เธอใช้ให้ผมไปเอาเบียร์มากินร่วมกัน ผมก็ไปเอามาให้ตามที่สั่ง แต่ปฏิเสธที่จะกินด้วย เธอยืนกรานให้ผมร่วมดื่มด้วย จะดื่มโคล่าก็ได้ แต่ช่วยอยู่กับเธอก่อน สงสัยจะอยากระบาย ผมก็จึงตอบตกลง

 

          ในห้องสำนักงานที่ยังคงสว่างอยู่ แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว คนอื่น ๆ ก็เข้านอนกันไปเป็นที่เรียบร้อย มีเพียงซาโซริและผมนั่งดื่มร่วมกันอยู่สองคน เธอรินเบียร์ใส่แก้วของตน ผมก็รินโคล่าใส่แก้วตัวเอง เราชนแก้วกันแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม เป็นช่วงเวลาที่ชวนคิดถึงอยู่เหมือนกัน

“แปลกแฮะ เห็นทุกทีเวลาเครียด ๆ มักจะห่างเบียร์ตลอด คราวนี้ทำไมดื่มล่ะ” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปก่อน

“เวลาที่งานมันยังไม่เรียบร้อยน่ะ รสชาติของเบียร์มันไม่ค่อยชื่นใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ช่างมัน ขอพักสักหน่อย...” เธอพูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มแล้วถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไปที่ค่ายแล้วก็ศาลากลางเมือง ขึ้นหนังสือพิมพ์หราขนาดนั้นก็ต้องไปแก้ตัวเสียหน่อย โดนอดีตผู้บัญชาการเรียกเข้าไปตำหนิอยู่เป็นชั่วโมงแหน่ะ เรื่องของอาชญากรในชุดทหารในหนังสือพิมพ์นั่น บอกว่าทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพเสื่อมเสียแล้วก็ขู่จะตัดการติดต่อจากฉันอีก เพราะถ้าขืนหนังสือพิมพ์ยังตีข่าวนี้อีก ก็ต้องมีการสาวมาถึงกองทัพ แล้วถ้าเรื่องแดงว่าพวกเขาสนับสนุนฉันอยู่เบื้องหลัง มันก็คงจะไม่ดีแน่..” ซาโซริวางแก้วลงกับโต๊ะ สีหน้าของเธอดูท้อแท้อย่างที่ยากจะได้เห็น “พวกเราช่วยทำงานในส่วนที่เขาทำกันเองไม่ได้ กลับต้องมารับเคราะห์อยู่คนเดียวแบบนี้ พอไปคุยกับเจ้าหน้าที่ศาลากลางที่เคยทำงานด้วย ก็ได้รู้ว่าพวกเขาคงจะทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของฉันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เจ้าเมืองเองก็หัวเสียเอามาก ๆ ที่มีข่าวอาชญากรรมอุกอาจขึ้นหน้าหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนี้ ทางการก็คงจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ตลกดีนะ อาชญากรรมน่ะ มีอยู่ทุกวัน เป็นข่าวบ้าง แต่ก็อยู่ตรงมุม ๆ ขอบ ๆ ของหน้าท้าย ๆ ที่คนไม่ค่อยสนใจ พอขึ้นหน้าหนึ่งแล้วเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา” ซาโซริพูดแล้วกระดกเบียร์ต่อ

“แล้วเจ๊จะทำไงต่อล่ะ? ประกาศสงครามไปแล้ว คนสนับสนุนก็พึ่งพาไม่ได้ซะแล้ว” ผมวางแก้วโคล่าลง รอฟังซาโซริที่กำลังรินเบียร์ใส่แก้วอย่างตั้งใจ

“ฉันไม่ได้ทำเพราะว่าถูกบอกให้ทำหรอกนะ ฉันสร้างกิลด์นี้ด้วยความต้องการของฉันเอง การกำจัดพวกชั่วนั่นก็เหมือนกัน เพราะงั้น เมื่อฉันเริ่มสงครามนี้แล้วก็จะสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าเขาไม่ช่วยเหลือก็มีแต่ต้องพึ่งตัวเอง ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อจบสงครามนี้ให้ได้” ซาโซริพูดขณะยกแก้วเบียร์ของตนขึ้นมามอง “แต่ก็นั่นล่ะน้า~ ประกาศสงครามไปทั้ง ๆ ที่เสียเปรียบ กำศึกด้วยความอดทน รอคอยจังหวะและโอกาสที่เหมาะที่ควร แต่พอโดนตอบโต้ด้วยสงครามประสาททีเดียว คนสนับสนุนก็ตัดขาด ดีไม่ดีก็กลายเป็นศัตรูไปอีก สังคมที่ฉันคนนี้ทุ่มทุกอย่างเข้ากอบกู้ ก็กำลังจะกลายเป็นศัตรูไปด้วย นี่ฉันสู้ไปเพื่ออะไรกันหรือ? ยูคาริ” เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วยกดื่มหมดแก้วในรวดเดียว

ผมมองเธอด้วยความหนักใจ พยายามนึกคำตอบที่ดีเพื่อตอบแต่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็นิ่งเงียบ มองซาโซริที่กำลังท้อแท้อย่างเห็นใจ

“เอาเถอะ เป็นฉันเองที่อยากจะกำจัดพวกโสมมนั่น ถ้าจะสู้ไปเพื่ออะไรก็เพื่อความต้องการของตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้วมั้ง? คนอื่นน่ะ จะคิดยังไงก็ช่างเถอะ ฉันจะไม่สนใจก็แล้วกัน” เธอพูดแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ

“ใช่แล้ว ทำในสิ่งที่เจ๊ต้องการจะทำเถอะ ผมเอง.. ไม่สิ พวกเราเองก็จะคอยสนับสนุนเจ๊นะ กิลด์เดียวกันนี่นา” ผมพยายามปลอบเธอ

ซาโซริหันมามองผมแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ “...ขอบใจนะ” เธอพูด ก่อนจะเอนหลังลงพิงโซฟาเต็มที่ หน้าเริ่มแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ “ดีจริง ๆ ที่สร้างกิลด์นี้ขึ้นมา” เธอพึมพำกับตัวเอง

“ไม่ไหวก็ไปนอนเถอะ ลุกไหวมั้ย? ”

ซาโซริได้ยินดังนั้นก็จึงเทเบียร์ที่เหลืออยู่ในขวดลงใส่แก้ว แล้วดื่มรวดเดียวอีกครั้ง “ถ้างั้นก็ราตรีสวัสดิ์ ฝากเอาแก้วไปล้างให้ด้วยแล้วกันนะ” เธอพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินช้า ๆ เข้าห้องไป เนื่องจากโคล่า ถ้าเปิดขวดแล้วต้องกินให้หมด ไม่เช่นนั้นมันจะหายซ่า ผมก็จึงจำใจกินมันให้หมดขวด แล้วเก็บแก้วของเจ๊แกไปล้างพร้อมกับแก้วตัวเองแล้วเข้านอน น่าแปลก เห็นบอกว่าจะให้อยู่คุยด้วย แต่ตัวเองซดเบียร์รวดเดียวเอาตั้งหลายทีจนเมาแอ๋ หลายครั้งผมก็ไม่เข้าใจเจ๊แกจริง ๆ แต่มีสองอย่างที่ผมเข้าใจแน่ ๆ คือซาโซริเองก็ยังเป็นคน มีท้อแท้มีอึดอัดมีความรู้สึกอยากระบายเรื่องหนักใจให้ใครฟังบ้าง เหมือนดังเช่นคนทั่วไป และสอง พวกเราชาวซาโซริค กำลังเข้าตาจนแล้ว ไม่ว่าหมากต่อไปที่ซาโซริจะเดินจะเป็นอะไร เธอก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง โอย ไม่น่ากินโคล่าก่อนนอนเลย ท้องอืดชะมัด..

 

          เช้าวันต่อมา ยูนะวานให้ผมไปตลาดเป็นเพื่อนเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร เนื่องจากวัตถุดิบที่มีใกล้จะหมด เช้านี้ หัวข้อการพูดคุยระหว่างพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้า ก็ยังคงวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องซุบซิบ นินทาชาวบ้าน บ้างก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องละครวิทยุที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงนี้ และบางส่วน ที่หยิบยกเรื่องสงครามระหว่างพวกเรากับสหภาพกิลด์พ่อค้าและกิลด์นักรบขึ้นมาพูดคุยกัน ส่วนมากก็เอนมาทางด่าว่าพวกเราสร้างความเดือดร้อนและควรกำจัดเสีย ผมก็ได้แต่เดินหูทวนลมทำเป็นไม่ได้ยินผ่านไปเงียบ ๆ ในใจก็คิดแค้นเคืองที่เราต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่ใยกลับได้รับคืนเป็นคำสาปส่ง ช่างน่าน้อยใจเสียจริง เมื่อกลับมา ก็เห็นซาโซริที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ทันทีที่เห็นผมกลับมา เธอก็ใช้ผมไปชงกาแฟให้ ผมก็จึงช่วยยูนะนำวัตถุดิบเข้าไปเก็บในห้องครัว ซึ่งซาวาริกำลังรอเป็นลูกมือช่วยยูนะทำมื้อเช้าอยู่ เดินไปต้มน้ำร้อน ชงกาแฟแล้วนำมาเสิร์ฟให้กับซาโซริ

“เป็นไงบ้าง? ” ผมเอ่ยถามขณะนั่งลงที่โซฟาใกล้ ๆ กันนั้น

ซาโซริวางหนังสือพิมพ์ลง “ยังไม่เลิกกัดเราง่าย ๆ หรอก เจ้าพวกนั้น แถมข่าวก็ขายได้ พวกสำนักพิมพ์ก็สนุกใหญ่เลย” ซาโซริพูดแล้วหยิบกาแฟไปจิบ

“แล้ว.. คิดว่าจะทำไงกันต่อดีล่ะ? ” ผมถามต่อ

เมื่อได้ยินคำถาม ซาโซริก็ขมวดคิ้ว วางแก้วกาแฟที่จิบอยู่ลงไปวางกับโต๊ะ “นั่นสินะ... ก็คงเน้นให้พวกนายฝึกนั่นล่ะ ตอนนี้คงยังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้” ซาโซริพูดแล้วหันไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน

“แล้วพวกยูคารินล่ะ? ลองชวนมาร่วมกันสู้มั้ย? ดูท่าพวกนั้นก็น่าจะยินดีที่จะร่วมมือกับเราอยู่นะ” ผมพูดออกไป จริง ๆ ก็ลังเลอยู่เล็กน้อยว่าจะดูน่าสงสัยไปมั้ย แต่ยิ่งเห็นเจ๊แกสิ้นหวัง ก็อดใจไม่อยู่

ซาโซริลดหนังสือพิมพ์ลง หันมามองผม ไม่พูดอะไร ก่อนจะเห็นว่ายูนะเตรียมมื้อเช้า ก็จึงไล่ผมให้ไปช่วยเธอจัดโต๊ะ พวกฮาบาริก็ตื่นกันพอดี สงสัยกลิ่นมื้อเช้าจะลอยเข้าไปยั่วยวนถึงในห้อง หลังมื้อเช้า ซาโซริในชุดลำลองก็ออกไปธุระข้างนอกอีกครั้ง ไม่ได้สั่งให้พวกเราฝึกหรือทำอะไร ทำให้วันนี้ เป็นอีกวันที่เงียบสงบ แต่ก็โหวงเหวงจนรู้สึกลนลาน พอเรารู้ว่าสถานการณ์มันย่ำแย่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้หรือไม่ได้ทำอะไร มันชวนร้อนรนใจเหมือนกันนะ...

 

          ซาโซริกลับมาตอนช่วงบ่ายแก่ ๆ ในสภาพร่อแร่ เธอวางถุงขนาดใหญ่ไว้ที่ข้างประตู ใบเดียวกันกับตอนที่พาผมไปช็อปปิ้งอาวุธที่ค่ายทหาร เธอเดินมาทิ้งตัวลงบนโซฟา เอนหลังพิงโซฟาเต็มที่ด้วยความอ่อนล้า นอนหลับตาคอพับไปอย่างอ่อนล้า สั่งให้ผมไปหาอะไรอุ่น ๆ มาให้เธอกิน พวกฮาบาริและวาเรียเข้ามามุงดูเธอด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมา จนผมเอากาแฟมาเสิร์ฟให้ซาโซริ พวกเขาก็ยังไม่พูดอะไร ผมก็จึงต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยกล้าตาย เป็นฝ่ายถามออกไป

“ไปทำอะไรมาล่ะเจ๊? ”

ซาโซริลืมตาขึ้นมา โน้มตัวขึ้นมาหยิบแก้วกาแฟไปดื่ม “ช่างหัวทางการมันละกัน” ซาโซริพูดออกมาเบา ๆ ด้วยใบหน้าที่แสนหงุดหงิด ทำเอาทุกคนหวาดหวั่นกันอย่างมาก

“หา? หมายความว่าไง” ผมพูดออกมาอย่างตกใจ

ซาโซริเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าหงุดหงุดที่น่ากลัว ทำเอาผมและคนอื่น ๆ ต้องหลบตาไปทางอื่นอย่างหวาดกลัว “ข่าวร้ายคือเราถูกตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อยแล้ว ทางการจะตั้งราคาค่าหัวพวกเราทุกคน พร้อมร่วมไล่ล่าพวกเราด้วย” ซาโซริพูดแล้วจิบกาแฟไปอึกหนึ่ง “ข่าวดีคือไม่มีอะไรมารั้งเราอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องเกรงใจทางการ ลงมือกันได้เต็มที่ ฉันได้อาวุธชุดสุดท้ายมาแล้ว ถือเป็นครั้งที่สอง ที่ฉันต้องตัดความสัมพันธ์กับกองทัพ แต่ช่างมันปะไร” ซาโซริพูด ก่อนจะยกซดกาแฟจนหมดแก้ว กระแทกแก้วลงบนโต๊ะ “ฉันไปนอนก่อนนะ ถ้าไม่มีอะไรสำคัญอย่ากวนเชียวล่ะ” ซาโซริพูด ก่อนจะลุกขึ้น เดินเข้าห้องตัวเองไป ทิ้งพวกเราไว้เพียงความงุนงงและหวาดหวั่นใจ พวกเรามองหน้ากันตาปริบ ๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรออกมา ก่อนจะแยกย้ายกันไปสงบจิตสงบใจตัวเอง มื้อเย็นของวันนั้น ซาโซริไม่ออกมาร่วมกินข้าวด้วย พวกเราก็จึงกินมื้อเย็นกันอย่างไม่สบายใจนัก ยูนะเหลือข้าวและกับข้าวส่วนของซาโซริเก็บไว้ในครัว เผื่อเธอออกมากินภายหลัง แต่อย่างไรเสีย ผมก็ไม่ได้ยินเสียงประตูของซาโซริเลย ตลอดทั้งคืน

 

          เช้าวันต่อมา อันเป็นต้นเดือนธันวาคมที่หนาวเหน็บ ซาโซริตื่นก่อนใคร นั่งจิบกาแฟชงเองอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างสบายใจ เมื่อเห็นว่าผมออกมาจากห้องก็กล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนหลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่ ก็ดูเจ๊แกจะผ่อนคลายลงแล้ว ไม่นาน ยูนะก็ตื่นขึ้นมาทำมื้อเช้า เนื่องจากซาวาริ ลูกมือดีเด่นยังไม่ตื่น ซาโซริก็จึงสั่งให้ผมไปช่วยเธอ แววตาของซาโซรินั้นดูสบายใจผิดปกติ ช่างน่าฉงนยิ่งนัก

“หนาวน่าดูเลยเนอะ” ยูนะกล่าวทักทาย เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในครัว

“วันนี้กะทำเมนูอะไรเหรอครับ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้มั้ย? ” ผมเอ่ยปากอาสาช่วย

ยูนะคิดอยู่ครู่สั้น ๆ ก่อนจะตอบ “ซุปเห็ดผสมมันฝรั่งกับไก่ ผัดฟัวโค่กับเนื้อสับแล้วก็ผัดดอกฮิลลิ่น นายช่วยล้างผักกับสับเนื้อก็แล้วกันนะ” เธอรู้ดีว่าผมเองก็เข้าครัวไม่เก่ง ก็จึงมอบหมายงานที่ดูแล้วผมน่าจะทำได้มาให้

“นี่...คุณซาโซริดูแปลก ๆ นะ นายว่ามั้ย? ” ยูนะแอบกระซิบกับผมเบา ๆ เป็นการนินทาเจ้านายที่อยู่ห้องใกล้ ๆ ได้อย่างอาจหาญมาก ๆ

“นั่นสิครับ วันก่อนยังดูสิ้นหวังอยู่เลยแท้ ๆ ”

“นั่นสิ ฉันเริ่มกังวลแล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า? ”

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงอันคุ้นเคยดังออกมาจากด้านหลังของพวกเรา ทั้งผมและยูนะสะดุ้งโหยง หันไปมองก็เห็นเป็นซาโซริยืนพิงกำแพงมองพวกเราอยู่ ยิ้มด้วยแววตาที่น่ากลัวแปลก ๆ คงจะได้ยินนั่นล่ะ ว่าเรากำลังนินทา หวา... ขอโทษครับ...

“มะ..ไม่มีอะไร กำลังคุยกับเจ๊ยูนะว่าวันนี้ทำเมนูอะไรดีอยู่เฉย ๆ ครับ ฮ่า ๆๆ ” ผมพูดแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน

“ชะ ใช่ค่ะ.. พอดีวันนี้ค่อนข้างหนาว ก็เลยเน้นเมนูที่กินแล้วอบอุ่นร่างกายน่ะค่ะ” ยูนะพูดแล้วพยายามยิ้มออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

ซาโซริไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มมองพวกเรา ไม่นาน พวกที่เหลือก็เริ่มทยอยออกมาจากห้อง ซาโซริก็จึงเดินกลับไปนั่งที่ของเธอ เฮ้อ... รอดไป มั้งนะ? พักต่อมา พวกเราก็นั่งมื้อเช้ากัน ในใจผมยังแอบกลัวซาโซริโกรธเรื่องที่แอบนินทาเจ๊แกอยู่ แม้อาหารจะอร่อย แต่ก็ไม่ค่อยได้เพลินใจกับการลิ้มรสเสียเท่าไหร่

“เอาล่ะ” ซาโซริพูดออกมาเบา ๆ หลังจากที่เธอเห็นว่าทุกคนกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว ทำเอาทุกคนหันไปมองเธอเป็นตาเดียวด้วยใจหวาดหวั่น ซาโซริมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ศึกโต้กลับของพวกเราจะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้ ส่วนแผนของปฏิบัติการใหม่และวันเวลา คงต้องรอดูท่าทีของพันธมิตรของเราเสียก่อน ฉันถึงจะบอกพวกนายอีกที” เธอพูดออกมา

“พันธมิตร? ” วาเรียพูดออกมาอย่างสงสัย?

ซาโซริหันมามองผม “หมู่จันทร์ห้าเสี้ยวไงล่ะ” เธอพูดออกมาแล้วยิ้ม

ระหว่างที่เรากำลังประชุมกันหลังอาหารเช้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซาโซริก็จึงใช้ให้ผมไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตู ก็พบว่าเป็นชินาริน เหมือนว่าซาโซริจะเรียกให้เธอมาหาในเช้าวันนี้ เพื่อที่จะฝากจดหมายไปให้พวกชินาริน ซาโซริมอบจดหมายฉบับดังกล่าวให้กับเธอ แล้วบอกให้ชินารินกินมื้อเช้ากับกับข้าวที่เหลือ ซึ่งเธอก็รีบวิ่งไปหยิบจานและช้อรส้อมในห้องครัวด้วยความดีใจ ดูท่าจะหิวน่าดู

“ฉันจะเชิญพวกหมู่จันทร์ห้าเสี้ยวมาฟังแผนการของเราในเย็นนี้ ก็หวังว่าพวกเขาจะตอบรับข้อเสนอของฉัน เพื่อที่พวกเราจะได้ทำงานกันง่ายขึ้น แม้เพียงนิดก็ยังดี” ซาโซริพูด ก่อนจะลุกขึ้น “ฉันจะแจงแผนการตอนเย็นทีเดียวละกัน วันนี้พวกนายก็ฝึกซ้อมเข้าล่ะ ศึกใหญ่คราวนี้ เราจะไม่จบลงด้วยความล้มเหลวอีก” ซาโซริพูด ก่อนจะเดินเข้าห้องไป แล้วออกมาในชุดไปรเวทและออกไปทำธุระส่วนตัวของเธอ ทิ้งพวกเราไว้กับความกระวนกระวายใจที่สลัดไม่หลุด ส่วนชินาริน กินข้าวเสร็จ เธอก็กล่าวขอบคุณกับพวกเรา แล้วลากลับไป

 

          ในช่วงบ่ายที่อากาศเย็นจับใจ พาเลนเต้ที่หายหน้าหายตาไปนานก็ลงมาหาพวกเรา จ้องมองพวกวาเรียที่กำลังพยายามรีดพลังเวทออกมาจากอาวุธเวทมนตร์อย่างไม่ลดละความพยายามจ้องมองพวกเขาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก็เดินเข้ามาหาผม เจ๊ยูนะ ฮาบาริและเอยาบิ ที่กำลังรวมหัวกันอ่านหนังสือที่เหมือนจะเป็นคู่มือการใช้เวทมนตร์ ที่ยูนะเคยไปยืมมาจากศาสนจักร พาเลนเต้ให้คำแนะนำกับเราสั้น ๆ ว่าให้ฝึกและเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะง่ายกว่าท่องจำจากตำราไม่ได้เรื่องพรรค์นั้น จะว่าไปก็จริง ต่อให้อ่านไปก็ไม่รู้เรื่องขึ้นเลยซักนิด เธอบ่นพวกผมเสร็จก็เดินเข้าไปใกล้อาราลิที่กำลังพักอยู่ เธอตำหนิที่เขาไม่ตั้งใจฝึกก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา จ้องมองพวกเราฝึกอยู่ห่าง ๆ ดูเหมือนเธอจะเริ่มสอนเราแล้ว แต่ในแบบของเธอเอง? ก็คงจะเน้นให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ดีนั่นสินะ

 

          ซาโซริกลับมาถึงในช่วงบ่ายแก่ ๆ สั่งให้ยูนะทำกับข้าวเผื่อพวกหมู่จันทร์ห้าเสี้ยวด้วย ดูเหมือนซาโซริคงอยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับว่าที่พันธมิตรใหม่ พร้อมกับสั่งให้ยูนะและผมไปซื้อวัตถุดิบในตอนเย็นหรือพรุ่งนี้เช้า เพื่อกักตุนอาหาร เธอย้ำว่าให้ได้มากที่สุดในวงเงินที่เธอให้ไว้ ซึ่งมันก็เป็นจำนวนเงินที่มากมายเลยทีเดียว ซึ่งยูนะก็เลือกเป็นช่วงเช้าแทน เย็นนี้จะได้ไม่ต้องรีบทำหลายอย่าง ว่าแล้วยูนะก็เข้าครัว เริ่มวางแผนงานเลี้ยงในมื้อเย็น ซาโซริสั่งให้ผมไปซื้อเครื่องดื่มมาเตรียมไว้ จำพวกเบียร์และเหล้า เตรียมไว้รับรองแขกของพวกเรา ส่วนพวกที่ไม่ดื่มสุราก็มีโคล่าไว้แล้ว พวกเราวุ่นวายกันอยู่ชั่วโมงกว่า ๆ แขกก็มาเยือนโดยที่มื้อเย็นยังไม่พร้อมนัก น่าสงสารยูนะจริง ๆ เร่งมือเต็มที่แล้วนะนั่น สุดท้ายก็ต้องเริ่มประชุมกันก่อน ซาโซริชวนให้พวกยูคารินอยู่ทานมื้อค่ำด้วย แต่ยูคารินก็ตอบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล เนื่องจากเก้าอี้ไม่พอ พวกฮาบาริและวาเรียจึงต้องไปนั่งที่โซฟา ฟังแผนการคร่าว ๆ อยู่ห่าง ๆ ขณะที่ซาโซริและผม ต้องนั่งประชุมประจันหน้ากับพวกของยูคารินกันเพียงสองคน ผมเริ่มเหงื่อแตกออกมาด้วยความตื่นตระหนก ในขณะที่ซาโซริยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ หมู่จันทร์ห้าเสี้ยว… จะว่าไป ผมก็เหมือนจะรู้แล้ว ว่าทำไมเป็นห้าเสี้ยว ก็เพราะว่ามีห้าคน ยูคาริน พี่ชายท่าทางน่ากลัวที่ผมเคยเห็นเดินอยู่กับยูคารินวันก่อน พี่สาวที่ดูท่าทางสะสวย ดูท่าจะทำอาหารอร่อยน่าดู ไม่รู้ทำไมคิดอย่างนั้น ตาลุงที่ดูท่าทางน่ากลัวอีกคนนึง ถือดาบยาว ดูเป็นนักรบดีจริง ๆ แล้วคนสุดท้ายก็ชินาริน สายลับตัวน้อยของเรานี่เอง อืม เข้าใจตั้งชื่อดี

“กิลด์โจรแห่งซาโซริคที่ลุยเดี่ยวมาตลอดถึงกับต้องขอความช่วยเหลือ ดูท่าแล้วคงจะเข้าตาจนไม่ใช่น้อยนะ ก็ถูกรุมกินโต๊ะจากทุกทางแบบนี้” ยูคารินพูดออกมาขณะนั่งที่โต๊ะประชุมรอ เธอหันมาทางผมแล้วยิ้มให้บาง ๆ ซึ่งผมก็หลบตาไปมองทางอื่นด้วยความประหม่า

“อย่าใจร้อนไป แมวดำต้องสาปเอ๋ย ฉันก็เพียงยื่นข้อเสนอให้เธอเข้าร่วมปฏิบัติการของเรา ไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นอย่างไร ภารกิจของเราก็ยังคงไม่เปลี่ยน”

“หึ! สมคำร่ำลือจริง ๆ เอาเถอะ! เข้าเรื่องเลยดีกว่า เล่าแผนการของพวกเธอมาเสีย” ยูคารินพูดด้วยท่าทีจริงจังออกมา เป็นเวลาเดียวกันที่ยูนะและซาวาริได้นำชามาเสิร์ฟให้กับพวกยูคาริน

“ก็… ไม่มีอะไรมาก เราจะเด็ดหัวผู้นำกองโจรก๊กต่าง ๆ ที่อยู่ในเมืองตอนนี้ กำจัดผู้นำให้มันระส่ำระสาย แล้วล้างบางพวกเฮงซวยนั่นให้หมดเมือง” ซาโซริพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย รับชาจากซาวาริไปจิบ

ยูคารินนิ่งไปครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “บ้าบิ่นจริง ๆ เลยนะ แล้วต้องการให้พวกฉันทำอะไรล่ะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็มาเป็นอีกหนึ่งกำลังรบให้ฉันไงล่ะ”

ยูคารินหันไปมองพวกของเธอ ก่อนจะหันกลับมามองซาโซริ “เอาจริงเหรอเนี่ย? ฉันเคยพูดไปว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน เคยช่วยให้พวกเธอรอดมาได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมไปตายเพื่อเธอหรอกนะ” ยูคารินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ถ้าคิดจะเล่นกิลด์พ่อค้า พวกกิลด์นักรบและกองโจรที่พวกมันเลี้ยงไว้ก็จะเคลื่อนไหว ตอนนี้ศัตรูกลุ่มแรกที่จัดการได้ง่ายสุดก็คือพวกโจร ขอแค่ตัดสายบัญชาการได้ พวกโจรที่ไร้กฎเกณฑ์อยู่แล้วก็จะออกอาละวาดจนพวกพ่อค้าคุมไม่ได้ เดี๋ยวพวกมันก็กัดกันเองในที่สุด เราก็แค่คอยกวนน้ำให้ขุ่น แล้วเข้าโจมตีในเวลาที่เหมาะก็เท่านั้น” ซาโซริจิบชาก่อนจะพูดต่อ “ฉันก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก ว่าเป้าหมายของพวกเธอมันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าเรื่องเหล้าเถื่อนละก็ ไม่ช้าก็เร็ว พวกมันทั้งหมดก็ต้องทุ่มกำลังเพื่อล่าพวกเธอจนเธอไม่สามารถจะอยู่เมืองนี้ได้อีกต่อไปเชียวล่ะ ฉันเพียงแค่ยื่นโอกาสให้เธอได้ชิงลงมือก่อน” ซาโซริพูดเสร็จก็เอนหลังมาพิงเก้าอี้ จ้องยูคารินที่เงียบไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“พวกเราไม่สามารถรับข้อเสนอนั้นของเธอได้หรอก ซาโซริค ไม่มีอะไรจะการันตีว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เธอว่า ปฏิบัติการที่เธอว่ามามันเสี่ยงเกินไป คงต้องขอปฏิเสธ เสียใจด้วย” ยูคารินลุกขึ้นยืน เธอหันมามองผม หันไปมองสมาชิกคนอื่น ๆ ของกิลด์เรา ก่อนจะหันกลับมาหาซาโซริ “จะว่าไปแล้ว ซาโซริคมีเป้าหมายอะไรกันแน่ ถึงได้เปิดสงครามกับคนทั้งเมืองแบบนี้”

ซาโซริจิบชาก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุม “เพราะคนที่มีหน้าที่รักษาความสงบสุขให้เมืองมันทำงานได้ห่วยแตก จะทำงานทีก็ต้องรอหัวหน้าสั่ง หัวหน้าจะสั่งทีก็ต้องคอยดูระเบียบข้อบังคับ เมืองมันก็เลยเละเทะเพราะทางการทำอะไรไม่เคยทันการ จะหวังพึ่งกิลด์นักรบก็มีแต่พวกหิวเศษเงินของพวกพ่อค้าหน้าเลือด สนแต่ผลประโยชน์” ซาโซริยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “พอดีมีคนช่วยชี้ให้เห็นทางสว่างให้ ก็ถ้าไม่มีใครทำมันได้ ทำไมฉันไม่ทำเองซะล่ะ? มันก็เรื่องง่าย ๆ มันก็เท่านั้นล่ะ”

“แล้วไหง ไอ้การ [รักษาความสงบสุข] ของเธอ มันถึงกลายเป็นการประกาศสงครามแบบนั้นได้? ฉันไม่เข้าใจ” ยูคารินพูดออกมาด้วยความงุนงง

ซาโซริยิ้มออกมาเล็กน้อย “มันคือวิธีการของฉัน เธอเองก็คงจะรู้อยู่ในใจแล้ว ว่าต้นตอของความวุ่นวายนี้มันไม่ได้มาจากแค่โจรกับคนขายเหล้าเถื่อนหรอก จริงมั้ย? ”

ยูคารินนิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “คงต้องลากันแล้วล่ะ ซาโซริค ฉันรับรู้เป้าหมายของพวกเธอแล้ว ขอให้โชคดีกับการออกล่าก็แล้วกัน” เธอพูด แต่ก่อนจะกลับไป ยูคารินหันมามองผม “...ยูคาริ ฉันมีอะไรจะให้” เธอพูด ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม ยื่นของคล้าย ๆ แท่งไม้มาให้ผม เมื่อลองดูดี ๆ ก็พบว่ามันคือมีดสั้น สภาพของมันดูค่อนข้างเก่า แต่ใบดาบนั้น แค่มองดูก็รู้ว่าได้รับการดูแลมาอย่างดี

“ขอบใจนะ ยูคาริน” ผมกล่าวขอบคุณออกไป

ยูคารินยิ้มบาง ๆ ให้ผม “อย่าตายเชียวนะ” เธอพูดออกมา แล้วก็พาพวกของเธอเดินออกจากสำนักงานของเราไป ทิ้งพวกเราไว้เพียงความผิดหวังที่ไม่อาจดึงพันธมิตรมาช่วยสู้ได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าซาโซริเอง จะไม่ได้เสียใจเท่าไหร่นัก เธอนั่งยิ้มของเธออยู่คนเดียว เมื่อพวกยูคารินไปแล้ว เธอก็จึงสั่งให้พวกเราไปยกกับข้าวมากินกัน เนื่องจากไม่ได้พันธมิตรมาร่วมศึกดังหวัง เธอก็จำต้องปรับแผนการใหม่ แล้วนัดแนะชี้แจงแผนในตอนเช้าแทน แต่จะว่าไป สงสารคุณยูนะเหลือเกิน ทำอาหารตั้งเยอะ พวกยูคารินดันปฏิเสธ ดูท่ามื้อค่ำคืนนี้ คงจะเหลือถึงมื้อเช้าแหง ๆ

 

          เช้าวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่ากับข้าวเก่าได้ถูกนำมาอุ่น ส่วนข้าวที่เหลือ ยูนะนำมาผัดกับผักและเนื้อผัดเมื่อคืน เธอปลุกให้ผมไปซื้อของที่ตลาดด้วยกัน พร้อมกับวาเรียและวาเลนเซียร์ ระหว่างทางนั้น มีบรรยากาศที่ดูต่างออกไปจากเดิม ทหารยามเยอะกว่าปกติ ผู้คนพกอาวุธกันแทบทุกคน คนเดินไปมา มองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง เป็นโซฟานอเรียที่หมองหม่นจริง ๆ พวกเราเดินจับจ่ายตลาดอยู่สามเที่ยว ก็สามารถจับจ่ายได้จนครบวงเงินที่ซาโซริมอบไว้ให้ โห อาหารขนาดนี้ อยู่ได้เป็นเดือนแหง ๆ ทันทีที่กลับมา ยูนะก็ตรงดิ่งเข้าครัว นำเนื้อไปจัดแจงแปรรูป เธอบอกว่าถ้าซื้อแบบที่แปรรูปมาแล้วจะแพงกว่า ก็จึงซื้อมาทำเอง โห ยอดแม่ครัว ไม่นาน ทุกคนก็ทยอยกันออกมากินข้าว ซาโซริก็เช่นกัน ที่ออกมาพร้อมเครื่องแบบเต็มยศของเธอ ผมลุกจากเก้าอี้ จะไปชงกาแฟให้เธอ แต่ซาโซริชิงบอกก่อนว่าวันนี้เธอไม่กินกาแฟ ค่อนข้างหายาก เช้าที่เธอไม่กินกาแฟเนี่ย หลังมื้อเช้า ซาโซริก็แจกแจงแผนที่เธอปรับใหม่ให้พวกเราฟัง อืม ดูท่าจะเป็นปฏิบัติการที่หนักหน่วงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ก่อนจะสั่งให้พวกเราใช้เวลาที่เหลือในวันนี้เตรียมตัวครั้งสุดท้ายให้พร้อมกับปฏิบัติการที่จะเริ่มขึ้นในช่วงค่ำ ส่วนตัวเธอกับวาเรียจะไปเตรียมความพร้อมในส่วนหนึ่งของแผนการ

“ตั้งใจฝึกเข้าล่ะ” เธอพูด ก่อนจะหันหลังให้เรา เดินออกจากสำนักงานไป พร้อมกับถุงสัมภาระของเธอ

 

          เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ สมาชิกกิลด์ซาโซริคที่เหลือก็พยายามฝึกใช้อาวุธเวทมนตร์กันอย่างเต็มที่ เพราะปฏิบัติการที่ซาโซริคจะลุยกันในคืนนี้ ซาโซริค่อนข้างตั้งความหวังกับพวกเราไว้มาก หลายวันมานี้ก็กดดันให้เราฝึกใช้อาวุธเวทมนตร์มาตลอด ที่ลำบากสุดก็คงจะเป็นยูนะ ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะฝึกธนูเวทในห้องแคบ ๆ แบบนี้ยังไง พวกเราต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกัน ว่าการฝึกใช้อาวุธแบบนี้ มันควรจะออกไปฝึกนอกเมือง ที่กว้าง ๆ ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะหวดไปโดนอะไรเข้า แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไป ก็จึงทำได้แค่ฝึกดึงพลังเวทออกมาใช้ให้ได้ เพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการใช้อาวุธเวทมนตร์ ถ้าดึงออกมาใช้ไม่ได้ จะออกไปข้างนอกก็ไม่มีประโยชน์ ผมเองก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มจะดึงพลังอะไรบางอย่างออกมาใช้ได้ แต่ถามอะไรพาเลนเต้ไป เธอก็มักจะไม่ตอบอะไร เน้นให้พวกเราเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างเดียว ถ้าถามผม นี่เป็นแนวทางการสอนที่ไม่เป็นมิตรกับผู้เรียนแม้แต่น้อย

 

          ซาโซริและวาเรียกลับมาก่อนเวลามื้อเย็นไม่นาน หลังจากกินข้าวเย็นกันอย่างรีบ ๆ แล้ว พวกเราที่เหลือก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัว รอเวลาออกปฏิบัติการ ผมกลับเข้ามาในห้องตัวเอง เปลี่ยนชุดที่คิดว่าคงจะดูดีที่สุด ที่จะใส่ในวันสุดท้ายของชีวิต สะพายกระเป๋า หยิบมีดสั้นที่ยูคารินให้มาผูกไว้ที่เอว หยิบขวานขึ้นมา “เอาล่ะ เพื่อนเอ๋ย” ผมพึมพำปลุกใจกับตัวเอง ข่มความกลัวไม่ยอมสยบต่อเจตจำนงของตัวเอง ไม่นาน ซาโซริก็เรียกรวมพล ได้เวลาแล้วสินะ...

ทันทีที่เห็นผมออกมาจากห้อง ซาโซริก็ยื่นเป้มาให้ผมสะพาย มันหนัก หนักมาก ๆ แต่ผมก็ต้องแบกมัน เพื่อให้ซาโซริทำงานง่ายขึ้น เรียกได้ว่าผมนี่ล่ะ ที่เป็นคนแบกภาระของกิลด์อย่างแท้จริง

“มาทำให้ทุกคนได้รับรู้กันเถอะ ว่าซาโซริคอย่างเราทำอะไรได้” ซาโซริพูดออกมา ขณะมองหน้าพวกเราทุกคน ซึ่งพวกเราก็ขานรับออกไปอย่างสุดเสียง เอาล่ะ! เป็นไงเป็นกัน

 

          ในช่วงค่ำที่มีเสียงของความวุ่นวายดังมาจากหลายจุดของเมือง ซาวาริออกมาส่งพวกเราที่ด้านหน้าสำนักงาน ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา โบกมือให้ขณะมองพวกเราเดินออกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าในใจเธอคิดอะไรบ้าง แต่สำหรับผมก็ดีแล้ว ที่เธอได้อยู่อย่างปลอดภัยที่สำนักงาน ส่วนพวกที่เหลือ แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันไปปฏิบัติการตามแผน ซาโซริพาผม และวาเลนเซียร์ไปยังย่านชุมชนแออัดแถบตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ซุ่มรอโอกาสตามแผนที่เธอวางเอาไว้ ระหว่างรอผมก็มองเห็นว่าผู้คนที่นั่นมีสายตาดุดัน ท่าทางน่ากลัว แต่งตัวซอมซ่อ ถือ “อาวุธ” กันทุกคน “อาวุธ” ในที่นี้คืออะไรก็ได้ที่นำมาใช้ดับชีวิตศัตรูได้ มีตั้งแต่อาวุธธรรมดาไปจนถึงแท่งเหล็กและก้อนอิฐผูกเชือก กำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัยแต่ก็พร้อมรบทุกขณะ ดูท่าจะเป็นกองโจรก๊กนึงในหลาย ๆ ก๊กที่อยู่ในเมืองตอนนี้? ซาโซริสั่งให้ผมหลบเข้ามาในที่กำบัง อย่าโผล่หัวไปให้พวกด้านในเห็น ขณะเดียวกัน เธอก็หยิบแท่งระเบิดหลายอันจากกระเป๋าที่ผมสะพายออกมาจุดชนวนแล้วโยนออกไป ไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงระเบิด สร้างความเสียหายและความตื่นตระหนกขนานใหญ่ให้กับกองโจรที่กำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ซาโซริหยิบปืนพลุส่งสัญญาณออกมายิง ส่งลูกไฟสีแดงส่องแสงขึ้นเหนือเมืองที่กำลังโกลาหล ไม่นาน เสียงระเบิดก็ดังก้องซ้อนกันไปทั่วชานเมืองเขตเหนือ ส่งสัญญาณที่น่าหวาดหวั่นให้ได้ยินกันทั่วทั้งเมือง และจากพลุสัญญาณที่ยิงออกไป พวกกองโจรตรงหน้าก็รู้ตำแหน่งของเราเป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นก็คือความตั้งใจของซาโซริ ซึ่งเธอก็ผละมือออกจากปืนยิงพลุ ชักดาบออกมา ยืนจังก้าไม่เกรงกลัวศัตรูนับร้อยที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอด้วยความโกรธเกรี้ยว ในพริบตานั้น วาเลนเซียร์ก็ฉะเข้าโจมตีด้วยขวานเวทสองมือ ระเบิดพลังอย่างรุนแรงเข้าใส่ศัตรูที่กำลังเผลอ เมื่อความวุ่นวายเริ่มคลุกกรุ่นได้ที่ ซาโซริก็พุ่งเข้าโจมตีบ้าง เด็ดหัวผู้นำของพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วนผมก็คอยคุมเชิงอยู่ด้านหลัง เตรียมยิงปืนพกสนับสนุนเฉพาะจังหวะที่ดูท่าจะอันตราย ครู่หนึ่ง ซาโซริก็สั่งให้เราถอย พวกโจรที่เห็นว่าเราจะหนีก็วิ่งตามมาติด ๆ ไม่นานก็พบว่ากำลังเสริมของศัตรูดักหน้าเราอยู่ ทันทีที่ซาโซริเห็น เธอก็แสยะยิ้มออกมา แล้วพุ่งเข้าฟาดฟันศัตรูตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนพวกศัตรูที่วิ่งตามมา ก็เหยียบกับดักของพวกเราเข้าอย่างจัง วาเรียและยูนะเข้าจู่โจมทีเผลอจากด้านข้าง พร้อมกับวาเลนเซียร์ที่หันกลับไปสู้ ไม่นาน ทั้งกองโจรพวกที่ไล่ตามเรามาและพวกที่ดักรอต่างก็ต้องแตกพ่ายไป ช่วงอึดใจเดียว หัวหน้ากองโจรสองคนก็ต้องสิ้นชีวาไป แต่อย่างไรเสีย ราตรีนี้ก็ยังอีกยาวไกลนัก

 

          พวกเราถอนกำลังออกมาสู่ถนนใหญ่ของโซฟานอเรีย ถนนเศรษฐกิจที่เคยมีร้านค้าเปิดแผงขายของเต็มสองข้างทาง บัดนี้กลับเป็นเพียงถนนสายใหญ่ที่เงียบเหงาไร้แสงสี อันเนื่องมาจากอาชญากรรมที่พุ่งสูงที่มาจากพวกโจรที่มากเกินกว่าจะควบคุมได้ และเราก็พึ่งจะเพิ่มความวุ่นวายเข้าไป โดยการตัดสายบัญชาการของมันเสีย เมื่อไม่มีใครคอยควบคุม ก็ดูท่าว่าในอนาคต พวกมันก็จะยิ่งเป็นปัญหาแก่เมืองนี้ขึ้นไปอีก เหมือนว่าซาโซริจะกำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจุดมุ่งหมายที่เธอเคยยึดถือมา ซาโซริแยกพวกเราออกเป็นสองกลุ่มอีกครั้ง แยกกับพวกวาเรียไป พาวาเลนเซียร์และผมลัดเลาะขึ้นเหนือมาดักซุ่มอยู่ใกล้กับประตูเมืองทิศเหนือ ครู่หนึ่งพวกเราก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่รีบวิ่งเข้ามาในเมือง เป็นกองโจรที่อยู่นอกเมือง กำลังวิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ ดูท่าจะเห็นสัญญาณ ก็จึงเข้ามาสมทบกับพวกที่อยู่ด้านใน เป็นไปตามที่ซาโซริวางแผนเอาไว้ ทหารยามรักษาการณ์รีบเผ่นหนีทันทีที่เห็นศัตรูกลุ่มใหญ่ตรงเข้ามา พวกเรารอจังหวะที่โจรกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ แล้วกระโจนเข้าใส่ทีเผลอ และอีกครั้ง ที่วาเลนเซียร์และซาโซริได้ฟาดฟันศัตรูจนดับดิ้นไม่เหลือชิ้นดี ท่ามกลางสายตาของทหารยามและประชาชนที่อยู่แถวนั้น เมื่อลอบโจมตีกำลังเสริมเสร็จ ซาโซริก็สั่งให้เราเคลื่อนพลต่อ ไปยังจุดหมายต่อไป

 

          พวกเรามุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายที่สอง แต่มันก็ไม่ราบรื่นนัก เราปะทะเข้ากับนักล่าค่าหัว ปะทะกับมือสังหารจากกิลด์พ่อค้าที่เป็นฝ่ายลอบโจมตีเราบ้าง ก็รู้ว่าซาโซริเป็นทหารมาก่อน แต่ให้ตายสิ คนบ้าอะไร ทั้งไหวพริบ ทั้งสัญชาตญาณ คนละระดับกับคนธรรมดาราวฟ้ากับเหว ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถนั้นของเธอ พวกเราก็คงจะเสร็จพวกมันไปแล้ว ไม่นาน เราก็มาถึงจุดนัดหมายที่สอง ที่นั่น พวกวาเรียกำลังปะทะกับศัตรูกลุ่มใหญ่ ดูท่าว่าปฏิบัติการพวกเขาเองจะไม่เป็นไปตามแผนเท่าไหร่ แต่ซาโซริก็ไม่ได้มีท่าทีที่ร้อนรนแต่อย่างใด เธอสั่งให้พวกเราเข้าไปช่วยพวกวาเรีย ปาระเบิดที่เหลืออยู่เข้าใส่แนวหลังของศัตรู แล้วลอบโจมตีจากด้านหลัง และเป็นอีกครั้ง ที่ซาโซริเด็ดหัวของผู้นำกองโจรอีกคนได้ แต่มันก็ยิ่งทำให้ศัตรูยิ่งเดือดดาลหนักกว่าเก่า และทุ่มทุกอย่างเข้าใส่พวกเรา แม้จะผิดไปจากแผนที่วางไว้ แต่ซาโซริก็เชื่อมั่นในความสามารถของพวกเรา และสั่งให้สู้อย่างเต็มที่ และในเวลานั้นเอง ที่ทั้งเราและศัตรูได้ประจักษ์ถึงพลังของอาวุธเวทมนตร์ ได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงหลังการฝึกฝน ทั้งวาเรียและวาเลนเซียร์ต่างก็อาละวาดได้อย่างรุนแรงและเด็ดขาด พวกฮาบาริเองก็เริ่มที่จะสู้เป็นทีมได้ดีขึ้น ต่างปกป้องกันและกันไปพลางฟาดฟันศัตรู ส่วนผมกับคุณยูนะก็เหมือนจะจับคู่กันได้ดีในเวลาอันสั้น หอกของเธอที่คอยจัดการศัตรูและผมที่คอยคุมเชิงอยู่ด้านหน้า ส่วนซาโซริ ดูเหมือนถ้าพูดถึงแค่ความสามารถในการใช้อาวุธเวทมนตร์อย่างเดียว พวกเรารวมกันเจ็ดคน ก็ยังไม่เท่าซาโซริคนเดียว เธอดึงพลังออกมาได้ในเสี้ยววิ แล้วฟาดฟันศัตรูได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ร่ายรำฟาดฟันศัตรูอย่างไม่ลดละกำลัง ราวกับภูตแห่งความตายที่กำลังสำเร็จโทษเหล่าคนนอกกฎหมายให้ไปชดใช้บาปในโลกหลังความตายให้ไวขึ้น เป็นภาพของเจ้านายที่เห็นแล้วน่าหวั่นใจเหลือเกิน

 

          การสู้รบดำเนินไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง ศัตรูจำนวนมากก็ยังถาโถมเข้าใส่เราอย่างไม่ลดละ แต่จากการบีบขีดจำกัดร่างกายจนถึงขีดสุด ก็ดูเหมือนจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น วาเรีย วาเลนเซียร์ ในที่สุดก็สามารถดึงพลังเวทออกมาใช้ได้ในปริมาณที่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นความแตกต่าง ทั้งสองอาละวาดได้อย่างรุนแรงมากขึ้น เห็นดังนั้น ซาโซริก็จึงสั่งให้พวกเรากวาดล้างพวกโจรทั้งหมด อย่าให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว เมื่อเห็นแล้วว่าไม่อาจกดเราได้ด้วยจำนวน ศัตรูก็เริ่มหวาดหวั่น เริ่มถอยห่างและเริ่มที่จะหนี เห็นดังนั้น ซาโซริก็ย้ำคำสั่งอีกครั้ง ให้พวกเรากวาดล้างพวกที่เหลือให้ได้มากที่สุด สั่งให้ยูนะจัดการพวกที่อยู่ระยะไกล ส่วนตัวซาโซริเองก็คว้าปืนกลมือขึ้นมาประทับบ่ายิงด้วยมือซ้าย ขณะที่มือขวายังคงถือดาบเผื่อเอาไว้อยู่ เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ซาโซริก็สั่งรวมพล แล้วเคลื่อนพลต่อ แต่ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไป เธอพาพวกเรามาพักในซอยแคบ ๆ ที่อับสายตา สั่งให้ผมนำน้ำในกระเป๋าออกมาแจกจ่ายในทุกคนดื่ม พักหายใจหายคอกันชั่วขณะ เฮ้อ! ขนาดผมไม่ได้เป็นคนลุยมาก ยังเหนื่อยขนาดนี้ พวกวาเรียที่สู้อย่างหนักหน่วงตลอดจะเหนื่อยขนาดไหนกันนะ

“สุดยอดเลยนะคุณวาเรีย วาเลนเซียร์ ลุยอย่างดุดันได้เป็นชั่วโมง ๆ ผมแค่คุ้มกันให้คุณยูนะก็เหนื่อยจะตายแล้ว” ผมพูดออกไป

วาเรียยิ้มออกมา “ชมกันเกินไปแล้ว”

“แถมยังดึงพลังเวทออกมาใช้ได้แล้ว เก่งไม่เบาเลย” ซาโซริกล่าวชมทั้งคู่ “ดูเหมือนศึกคืนนี้ เราจะทำได้มากกว่าเด็ดหัวผู้นำกองโจรแล้วล่ะ มาล้างบางพวกเวรนั่นกันดีกว่า” ซาโซริพูด แล้วหันมายิ้มให้พวกเรา เป็นรอยยิ้มที่มาดมั่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งผมก็ขานรับออกไปอย่างไร้ข้อกังขา

“คุณซาโซริครับ เราพอกันแค่นี้ก่อนไม่ดีหรือครับ ผมสู้ต่อไม่ไหวแล้ว” อาราลิพูดออกมา แม้ปกติเขาจะเป็นคนที่ดูไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง ติดเล่น แต่ฟังจากน้ำเสียง แม้แต่ผมก็ฟังดูรู้ ว่าพี่แกเหนื่อยจริง ๆ

“อ่อนหัดน่า อาราลิ เดี๋ยวก็เสร็จเรื่องแล้ว กลับไปฉันจะเลี้ยงเหล้าแกให้เมาแอ๋เลย” ซาโซริตอบกลับ

“ที่จริง ปฏิบัติการเราในวันนี้ก็นานเอาเรื่องนะครับ ขืนลุยต่อ ก็ยิ่งน่ากลัวว่าจะโดนตลบหลังเอาได้ง่าย ๆ ” วาเรียเป็นฝ่ายพูดบ้าง

“เรามาได้ไกลมากแล้ว อดทนหน่อย” ซาโซริพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อดูแล้วว่าไม่สามารถโน้มน้าวซาโซริได้ ทุกคนก็จำต้องลุยต่อ ไม่ชอบเลยนะ บรรยากาศแบบนี้เนี่ย

 

          จุดหมายที่สาม เป็นชุมชนแออัดแถบชานเมืองตะวันออก ซาโซริและพวกเราเข้าประจันหน้าเป็นตัวล่อ ขณะที่วาเลนเซียร์พุ่งเข้าสังหารหัวหน้าของพวกมัน เสร็จแล้วก็ล่าถอย สังหารทุกคนที่ตามมาหรือกำลังเสริมที่เข้ามาดัก ต่อด้วยจุดหมายต่อไป อันเป็นชุมชนแออัดทางตะวันออกเฉียงใต้ อีกครั้งที่ทั้งวาเรียและอาราลิขอให้ซาโซริพอแต่เพียงเท่านี้เพราะเหนื่อยเต็มทีแล้ว แต่เธอก็ไม่รับฟัง ทำไมซาโซริดูดึงดันกับปฏิบัติการในวันนี้จังเลยนะ? ที่นั่น เราก็ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกัน เป้าหมายคือสังหารผู้นำกองโจร และเมื่อกำจัดหัวหน้ากองโจรสำเร็จแล้ว ซาโซริก็สั่งให้เราถอย แต่คราวนี้ ศัตรูดูเกาะติดเราเป็นพิเศษ กัดไม่ปล่อย ไม่ยอมให้เราหนีไปได้ง่าย ๆ จนในที่สุด กำลังเสริมของพวกมันก็มาถึง และโอ พระเจ้า... คราวนี้เป็นกำลังผสมระหว่างชุดปฏิบัติการธรรมดาและพิเศษของกิลด์นักรบ หน่วยลอบสังหารจากกิลด์พ่อค้าและกองโจรที่เหลือ พวกมันถาโถมเข้าโจมตีพวกเราในทันที ซาโซริเหวี่ยงคลื่นพลังเวทเข้าใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า สั่งให้วาเรียและวาเลนเซียมารับมือศัตรูชุดใหม่แล้วอาละวาดให้ถึงที่สุด สั่งให้ผมใช้ระเบิดที่เหลือเพื่อเปิดทางหนีไปทางขวาที่มีศัตรูน้อยกว่า แต่ศัตรูคราวนี้ก็ไม่ได้มีแค่กุ๊ยข้างถนน พวกมันอ่านแผนออกแล้วพุ่งเข้าโจมตีจุดเปราะบาง ไม่ให้เราได้ถอยออกไปง่าย ๆ ศัตรูที่มีฝีมือ ประกอบกับจำนวนที่มากกว่า เราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด อย่าว่าแต่จะตีฝ่าออกไปเลย แค่เอาตัวรอดก็เต็มกลืนแล้ว ระหว่างที่ผมได้แต่ตั้งรับการโจมตีของศัตรู เสียงร้องของเพื่อนร่วมรบดังมาจากที่ด้านข้างของผม เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นอาราลิที่ถูกแทงเข้าที่ท้องอย่างจัง ทั้งฮาบาริและเอยาบิต่างก็เสียสมาธิ หันมามองเพื่อนที่เสียท่าจนละเลยศัตรูตรงหน้า จนยูนะต้องผละจากผม เข้าไปช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้ ผมที่อยู่ใกล้กับอาราลิ พยายามที่จะเข้าไปช่วย แต่ศัตรูก็พุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ ในจังหวะที่เสียงของโลหะปะทะกัน ผมได้ยินเสียงหัวเราะของศัตรูที่เริ่มดังขึ้น มันแทบจะกลบเสียงร้องของอาราลิไปเลย ส่วนภาพตรงหน้าของผม คือศัตรูที่แสยะยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นอาราลิล้มลง พวกมันกระหน่ำแทงเขาจนตาย โห่ร้องออกมาอย่างสะใจแล้วหันมามองพวกเราด้วยแววตาที่น่าหวาดกลัว วินาทีนั้น ผมแทบจะก้าวขาไม่ออก ขวานและปืนพกในมือก็แทบจะกำไว้ไม่อยู่ แต่ก็ต้องคุมสติของตัวเองให้ไม่ ไม่งั้นก็คงจะเสียท่าตามไปอีกคนเป็นแน่ เมื่อเห็นว่าผมทำอะไรไม่ได้ เอยาบิก็เลยจะฝ่าศัตรูเข้าไปช่วยเพื่อน และแล้วความร้อนรนก็ลงโทษแก่เขา ศัตรูที่รออยู่ฟาดอาวุธเข้าใส่ ตัดแขนซ้ายที่เขาพยายามเอื้อมเข้าไปคว้าตัวเพื่อนออกมาจากนรก ยูนะเห็นท่าไม่ดีก็จึงคว้าตัวเอยาบิไว้ ไม่ให้เสียท่าไปอีกคน เห็นท่าไม่ดี ซาโซริก็จึงดึงพลังเฮือกสุดท้าย ฟาดดาบมาทางพวกเรา เกิดเป็นคลื่นเวทมนตร์ที่พุ่งเข้าใส่ตรงกลาง แยกพวกเรากับศัตรูตรงหน้าออกจากกัน

“รีบถอยไปเสีย!” เธอตะโกน ก่อนจะสั่งให้วาเรียกับวาเลนเซียร์ช่วยพาเราตีฝ่าออกไป โดยมีซาโซริคอยสนับสนุนจากด้านหลัง ผมเห็นเธอดื่มยาเสริมพลังและยาดึงพลังเวทที่พกไว้ แล้วอาละวาดต่อ ดึงความสนใจของศัตรูไว้ ถ่วงเวลาให้เราหนี ฮาบาริดึงดันจะกลับไปช่วยอาราลิที่ยังคงอยู่ในวงล้อมศัตรู แต่ก็ถูกซาโซริสั่งให้ผมดึงตัวพี่แกออกไป ฮาบาริหันมาสบถด่าผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดึงดันจะกลับไปช่วยเพื่อนให้ได้ ซึ่งก็โดนยูนะตบเรียกสติไปหนึ่งที จึงสงบสติอารมณ์แล้วหันมาพยุงเอยาบิที่ดูท่าไม่ดีเสียเท่าไหร่ ผมเก็บปืนแล้วคว้ามีดสั้นที่ยูคารินให้มา คอยสกัดการโจมตีจากศัตรูแล้วใช้ขวานโจมตีสวนกลับไป มีดสั้นดูจะป้องกันการโจมตีได้ดีกว่าขวานมาก ซึ่งมันก็ช่วยให้ผมป้องกันตัวได้ดีขึ้น ระหว่างการตีฝ่าออกมาจากวงล้อมของศัตรู

 

          พวกเราวิ่งหนี พลางต่อสู้กับศัตรูที่ไล่ตามมา จนในที่สุดก็สลัดกับพวกมันได้แล้วหนีมาจนถึงซอยเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กับสำนักงาน มันลับตาคน และดูเหมือนจะไม่มีใครตามมาแล้ว พวกเราก็จึงหยุดพักกันก่อน ยูนะรีบลงมือปฐมพยาบาลเอยาบิที่เสียแขนและเลือดไปเป็นจำนวนมาก พร้อมกับสั่งให้เราตรวจดูบาดแผลตามตัว

“ฮาบาริ….” เอยาบิเรียกเพื่อนด้วยเสียงที่สั่นเครือ หายใจแรง ตาลอย เป็นภาพที่น่าใจหาย แม้ว่าผมจะไม่ได้สนิทกับพี่แกมากก็ตาม

“ว่าไง...” ฮาบาริก้มลงไปหาเพื่อน กุมมือขวาของเอยาบิไว้แน่น จ้องมองเขาแล้วตอบกลับไป

“ดูแลซาวาริให้ดีนะ...” เอยาบิพูด ก่อนจะค่อย ๆ หมดแรงหายใจ สิ้นใจไปโดยที่ตามองไปยังทะเลดวงดาวบนท้องฟ้า

“...ได้เลย ฉันสัญญา..” ฮาบาริพูดทั้งน้ำตา กุมมือเพื่อนเอาไว้แน่น ร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก เป็นผม ถ้าคืนเดียว เสียเพื่อนไปพร้อมกันสองคนแบบนี้ ผมก็คงรับไม่ไหวเหมือนกันล่ะนะ….

 

          หลังจากที่ฮาบาริสงบจิตสงบใจได้ พวกเราก็กลับไปยังสำนักงาน ซาวาริที่รอต้อนรับเราอยู่หลับไปบนโซฟาแล้ว ดูท่า พรุ่งนี้คงจะเป็นเรื่องหนักใจอย่างมาก ที่จะบอกข่าวร้ายแก่เธอ พาเลนเต้นั่งมองพวกเราแบกร่างของเอยาบิเข้ามาในสำนักงาน ทันทีที่ฮาบาริเห็นเธอ เขาก็พุ่งจะเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่พาเลนเต้ก็ปฏิเสธอย่างทันควัน “เขาตายไปแล้ว ตัดใจเสียเถอะ” เธอพูด ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ไม่นาน ซาโซริก็กลับมา แม้จะอิดโรยเต็มที แต่เธอก็รอดมาครบสามสิบสอง สั่งให้พวกเราไปพัก แล้วค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้ ฮาบาริเอ่ยถามถึงร่างของอาราลิ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ซาโซริค่อย ๆ เดินเข้าห้องของเธอไป ฮาบาริเห็นดังนั้นแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรออกมา เขาลุกขึ้น หันไปอุ้มซาวาริกลับเข้าห้องนอน ผมจ้องมองสีหน้าของทุกคน ดูแล้วไม่ต่างกับศพที่เดินได้ เหนื่อยล้าและไร้อารมณ์ ผมลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องตัวเอง ก่อนจะเปิดประตู ก็หันไปมองพาเลนเต้ ซึ่งเธอก็หันมามองผมเหมือนกัน

“จุดประสงค์ที่มาที่นี่ของเธอคืออะไรกันแน่? ” ผมเอ่ยถามออกไป

เธอยิ้มออกมาบาง ๆ “ก็บอกไปแล้วนี่ ว่าข้าแค่อยากมาชมสังคมมนุษย์ของพวกเจ้า” ผมไม่ตอบอะไรกลับ เปิดประตูแล้วเข้าห้องตัวเองไป ผมเองก็ไม่รู้ ว่าตัวเองคาดหวังอะไรในคำตอบของเธอ แต่นับวัน ผมก็ยิ่งรู้สึกแคลงใจในตัวพาเลนเต้มากขึ้น ส่วนวันนี้ เฮ้อ… ช่างเป็นค่ำคืนที่เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส แต่สิ่งที่ได้เห็นก็ทำเอายากจะข่มตาหลับลงได้เหลือเกิน

 

          เช้าวันต่อมา หลังจากได้ทราบข่าวร้าย ซาวาริก็ไม่ออกมาจากห้องเลย ข้าวเช้าก็ไม่ยอมออกมากิน ซาโซริเรียกประชุมก็ไม่ยอมออกมา ซึ่งเธอก็บังคับให้ฮาบาริไปนำตัวเธอออกมา ฮาบาริยังคงนิ่ง จนซาโซริสั่งเป็นครั้งที่สอง เขาถึงยอมลุกไปพาซาวาริออกมาได้ เธอดูเหม่อลอย แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันแปลกแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนมาครบแล้ว ซาโซริก็สรุปผลของปฏิบัติการให้เราฟัง สรุปแล้ว เมื่อคืนเราสังหารหัวหน้ากองโจรไปได้เก้าคน กวาดล้างศัตรูไปไม่ต่ำกว่าสามร้อย ทำลายเสถียรภาพภายในของกองโจร ให้พวกที่อ่อนแอที่เหลือรอดอยู่โดนกลืนกินไป ให้พวกที่เหลือแก่งแย่งช่องว่างของอำนาจกัน ซึ่งตามสมมติฐานที่ซาโซริตั้งไว้ ไม่นาน พวกมันก็จะอาละวาดกันอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งปล้นสะดมและต่อสู้กันเอง เมืองก็จะโกลาหลมากกว่าเดิมจนกิลด์พ่อค้าไม่อาจจะรักษาความสัมพันธ์กับพวกมันไว้ได้ และต้องเริ่มสู้กับพวกโจรที่พวกมันชุบเลี้ยงขึ้นมา ซึ่งซาโซริค จะอาศัยความโกลาหลนั้นเพื่อออกปฏิบัติการอีกครั้ง หลังสรุปผลการปฏิบัติการ วาเรียเอ่ยถามออกมา แคลงใจถึงการที่นำพาเมืองเข้าสู่กลียุคแบบนี้ มันจะนำไปสู่ความสงบสุขของชาวเมืองจริง ๆ หรือ ซึ่งซาโซริก็ตอบแต่เพียงว่า เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย ไม่ว่าอะไร เธอก็จะทำ เป็นการตอบคำถาม ที่ดูอ้อมค้อมไปหน่อย แต่สายตาของซาโซริวันนี้ น่ากลัวเป็นพิเศษ วาเรียที่ยังคงไม่เข้าใจ ก็ยอมเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อน แต่แล้ว ฮาบาริก็เอ่ยถามออกมา ว่าผลของปฏิบัติการเมื่อคืน คุ้มค่าหรือไม่ กับชีวิตของสหายทั้งสองที่ต้องแลกกันไป ซาโซรินิ่งไป

“ขอโทษด้วยนะฮาบาริ ชีวิตของทั้งคู่จะไม่เสียไปอย่างสูญเปล่า ฉันจะล้างบางพวกชั่วนั่นให้หมดให้ได้” เธอพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา พูดออกมาโดยไม่หันไปมองฮาบาริ

“ทำไมถึงไม่ยอมถอยเมื่อยังมีโอกาสล่ะ ทำไมถึงได้ดึงดันจะสู้ต่อ คุณมีเหตุผลอะไรที่ไม่ได้บอกพวกเราอยู่กันแน่? ”ฮาบาริถามต่อ

ซาโซริหันไปมองฮาบาริ ก็พบว่าเขาจ้องกลับอย่างไม่วางตา ไร้ซึ่งความกลัวหรือเกรงใจเหลืออยู่ “ฉันแค่เพียงเชื่อมั่นในพลังของพวกนาย เชื่อว่าการบีบให้ต้องสู้จนถึงขีดสุด จะช่วยให้พวกนายดึงพลังเวทออกมาใช้ได้ เหมือนอย่างวาเรียและวาเลนเซียร์” ซาโซริตอบออกมาอย่างเรียบเฉย

“แล้วสุดท้าย เพื่อนของผมก็ต้องตายเพื่อจะดึงพลังออกมาให้คุณใช้น่ะเหรอ? นี่จริง ๆ แล้วคุณต้องการอะไรกันแน่!? ” ฮาบาริเริ่มขึ้นเสียง ทั้งพวกวาเรียและผมต่างก็มองซาโซริเป็นตาเดียว แต่เธอก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา เดินหนีเข้าห้องของเธอไป ทิ้งพวกเราไว้เพียงความสับสนและความแคลงใจ ผมหันไปมองฮาบาริและซาวาริ อยากจะปลอบใจพวกเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องการได้ยินสิ่งใดจากใครทั้งนั้น ในตอนนี้ ฮาบาริมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ซาวาริก็เหม่อลอยเหมือนคนไม่มีสติ ดูท่าแล้ว พูดอะไรไป ก็คงจะสื่อไปไม่ถึง ผมก็จึงลุกขึ้น แล้วเดินกลับเข้าห้องของตนไป ดูท่าแล้ว ปฏิบัติการในครั้งนี้จะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จละนะ?

 

          ในช่วงบ่าย ซาโซริสั่งให้พวกเรานำร่างของเอยาบิใส่ในโลงไม้ที่พาเลนเต้จัดเตรียมไว้ให้ แล้วนำไปฝังไว้ข้าง ๆ สำนักงาน รอวันที่ทุกอย่างสงบลง แล้วค่อยนำร่างของเขาไปทำพิธีที่โบสถ์ทีหลัง ในตอนนี้ ซาวาริเริ่มดูมีสติขึ้นแล้ว ผมพยายามปลอบเธอ ซึ่งเธอก็ปั้นยิ้มให้ผม ดูแล้วคงทำเพื่อให้ผมสบายใจ เหมือนเธอจะไม่ต้องการคำปลอบใจใด ๆ จากผม ก็คงจะเป็นการดีกว่า ที่จะให้เธออยู่กับฮาบาริเงียบ ๆ ไปก่อน สำหรับฮาบาริ ตั้งแต่เมื่อคืนมา เขาไม่มองหน้าผมอีกเลย ไม่รู้โกรธที่ช่วยอาราลิไม่ได้หรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้ แต่เอาเถอะ ดูท่า เขาจะโทษว่าที่เพื่อนต้องตาย เป็นเพราะซาโซริ ก็ถ้าจะพาลเกลียดผมที่เป็นคนใกล้ชิดเธอไปด้วย ผมก็เข้าใจได้ ก็คงรอให้พวกเขาทำใจได้อีกครั้ง แล้วค่อยคุยกันใหม่ ส่วนอาราลิ.. เอยาบิ.. ถึงเราจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็ขอให้หลับอย่างสงบนะเพื่อน พวกเราที่เหลือรอดอยู่ จะสู้เผื่อนายเอง

 

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา