Sasoric Thieves Guild

-

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  6,287 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) A thief who was once get away with his crimes

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          หลังจากวันนั้น บรรยากาศในสำนักงานก็ไม่ได้ดีขึ้นมานัก ซาวาริกลับไปเป็นซาวาริที่ปั้นยิ้ม เก็บงำความช้ำใจไว้ภายใน ไม่เผยความรู้สึกจริง ๆ ออกมา ผมรู้ถึงความอึดอัดของเธอ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ฮาบารินับตั้งแต่วันที่เสียเพื่อนไปก็ดูเย็นชา ปลีกวิเวก ไม่พูดจากับใคร ดูท่าจะไม่ยกโทษให้ซาโซริง่าย ๆ ส่วนซาโซริเองก็ขังตัวอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็ออกไปข้างนอกแล้วกลับมาหลังมื้อเย็น ไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เหมือนกัน ส่วนสภาพในเมือง.. ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามที่ซาโซริคาดไว้ กองโจรที่ไร้ผู้นำก็แตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ก่อความวุ่นวายกันอย่างต่อเนื่อง ทางการพยายามใช้กำลังเข้าปราบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สุดท้ายก็ต้องประกาศกฎอัยการศึก ร้องขอให้ทางกองทัพเข้าช่วยเหลือ ซึ่งโซฟากุนอฟที่ไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดในเมืองก็จึงทำได้เพียงแค่จัดเวรยามรักษาการณ์ตามพื้นที่สำคัญ ๆ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยขึ้นมาได้บางจุด ทำให้ร้านค้าต่าง ๆ บนถนนเศรษฐกิจกลับมาเปิดได้อีกครั้ง กิลด์พ่อค้าและกิลด์นักรบก็จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไร ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ซาโซริคาดไว้ ตอนนี้ซาโซริเองก็คงจะเครียดน่าดู

 

          เนื่องจากบรรยากาศที่ดูตึงเครียดในห้องนั่งเล่น ผมก็จึงใช้เวลาส่วนมากในแต่ละวันอยู่แต่ในห้องตัวเอง พออยู่แต่ในห้องเกือบทั้งวันแบบนี้ มันก็ทำให้ผมย้อนนึกถึงไปสมัยที่ยังมีบ้านอยู่ เป็นลูกชายคนโตของข้าราชการสองคน โตมาโดยที่พวกเขาคาดหวังให้เป็นคนที่มีงานมีการที่ดี เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ครอบครัวได้ แต่สุดท้าย ก็เป็นได้แค่เด็กเหลวไหล โดนไล่ออกจากโรงเรียน หางานทำไม่ได้ อยู่บ้านเกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ ผลักความคาดหวังที่พ่อแม่เคยมีไปให้น้องสาวแบกรับแทน ซึ่งเธอก็ไม่ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง เรียนดีจนได้ไปเรียนต่อที่เมืองหลวง แต่แล้ว ก็ดูเหมือนอะไร ๆ มันจะยังไม่แย่พอ พระเจ้าก็เลยส่งโจรคนหนึ่งงัดเข้ามาในบ้านพวกเราในตอนที่ผมออกไปเดินเล่นที่ตลาด พ่อแม่ถูกฆ่าตาย ของมีค่าถูกชิงไปจนสิ้น เจ้าโจรนั่น สุดท้ายทางการก็ตามจับไม่ได้ น้องที่กำลังเรียนในเมืองหลวงก็ต้องใจจำกลับมาเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ จะขอทุนก็โดนพวกเด็กเส้นแย่งไปเรียบ โดนน้องเกลียดขี้หน้าเพราะปกป้องพ่อแม่ไม่ได้ บ้านก็โดนยึดเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนไร้บ้านแล้วก็มาเจอกับซาโซริ… พอย้อนดูแล้ว ชีวิตผมนี่ก็มีแต่ความผิดพลาดเหมือนกัน ก็คงไม่ใช่คนที่จะว่าอะไรซาโซริได้ละนะ จะว่าไปก็คิดถึงโยชิโนะจังเลยนะ แต่เธอคงไม่อยากเห็นหน้าผมเท่าไหร่…

 

          เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อผมเดินไปเปิดก็พบว่าเป็นซาโซริ เธอเข้ามาในห้องแล้วสั่งให้ปิดประตู ดูท่าเธอเองก็จะอึดอัดที่จะอยู่ที่ห้องนักเล่นเหมือนกัน เธอเดินตรงไปที่โต๊ะของผม วางซองเอกสารลงแล้วเรียกให้ผมมาอ่าน ผมก็จึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เธอ แล้วดึงเอกสารข้างในออกมาดู ก็พบว่ามันเป็นหมายจับของโจรคนหนึ่ง หมอนี่ชื่อ “ยาเรฟ” เป็นอาชญากรจากแคว้นฟาวาเรียที่กิลด์พ่อค้าคาราทอยพาเข้ามาใช้งานในเมืองนี้ มันสามารถหนีออกมาจากกิลด์ได้ และออกอาละวาดอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหลบหนีออกจากเมืองไปได้ ที่น่าสนใจคือช่วงเวลาที่มันก่อเหตุ ก็เป็นช่วงเดียวกันกับตอนที่บ้านผมถูกโจรเข้าบ้าน อืม… โอกาสที่จะเป็นคนเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ละนะ

“หมอนี่ถ้าดูจากเอกสารของทางการ ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่อาชญากรทั่ว ๆ ไป แต่เชื่อมั้ยว่าในบรรดาพวกโจรต่างก็ยกให้มันเป็นยอดฝีมือ ไม่ว่าจะทักษะการลอบเร้น การสะเดาะกุญแจ ล้วงกระเป๋า การลอบสังหาร ต่างก็เฉียบคมและไร้ที่ติ เป็นอาชญากรที่แม้แต่อาชญากรด้วยกันยังหวั่นกลัว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะมีปัญหากับมัน เพราะก็ไม่รู้ว่าวันไหน ที่มีดของมันจะมาปาดคอเข้าในสักวันหนึ่ง” ซาโซริพูดเสริมขณะที่ผมกำลังอ่านหน้าสุดท้าย

“ทำไมเอาของแบบนี้มาให้ผมดูรึ? ” ผมเอ่ยถามออกไป

“งานไงล่ะ แต่งานนี้ คงไปกันแค่เราสองคน” ซาโซริพูดออกมา หา? เอาจริงเหรอ?

“หา? ”

“งานนี้น่ะ เดิมที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะมากก็ทำไหว แต่จะให้ไปคนเดียวก็ดูท่าจะตรึงมือไปหน่อย จะพาพวกวาเรียไปด้วย ก็กลัวว่าฮาบาริจะทำอะไรลับหลัง จะให้พวกวาเรียไป แล้วให้นายเฝ้า นายก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ใช่รึไง? ”

“แล้วพาเลนเต้ล่ะ? ”

“คิดว่ายัยนั่นจะช่วยเรื่องหยุมหยิมแบบนี้รึไง? ”

“..นั่นสินะ..”

“ก็ตามนั้นล่ะ เตรียมตัวให้ไวเลย ฉันได้เบาะแสมาแล้ว เราจะไปล่าเจ้ายาเรฟกัน”

“แล้วเราจะไหวเหรอ ไปกันแค่สองคน? ”

“เอาเถอะน่า รีบเตรียมตัวเลย ให้ไว”

“งั้นเจ๊ไปรอผมข้างนอกก่อน เดี๋ยวตามออกไป”

ซาโซริได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปแต่โดยดี เฮ้อ.. อยู่ ๆ ก็มีงานมาให้ทำเฉยเลย

“จะไปไหนกันรึ ทั้งสองคน? ” วาเลนเซียร์ที่กำลังนั่งอยู่ เมื่อเห็นซาโซริแต่งตัวเต็มยศกับผม ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

ซาโซรินิ่งไปครู่สั้น ๆ ดูท่ากำลังคิดอยู่ ว่าจะตอบยังไงดี “ไปล่าโจรน่ะ” ซาโซริหันไปตอบ แล้วเดินออกจากสำนักงานไป

ผมหันไปมองวาเลนเซียร์ที่หันมามองผมพอดี “โชคดีนะ” เขาพูดกับผม ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น “ขอบใจนะ” ผมตอบกลับไป ก่อนจะเดินออกจากสำนักงาน ตามซาโซริไป

 

 

          ที่ร้านขายของชำไม่ไกลจากซอยที่เราอยู่ ชินารินและยูคารินยืนคุยกันอยู่ที่หน้าร้าน และทันทีที่เห็นพวกเรา พวกเธอก็เดินเข้ามาหา

ผมหันไปหาซาโซริทันทีที่เห็นสองคนนั้นเข้ามาหา “อะไร? ” ซาโซริหันมามองผม แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“สองคนนั้นไปด้วยเหรอ? ” ผมเอ่ยถามไป จ้องซาโซริอย่างไม่วางตาจนเธอหลบตาไปทางอื่น

“ใช่ บอกก่อนก็ไม่ประหลาดใจสิ จริงมั้ย? ” ซาโซริหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ข้อมูลส่วนหนึ่งได้ยูคารินช่วยเหลือมาน่ะ เธอยืนกรานว่าต้องให้พวกเธอไปกับเราด้วย เป็นข้อแลกเปลี่ยน”

“ชินารินด้วยเหรอ? ”

“ใช่ อันที่จริง ขึ้นอยู่กับชินารินเลยล่ะ ว่างานนี้จะสำเร็จรึเปล่า”

“หมายความว่าไง? ”

“เอาเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้เอง” ซาโซริตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปทักทายยูคารินและชินาริน

“ไง ยูคาริ เจอกันอีกแล้วนะ”

“ไง ยูคาริน คิดไงจะไปกับเรากันล่ะ”

ยูคารินยิ้มออกมา “ก็เป็นโอกาสที่ดีนี่ ที่จะได้เห็นพวกเธอออกล่าด้วยตาของฉันเอง”

“เธอก็ต้องช่วยเราด้วย อย่าลืมล่ะ” ซาโซริพูด ก่อนจะเดินนำพวกเราไป

“ค่า ๆ คุณหัวหน้า” ยูคารินพูดด้วยเสียงเนือย ๆ แล้วเดินตามซาโซริไป

ผมหันไปมองชินาริน เธอดูนิ่ง ๆ เหมือนทุกที แต่ก็พอเห็นความตื่นเต้น ในดวงตาของเธอ “ไปกันเถอะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้ชินาริน ยื่นมือเข้าไปหาเธอ ชินารินยกมือซ้ายมาจับมือผม แล้วพวกเราก็เดินตามยูคารินไปติด ๆ ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงอยากมาด้วย หรือเพราะอะไร ทำไมสองคนนั้นถึงยอมให้ชินารินมาด้วย ก็ช่างมันไปก่อน คำตอบก็คงจะอยู่ในจุดหมายของการเดินทางคราวนี้เป็นแน่

ซาโซริพาเราเดินเลี่ยงเส้นทางที่อาจจะมีคนที่จำหน้าพวกเราได้ อาศัยจังหวะคนพลุกพล่านในช่วงบ่าย ที่คนงานต่างวุ่นวายหลังพักเที่ยง พาพวกเราออกมานอกเมืองได้สำเร็จ โชคดีที่ทหารยามที่ประตูเมืองทิศใต้เป็นทหารใหม่ เลยไม่รู้จักซาโซริ เห็นแค่เป็นทหารยศสูงกว่าก็ปล่อยให้พวกเราผ่านไปได้ง่าย ๆ พวกเราเดินลงใต้ไปตามถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน ปะทะเข้ากับโจรกระจอกที่ดักซุ่มรอโจมตีเหยื่อที่ดูสู้ไหว ซึ่งพวกมันก็ต้องสิ้นใจในไม่ถึงนาที หลบเลี่ยงกิลด์นักรบที่กำลังเดินทาง เลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็น จนในที่สุด เราก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางใต้ของเมืองโซฟานอเรีย ซาโซริก็จึงหยุดพักกันก่อน แล้วเริ่มแจกแจงแผนการให้พวกเราฟัง

“คนบางคนคงอยากจะรู้แย่แล้ว ว่าทำไมชินารินมากับเราด้วย” ซาโซริพูดออกมาขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ร้านน้ำชา หยิบกาน้ำชาที่เจ้าของร้านนำมาเสิร์ฟรินใส่จอกแล้วยื่นให้แต่ละคน ยูคารินได้ยินดังนั้นก็หันมามองผม ยิ้มออกมาอย่างมีลับลมคมใน

“แล้วสรุปมันคืออะไรล่ะ? ” ผมพูดออกมา จ้องซาโซริตาเขม็ง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าของร้านนำอาหารมาเสิร์ฟ มันแบ่งเป็นจานเล็ก ๆ หลายจาน จานนึงมีไม่กี่ชิ้น รสชาติอร่อยดี ดูเหมือนทั้งชินารินและยูคารินเองก็ชอบมันเหมือนกัน

“ชินารินก็เหมือนกับนาย ที่ถูกโจรขึ้นบ้าน แล้วก็ต้องเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไป หนักกว่าหน่อยคือเธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ทางการจะจับโจรผู้ก่อเหตุนั้นไม่ได้ แต่จากการวิเคราะห์ที่เกิดเหตุ เป็นฝีมือของยาเรฟ ยูคาริ เรื่องบ้านนาย ฉันก็ไปหาข้อมูลมาแล้ว ไม่ผิดแน่ ก็เป็นฝีมือของยาเรฟเหมือนกัน” ซาโซรินิ่งไปครู่ หันไปมองออกไปด้านนอกร้าน “ฉันรู้จักกับแม่ของชินาริน เธอเคยเป็นทหารมาก่อน เป็นคนดี เป็นคนสำคัญของฉันคนนึง เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่แค่การล่าหัวจอมโจรธรรมดา ๆ นี่คือศึกล้างแค้น เราเอาคนตายกลับมาไม่ได้ แต่เราเอาความยุติธรรมไปส่งให้มันถึงเตียงได้ด้วยมือเราเอง” ได้ยินดังนั้น ผมก็หันไปมองชินาริน เธอเองก็มองมาหาผม แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เราก็สามารถสื่อความรู้สึกได้ถึงกัน

“ข่าวกรองชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในความช่วยเหลือสุดท้ายที่กองทัพมอบให้ก่อนจะตัดความสัมพันธ์กับฉัน เป็นข้อมูลของยาเรฟเท่าที่ฝ่ายข่าวกรองมีในมือ หนึ่งในนั้นคือพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งกบดาน ซึ่งจากข้อมูลเสริมที่ได้มาจากแหล่งข่าวของยูคาริน ก็ยืนยันได้ว่าเป็นถ้ำที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านนี้ ห่างไปไม่เกินยี่สิบกิโล” ซาโซริพักจิบชาก่อนจะพูดต่อ “ในรายงานที่ฉันได้รับ มีข้อมูลเกี่ยวกับยาเรฟมากพอสมควร แต่ดันไม่มีรูปภาพรึรายละเอียดรูปพรรณสัณฐานเลย ปรากฏว่าชินารินเป็นคนเดียวที่เคยเห็นหน้าของเจ้าหมอนั่น เพราะเหตุนี้ ฉันจึงจำเป็นต้องพาเธอมาชี้ตัว ทั้งฉันและยูคารินรู้ดีว่ามันอันตรายขนาดไหน แต่ก็จำเป็นต้องทำ” อีกครั้ง ที่ซาโซริพักจิมชา “แผนก็ไม่มีอะไรมาก พวกเราจะบุกเข้าถ้ำ จับยาเรฟมาสำเร็จโทษที่มันควรจะได้รับ เข้าใจมั้ย? ”

“อื้ม” ยูคารินตอบรับอย่างไม่ลังเล

“รับทราบ..” ผมตอบรับ

“ดี!” ซาโซริยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อก้มลงมาจะกินอาหารส่วนของเธอ ก็พบว่าหมดเกลี้ยงไปแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมามองค้อนพวกเราทีละคน ยูคารินแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมยิ้มแห้ง ๆ ให้ ส่วนชินารินไม่รู้เรื่อง ซาโซริไม่ได้พูดอะไรออกมา ลุกไปซื้ออาหารส่วนจากแม่ค้าเพิ่ม พร้อมทั้งแบ่งให้พวกเรากินกันคนละอัน ก่อนจะออกเดินทางต่อ มันเป็นขนมปังที่มีไส้หมูอยู่ข้างใน กินขณะร้อน ๆ แล้วอร่อยอย่างบอกไม่ถูก

“อร่อยมั้ย ชินาริน” ผมเอ่ยถามเธอไป

“อื้ม!” เธอพยักหน้า ขณะกำลังเคี้ยว ดูเหมือนเธอเองก็ชอบมันเอามาก ๆ ยูคารินที่อยู่ด้านหน้าของเราหันมามองพอดี ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะหันกลับไป ฟังซาโซริพูดอะไรไปเรื่อย ไม่น่าเชื่อ ว่าจะได้เห็นสองจอมโจรสาวแห่งโซฟานอเรียมาเดินคุยกันไปพลาง กินไปพลางอย่างนี้

 

 

          ไม่นาน เราก็มาถึงหน้าถ้ำอันเป็นแหล่งกบดานตามที่ซาโซริได้ข้อมูลมา เพียงแต่ข้อมูลของเธอนั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดไว้ ว่ามันเป็นค่ายของกิลด์โจรขนาดใหญ่ ดูเหมือนคงจะใช้แผนง่าย ๆ อย่างที่เคยพูดไว้ไม่ได้แล้ว ซาโซริหันมามองพวกเราด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก ดูเหมือนช่วงหลังซาโซริจะเริ่มมือตกแฮะ ไม่ก็ดวงตกเอามาก ๆ แต่อย่างไรเสีย พวกเราก็มาไกลเกินกว่าจะถอยไปตั้งหลักใหม่ ซาโซริมองสภาพโดยรอบค่ายอย่างรีบ ๆ ก่อนจะนำพวกเราแทรกซึมเข้าไปยังค่ายศัตรู ก็..หวังว่าทุกอย่างจะไม่แย่ลงไปกว่านี้นะ?

 

 

          พวกเราลอบเข้าไปภายในค่ายที่อยู่หน้าถ้ำ ยูคารินที่ชำนาญการลอบเร้นมากกว่าก็นำพวกเราแทนซาโซริ ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ หลบเลี่ยงศัตรูที่กำลังพักผ่อน แม้จะทุลักทุเลเล็กน้อย แต่พวกเราก็แอบเข้าไปภายในถ้ำได้อย่างสำเร็จ ภายในถ้ำที่ความสูงเลยหัวของพวกเราไปเล็กน้อย ถูกรังสรรค์ในเป็นโถงทางเดินที่มีตะเกียงคอยให้แสงสว่างตลอดทาง มีช่องทางแยกเต็มไปหมดแต่ไม่มีป้ายบอกทาง การตามหาคนคนหนึ่งในพื้นที่ชวนหลงแบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวยิ่ง เราเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ จากทางเดินแคบ ๆ ก็กลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีเส้นทางมากมายให้เราได้เลือกเดิน ระหว่างที่เรากำลังสับสน ก็ปรากฏชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องที่สอง เดินตรงเข้ามาทางเราพอดี ยูคารินที่หลบอยู่หลังกำบัง รอจังหวะเหมาะแล้วเข้าตะครุบอย่างรวดเร็ว อุดปากเขาในทันที ไม่ให้ได้ส่งเสียง ยูคารินลากหมอนั่นเข้ามาด้านในกำลังที่เธอหลบ ซาโซริเอาปืนกดหน้าผากของเขา ก่อนจะขู่ไม่ให้ส่งเสียง ก่อนจะถามว่ายาเรฟอยู่ไหน แล้วสั่งให้เขาชี้ทาง ซึ่งชายผู้รักชีวิตที่อยู่ในอาการหวาดกลัวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อได้คำตอบแล้ว ซาโซริก็จับหมอนั่นมัดมือมัดเท้า ปิดตา รัดปากเอาไว้ด้วยผ้าดิบ ทิ้งไว้ในมุมมืดแล้วนำพวกเราไปตามทางที่หมอนั่นชี้ ภายในเป็นโถงที่มีข้าวของเครื่องใช้มากมาย ไม่ว่าจะพวกเครื่องครัว ของตกแต่ง รูปปั้น รูปภาพ ถุงสัมภาระและกองข้าวของเต็มไปหมด และที่ข้าง ๆ ชั้นหนังสือ ก็ปรากฏว่าเป็นประตู? หือ? ประตู? ในถ้ำเนี่ยนะ? ดูเหมือนไม่ว่าอะไรจะอยู่ด้านหลังประตูแห่งนั้นต้องเป็นสิ่งสำคัญแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นของรึคน หรือจะให้พูดอีกนัยหนึ่ง ก็อาจจะเป็นห้องส่วนตัวของคนสำคัญ หรือก็คือไอ้เจ้ายาเรฟที่เรากำลังตามล่าอยู่ ก็เป็นได้ ยูคารินย่องเข้าไปใกล้ ๆ ประตูบานนั้น มือทั้งสองข้างกำดาบไว้แน่น เตรียมชักออกมา ซาโซริเองก็อยู่ข้างหลังยูคาริน รอสนับสนุนด้วยปืนของเธอ ส่วนผมก็กุมมือชินารินไว้แน่น อีกมือก็กำขวานเอาไว้ เผื่อว่าจะต้องเข้าสู้ด้วย ยูคารินย่องเข้าไปใกล้ ๆ เอื้อมมือไปค่อย ๆ บิดลูกบิดประตู มือเธอนิ่งจนผมแทบไม่ได้ยินเสียงลูกบิดขยับแม้แต่น้อย ดูท่าจะชำนาญการลอบเข้าบ้านคนน่าดู ยูคารินหันมามองซาโซริ เหมือนทั้งสองคนจะสื่อสารกันด้วยตาก็เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงออกมา อะไรจะเข้าใจกันง่ายขนาดนั้น ทันใดนั้น ยูคารินก็เปิดประตูพรวดเข้าไป ซาโซริพุ่งขึ้นไปข้างหน้าเธอ เล็งปืนเข้าไปด้านในห้อง เธอแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ เสียงของความวุ่นวายดังอยู่ครู่หนึ่ง และแล้ว ซาโซริก็เดินออกมาพร้อมกับชายคนหนึ่งที่ถูกมัดมือไพล่หลัง ถูกผ้าดิบรัดปากไว้ ไม่ให้ส่งเสียง

“หมอนี่หน้าตาคุ้น ๆ มั้ย ชินาริน? ” ซาโซริเอ่ยถาม แต่ชินารินดูจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ยูคารินก็จึงเดินไปหยิบตะเกียงในห้องมาส่องใส่ ๆ หน้าของชายคนนั้น แต่ชินารินก็ยังไม่ตอบอะไรออกมา หน้าของน้องดูเคร่งเครียด เพ่งมองชายคนนั้นอย่างตั้งใจ

“เอาผ้าออกก่อนดีมั้ย เผื่อชินารินจะได้ดูได้สะดวกหน่อย” ผมเอ่ยออกไป ซาโซริได้ยินดังนั้นก็ขู่ไม่ให้เจ้านั่นส่งเสียง แล้วคลายผ้าที่รัดปากออก ทุกครั้งที่เขาส่งเสียงออกมา พยายามจะโวยวาย ซาโซริก็ชกหน้าเขาแรง ๆ ไปทีหนึ่ง จนกว่าหมอนั่นจะหยุดส่งเสียง และก็ต้องขอบคุณหมัดแรงช้างของเธอ ที่ทำให้ชายที่ดื้อรั้นยอมเงียบปากลง หลังจากโดนชกไปสองที ชินารินพยายามเพ่งดูอีกครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจ ระหว่างที่ชินารินพยายามอย่างสุดความสามารถ ผมก็หันไปมองรอบ ๆ ห้อง ก็ไปสะดุดตาเข้ากับของชิ้นหนึ่งที่ซอนอยู่เข้า เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่ามันเป็นปืนไรเฟิล ก็จึงรีบเรียกซาโซริแล้วดึงมันออกมาให้เธอดู

“อ๊ะ!” ชินารินที่หันมามองก็ตกใจ “ปืนของแม่!” เธอชี้

“เธอแน่ใจรึ? ชินาริน ว่านั่นปืนของแม่เธอจริง ๆ ” ซาโซริเอ่ยถาม

“หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน….” ชินารินพูดออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง

ผมเดินถือปืนเข้ามาหาชายคนนั้น “แกคือยาเรฟใช่มั้ย? ” ผมเอ่ยถามออกไป เขานิ่งเงียบ หลบหน้าไปทางอื่น ก็นะ ไม่มีความจำเป็นต้องสารภาพความจริงนี่นา เมื่อมองดูดี ๆ เจ้านี่ก็ดูแต่งตัวดีไม่ใช่น้อย ที่ข้อมือทั้งสองข้างก็มีกำไรทอง สวมแหวนแทบครบทุกนิ้ว ดูท่าจะเป็นหนึ่งในพวกของที่ขโมยมาล่ะสิท่า ผมมองดูอยู่ไม่นาน ก็ไปสะดุดตาเข้ากับสร้อยคอของหมอนั่น มันคือสร้อยที่ดูคุ้นตา ก็จึงเอื้อมมือไปดึงออกมาจากคอของเจ้านั่น เอาสร้อยเส้นนั้นเข้ามาดูใกล้ ๆ อา มันช่างคุ้นตายิ่งนัก มันคือสร้อยล็อกเกตกรอบทองคำที่แม่ห้อยอยู่ตลอดเวลา ล็อกเกตที่พ่อซื้อให้แม่ในวันครบรอบแต่งงานปีที่สิบ ด้านหลังสลักอักษรตัวแรกของทั้งคู่ไว้ในสัญลักษณ์รูปหัวใจ น่าเสียดายที่รูปด้านในหายไปแล้ว ไม่ผิดแน่ เจ้านี่คือโจรคนนั้น คนที่ฆ่าพ่อแม่ของผม ไม่ผิดตัวแน่นอน

“รูปข้างในล็อกเกตนี้อยู่ไหน” ผมเอ่ยถามออกไป

“หา? ” เสียงของชายคนนั้นพูดขึ้นมา ราวกับไม่รู้เรื่อง ว่าตัวเองทำอะไรลงไป มันทำให้ความอดทนของผมมาถึงขีดสุด และไม่อาจจะทนต่อไปได้อีกแล้ว

ผมผละมือออกจากปืนไรเฟิล คว้าคอเสื้อของชายที่ทำลายชีวิตของผมขึ้นมา “ฉันถามว่ารูปในล็อกเกตอันนี้ แกเอามันไปไว้ไหนแล้ว!? รูปพ่อกับแม่ของฉันน่ะ ไอ้สวะ!” ผมตะคอกอัดหน้ามันไปสุดเสียง

“เผาทิ้งไปแล้วล่ะ” มันพูดออกมา แสยะยิ้มใส่ผมอย่างไม่เกรงกลัว ผมก็จึงซัดหน้ามันไปหมัดหนึ่ง แล้วเอ่ยถามคำถามเดิมออกไป ยูคารินเดินเข้ามากันผมออกจากยาเรฟ บอกให้ผมสงบสติอารมณ์ลงก่อน ผมหันไปมองก็พบว่าชินารินมองมาทางผมด้วยสีหน้าที่ตกใจมาก ๆ ส่วนซาโซริก็มองผมด้วยสีหน้าที่อารมณ์ไม่ดีนัก ผมก็จึงหลบตา หันไปมองทางอื่น กำล็อกเกตในมือไว้แน่น แม่ครับ ผมขอโทษที่ปกป้องแม่ไว้ไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย ลูกชายคนนี้จะล้างแค้นให้จงได้เลย…

“นี่วาระสุดท้ายของฉันต้องมาพลาดท่าให้ไอ้พวกกระจอกอย่างแกจริง ๆ รึเนี่ย? ” ยาเรฟถ่มน้ำลายแล้วพูดออกมาขณะมองมายังผม “เสียเงินไปเท่าไหร่ล่ะ ถึงได้ยัยแมวดำกับยัยแมงป่องนี่มาล่าฉันได้? หา!? ตอบมาสิ ไอ้ไก่อ่อน!”

“ให้ผมได้แก้แค้นเถอะ” ผมพูดออกไป ซาโซริหันมามองผม เธอยังคงดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่

“นายต้องการแบบนั้นรึ? ” ซาโซริพูด ผมไม่ตอบอะไรออกไป เดินไปยืนตรงหน้ายาเรฟ ควักเอาปืนพกออกมาจ่อไปที่ยาเรฟ เจ้าหมอนั่นเงยหน้าขึ้นมามองผม สีหน้าของมันไม่มีความกลัวอยู่แม้แต่น้อย แม้ว่าความตายกำลังรอมันอยู่ ช่างเป็นสีหน้าที่ชวนหงุดหงิดเสียจริง

“ยังไม่เคยฆ่าคนมาก่อนละสิท่า? สีหน้าแกมันบอก” ยาเรฟพูดออกมา “เอาสิ ไอ้ไก่อ่อน”

ผมที่กำลังโมโหไปกับคำยั่วยุของศัตรู นิ้วจ่อไว้ที่ไกปืนพร้อมจะลั่นกระสุนส่งมันไปตายให้จบ ๆ เรื่องไป แต่ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงชายเสื้ออยู่ เมื่อหันไปมอง ก็เป็นชินารินที่เป็นคนดึงชายเสื้อผมอยู่จริง ๆ สีหน้าเธอดูตื่นตระหนก คงจะน่ากลัวสินะ สำหรับเด็ก ก็แหงล่ะ คนกำลังจะฆ่าแกงกันตรงหน้านี่นะ ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ในใจผมที่กำลังร้อนเป็นไฟก็แอบหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ผมลดมือลง บอกให้ชินารินถอยไป ปิดตาไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็จบลง

“พอเถอะ ยูคาริ” ซาโซริพูดขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือผม ลดปืนลง “เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเถอะ” ซาโซริพูด ก่อนจะเอาผ้าดิบมารัดปากยาเรฟไว้เหมือนเดิม ถ้าเป็นคำสั่งของซาโซริ ผมก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง จะเก็บความแค้นเอาไว้ในใจแล้วมุ่งทำหน้าที่ของตนต่อไป

“แล้วข้าวของในนี้ล่ะ จะเอาไปด้วยมั้ย แล้วจะหนีออกไปยังไง ศัตรูเต็มไปหมด ไหนจะต้องเอาตัวไอ้เวรนี่กลับไปอีก? ”

“ยูคาริ นายน่ะคอยดูแลชินารินกับไรเฟิลนั่น แล้วก็ตามฉันมาก็พอ” ซาโซริคว้าคอเสื้อด้านหลังของยาเรฟแล้วสั่งให้เขาเดินตามที่เธอสั่ง ไม่งั้นจะตัดแขนตัดขา แล้วลากไปกับพื้น ซึ่งเขาก็ยอมแต่โดยดี

 

 

          ที่ก่อนถึงปากถ้ำ ซาโซริชำเลืองมองหาทางหนีทีไล่ที่ปลอดภัย แต่ก็ดูเหมือนความร้อนรนของเธอจะทำให้เธอประมาทไปเสียหน่อย ทำให้เธอมองไม่เห็นศัตรูที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเรา เมื่อซาโซริเห็นมันเข้าก็สายเกินกว่าจะแก้ไข มันตะโกนแล้วชี้มาทางที่เราอยู่ ไม่มีทางเลือก ซาโซริก็จำต้องรัวกระสุนใส่เจ้านั่นไปชุดหนึ่ง เสียงกระสุนลั่นไปทั่วทั้งค่าย และแล้ว จากการลอบเร้น ก็กลายเป็นวิบากกรรมการเอาตัวรอดจากกลางค่ายศัตรูในทันใด ซาโซริรีบหันมาบอกให้ผมหาจังหวะพาชินารินหนีไปที่หมู่บ้านโดยไวที่สุด ส่วนยูคารินก็ชักดาบออกมา เตรียมอาละวาดอย่างเต็มที่ เธอวิ่งเข้าใส่ศัตรูชุดแรกที่วิ่งเข้ามา ปะทะกับพวกมันด้วยตัวคนเดียวอย่างอาจหาญ ฟาดฟันดาบไร้ประกับเข้าใส่ศัตรูจนแดดิ้นชิ้นชีวี ซาโซริคอยยิงศัตรูจากระยะไกล เรียกความสนใจให้มาที่เธอ เปิดช่องให้ผมพาชินารินเล็ดลอดสายตาจากศัตรู หนีออกไปจากค่าย ผมสะพายไรเฟิลของแม่ชินารินไว้ข้างหลัง กุมมือชินารินไว้แน่น พาเธอวิ่งเข้าที่กำบังอำพรางสายตา ชะโงกหัวขึ้นไปหาทางไปที่ปลอดภัย แต่ชีวิตเจ้ากรรม ดันมีศัตรูคนหนึ่งหันมาเห็นผมเข้าพอดี ผมก็จึงต้องรีบพาชินารินหนีออกจากตรงนั้นโดยเร็ว แต่แล้วก็ไปไม่รอด ต้องเผชิญหน้าเข้ากับศัตรูคนที่เห็นผมเข้าจนได้ มันมองผมที่จับมือชินารินไว้แน่นก็รู้ได้ในทันทีว่าผมพยายามหนี ก็เดินมาขวางทางออกเอาไว้ ไม่รอให้มันเรียกพวก ผมผละมือออกจากชินาริน คว้าขวานขึ้นมา วิ่งเข้าใส่ศัตรูคนนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องเรียกว่าอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังจะเหมาะกว่า ผมพยายามเหวี่ยงขวานเข้าใส่ แต่มันก็กันไว้ได้ เมื่อถึงคราวที่เขาจะเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง หมอนั่นก็ตกใจอะไรบางอย่าง แล้ววิ่งหนีไป เมื่อหันหลังไปดู ก็พบว่าชินารินกำลังถือปืนพกของผมอยู่ ยกออกมาเล็งใส่เจ้าศัตรูคนนั้น มันก็จึงตกใจหนีไป เออแฮะ ใช้ปืนซะก็จบเรื่องนี่นา ว่าแต่ชินารินหยิบไปตอนไหน? เอาเถอะ ไม่มีเวลาจะถามแล้ว รีบหนีก่อนดีกว่า ผมยิ้มให้ชินาริน แล้วรีบคว้ามือเธอแล้วรีบเผ่นออกมาจากค่าย วิ่งหนีกลุ่มศัตรูที่เห็นเราแล้ววิ่งไล่หลังมา วิ่งหนีห่าลูกศรที่ยิงเข้าใส่พวกเราอย่างน่าหวาดเสียว เสียงฝีเท้าและการต่อสู้ยังคงดังไล่หลังเราอยู่ ไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดและเสียงปืนกลมือของซาโซริ ที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า เราสองคนวิ่งออกมา หนีไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดฝีเท้า จนในที่สุด ก็มาจนถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อหันกลับไปมองเพื่อให้สบายใจว่าไม่มีใครตามมา ก็เห็นควันไฟลอยสูงมาจากที่ด้านหลังของเรา และยังคงได้ยินเสียงระเบิดอีกประปราย พอสบายใจแล้ว ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที ก็นะ เล่นวิ่งไม่หยุดมาตั้งนาน

ผมหันไปมองชินารินที่กำลังหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากผม “ทุลักทุเลหน่อย แต่ก็สนุกดีเนอะ? ” ผมพูดออกมา

เธอเงยหน้าขึ้นมามองผม ไม่ตอบอะไร ยิ้มตอบกลับมาอย่างเดียว เป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสและเริงร่า ช่างน่าอิ่มเอมใจยิ่งนัก ผมจ้องมองเธอ พลอยยิ้มตามไปด้วย ชินารินกำลังมีความสุข และนั่นล่ะ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมไม่ลืมที่จะขอปืนคืน ไม่งั้นคงจะโดนซาโซริดุเอาทีหลัง ซึ่งชินารินก็คืนให้ด้วยความเต็มใจ ว่าแต่น้องแกหยิบเอาไปตอนไหนกันนะ? ให้ตายสิ

 

 

          ช่วงบ่ายนิด ๆ ซาโซริและยูคารินก็ขี่ม้าเข้าหมู่บ้านมาพร้อมกับยาเรฟที่โดนมัดอยู่ด้านหลัง ซาโซริยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เป็นสัญญาณของภารกิจที่จบลงด้วยดี ผู้คนในหมู่บ้านต่างเข้ามามุงดูพวกเธอ จ้องไปที่ยาเรฟที่สิ้นท่าแล้วกล่าวขอบคุณกับซาโซริกันยกใหญ่ ดูเหมือนเจ้าพวกนี้จะเข้ามาก่อเรื่องในหมู่บ้านอยู่หลายครั้งแล้ว สร้างความเดือดร้อนได้ไม่รู้จักจบสิ้นจริง ๆ นะ เจ้าพวกกิลด์โจรเนี่ย ไม่นาน พวกเราก็กลับเมืองกันด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ ผมแยกกับยูคารินและชินารินก่อนถึงประตูเมือง ยูคารินไม่เอาม้าไปด้วย เธอขอปืนของแม่ชินารินไป ซึ่งซาโซริก็ชั่งใจอยู่นาน แต่ก็ยอมให้เธอไป ซาโซริสั่งให้ผมไปขี่ม้าอีกตัวแทนแล้วพวกเราก็เข้าเมืองมาได้อย่างไม่ติดขัดอะไร เราแวะเอาม้าไปขายที่คอกม้า แล้วซาโซริก็พาผมและยาเรฟไปที่หน้าศาลากลางเมือง เธอเดินขึ้นไปบนลานเล็ก ๆ หน้าศาลากลาง ลากคอยาเรฟขึ้นไปด้วย สั่งให้เขานั่งคุกเข่าลง ส่วนเธอตะโกนเข้าไปด้านในศาลากลาง เรียกชื่อของเจ้าเมืองให้ออกมาหาเธอ เรียกได้ว่าดึงความสนใจของคนผ่านไปผ่านมาได้มากทีเดียว เรียกอยู่เกือบห้านาที แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนออกมาพบเธอ ซาโซริก็จึงหันมาหาฝูงชนที่มามุงดูเธออยู่ แนะนำตัวอย่างอาจหาญว่าตัวเธอนี่ล่ะ คือซาโซริแห่งกิลด์โจรซาโซริค วันนี้ได้พาจอมโจรยาเรฟผู้เก่งกาจกลับมาส่งให้ทางการตัดสินโทษ แต่ดูเหมือนคนข้างในจะไม่ต้องการ ยามรักษาการณ์เห็นท่าไม่ดี ก็เดินเข้ามาจะกันเธอออกไปจากศาลากลาง แต่ทันใดนั้น ซาโซริก็คว้าปืนออกมา ทำให้ยามและประชาชนแถวนั้นตกใจแล้วผละออกห่าง เธอหันกลับมาที่ยาเรฟ แล้วลั่นกระสุนออกไปชุดหนึ่ง เป็นกระสุนสี่นัดที่ดังลั่นไปทั่วทั้งเมือง ปิดฉากชีวิตจอมโจรที่เคยเล็ดลอดความยุติธรรมไปได้ ซาโซริใช้มือซ้ายล้วงกระเป๋าเอาซองเอกสารออกมา ดึงใบประวัติอาชญากรรมของยาเรฟที่ถูกกากบาทด้วยปากกาออกมาแล้วยื่นให้ยามที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะพาผมเดินออกมา ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า สีหน้าของซาโซริ ครึ่งหนึ่งก็ดูเย็นชา ครึ่งหนึ่งก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังสงบนิ่ง ราวกับสบายใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ผมเองก็ตกใจไม่ต่างจากชาวเมือง ไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรอุกอาจถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นก็แอบสะใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

          เรามาถึงสำนักงานหลังจากนั้นไม่นาน ก็พบว่าภายในสำนักงานนั้นดูเงียบผิดปกติ ซาโซริที่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ก็เดินอย่างรีบ ๆ ขึ้นไปไปเคาะประตูห้องของฮาบาริที่อยู่บนชั้นสอง แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ และเมื่อบิดลูกบิดดูก็พบว่าไม่ได้ล็อกไว้ เธอก็จึงเปิดเข้าไป และแล้ว เธอก็พบกับความว่างเปล่า ไร้วี่แววของสองคนนั้น เหลือเพียงสัมภาระเล็กน้อยกับพวกเสื้อผ้าที่กองไว้

“ไปแล้วล่ะครับ สองคนนั้น..” วาเลนเซียร์ที่นั่งอยู่ที่มุมเดิมกับเมื่อเช้าพูดออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ เมื่อเห็นซาโซริเดินลงมา

“ไปไหน? ” ซาโซริพูดออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ ฟังแล้วน่ากลัวเป็นพิเศษ

“ไม่ทราบครับ”

“ไม่ได้ถามรึ? ”

“ไม่ได้ถามครับ”

“แล้วแกก็ปล่อยพวกมันไปงั้นรึ? ”

“นกที่รั้นจะหนีออกจากกรงให้ได้ ต่อให้ครอบด้วยกรงเหล็กสิบหกชั้น มันก็จะออกโผได้ในสักวันอยู่ดีนั่นล่ะครับ”

ซาโซรินิ่งไป ก่อนจะรีบออกไปนอกสำนักงานอีกครั้ง ผมที่เป็นห่วงก็จึงตามออกไป ซาโซริตรงดิ่งไปยังสหภาพกิลด์พ่อค้าก็พบว่าสายไปเสียแล้ว ที่นั่น ที่กระดานจ้างงาน ที่ด้านบนที่เคยมีใบประกาศจับพวกเราชาวซาโซริค ใบประกาศจับของพวกฮาบาริทั้งสี่ได้ถูกปลดลงไปแล้ว ไม่ว่ามันจะหมายถึงอะไร ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา