Sasoric Thieves Guild
เขียนโดย Sasoric_Yukari
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.
แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Sasoric’s Declaration of war, “war to end all war” she said.
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่กิลด์ของเราได้สมาชิกมาเพิ่ม แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าตัวมาเข้าร่วมกับเราด้วยสาเหตุอันใด แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่มีท่าทีจะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูในเร็ววันนี้ ก็หวังว่าจะไม่มีวันนั้นนะ อย่างไรก็ตาม พาเลนเต้ก็เป็นบุคลากรผู้แข็งแกร่งที่ซาโซริปลาบปลื้มอย่างมากที่ได้มาเป็นพวก ในเช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบที่ตุนไว้เมื่อครั้งเดินทางยังเหลือ จึงเป็นหน้าที่ของยูนะ แม่ครัวประจำสำนักงาน ที่จะนำมันมารังสรรค์เป็นเมนูแสนอร่อย ผมเองก็เป็นลูกมือคุณยูนะ ช่วยกันเตรียมมื้อเช้ากันสองคน เธอออกไปเดินตลาด หาซื้อผักมาเสริมกับพวกเนื้อที่เรามีอยู่มากมาย ทำออกมาเป็นเมนูต่าง ๆ จนเต็มโต๊ะ เมื่อมื้อเช้าใกล้จะเสร็จ เธอก็จึงให้ผมไปปลุกซาโซริและเรียกพาเลนเต้ที่อยู่ชั้นสองมาร่วมกินมื้อเช้า น่าจะเป็นครั้งแรก ที่พวกเราได้ทำมื้อเช้ากินกันเองเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งอาหารของยูนะก็รสชาติดีมาก ๆ นับว่าเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีงามจริง ๆ เชียว
“เราไปถล่มคลังสินค้าลับที่พวกมันซุกเหล้าเถื่อนไว้ ทำลายกำไรมหาศาลของมัน มันตั้งค่าหัวของเราไว้ แต่ก็ไม่ได้ผล และตอนนี้พวกมันก็โกรธจัด ดูท่าคงจะว่าจ้างกิลด์นักรบไล่ล่าเราแล้วล่ะ ถ้าให้เดา” ซาโซริพูดก่อนจะใช้ส้อมจิ้มเนื้อผัดพริกสดไปกิน แล้วชมฝีมือปลายจวักของยูนะเหมือนเรื่องที่พูดเมื่อกี้แค่เรื่องคุยเล่นซะอย่างนั้น
“กระผมยังสงสัยอยู่เลย ถ้าคุณซาโซริรู้ว่าที่นั่นคือคลังสินค้าของกิลด์บาซาริค ไฉนถึงได้จงใจเข้าไปหาเรื่องเขาด้วยล่ะครับ? ” วาเรียเอ่ยถามออกมา ดูท่าจะเก็บความอยากรู้ไว้ไม่อยู่ แต่ก็จริงล่ะนะ เจ๊แกชอบมอบหมายงานให้ทำโดยที่ไม่ค่อยอธิบายอะไรเท่าไหร่ อย่างเรื่องจุดมุ่งหมายในชีวิตของเจ๊แก พวกเราก็พึ่งได้รู้ตอนที่พาเลนเต้เอ่ยถาม
“ไม่ใช่แค่พวกโจรหรอกนะ วาเรีย ที่ทำให้เมืองนี้มันเละเทะ ปราบแค่โจรน่ะ มันก็เป็นแค่ปลายสายของปัญหา จากนี้ไป เราจะเริ่มทวนกระแสน้ำเพื่อไปจัดการต้นสายของปัญหา อย่างที่นายต้องการไงล่ะ” ซาโซริพูดแล้วตักเอาเนื้อสับผัดเครื่องเทศไปโปะบนข้าวสวยแล้วกิน “อยากช่วยคนบริสุทธิ์ อยากรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ใช่รึ พวกเจ้า? ”
“ครับ!” วาเรียพูดออกมาเสียงดัง ยิ้มออกมาอย่างอิ่มเอม ดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก ๆ กับศึกคราวนี้
“ฉันอยู่เมืองนี้มานานพอที่จะเห็นว่ามันเละเทะเพียงใด ระบบราชการที่ล่าช้าต้องยึดกฎระเบียบที่คร่ำครึ ส่งผลให้พวกหัวหมอหลายคน ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายมาทำเรื่องเฮงซวยหาประโยชน์เข้าตัวเอง ผลักสุจริตชนจำนวนมากให้จนตรอก กลายเป็นคนนอกกฎหมายไป ซ้ำร้าย ยังมีคนได้ประโยชน์จากความโกลาหลนี้ ก็จึงได้ฟูมฟักพวกโจรเฮงซวยทั้งหลายให้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทางการไม่มีปัญญาจะปราบได้หมดก็คิดอาศัยจ้างคนนอกมาทำให้ แต่งบประมาณที่มีก็น้อยนิด เห็นกระดานว่าจ้างงานที่ศาลากลางเมืองมั้ยล่ะ เต็มไปด้วยงานว่าจ้างปราบโจรราคาถูกที่ไม่มีใครทำ เพราะเงินค่าจ้างมันดูถูกกันเกินไป คนก็เลยหันไปทำงานของกิลด์พ่อค้าไม่ก็กิลด์นักรบมากกว่า” ซาโซริพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “ขึ้นชื่อว่าพ่อค้า ก็ขวนขวายหาแต่กำไร ขึ้นชื่อว่านักรบ แต่ก็สู้เพื่อเงินตรา นานเข้าหน่อยอุดมการณ์ที่เคยมีก็เลือนหาย กลายเป็นว่าทำทุกอย่างเพื่อสนองความโลภ ไม่สนใจผลกระทบต่อคนอื่น กิลด์บาซาริคน่ะ เป็นหนึ่งในกิลด์พ่อค้าที่หากินกับเหล้าเถื่อนมานานนม ไม่ต้องผ่านทางการ ก็ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องตรวจสอบคุณภาพหรือวัตถุดิบ ผลก็คือ เอามาขายได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด แถมคนก็ติดกันงอมแงมเพราะพวกมันผสมผงลูนาร์ลินลงไปด้วย สุดท้ายก็ต้องมีคนดี ๆ มากมายที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับมัน และเหยื่ออีกหลายต่อหลายคน ที่ชีวิตต้องพังลงเพราะมัน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม”
“ขอขัดหน่อยนะ อะไรคือผงลูนาร์ลินเหรอ? ” ผมเอ่ยถามออกไป
“ยาเสพติดประเภทหนึ่งน่ะ เสพแล้วจะช่วยให้เคลิ้ม ผ่อนคลาย แต่ถ้าขาดยานาน ๆ ก็จะเห็นภาพหลอน พอผสมลงไปในเหล้า คนกินก็ทั้งติดทั้งชอบ เพราะมันผ่อนคลาย คนขายก็ชอบ เพราะหากได้ลองแล้วสักครั้งหนึ่ง ก็จะติดในทันที”
“แต่การมีเรื่องกับกิลด์พ่อค้าที่เป็นสมาชิกของสหภาพกิลด์พ่อค้า ไม่เท่ากับลากพวกพ่อค้าแทบทุกคนในเมืองมาเป็นศัตรูด้วยเลยหรือครับ คุณซาโซริ? มันไม่เกินไปหน่อยหรือครับ” วาเลนเซียร์เอ่ยถามบ้าง
“คำตอบก็คือไอ้พวกสหภาพกิลด์พ่อค้านั่นล่ะ ไม่มากก็น้อย มีส่วนร่วมกับธุรกิจสกปรกพวกนี้เสียทั้งนั้น พวกกิลด์เล็ก ๆ ที่มือสะอาดก็อาจจะมีอยู่จริง แต่ไม่นาน ก็ถูกทำให้หายไป ไม่ว่าจะถูกทำให้เจ๊งหรือโดนกลืน ส่วนไอ้พวกกิลด์ใหญ่ ๆ พวกนั้น ล้วนแล้วแต่หากินกับความเดือดร้อนของประชาชนทั้งนั้น พวกมันคือศัตรู ไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องปะทะกับพวกมันทั้งหมดอยู่แล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น กิลด์พ่อค้าก็ต้องหันไปพึ่งทางการและกิลด์นักรบเป็นแน่ แล้วเราจะรับมือไหวหรือคะ? คุณซาโซริลงมือไปก่อนที่เราจะมีคุณพาเลนเต้เข้ามาร่วมด้วยเสียอีก ทำไมถึงได้กล้าทำการใหญ่ถึงเพียงนี้” ยูนะพูดออกมาอย่างร้อนใจ
“ฉันรู้ดีว่าทำอะไรลงไป เรื่องทางการน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจัดการได้ ส่วนเรื่องกิลด์นักรบ ฉันก็มั่นใจมากพอว่าต่อให้ไม่มีพาเลนเต้มาร่วมด้วย อย่างไรเสียเราก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ” ซาโซริพูดออกมาอย่างใจเย็น
“ทำไมถึงเชื่อว่าเราแค่เก้าคนจะรับมือคนค่อนเมืองไหวล่ะ? ” ผมถามออกไป จ้องตาซาโซริไม่วาง
เธอมองมาที่ผม “ถามได้ดีนี่ ก็เพราะว่าพวกเราคือซาโซริคไงล่ะ” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างอาจหาญ เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เมื่อได้ฟังคำตอบและเห็นรอยยิ้มนั้น ผมก็ยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรต่อ ซาโซริหันไปมองทุก ๆ คนรอบโต๊ะกินข้าว “ไม่มีข้อกังขาอะไรแล้วใช่มั้ย? ” เธอเอ่ยถาม “ดี! ถ้างั้นก็ไปเตรียมตัวได้! ยูคาริ นายไปตามพวกฮาบาริมาเดี๋ยวนี้เลย เมื่อวานฉันสั่งให้หยุดตั้งร้าน ตอนนี้ก็คงจะอยู่ที่บ้านกัน”
“ครับ!” ผมรับคำสั่งออกไปอย่างฉะฉาน ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้รู้สึกภูมิใจชอบกล เมื่อได้ยินผมตอบรับ ซาโซริก็ผละออกจากโต๊ะไป ยูนะและวาเลนเซียร์เริ่มเก็บจาน ส่วนพาเลนเต้นั่งกินข้าวไปพลางนั่งฟังบทสนทนาของพวกเราไปพลาง เธอกล่าวชมอาหารของยูนะออกมา ซึ่งยูนะก็ดีใจเป็นอย่างมาก
ในช่วงสายที่ผู้คนยังคงพลุกพล่าน ซาโซริในชุดเครื่องแบบเต็มยศพาพวกเราชาวกิลด์ซาโซริคทุกคนในสภาพพร้อมรบมายังหน้าสหภาพกิลด์พ่อค้า ยามของที่นั่นมองพวกเราเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก็แตกตื่น รีบวิ่งเข้าไปแจ้งเรื่องข้างใน ไม่นาน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาขวางไม่ให้เราเข้าไปด้านใน มีคนตรงกลางที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า สวมชุดผ้าที่ดูหรูหรา ส่วนที่เหลือใส่เกราะหนักขัดจนเงาแวววาว ถืออาวุธครบมือ จ้องพวกเราอย่างอาฆาต บ้างก็แสยะยิ้มเพราะเงินรางวัลมายืนอยู่ตรงหน้า
“โฮ่ มาหาถึงที่เลยรึ ซาโซริ? ” ชายที่ดูเหมือนหัวหน้าคนนั้นพูดออกมา
“ใครชิงลงมือได้ก่อนก็ย่อมได้เปรียบมิใช่รึ คุณพ่อค้า? ” ซาโซริพูดแล้วหันปากกระบอกปืนใส่เขา
“หึ! จะอวดดีไปหน่อยมั้ง ยัยคนเถื่อน คราวก่อนก็ไปถล่มคลังสินค้าของสมาชิกเรา คราวนี้จะมาถล่มสำนักงานเลยรึไง? ”
“คลังสินค้า? พูดถึงไอ้ซ่องโจรที่ซุกพวกเหล้าเถื่อนผสมยาหนีภาษีของพวกแกนั่นน่ะรึ? ” ซาโซริพูดก่อนจะเบนปากกระบอกปืนไปทางอื่น
“พูดอะไรของแก? ”
ซาโซริใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าแผนที่ของเธอ มันคือจดหมายฉบับหนึ่ง ที่จ่าหน้าถึงสหภาพกิลด์พ่อค้า “เอ้า!” เธอพูดแล้วโยนจดหมายไปให้พวกเขา
ผู้เป็นหัวหน้าก้มลงไปหยิบขึ้นมาแล้วเปิดออกมาอ่าน “นี่ถ้าพวกแกไม่ได้ตั้งใจมาปั่นประสาทฉัน ก็คงจะบ้าไปแล้วละมั้งเนี่ย? ” เขากำจดหมายเสียจนยับยู่ยี่ พูดออกมาอย่างเดือดดาลในอารมณ์ ก่อนจะสั่งให้พวกยามเข้าโจมตีพวกเรา เนื่องด้วยด้านในอาคาร มีคนอื่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ ซาโซริก็จึงเลือกที่จะไม่ใช้ปืน เพราะกลัวว่าวิถีกระสุนจะไปโดนคนที่ไม่เกี่ยวเข้า ก็จึงคว้าดาบออกมาด้วยมือซ้ายแล้วสั่งให้พวกเราเข้าตะลุมบอนศัตรู วาเรียเป็นคนแรกที่เข้าปะทะ กระแทกศัตรูด้วยโล่เสียจนปลิว แล้วใช้คทาศึกฟาดใส่ศัตรูอีกคน วาเลนเซียร์พุ่งออกไปเป็นคนที่สอง เหวี่ยงขวานสองมือเข้าทลายเกราะหนักของศัตรูเสียจนกระจาย ซาโซริรีดพลังออกมาเล็กน้อยแล้วพุ่งเข้าแทงศัตรูทางปีกขวาโดยมีผมคอยเข้าโจมตีสนับสนุน ผมถือขวานมือหนึ่ง ปืนสั้นมือหนึ่ง แม้ว่าแรงเหวี่ยงขวานของผมจะไม่แรงพอที่จะระเคืองเกราะหนักนั่นได้ แต่ดูเหมือนลูกปืนก็พอจะเจาะเกราะได้อยู่ ผมก็จึงคอยยิงสนับสนุนให้ซาโซริ ปืนพกที่ยิงได้ทีละนัด ก็ลดโอกาสที่กระสุนจะไปถูกเหยื่อผู้ไม่เกี่ยวข้องไปได้เยอะ ผมก็จึงอุ่นใจมากพอที่จะใช้มัน พวกฮาบาริ โดยปกติไม่ใช่สายบู๊ ในคราวนี้ พวกเขาก็ใช้เป็นอาวุธมือเดียวกับโล่ ฮาบาริเป็นดาบ อาราลิเป็นหอกสั้นและเอยาบิเป็นขวาน ซาวาริใช้เป็นหน้าไม้ คอยสนับสนุนเพื่อนอยู่ในระยะที่ปลอดภัย ส่วนยูนะใช้หอก เธอค่อนข้างพลิ้วไหว หลบการโจมตีของศัตรูไปพลาง โจมตียั่วยุไปพลาง แล้วอาศัยจังหวะเหมาะ แทงเข้าจุดที่ไม่มีเกราะของศัตรู ส่วนพาเลนเต้ยืนดูพวกเราเฉย ๆ ไม่แน่ใจว่าประเมินแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลงมือ พวกเราก็สู้กันไหวหรือแค่ไม่สนใจจะร่วมวงด้วย แต่อย่างไรเสีย พวกยามเกราะหนักที่หน้าสำนักงานก็สิ้นท่า คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหนีกลับเข้าไปด้านใน ซาโซริเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ หันไปหาพวกผู้ชมที่มายืนมุงดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“จำไว้นะ สุจริตชนทุกท่าน สหภาพกิลด์พ่อค้าแห่งนี้ได้เลี้ยงอสุรกายในคราบมนุษย์เอาไว้ มันขายเหล้าเถื่อน ผสมผงลูนาร์ลิน มอมเมาผู้คน ทำลายชีวิตคนอื่นเพื่อเงินทอง เลี้ยงโจรไว้ใช้งาน ปล่อยให้บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ส่วนตัวเองก็เสวยสุขบนกองเงินกองทอง จำเอาไว้ให้ดี!” ซาโซริพูดเสร็จก็เดินออกมาจากตรงนั้น เธอพาเราไปที่หน้าสหภาพกิลด์นักรบ และก็เช่นกัน พวกเขาส่งยามออกมากันพวกเราไว้ แต่คราวนี้พวกยามดูน่ากลัวกว่า ดูเจนศึกกว่า ซาโซริก็จึงฝากปืนกลไว้กับผม เปลี่ยนไปใช้ดาบอย่างเต็มรูปแบบ เธอโยนจดหมายให้คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า เขาโกรธและสั่งให้จับพวกเรา และอีกครั้ง ที่เราคว้าชัยชนะมาได้ และเช่นกัน ซาโซริพูดกับเหล่าฝูงชนที่มารุมล้อม ด่าทอว่าพวกกิลด์นักรบเป็นหมารับใช้ของพวกกิลด์พ่อค้า คอยกินเศษเงินเปื้อนเลือดที่พวกกิลด์พ่อค้าเจียดมาให้ หากินโดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมาต่อประชาชนในเมือง ท้ายสุด ซาโซริพาเรามาที่ศาลากลางเมือง แต่คราวนี้ เธอแค่ไปดึงประกาศจับของเราออก แปะกระดาษสีน้ำตาลเข้มแผ่นหนึ่งเข้าไปแทน รูปแบบของข้อความนั้น ไม่ต่างอะไรกับเอกสารราชการฉบับหนึ่ง เนื้อความของมันคือการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างกิลด์ซาโซริคต่อสหภาพกิลด์พ่อค้าและสหภาพกิลด์นักรบ มีการกล่าวโจมตีถึงการกระทำอันมิชอบของพวกเขาเหล่านั้นอยู่ย่อหน้าใหญ่ ๆ และปิดท้ายด้วยการจิกกัดระบบราชการเล็กน้อย หึ! ยั่วยุปลุกปั่นไม่ใช่น้อย
“ถ้าเปรียบความวุ่นวายทั้งหลายเป็นสงคราม เมืองแห่งนี้ก็เจ็บช้ำกับสงครามของความโลภมามากแล้ว จงจำไว้เสียว่าต่อจากนี้ล่ะ! คือสงครามที่จะยุติสงครามทั้งปวง” เธอหันมาพูดกับพวกเราแล้วยิ้มออกมาอย่างมาดมั่น ก่อนจะพาเรากลับสำนักงาน จะว่าไป ตั้งแต่ที่เราก้าวเท้าออกไปหาเรื่องคนค่อนเมืองยันวินาทีที่เราเดินกลับมาจนถึงสำนักงาน ไม่มีวี่แววของยามรักษาการณ์เมืองแม้แต่คนเดียว ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหมือนกัน
หลังจากไปประกาศสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซาโซริก็ให้พวกเราไปนั่งที่โต๊ะประชุม ส่วนเธอไปเอาของด้านในห้องอยู่ครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมถุงผ้าหนา ๆ เธอนำมาเทลงบนโต๊ะก็ปรากฏว่าเป็นผลึกเวทจำนวนมาก คละสีสันคละขนาด พวกฮาบาริและวาเรียต่างก็ตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
“พาเลนเต้ ถึงคราวที่คุณจะต้องช่วยพวกเราแล้ว” ซาโซริพูดแล้วนั่งลง จ้องไม่วางตาไปที่พาเลนเต้ รอคำตอบจากเธอ
“จะให้สร้างอาวุธเวทมนตร์ละสิ? ย่อมได้” พาเลนเต้หันไปตอบซาโซริ ซึ่งเธอก็ยินดีกับคำตอบเอามาก ๆ
“เอาล่ะ วันนี้เอาเป็นของยูคาริ ฮาบาริและยูนะก่อน เอ้า ต้องทำอะไรบ้างล่ะ? ” ซาโซริพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าขออาวุธพวกเจ้า กับขอดูธาตุในตัว หลังจากนั้นก็เลือกผลึกเวทธาตุที่เหมาะมาใส่เข้ากับอาวุธ พิธีการใช้เวลาตามขนาดของผลึกเวท แต่ส่วนมากถ้าชิ้นไม่ใหญ่มาก ก็ใช้เวลาราว ๆ สองชั่วโมงต่อชิ้น ถ้าเป็นผลึกชิ้นที่ข้าให้เจ้าไปสี่วัน” พาเลนเต้พูดออกมา น่าตื่นเต้นจริง ๆ แฮะ
“แล้วทำไมถึงเป็นดิฉันกับสองคนนี้หรือคะ? ” ยูนะเอ่ยถามออกมา
“เพราะไม่รู้ว่าพิธีการเป็นอย่างไร ใช้เวลานานรึเปล่า จะเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง ก็เลยให้พวกเธอสามคนเป็นหนูทดลองดูก่อน พวกเธอสามคนแม้จะไม่ใช่กำลังรบหลัก แต่ก็มีฝีมือที่มองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน” ซาโซริพูด ก่อนจะหันไปมองกลุ่มของฮาบาริ “ซาวาริ อยู่แนวหลังก็ดีเหมือนกัน คงไม่ถนัดเรื่องต่อสู้ใช่มั้ยล่ะ ส่วนอาราริ เอยาบิ พวกนายยังต้องฝึกเพิ่มอีกมาก พยายามเข้าล่ะ” พูดเสร็จ สามคนนั้นก็ขานรับด้วยความดีใจ
“เอ้า เริ่มจากเธอก่อนเลยก็แล้วกัน” พาเลนเต้พูดแล้วมองไปยังยูนะ เธอก็จึงเดินเข้าไปหาพาเลนเต้ด้วยความตื่นเต้น พาเลนเต้ยื่นมือของเธอไปแตะตัวยูนะเบา ๆ “อืม... ดินสินะ” พาเลนเต้พูดแล้วหันไปมองหาผลึกเวทที่เหมาะกับยูนะ เธอหยิบชิ้นสีน้ำตาลมาชิ้นหนึ่ง มาวางข้าง ๆ “ขออาวุธเจ้าด้วยนะ” พาเลนเต้พูด ยูนะก็ยื่นหอกให้เธอไปอย่างไม่ลังเล
ยูนะเดินถอยออกมา ลุกลี้ลุกลนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปหาซาโซริ “ไม่ทราบว่าขอทำให้ธนูด้วย จะได้มั้ยคะ? ” เธอพูดแล้วทำตาอ้อน ๆ ใส่ซาโซริ ซึ่งก็ได้ผล เธออนุญาต แต่เป็นหลังจากที่ทุกคนได้อาวุธเวทมนตร์กันครบแล้ว แต่กระนั้น ยูนะก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ เห็นแล้วก็น่ารักดีเหมือนกัน ต่อไปเป็นฮาบาริ เขาเดินเข้าไปหาพาเลนเต้ ยื่นดาบกับโล่ของเขาให้กับเธอ ดูเหมือนพวกใช้อาวุธมือเดียวคู่กับโล่จะต้องทำให้ทั้งคู่ ถึงจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสินะ? แต่นั่นก็เป็นราคาที่ซาโซริเต็มใจจ่ายอย่างไม่มีลังเล ของฮาบาริเป็นธาตุน้ำ ดูเขาเองก็ตื่นเต้นไม่ใช่น้อย ต่อไปก็ตาผม ผมเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พาเลนเต้ ยื่นขวานให้เธอไป เธอนำมือมาแตะแขนผม ก่อนจะพูดออกมาว่า “ลม” ก่อนจะหยิบผลึกเวทสีเขียวมาชิ้นนึง อื้ม ชิ้นใหญ่เหมือนกันนะ ราว ๆ ปลายนิ้วก้อยแน่ะ ผมหันไปหาซาโซริ ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ซึ่งเธอก็ยิ้มบาง ๆ ตอบ แต่ทำไมดูแล้วเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าพิกล?
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำอาวุธของพวกเจ้ามาคืนนะ” พาเลนเต้พูดแล้วแตะอาวุธของพวกเราทีละชิ้น จู่ ๆ มันก็จางหายไปราวกับเป็นมายากล รวบผนึกเวทที่ต้องใช้ใส่ไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป
“เอาไงต่อล่ะ เจ๊? ” ผมหันไปถามซาโซริ
เธอยิ้มออกมา มองมายังผม “รอ”
“รอ? รออะไร? ” ผมถามกลับ
“รอจังหวะดี ๆ แล้วค่อยเข้าตี ตอนนี้พวกมันกำลังโกรธ คงคิดจะทุ่มทุกอย่างที่มีมาใส่พวกเรา คงกำลังรวบรวมกำลังคนและวางแผนโต้ตอบเรา ก็คงอาจจะยังไม่เคลื่อนไหวในวันนี้ แต่ก็ไม่แน่ เวลาคนเราโกรธมาก ๆ ก็ชอบทำอะไรโง่ ๆ ที่คาดเดาไม่ได้” ซาโซริพูดแล้วลุกไปมองหน้าต่าง “เราได้เปรียบอยู่หนึ่งอย่าง กิลด์บาซาริคน่ะ มีปัญหาภายใน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันภายในเพราะเรื่องอำนาจและเงิน กิลด์อื่น ๆ หรือแม้แต่ในสหภาพเองก็ไม่ต่างกัน ก็คงกัดกันเองอยู่พัก กว่าจะร่วมมือกันมาสู้กับเราได้”
“ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ? ” ผมถามกลับ ซาโซริหันกลับมาหาผม ชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะของเธอ “ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็ คิดว่าข่าวอาชญากรรมครึ่งหน้านั่นมาจากสาเหตุอะไรล่ะ โจรหน้าโง่ที่ไหนจะกล้าหาเรื่องกับสมาชิกสหภาพกิลด์พ่อค้า เป็นพวกในกิลด์นั่นล่ะ ที่ตีกันเอง” ผมว่าผมรู้จักอยู่กลุ่มนึงนะ.. โจรที่กล้าหาเรื่องสหภาพกิลด์พ่อตค้าน่ะ
“แล้วอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะมีศัตรูร่วมกัน พวกมันก็ไม่ร่วมมือกันกระทืบเรารึ? ” ผมถามต่อ
“เคยบอกไปแล้วนี่ ต่อให้ยกมาค่อนเมืองฉันก็ไม่กลัว แต่ก็คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้หรอก นายดูถูกความจองหองหยิ่งทะนงของมนุษย์ไปหน่อยนะ ยูคาริ พวกบาซาริคคงต้องพ่ายอีกสักสองสามรอบนั่นล่ะ กว่าจะไปสามัคคีกันได้ ตอนนี้ไอ้พวกตัวหัวหน้า ๆ ก็คงจะหน้าใหญ่ดิ้นรนจัดการปัญหากันเองนั่นล่ะ”
“เข้าใจแล้ว..” ผมแคลงใจกับการคาดการณ์ของซาโซริเล็กน้อย แต่ก็ขี้เกียจจะพูดออกมา ทำไมเจ๊แกถึงได้มั่นใจได้ขนาดนั้นกันนะ ไม่ใช่ว่าคนเราพอมีศัตรูร่วมกัน ก็จะร่วมมือกันกระทืบคนนอกก่อนหรอกเหรอ?
ซาโซริทิ้งท้ายการประชุมด้วยการสั่งให้พวกฮาบาริใช้ห้องบนชั้นสองที่เหลืออยู่เป็นห้องพัก แถมให้ซาวาริใช้ห้องไปเลยคนเดียว อืม จะว่าไป เธอก็คงอาศัยหลับนอนร่วมกับเพื่อนผู้ชายสามคนมาตลอด ก็คงจะมีบางเรื่องของผู้หญิงที่คงจะลำบากใจที่ผมไม่รู้ แต่ซาโซริในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือน ๆ กันที่มองออกได้อย่างไม่ต้องเอ่ยปากถาม ก็ถือว่าดีเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว ห้องทั้งหมดของชั้นหนึ่งและสองก็ถูกจับจองจนหมด พวกฮาบาริแม้จะอยู่กันสามคน แต่ก็ได้ห้องขนาดใหญ่ที่สุดของอาคารเป็นห้องของตัวเอง ถ้าถามว่าใหญ่ขนาดไหน ก็คงประมาณห้องผมกับห้องของพวกวาเรียรวมกัน ก็ไม่ต้องนอนเบียดกันแล้วล่ะนะ เมื่อหมดเรื่องแล้ว ซาโซริก็สั่งเลิกประชุม ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป คงจะไปหาพาเลนเต้ ส่วนพวกที่เหลือก็ผ่อนคลายกันตามอัธยาศัย ผมก็จึงลุกขึ้น กำลังจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง แต่ก่อนจะได้ไป ฮาบาริก็เข้ามาหยุดผมไว้ ก่อนจะชวนไปเล่นไพ่โคลินร่วมกัน ฟังดูน่าสนใจดี ผมก็จึงเอาด้วย ในวงนั้นมีพวกฮาบาริ วาเลนเซียร์และยูนะ ส่วนวาเรียปฏิเสธที่จะเล่น เมื่อได้สมาชิกมาเพิ่ม ฮาบาริก็จึงสอนวิธีเล่นให้ผมได้ดำดิ่งกับการพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสนุกสนาน ดูท่าเรื่องวุ่นวายของวันนี้จะมีเพียงเท่านี้ ก็ดีแล้วล่ะนะ...
เช้าวันต่อมา ผม ฮาบาริและยูนะก็ได้รับอาวุธของตนคืน หลังจากได้รับการปรับปรุงอย่างก้าวกระโดดด้วยผลึกเวทมนตร์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ซาโซริก็สั่งให้ทุกคนเตรียมตัวภายในห้านาที ก่อนจะพาพวกเราทุกคน ยกเว้นพาเลนเต้ออกมาจากสำนักงานในสภาพพร้อมรบอีกครั้ง คราวนี้เธอพาพวกเราไปที่ร้านอาหารขนาดใหญ่ข้าง ๆ กับสหภาพกิลด์พ่อค้า เดินเข้าไปภายในอย่างสะดุดสายตาทุกคู่ที่อยู่ภายใน สั่งอาหารเสียงดังอย่างไม่เกรงใจโต๊ะรอบ ๆ ที่มองเขม่นมา เป็นการพามากินข้าวเช้าที่เรียกความสนใจได้รุนแรงมาก ๆ ผมเห็นคนท่าทางไม่น่าไว้ใจเดินออกจากร้านไป หันไปเตือนซาโซริ แต่เธอก็นิ่งเฉย มองไปรอบ ๆ ก็เห็นกลุ่มคนท่าทางมีพิรุธมองเราด้วยสายตาดุดัน ผมเตือนเธออีกครั้ง เธอก็ยังคงใจเย็น
“ใจเย็นน่า ยูคาริ ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่” คงเพราะเธอเห็นผมร้อนรนละมั้ง ถึงได้พูดออกมา ผมหันไปมองเธอ ไม่พูดอะไรรอเธออธิบายออกมา “ฉันบอกไปเมื่อวานแล้วนี่ว่าจะรอจังหวะดี ๆ แล้วค่อยเข้าตี นี่แหละ การรอจังหวะดี ๆ ที่ว่า”
“ทำตัวโดดเด่นในดงนักเลงเนี่ยนะ รอจังหวะดี ๆ ที่ว่า? ”
ซาโซริได้ยินดังนั้นก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “เออน่า! รอดูไปเถอะ” ขมวดคิ้วมองมาทางผม ตอบออกมาด้วยความเซ็งในอารมณ์
ไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นการกินมื้อเช้าที่ค่อนข้างหวาดระแวง และไม่นานนัก ผมก็เห็นกลุ่มคนท่าทางอันตรายเดินเข้ามาในร้าน นั่นไง จังหวะของเจ๊แกมาแล้ว เฮ้อ~ นั่นไง เดินตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเราเลย...
“เฮ้ย! พวกเอ็ง ไอ้พวกกิลด์โจรมาทำอะไรในที่สว่าง ๆ แบบนี้วะ? ไม่กลัวตายรึไง? ” หนึ่งในนั้นพูดออกมาขณะตบลงบนโต๊ะอาหารของพวกเรา
“ปากเก่งนักนะ ไอ้พวกเบี้ยชั้นสวะของบาซาริคเนี่ย” ซาโซริพูดก่อนลุกขึ้น วาเรียกับวาเลนเซียร์เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“แกว่าไงนะ!? ” เจ้าหมอนั่นโมโหจนปรอทแตกเมื่อโดนซาโซริด่า พุ่งเข้ามาจะชกเธอ แต่ฮาบาริที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เอาโล่เข้ากระแทกมันออกไปเสียก่อน หมอนั่นล้มลงไปนั่งจุกอยู่กับพื้น พวกที่เหลือทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าใส่พวกเรา แต่ซาโซริยกปืนกลมือขึ้นมาเล็ก พวกมันก็ชะงัก
“ขี้โกงนี่หว่า” คนที่โดนปืนเล็งอยู่พูดออกมา
ซาโซริยิงใส่หมอนั่นไปชุดหนึ่งจนเจ้านั่นล้มลงไปนอน “ในสงครามน่ะ ไม่มีใครเขามาบ่นหยุมหยิมอย่างนี้หรอก” เธอบ่นพึมพำออกมา พวกศัตรูที่เหลือถอยออกไปด้วยความกลัว แล้วก็วิ่งหนีไป ดูท่าจะเป็นเบี้ยชั้นสวะจริง ๆ
“เอ่อ.. คุณซาโซริครับ..” วาเรียเอ่ยออกมาหลังจากสถานการณ์ตรงหน้าของซาโซริคลี่คลายแล้ว
“หือ? ” ซาโซริหันไปมองทางวาเรีย เมื่อผมหันตามไป ก็พบว่าทุกโต๊ะในร้านได้จับจ้องมายังพวกเราเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศอึมครึมจนรู้สึกอึดอัด
“มีอะไรรึ ชาวแรงงานหาเช้ากินค่ำทุกท่าน? ” ซาโซริทำใจดีสู้เสือพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาที่สุด แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ เมื่อดูท่าแล้วว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไร ซาโซริก็กลับมานั่งที่ แล้วสั่งให้พวกเรากินอาหารเช้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็จึงรีบ ๆ กินให้แม่งหมด ๆ ไปเร็ว ๆ จะได้ออกจากสภาพแวดล้อมที่อึดอัดนี้เสียที ครู่ต่อมา เจ้าคนที่โดนโล่ฮาบาริกระแทกจนร่วงก็ลุกขึ้นมา ซาโซริก็จึงสั่งให้หมอนั่นรีบลากศพเพื่อนของมันให้ออกไปไกล ๆ สายตา ไม่งั้นจะยิงให้ตายตามเพื่อนไป ซึ่งเจ้าหมอนั่นก็รีบทำตามคำสั่งอย่างไว คงจะกลัวตายน่าดู เมื่อเรากินมื้อเช้าเสร็จ ซาโซริให้ทิปไปจำนวนหนึ่ง แลกกับให้เจ้าของร้านยกโทษให้เรื่องยิงคนตายในร้าน ซึ่งเขาก็รับเงินไปด้วยสีหน้าที่ยังคงแค้นเคืองพวกเราเอามาก ๆ ดูท่าคงมานั่งร้านนี้อีกไม่ได้แหงเลย เมื่อเดินออกมาที่หน้าร้าน ก็พบว่ามีกลุ่มคนพร้อมอาวุธครบมือมารอต้อนรับเราที่หน้าร้าน นี่แน่เลย โอกาสที่เจ๊ซาโซริหวังไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกมันวิ่งเข้าใส่พวกเราพร้อม ๆ กัน และก็เหมือนเดิม จบลงด้วยชัยชนะของพวกเรา ซาโซริไม่จำเป็นต้องยิงปืนสักนัดก็คว้าชัยมาได้อย่างง่ายดาย ส่วนตัวผมเอง ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้สึกว่าพลังการปะทะมันรุนแรงกว่าปกติ ซึ่งก็น่ายินดีเป็นอย่างมาก ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าใช้งานครั้งแรกจะโหดได้เท่าซาโซริหรอก มันก็คงจะเวอร์วังเกินไปหน่อย ฮาบาริกับยูนะเองก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน ทั้งคู่หันมามองผมพอดี ผมก็จึงยิ้มให้อย่างดีใจ
“เป็นไง? ” ซาโซริเอ่ยถามผมออกมา รอฟังคำตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ดูเหมือนกำลังพอใจกับสิ่งที่เป็นไปอยู่
“รู้สึกได้นิดหน่อย ว่าพลังมันมากกว่าทุกที แต่ก็แค่นิดหน่อยล่ะนะ” ผมตอบกลับไปแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“อื้ม! ดีแล้ว จากนี้ก็หมั่นฝึกฝนเวทมนตร์เข้าล่ะ” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมา ผมก็พยักหน้าให้เธอแล้วยิ้มตอบ ไม่นานพวกเราก็ออกมาจากที่นั่น ทิ้งศพและคนเจ็บนอนเกลื่อนพื้นไว้เบื้องหลัง
บ่ายวันนั้น ซาโซริพาพวกเราเข้าตีอาคารสำนักงานใหญ่ของกิลด์บาซาริค ออกคำสั่งให้สังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนที่พบ ในที่ปิดแบบนี้ ซาโซริก็จึงใช้ปืนได้อย่างสบายใจ เธอ ซาวาริและยูนะที่เปลี่ยนกลับมาใช้ธนูคอยจัดการพวกใช้อาวุธระยะไกล ผมกับพวกฮาบาริมีหน้าที่คอยคุ้มกันพวกซาโซริ ส่วนพวกวาเรียก็ออกอาละวาดใส่ศัตรูอย่างเต็มที่ ในช่วงบ่ายแก่ ๆ พวกเราก็เดินออกมาจากสำนักงานกิลด์บาซาริค แม้จะไม่พบตัวหัวหน้ากิลด์กับคนสนิท แต่เราก็ได้เอกสารชุดหนึ่งกับสมุดบัญชีหลักและสมุดบัญชีลับที่มีตัวเลขไม่ตรงกัน อันเป็นหลักฐานของการค้าเหล้าเถื่อนที่ผสมสารเสพติด ก็ถือว่าไม่คว้าน้ำเหลวล่ะนะ ที่ด้านหน้าสำนักงานมีเจ้าหน้าที่ของทางการพร้อมยามรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งยืนรอดูสถานการณ์อยู่ พวกเขาดูกล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงดี ซาโซริมองนิ่ง ๆ ยื่นเอกสารกับสมุดบัญชีพวกนั้นให้กับคนที่ดูเหมือนหัวหน้า ไม่พูดอะไรแล้วพาพวกเราเดินจากมา ไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ไม่แม้แต่จะหันไปมอง น่าแปลกใจว่าทำไมพวกทางการไม่แตะต้องซาโซริเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เธอและพวกเราก็เป็นคนนอกกฎหมายแท้ ๆ มาคิด ๆ แล้ว พวกเราบุกเข้าโจมตีสำนักงานกิลด์บาซาริค สังหารผู้คนไปมากมายแล้วออกมาได้อย่างสบาย ๆ โดยรวมมันดู.. ง่ายไปหน่อย? รึพวกเราเก่งกันจริง ๆ นะ? แต่ก็เอาเถอะ
วันต่อมา ข่าวการเข้าตีของเราก็ขึ้นหน้าหนึ่ง คู่กับข่าวการเปิดโปงธุรกิจเหล้าเถื่อนผสมผงลูนาร์ลินของกิลด์บาซาริค น่าตงิดใจตรงที่ผู้เปิดโปงดันเป็นเจ้าหน้าที่ทางการคนที่ยืนอยู่ที่หน้าสำนักงานไม่ใช่พวกเรา แถมไม่มีการพูดถึงพวกเราเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ไอ้หลักฐานที่เจ้านั่นได้ไป ก็ซาโซริแท้ ๆ ที่เป็นคนยื่นให้ น่าหงุดหงิดชะมัด แต่ซาโซริก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบอารมณ์อะไร น่าแปลก ทุกทีน่าจะปรี๊ดแตกไปแล้ว กลับใจเย็นผิดคาด “แบบนี้ล่ะ ดีแล้ว” ซาโซริพูดออกมาอย่างใจเย็น ไม่นาน ชินารินก็มาเคาะประตู เมื่อผมไปเปิดประตูให้ เธอก็เดินเข้าไปคุยกับซาโซริ คุยกันอยู่พัก ซาโซริก็แสยะยิ้มออกมาก่อนจะให้เงินเธอไปจำนวนหนึ่ง
“กินข้าวด้วยกันมั้ย” ผมเอ่ยถามเธอ แต่ชินารินส่ายหน้า ก่อนจะเดินออกไป
“ใช้งานอะไรเด็กมันอีกละ เจ๊? ” ผมหันไปถามซาโซริ ขณะกำลังช่วยยูนะจัดโต๊ะเตรียมกินมื้อเช้ากัน
“ก็แค่ให้ไปเดินดู ว่าที่สหภาพกิลด์พ่อค้ากับกิลด์นักรบเป็นไงบ้าง” ซาโซริพูดขณะกำลังกินกาแฟที่ผมชงให้ไปพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง
“แล้วเป็นไงบ้าง? ” ผมถามต่อ
ซาโซริหันมายิ้มให้ “กำลังวุ่นกันตามคาด ก็คงเคลื่อนไหวกันเร็ว ๆ นี้”
“ให้เดาก็ เจ๊คิดจะชิงลงมือก่อนใช่มั้ย? ”
ซาโซริหัวเราะออกมา “ใช่ รู้ใจฉันดีนี่” เธอตอบ แล้วยิ้มออกมาอย่างสุขใจ
หลังมื้อเช้า ซาโซริพาพวกเราไปที่สหภาพกิลด์พ่อค้าเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ซาโซริสั่งให้บุกเข้าไปภายในอาคาร แต่เนื่องจากมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่เยอะ ซาโซริก็จึงประกาศว่าจะสังหารทุกคนที่คิดสู้และจะไว้ชีวิตคนที่หนี เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องรับเคราะห์ไปด้วย ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน เราก็ปล่อยไป พี่สาวคนที่ผมมารับงานด้วยบ่อย ๆ ก็จึงรอดไปได้อย่างปลอดภัย เธอหันมามองผมด้วยความหวาดกลัวก่อนจะหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ก็หวังว่าพี่สาวคนนั้นจะหางานใหม่ได้นะ ดูเหมือนว่าสหภาพกิลด์พ่อค้าจะเรียกประชุมกันพอดี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทุกกิลด์จึงมาสุมหัวกันอยู่ในห้องประชุม แม้เราจะจับให้ครบทุกคนไม่ได้ แต่ก็สามารถจับเจ้าหน้าที่ของกิลด์พ่อค้าคาราทอย คูราริและทาทาริน อันเป็นสามจากห้ากิลด์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองมาได้ ซาโซรินำพวกเขามาประหารทีละคนที่หน้าอาคารต่อหน้าสาธารณชน เป็นการตอกย้ำถึงประกาศสงครามต่อสหภาพกิลด์พ่อค้า ดูท่าของจริงจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้
กิลด์คูราริ เป็นกิลด์พ่อค้าที่เน้นค้าขายสินค้าทั่วไปที่นำสินค้าจากเมืองพีซเทนเบิร์กเข้ามาขาย ส่วนมากก็จะเป็นสินค้าจำพวกของตกแต่ง เครื่องเงิน ของหรู ๆ ที่ราคาก็หรูตาม กิลด์คาราทอยเป็นกิลด์จากแคว้นฟาวาเรียที่เข้ามาตั้งสาขาอยู่ในเมืองนี้ นำเข้าสินค้าจากแคว้นฟาวาเรีย ส่วนมากก็จะเป็นเครื่องเรือนทำจากไม้พื้นเมืองและกิลด์ทาทาริน กิลด์ที่ใหญ่ที่สุดและทรงอำนาจที่สุดในเมือง ถือครองตลาดร้อยละสี่สิบของเมือง นำเข้าสินค้าจากเมืองหลวงแทบทุกประเภท แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเป็นกิลด์เดียวที่มีร้านทองคำและอัญมณี แทบจะผูกขาดตลาดของสินค้าประเภทนี้ไปทั้งหมด และดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจกับผลึกเวทอยู่พอสมควร แม้ว่าจะเป็นสินค้าควบคุมก็ตาม ภายหลัง ซาโซริก็เล่าให้เราฟังว่าสามกิลด์ที่ว่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวกับธุรกิจสกปรกไม่ได้ต่างจากกิลด์บาซาริคแม้แต่น้อย พวกคูราริ นำของเก่า ๆ ถูก ๆ มาย้อมแมวขายในราคาแพงเกินจริง ปรุงแต่งเรื่องราวรังสรรค์ให้ขยะมีมูลค่าเท่าทองคำ เครื่องเงินก็เป็นของจริงบ้าง ใช้แร่ที่ถูกกว่ามาย้อมแมวว่าเป็นแร่ที่มีค่าบ้าง ไม่ก็ยัดไส้ในด้วยแร่ถูก ๆ หนำซ้ำยังเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ จับคนต่างถิ่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ไปเป็นทาสกามอารมณ์ให้พวกเศรษฐี พวกคาราทอยก็เช่นเดียวกัน ที่มักนำไม้คุณภาพต่ำมาปั้นน้ำเป็นตัวว่าเป็นไม้คุณภาพดี ลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมายจากถิ่นเก่าของตนเข้ามา บ้างก็ใช้เป็นแรงงาน บ้างก็เกณฑ์มาเป็นนักรบ บังคับให้ทำงานโดยใช้ครอบครัวของพวกเขาเป็นตัวประกัน ใครคิดหนีหรือต่อต้านก็มักจะพบกับจุดจบที่ไม่สวยและเคราะห์ร้ายนั้นก็มักจะลามไปหาครอบครัวที่ไม่รู้เรื่องด้วย มีบางกรณีที่พวกแรงงานพวกนี้หนีไปได้ ก็กลายเป็นพวกอาชญากรตัวอันตรายที่เล็ดลอดเงื้อมมือของทางการไปได้บ่อย ๆ และท้ายสุดพวกทาทาริน พวกนี้หน้าฉากเป็นกิลด์พ่อค้าขนาดใหญ่ที่นำเข้าสินค้ามากมายหลายชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่าทุ่มตลาดจนพาลพากิลด์คู่แข่งต้องล่มจมกันมานักต่อนัก แต่เบื้องหลังค้าของเถื่อน ยาเสพติด ค้ามนุษย์และอาวุธ รวมไปถึงปืนซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามสูงสุด ผูกขาดตลาดอัญมณีและทองคำและลักลอบค้าขายผลึกเวทมนตร์ อืม.. แต่ละกิลด์ก็ใช่ย่อยกันทั้งนั้นเลย น่าแปลกใจว่าทำไมทางการถึงไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ ทั้ง ๆ ที่ก็แหกกฎหมายกันซะขนาดนี้
หลังเปิดศึกของจริง ยังไม่ทันที่เราจะได้กลับไปยังสำนักงาน ก็มีกลุ่มนักรบกลุ่มใหญ่พุ่งเข้าโจมตีเราจากที่ด้านหน้า โดยมีอีกหลายกลุ่มปิดทางด้านข้างและด้านหลังเราไว้ พวกเขาล้วนแล้วแต่สวมเกราะและถืออาวุธครบมือ ตามแขนขามีร่องรอยของแผลเป็นอันเป็นความภาคภูมิของนักรบที่ผ่านศึกมาแล้ว คราวนี้เราไม่อาจจะเอาชนะได้อย่างง่ายดายได้ดังเดิม การเข้าปะทะของพวกเขารุนแรงและมีแบบแผน ซ้ำยังเสียเปรียบเรื่องของจำนวน ซาโซริที่เห็นท่าไม่ดีก็จึงชูดาบเวทมนตร์ขึ้น แล้วฟาดไปยังศัตรูที่ปิดซอยทางด้านซ้ายอยู่ เปิดโอกาสให้พวกเราได้ถอยร่นไปตั้งหลัก ระหว่างที่กำลังหนี ผมก็ได้ยินเสียงปืนขึ้นมาหลายนัดก็จึงหันไปมอง ก็พบว่าเป็นศัตรูที่อยู่บนหลังคาพร้อมไรเฟิลจำนวนหลายสิบคน กระจายกันอยู่ทั่วทั้งสองข้างถนน เคราะห์ดีที่ซาโซริเปิดทางให้เราหนีเข้าซอยเล็ก ๆ ด้านข้าง เราก็จึงรอดพ้นการสังหารหมู่ที่ถนนนั้นมาได้ แต่ที่ด้านหน้าก็มีศัตรูกลุ่มหนึ่งตั้งแถวรอเราอยู่ ห้าคนเล็งไรเฟิลมาใส่เรา มีคนหนึ่งคอยให้สัญญาณ ทันทีที่ซาโซริเห็น เธอก็รีบสั่งให้ทุกคนชะลอฝีเท้า ส่วนเธอรีบวิ่งขึ้นมานำหน้า ง้างดาบขึ้นมา รอจังหวะที่พวกเขาจะยิง เธอก็ชิงปล่อยคลื่นเวทลมเข้าปะทะ ปัดกระสุนให้กระจายไปทางอื่น ยกปืนกลมือขึ้นมาด้วยมือซ้ายข้างเดียวแล้วกราดยิงคืนพวกเขาไปชุดใหญ่ เมื่อกำจัดอุปสรรคที่ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็สั่งให้เรารีบวิ่งต่อ แต่ก่อนจะออกไปด้านนอกซอย เธอสั่งให้เราชะลอ รอเธอออกไปตรวจสอบก่อน เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูจากมุมที่ปลอดภัย เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีการซุ่มโจมตีอีก เธอก็สั่งให้พวกเราวิ่งต่อ พวกเรากลับมายังสำนักงานได้อย่างปาฏิหาริย์ ซาวาริล้มเป็นลมไปทันทีที่เรากลับมาได้ ดูเหมือนนางจะเหนื่อยน่าดู วาเลนเซียร์กับอาราลิโดนยิง แต่ก็ไม่ถูกจุดสำคัญ ซาโซริกับยูนะช่วยกันปฐมพยาบาลจนเป็นที่เรียบร้อย วาเรียกับฮาบาริเป็นห่วงเรื่องสำนักงานถูกโจมตี แต่ซาโซริก็ตอบออกมาอย่างสบายใจว่า “พาเลนเต้กางอาณาเขตเวทมนตร์ปกป้องไว้แล้ว” ไม่ว่ามันจะหมายความว่าอะไรก็ตาม แต่ดูท่าสำนักงานแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสินะ
หลังมื้อเที่ยงที่ยูนะใช้แค่วัตถุดิบเท่าที่มีในสำนักงานมาทำ ซาโซริก็สั่งประชุมทันที วางแผนกลยุทธ์กันใหม่หลังจากเข้าสู่สงครามจริง เธอสั่งให้พาเลนเต้ทำอาวุธเวทมนตร์ให้วาเรีย วาเลนเซียร์และคนอื่น ๆ ที่เหลือ รวมไปถึงธนูของยูนะที่เธอขอไว้ก่อนหน้านี้ สั่งให้พวกเราร่วมกันฝึกการดึงพลังเวทจากอาวุธเวทมนตร์ ซาโซริขอให้พาเลนเต้ช่วยสอนแต่เธอปฏิเสธ ซาโซริก็ไม่ดึงดันอะไร แล้วข้ามไปเรื่องต่อไป จากนี้การเคลื่อนไหวของพวกเราต้องระมัดระวังมากขึ้น แม้ซาโซริจะมั่นใจว่าพวกเราต้องคว้าชัยมาได้ แต่เธอก็ไม่ประมาท การที่ศัตรูมีปืนก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคิดของเธอ เพียงแต่ไม่คิดว่าศัตรูจะนำมาใช้เร็วและโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้ เธอวางกลยุทธ์ใหม่สำหรับพวกฮาบาริ ให้ทั้งสามคนเป็นอีกหนึ่งชุดโจมตี แนะนำตำแหน่งหน้าที่ให้ทั้งสามคนนั้น เพื่อที่จะได้มีประสิทธิภาพมากพอจะสู้กันได้ด้วยกลุ่มของตัวเอง สองวันต่อมา การสร้างอาวุธเวทมนตร์ก็เป็นที่เรียบร้อย ซาโซริรับหน้าที่เป็นครูฝึก สอนให้พวกเราหัดดึงพลังเวท วาเรียและวาเลนเซียร์เรียนรู้อยู่ไม่นานก็สามารถทำได้ดี ดูเหมือนพลังเวทในตัวจะค่อนข้างแข็งแกร่งและประสานเข้ากับอาวุธได้ไม่ยาก ยูนะ ผมและฮาบาริ แม้จะได้ลงสนามจริงก่อน แต่ก็ยังต้องงมกันต่อไป และคงอีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะไปได้เท่าพวกวาเรีย อาราลิกับเอยาบิซ้ำร้าย ดูเหมือนคงอีกนาน กว่าที่พวกเขาจะดึงพลังเวทออกมาได้ ส่วนซาวาริเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับอาวุธเวทมนตร์ ดูเหมือนซาโซริจะตัดสินใจไม่นำเธอออกไปรบด้วย และสั่งให้คอยเฝ้าสำนักงานแทน ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว สำหรับตัวเธอเอง หลังจากวันนั้น การออกจากสำนักงานจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากซาโซริ หลัก ๆ ก็มีเพียงการออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ซึ่งส่วนมากก็เป็นยูนะกับซาวาริที่พยายามเปลี่ยนทรงผมและการแต่งตัวใหม่เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นคนของซาโซริค บางครั้ง ซาโซริก็ออกไปเดินสอดแนมด้วยภาพลักษณ์ที่น่าคิดถึง แต่งตัวดูเป็นผู้หญิง ใส่แว่นและทำผมหางม้าสั้นที่ดูมีเสน่ห์แบบแปลก ๆ และบางทีก็เป็นผมในชุดทหารเต็มยศของซาโซริ กลายเป็นจ่าสิบเอกยูคาริ คอยรับส่งเอกสาร เป็นตัวกลางระหว่างซาโซริกับค่ายทหาร ซึ่งทุกครั้งที่มาที่ค่าย ผมก็โดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่ตลอด ก็คงจะดูรู้แหละ ว่าคนอย่างผมกับยศจ่าสิบเอกมันไม่เข้ากัน ไม่ชินเลยแฮะ ให้ตายสิ และทุกครั้งที่ซาโซริอ่านจดหมายจากฝ่ายทหาร เธอก็มักจะมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอด น่ากังวลเอามาก ๆ
กลางเดือนพฤศจิกายนที่สงครามกำลังเร่าร้อนท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ลอบโจมตีคาราวานขบวนใหญ่ของทาทารินที่มีการคุ้มกันแน่นหนา เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่สินค้า แต่คือการทำลายความสบายใจในการค้าขายของพวกเขา พวกฮาบาริและวาเรียได้ปลดปล่อยสิ่งที่ฝึกฝนออกมาอย่างเต็มที่ ยูนะได้ใช้ธนูเวทมนตร์ยิงลูกศรเข้าทะลวงเกวียนเล่มแล้วเล่มเล่าจนไม่เหลือระหว่างที่ซาโซริคอยเก็บพวกโจมตีระยะไกล ไม่นานชัยชนะก็ตกเป็นของเราอย่างสวยงาม เป็นศึกครั้งแรกที่กิลด์ของเราออกรบด้วยอาวุธเวทมนตร์เต็มรูปแบบ และมันก็ได้สร้างความได้เปรียบให้แก่ฝ่ายเราเป็นอย่างมาก ซาโซริสั่งให้พวกฮาบาริไปฉกชิงเงินและของมีค่าเท่าที่จะหาได้ ให้พวกวาเรียและผมไปเก็บปืนและเครื่องกระสุนมาให้หมด อย่าให้เหลือ ได้ไรเฟิลมาแปดกระบอก กระสุนอีกเจ็ดสิบกว่านัด ซึ่งซาโซริก็นำไปเก็บไว้ที่ห้องของตนทั้งหมด ค่ำนั้น ซาโซริพาเราไปเลี้ยงมื้อค่ำที่ร้านแสงจันทร์ส่องทาง น่าเสียดายที่พาเลนเต้ปฏิเสธจะมาร่วมด้วย แม้จะเป็นการฉลอง แต่ซาโซริก็สั่งให้เราเตรียมตัวให้พร้อมรบทุกเมื่อ พวกก็จึงมากินมื้อค่ำในสภาพพร้อมรบ ผมกินไปก็ไม่รู้รสชาติ เพราะมัวแต่พะวงกับศัตรูที่ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน แต่มื้อค่ำก็จบลงโดยไม่มีใครมาเข้ามากวน อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางกลับเราก็ถูกโจมตีอีกครั้ง คราวนี้เป็นพวกโจรฝูงใหญ่เข้าลอบโจมตี แม้ว่าในเรื่องการต่อสู้เราจะเหนือกว่า แต่จากจำนวนที่ท่วมท้นของศัตรู ซาโซริก็จำต้องตัดสินใจถอย แต่จากจำนวนที่มากมาย ก็ทำให้เรามิอาจฝ่าแนววงล้อมออกไปได้ ก็จึงเหลือทางเดียว คือต้องสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้าง ซาโซริรัวกระสุนไปจนหมดแม็กกาซีน แต่พวกมันก็ยังคงถาโถมเข้าใส่อย่างไม่ยำเกรง ก้าวข้ามศพเพื่อนเข้าฟาดฟันใส่พวกเราด้วยแววตาอาฆาต ซึ่งดูผิดปกติมาก ๆ ปกติเมื่อโดนปืนยิงใส่ เป็นใครก็ต้องขวัญเสียกันทั้งนั้น นี่เล่นถาโถมเข้าใส่เหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย มันดูผิดปกติอย่างที่สุด ซาโซริพยายามฟาดดาบ สร้างแรงกระแทกจากเวทมนตร์หลายครั้งหลายครา แต่จากจำนวนที่หนาแน่นของศัตรู มันก็แทบจะไม่มีผลอะไร ในวิกฤติที่ความเป็นความตายเกิดขึ้นได้ในแค่เสี้ยววินาทีนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหลังแนวล้อมของศัตรู สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่ามากลุ่มคนอยู่สามคน คอยสาดอาวุธลงมาใส่พวกโจร หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ไอริเซ่ ยูคาริน หรือก็คือแมวดำต้องสาปยูคารินแห่งหมู่จันทร์ห้าเสี้ยวนั่นเอง
“ซาโซริค! เข้ามาในซอยนี้ให้ได้ เราจะคุ้มกันให้เอง!” ยูคารินตะโกนลงมาขณะชี้ไปยังซอยทางซ้ายของเรา
ซาโซริมองไปยังซอยที่ยูคารินบอก เนื่องจากไม่มีเวลาให้คิดมาก เธอก็ชี้ดาบไปยังซอยนั้นแล้วออกคำสั่งให้เราฝ่าไปให้ได้ วาเลนเซียร์พยายามเหวี่ยงขวานสองมือทลายแนวล้อมออกไปเป็นคนแรก ตามมาด้วยวาเรียและพวกฮาบาริที่คอยจัดการพวกที่เหลือที่ยังขวางอยู่ ไม่นานเราก็ฝ่าออกมาได้ แม้จะมีศัตรูตามมา พวกยูคารินที่อยู่ด้านบนก็คอยขัดขวางให้ จนในที่สุด พวกเราก็รอดจากหายนะนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
ในสวนสาธารณะที่เงียบสงบท่ามกลางความมืดที่หนาวเหน็บ มีเพียงไฟจากเสาไฟคอยให้ความสว่างอยู่ข้างทางเดิน กิลด์ซาโซริคและหมู่จันทร์หน้าเสี้ยวได้มาเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก แม้จะพึ่งได้รับการช่วยเหลือมา แต่ซาโซริก็ยังไม่เชื่อใจพวกเขา เอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่พวกเขายื่นมือเข้ามาช่วย รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการตอบแทน ยูคารินยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับมาแค่ว่าเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องสิ่งตอบแทน เพียงแต่บอกกับซาโซริว่าพรุ่งนี้จะส่งข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ไปให้ เมื่อหมดธุระกับซาโซริแล้ว ยูคารินหันมาทางผม “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ยูคาริ” พวกกิลด์ซาโซริคหันมามองผมด้วยความตกใจ ซาโซริเพ่งเล็งผมด้วยแววตาที่น่ากลัว ชนิดที่ผมไม่กล้าหันไปสบตา “ไม่คิดว่าจะกลายเป็นจอมโจรไปแล้วนะ ยูคาริน” ผมตอบกลับไป ยูคารินยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังให้พวกเรา “ลาก่อน จนกว่าจะได้พบกันใหม่” เธอพูด ก่อนจะพาพวกของเธอเดินหายไปในความมืดของสวนสาธารณะ
“นี่มันหมายความว่าไง ยูคาริ? ” ซาโซริพูดออกมาด้วยเสียงที่เรียบสงบ แต่ก็พอเดาได้ว่าเธอกำลังไม่พอใจมาก ๆ
“ยูคารินเป็นเพื่อนสมัยเรียนของผม เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ก็พึ่งจะรู้เหมือนกัน ว่าเธอคือหัวหน้าหมู่จันทร์หน้าเสี้ยว..” ผมหันไปมองซาโซริแล้วอธิบายออกมา
“ถ้าฉันจับได้ทีหลังว่าแกเป็นสายให้พวกนั้น ฉันจะจับแกกับเจ้าพวกนั้นทุกคนมาย่างกับซอสบาร์บีคิวแล้วโยนให้หมากินเสีย” ซาโซริพูด ก่อนจะพาพวกเราเดินกลับสำนักงาน ถึงผมจะไม่ได้เป็นสายอะไรก็เถอะ แต่ฟังแล้วเสียวสันหลังชะมัดเลย
เช้าวันต่อมา ระหว่างที่ซาวาริกับยูนะกำลังช่วยกันเตรียมมื้อเช้า ชินารินก็มาเคาะประตู เมื่อผมไปเปิดให้ เธอก็เดินเข้ามาหาซาโซริที่กำลังจิบกาแฟอยู่ ยื่นจดหมายให้กับเธอ ซาโซริไม่พูดอะไร หยิบจดหมายมาเปิดอ่านก็พบว่ามันมาจากยูคาริน “หน็อย! ยัยสายลับตัวน้อย” ซาโซริพูดแล้วยื่นช็อกโกแลตให้กับเธอ ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนกับชินารินเพื่อไม่ให้เธอกลัว อ่าว? ทำไมกับชินารินไม่โกรธอะไรเลยล่ะ? ชินารินรับมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะเดินออกมา “อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ ฉันเองก็อยากจะฝากจดหมายถึงยัยนั่นเหมือนกัน” ซาโซริพูด ชินารินหันมามองผมด้วยความลังเล ดูเหมือนเธอจะหิว แต่ก็กลัว ๆ ซาโซริอยู่ ผมก็จึงลูบหัวเธอ “ไม่เป็นไรหรอก กินข้าวด้วยกันดีกว่า” ได้ยินดังนั้น ชินารินก็ผ่อนคลายขึ้น และตกลงจะกินข้าวร่วมกับเรา ครู่หนึ่ง พวกฮาบาริก็เริ่มนำมื้อเช้ามาวางบนโต๊ะ ผมกับชินารินก็จึงเข้าไปช่วยจัดโต๊ะ เตรียมจานและช้อนส้อม ซาโซริเองก็รีบเขียนจดหมายให้เสร็จ แล้วนำมายื่นให้กับชินารินพร้อมกับเงินค่าขนมนิดหน่อย ซึ่งชินารินก็รับไปด้วยความยินดีแล้วนั่งกินข้าวเช้าร่วมกับเรา
“ใครจะไปคิดว่าชินารินน้อยก็เป็นสายลับให้กับเขาด้วย” ซาโซริบ่นออกมาขณะกำลังตักเนื้อสับผัด ทุกคนหันมามองด้วยความตกใจ ผมเองคาใจนิดหน่อย ตรงที่เธอพูดว่า “กับเขาด้วย” หมายความว่าไง? คิดว่าผมเป็นสายลับจริง ๆ เหรอ?
“พี่ยูคาริ.. ไม่ใช่พวกของเราหรอกค่ะ...” ชินารินพูดออกมา ไม่รู้ว่าปกป้องผม รึปกป้องตัวเอง
“งั้นรึ? ” ซาโซริหันมามองผม จ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปคุยกับคนอื่น ๆ “ดูเหมือนพวกกิลด์พ่อค้าจะส่งคำสั่งไปให้พวกโจรที่มันเลี้ยงเอาไว้ ตอนนี้พวกมันได้รวมกลุ่มกันแล้วร่วมใจกันตามล่าพวกเรา เอาเงินค่าหัวชนิดที่ว่าไม่ต้องปล้นก็อยู่สบายไปได้อีกนาน พวกกิลด์นักรบเองก็ถูกว่าจ้างให้คอยคุ้มกันพวกพ่อค้า บางส่วนก็ถูกจ้างมาตามล่าพวกเราอีกที อีกทั้งทางการก็ถูกคนจากกิลด์พ่อค้าไปกดดันให้เคลื่อนไหว ดูเหมือนเรากำลังจะถูกคนทั้งเมืองทุ่มทุกอย่างเข้าใส่จากทุกทางเลยล่ะ”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีครับ? ” วาเรียเอ่ยถาม
“ฉันอยากจะเตรียมการอะไรนิดหน่อย ก่อนจะกระโจมเข้าสงครามอีกรอบ การที่ได้พวกหมู่จันทร์ห้าเสี้ยวมาช่วย มันนอกเหนือแผนของฉันไปหน่อย แต่ก็คงจะช่วยให้เราทำอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น”
“เตรียมการ? ” วาเรียเอ่ยออกมาอย่างฉงน
“การเตรียมความพร้อมของพวกนาย ยืนยันท่าทีของหมู่จันทร์ห้าเสี้ยว ยืนยันท่าทีของทางการและหาข้อมูลเพิ่มอีกหน่อย สงครามน่ะ ยิ่งถือข้อมูลเหนือกว่าศัตรูได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งวางแผนการได้ง่าย” ซาโซริยกแก้วน้ำขึ้นมา มองไปยังแต่ละคน รวมไปถึงชินารินด้วย “มาชนะสงครามนี้ร่วมกันเถิด!” ซาโซริพูดขึ้นมาเสียงดัง พวกเราก็จึงคว้าแก้วของตนชูขึ้นตามแล้วโห่ร้องเรียกกำลังใจออกมา ซาโซริหันไปยิ้มให้ชินาริน “อย่าลืมถ่ายทอดข้อความนี้ให้ยูคารินด้วยนะ” เธอกล่าว ก่อนจะกินมื้อเช้าต่อ ชินารินเองก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะที่มองดูซาโซริประกาศจะคว้าชัยออกมาอย่างมั่นใจ
ชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งได้ลุกไหม้ ระเบิดความรุนแรงออกมาเป็นเพลิงแห่งสงคราม
และมันก็พึ่งจะเริ่มลุกโชนเท่านั้นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ