Sasoric Thieves Guild
-
เขียนโดย Sasoric_Yukari
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.
7 chapter
1 วิจารณ์
6,301 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Shadow of the days
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ในเช้าของวันที่อากาศหนาวจนผ้าห่มเริ่มเอาไม่อยู่ ผมตื่นขึ้นมาจากฝันของวันร้าย ๆ ในอดีต วันที่ทั้งพ่อและแม่ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันที่น้องสาวที่เกลียดขี้หน้าผมมาตลอดประกาศตัดขาดกับผม มันเป็นวันที่ผมต้องสูญเสียชีวิตเดิมของผมไป.. ฝันร้ายนี้คอยหลอกหลอนผมอยู่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เกือบจะเป็นปีได้แล้ว ก็คงได้แต่หวังว่ามันจะเลิกรังควานผมในสักวันหนึ่ง...
หลังจากที่กิลด์ซาโซริคมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา กิจการของซาโซริคก็เติบโตขึ้นอย่างทันตา อาทิตย์ ๆ หนึ่ง เราสามารถรับภารกิจมาทำได้เกือบสามเท่าจากแต่ก่อน แถมยังได้พวกของฮาบาริมาดำเนินการค้าขายภายใต้คำสั่งของซาโซริ ซึ่งกำไรหนึ่งในสามต้องนำกลับมาให้กิลด์พร้อมกับทำบัญชีโดยละเอียด คนที่ตรวจเช็คตัวเลขก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผมเองนี่ล่ะ.. หลังจากวันนั้นมา งานหลัก ๆ ของผมคือการไปหางานที่เหมาะสมจากทั้งกระดานจ้างงานของสหภาพกิลด์พ่อค้า บางทีก็แวะไปดูที่สหภาพกิลด์นักรบและที่หน้าศาลากลางของเมือง แต่ละแห่งก็มีรูปแบบงานที่แตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือกองโจรที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้นได้เป็นภัยคุกคามตัวฉกาจของทั้งสามองค์กร งานปราบซ่องโจรมีมากเสียจนแม้จะจัดทีมย่อยสองทีมแบ่งกันทำก็ยังทำกันไม่หวาดไม่ไหว ค่าหัวของขุนโจรคนแล้วคนเล่าถูกแปะอยู่บนกระดานและงานคุ้มครองคาราวานที่มีให้ทำทุกวัน ใบประกาศรับสมัครสมาชิกกิลด์แปะกันจนล้นกระดาน กิลด์เล็กกิลด์น้อยก็พลอยหายไป บ้างก็ถูกกลืนไปกับกิลด์ใหญ่และบ้างก็ล่มสลายไปเพราะถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทาง ด้วยเหตุนี้ ผมจะสักแต่เลือกงานที่ให้เงินเยอะ ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่แลกด้วยชีวิตของคนในกิลด์ด้วย แต่ก็ดูเหมือนหลายคนจะไม่พอใจเท่าไหร่ เจ๊ซาโซริ บางครั้งก็มองว่าผมคิดมากไปเอง พวกวาเรียก็มองว่าผมขี้ขลาดเกินไป บางครั้งมันก็น่าน้อยใจเหมือนกัน
ในช่วงบ่ายของวันที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ผมนั่งเล่นในสวนสาธารณะ นั่งตากลมใต้ร่มไม้ คิดอะไรไปเรื่อย เอื้อมมือไปหยิบเบอร์เกอร์ในถุงกระดาษออกมาก แกะห่อกระดาษออกแล้วกัดลงไปบนขนมปังสอดไส้เนื้อและผักและซอส ผมได้ลิ้มรสมันครั้งแรกเมื่อสามสี่ปีก่อน หลังจากกัดเข้าไปคำแรก ผมก็หลงรักมันทันที เนื้อบดย่างเกรียม ๆ ราดด้วยซอสมะเขือ มัสตาร์ดและชีส ตกแต่งด้วยผักกาดและแตงกวาดอง อัดสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่ามาด้วยแผ่นขนมปังที่ย่างด้วยเวลาสั้น ๆ รสชาติของมันนั้นลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คงจะเป็นแตงกวาดองเปรี้ยว ๆ ที่รสชาติโดดเด่นมาก ๆ แต่ก็ดันเข้ากับอย่างอื่นได้ดี เป็นหนึ่งในอาหารที่ผมกินได้อย่างไม่มีวันเบื่อ
“มานั่งแทะเบอร์เกอร์อยู่นี่เอง ก็ว่าอยู่ว่าไปไหน” ระหว่างที่ผมกำลังเหม่อ ๆ ซาโซริที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็เข้ามานั่งข้าง ๆ ผม “ยังงอนเรื่องเมื่อเช้าอยู่เหรอ? ” เธอพูดออกมาขณะยื่นขวดโคล่ามาให้ผมหนึ่งขวด
ผมรับมา พึ่งรู้นะ ว่าเมืองนี้มีโคล่าแบบขวดด้วย “ไปซื้อร้านไหนมาล่ะเนี่ย” ผมเอ่ยถามไป
“พวกฮาบาริไปเห็นเข้าว่ามีร้านหนึ่งในเมืองเวียเรสเบิร์กขายโคล่าขวด ก็เลยลองซื้อมาจำนวนหนึ่งเพื่อเอามาตีตลาดที่นี่ดู ซาวาริรู้ว่านายชอบโคล่า ก็เลยขอให้ฉันแบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้นาย ฉันเลยแบ่งไว้ให้สองขวดน่ะ วางไว้ที่โต๊ะทำงานฉันนะ พวกนั้นซื้อมาไม่เยอะ เอาไปลองตีตลาดก่อน อ้อ! แล้วก็อย่าลืมไปขอบคุณพวกนั้นด้วยล่ะ”
“ขอบคุณครับ..”
“นายทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้ว ติดแต่ตรงว่าคิดมากไปหน่อยแค่นั้นล่ะ”
“ผมก็แค่เลือกงานที่ไม่เสี่ยงเกิน แล้วทั้งเจ๊และวาเรียก็บอกว่าผมคิดมากแล้วก็ขี้ขลาดเกินไป แล้วถ้าเกิดผมเลือกงานไม่ดีพอแล้วทำให้คนอื่นตายล่ะ ผมไม่ต้องอยู่ไปกับตราบาปตลอดชีวิตเลยรึ? ” ผมบ่นออกมาก่อนจะแทะเบอร์เกอร์ต่อ
“ฉันมอบหมายให้นายไปเลือกงาน ฉันต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจ ว่าจะส่งพวกเขาไปทำรึไม่ เพราะงั้น ตราบาปนั่นน่ะ เป็นของฉัน ไม่ใช่นาย ยูคาริ ยากเกินไปบ้างก็เป็นความท้าทาย นายไม่ใช่คนที่จะหยิบงานเดนตายมาโดยไม่รู้เรื่องหรอก ฉันเชื่อ” ซาโซริพูดแล้วตบบ่าผม ก่อนจะลุกขึ้น “ฉันไปธุระก่อนล่ะ ไว้เจอกันตอนเย็น” เธอพูด ก่อนจะเดินจากไป ส่วนผมเองก็กินเบอร์เกอร์จนหมด หาทางแงะฝาจีบของโคล่าอยู่พัก แล้วดื่มมันอย่างสะใจ เรอออกมาแล้วกลับเข้าสำนักงานไปทำหน้าที่ของตัวเอง
งานเอกสารเป็นงานยุ่งยากน่าเบื่อที่ซาโซริมักจะโยนมาให้ผมทำ ผมเองไม่ใช่คนเรียบร้อยอะไร หลายครั้งก็เขียนผิดบ้าง ทำผิดรูปแบบบ้าง ซาโซริมองปราดเดียวก็ขีด ๆ ด้วยปากกาแดงของเธอ วงจุดที่ผิดแล้วให้ผมไปแก้ใหม่บ่อย ๆ ให้ตาย อย่างกับทำงานส่งครูแน่ะ... ผมนั่งทำงานเอกสารอยู่ในห้องนั่งเล่นของสำนักงาน ไม่นาน อาราลิและเอยาบิก็เข้ามาเพื่อคุยธุระกับซาโซริซึ่งไม่อยู่ พวกเขาไถ่ถามว่าซาโซริได้ฝากจดหมายอะไรไว้ไหม ผมก็ส่ายหน้า พวกเขามองผมด้วยความผิดหวัง ก่อนจะไปนั่งรอที่โซฟาใกล้ ๆ แล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่เกรงใจคนนั่งทำงานอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย ครู่ต่อมา วาเลนเซียร์ก็เข้าสำนักงานมาอีกคน เอาเอกสารที่ซาโซริฝากไว้มาโยนใส่โต๊ะผม ก่อนจะไปนั่งใกล้ ๆ กับพวกอาราลิ แล้วก็เริ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน... ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดี ผมทนทำงานเอกสารจนเสร็จ ก่อนจะหยิบโค้กที่ซาโซริเก็บไว้ให้แล้วหนีเข้าไปพักในห้องตัวเอง นั่งวาดรูปเล่นสงบจิตสงบใจที่ว้าวุ่น ครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เมื่อเดินไปเปิดก็พบว่าเป็นซาวาริที่เอาขนมมาแบ่งให้
“ไม่ต้องเอาไปแบ่งมันหรอกน่า นั่นมันส่วนของเธอไม่ใช่เหรอ เธอจะใจดีเกินไปแล้ว ซาวาริ” เสียงนี้.. น่าจะอาราลิ หมอนี่เป็นพวกขวานผ่าซาก อยากพูดอะไรก็พูด ก็เห็นได้ชัดว่าเรียกผมด้วย “มัน” นี่ก็แสดงได้ถึงความเคารพกันขนาดไหน
ผมพยายามยิ้มให้ซาวาริ “เธอเก็บไว้กินเถอะ” ตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลที่สุด
เธอหันไปมองค้อนอาราลิ ก่อนจะกลับมายืนกรานจะมอบขนมนั้นให้กับผม ซึ่งผมก็ยอมแพ้และรับมันมาด้วยความปลาบปลื้มใจ จริงอย่างที่หมอนั่นว่า เธอใจดีเกินไป ซาวาริ.. ขอบคุณนะ
“ขอบใจนะ ขอบใจเรื่องโคล่าด้วยนะ อร่อยมากเลย” ผมถือโอกาสกล่าวขอบคุณเธอไป
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ พวกฮาบาริเองก็ขอแบ่งไว้ด้วยเหมือนกัน ได้ไว้คนละสองขวดแหน่ะ คุณซาโซริเองก็ใจดีเหมือนกันนะ” เธอก็ยิ้มแล้วตอบกลับมา ผมก็ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป “ไปก่อนนะ” เธอพูดแล้วเดินกลับไปยังวงสนทนาที่ยังคงคุยกันอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ ก็มากันจนครบแล้ว เว้นแต่ซาโซริคนเดียว ผมนำกล่องขนมมาวางที่โต๊ะ เปิดออกก็เห็นเป็นเค้กนุ่ม ๆ สีชมพู แม้จะไม่มีครีมแต่ก็อร่อยใช่เล่น นุ่มมาก หวานกำลังดี น่าดีใจเสียจริง... สักพักใหญ่ ๆ หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของความวุ่นวายที่ดังขึ้นผิดปกติมาจากด้านนอก ดูท่าซาโซริจะกลับมาแล้ว ผมก็จึงออกมาจากห้อง ก็พบว่าซาโซริกำลังยืนกอดอกคุยกับพวกนั้นด้วยท่าทีจริงจังอยู่
“โอ้! พอดีเลย มานี่เสีย ฉันจะได้พูดทีเดียว” ซาโซริเมื่อเห็นผมก็หันมาเรียก
“ไม่ต้องมีหมอนั่นเราก็ทำงานกันได้นี่ครับ” อาราลิพูดออกมาอย่างคึกคะนอง แล้วพวกก็หัวเราะออกมา
“ปากดีจังนะ ไอ้ตัวขี้เกียจ” ซาโซริพูดออกมาเบา ๆ แต่ทำเอาเขาเงียบได้ในทันตา อาราลิหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าไม่มีฮาบาริสักคน ฉันก็อยากรู้ว่านายจะทำอะไรได้บ้าง” ซาโซริพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“มีใครมีปัญหาอีกมั้ย? ” ซาโซริพูดแล้วหันไปรอบ ๆ “ดี! เข้าเรื่องเลยละกัน พรุ่งนี้เราจะบุกรังของพวกกิลลาริน อยู่ในป่าใกล้ ๆ เมืองนี่เอง เป้าหมายหลักคือจับตัวหัวหน้าที่คุมที่นั่นและรวบรวมข้อมูลเท่าที่จะหาได้ เป้าหมายรองคือจับเชลยเท่าที่จำเป็นและยึดข้าวของทุกอย่างเท่าที่จะขนกลับมาได้” ซาโซริหันมามองที่ผม “ยูคาริ อาราลิ เอยาบิ พวกนายคือกลุ่มสนับสนุน รอจับและเชลยและขนของ ฮาบาริ ซาวาริ เฝ้าเกวียน รอสัญญาณจากฉัน แต่ถ้าหากมีอะไรฉุกเฉินก็ให้ทิ้งเกวียนเข้ามาหาพวกเราได้เลย” เธอพูดก่อนจะหันไปหาพวกวาเรีย “วาเรียมากับฉัน เป็นชุดเข้าตีหนึ่ง บุกเข้าจับเป้าหมาย วาเลนเซียร์ ยูนะ เป็นชุดเข้าตีที่สอง สนับสนุนการเข้าตีและอาละวาด ดึงความสนใจ จับตัวเป้าหมายได้เมื่อไหร่ก็ล้างบางพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือ ทุกคนเข้าใจนะ? ”
“ครับ!” ผมตอบกลับอย่างฉะฉาน เฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
ซาโซริมองไปรอบ ๆ มองหน้าของแต่ละคนก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ดี! เจอกันที่นี่ พรุ่งนี้หกโมงเช้า แยกย้ายได้!” ทันทีที่เธอพูดเสร็จ พวกฮาบาริและวาเรียก็ชวนเธอไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ซาโซริปฏิเสธ พวกเขาก็จึงกล่าวลากับเธอแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน พวกฮาบาริมีบ้านของตัวเองอยู่แถบขอบเมือง ส่วนพวกวาเรียก็ไปอาศัยอยู่ที่โบสถ์ใกล้ ๆ ศาลากลางเมือง ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ก็ดี ที่นี่จะได้ไม่หนวกหูวุ่นวายมากนัก
“ฉันหิวแล้ว ไปซื้อข้าวกล่องให้หน่อยสิ” ซาโซริยื่นเงินมาให้ผมจำนวนหนึ่ง ก่อนจะไปนั่งลงหน้าโต๊ะที่ผมนั่งทำงานเมื่อช่วงบ่ายแล้วเริ่มตรวจเอกสารที่ผมทำ
“ไม่มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึ? ”
“ไม่ล่ะ อะไรก็ได้ อ้อ! ถ้าแวะร้านขนมข้าง ๆ ขออะไรหวาน ๆ มากินด้วยนะ” เธอพูดโดยไม่วางตาจากเอกสาร
“ได้เลย” ผมรับคำสั่งแล้วเดินออกจากสำนักงานไป
ในยามเย็นที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแสด แสงมัว ๆ พอให้มองทางได้สลัว ๆ โชคดีที่มีไฟถนนพอให้มองทางได้ถนัดตามากขึ้น ผมเดินออกไปสู่ถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายเล็กน้อยก็เจอเข้ากับร้านข้าวที่ใส่ในกล่องกระดาษแข็งสำหรับนำกลับบ้าน ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับข้าวสองกล่อง เดินเข้าร้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นร้านขนมแล้วซื้อเค้กช็อกโกแลตมาสองชิ้น ก่อนจะเดินกลับสำนักงานอย่างสบายใจ
“ยังมีผิดอยู่สามสี่จุด แต่ก็ดีขึ้นแล้วนะ ไหนได้อะไรมา? ” ซาโซริที่เห็นผมกลับมาพูด ขณะเอาเอกสารไปวางที่มุมอื่นของโต๊ะ ส่วนผมก็นำข้าวกล่องกับเค้กมาวางบนโต๊ะตรงหน้าเธอแทน ก่อนจะไปลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามของเธอ
“ข้าวหน้าหมูทอดน่ะ กับเค้กช็อกโกแลต” ผมพูดขณะเอากล่องข้าวออกมาจากถุงกระดาษสีน้ำตาล ยื่นกล่องแรกไปให้ซาโซริและอีกกล่องมาวางตรงหน้าผม
“อื้ม! ก็ดี” ซาโซริเปิดกล่องข้าวออกแล้วเริ่มกิน ผมเองก็นั่งลง กินข้าวของตัวเองไปเงียบ ๆ
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องเจ้าพวกนั้นหรอกนะ นายก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไป ถ้าพวกมันทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง ฉันจะจัดการให้เอง” ซาโซริมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุม
“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“มองหน้านายแวบเดียวก็รู้แล้วว่ากังวลอยู่”
“มันชัดขนาดนั้นเชียวรึ? ”
“ก็เคยบอกแล้วนี่ ว่าคนอย่างนายน่ะ มองออกง่ายจะตาย” ซาโซริตักเค้กขึ้นมาแล้วชี้มาที่ผม “ลูกกิลด์มีปัญหา หัวหน้าก็ต้องคอยดูแลสิ จริงมั้ย? ” เธอพูดก่อนจะกินเค้กต่อจนหมดแล้วเดินไปหาน้ำกิน ผมมองเจ๊แกเดินเข้าไปในห้องครัวขณะกินเค้กคำสุดท้ายของตัวเอง เก็บกล่องข้าวกับเค้กไปทิ้งก่อนจะเดินเข้าครัวไปกินน้ำบ้าง
“คืนนี้รีบเข้านอนเสีย พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” ซาโซริที่เดินออกมาจากห้องครัวพอดีก็กล่าวลากลับผม ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู ก็คงเข้าห้องไปนอนแล้วสินะ วันไหนยัยนั่นดูท่าทางเครียด ๆ ก็มักจะเป็นแบบนี้ ไม่แตะเหล้าเบียร์ พูดจาจริงจังไม่มีเล่น เข้านอนเร็ว มีหน้ามาว่าคนอื่นมองออกง่าย โถ่เจ๊... เอาเถอะ! ผมเองก็ควรไปนอนได้แล้ว..
รุ่งเช้าที่หนาวเหน็บของกลางเดือนตุลาคม กิลด์โจรซาโซริคเคลื่อนทัพออกมานอกเมืองโดยพรางตัวเป็นเกวียนพ่อค้า เดินทางได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ฮาบาริและซาวารินำเกวียนไปแอบไว้ข้างทาง รอสัญญาณอยู่เงียบ ๆ ส่วนกลุ่มสนับสนุนอย่างพวกผมก็ค่อย ๆ เดินตามซาโซริอย่างช้า ๆ ลึกเข้าไปในป่า ไม่นานก็เห็นค่ายขนาดใหญ่ของพวกโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า มีโรงเก็บของและโรงนอนราวกับเป็นชุมชนขนาดย่อม ๆ อีกทั้งเกวียนหลายเล่มที่จอดรอเอาของลง ดูเหมือนกำลังจะขนของเข้าไปข้างในถ้ำกันอยู่ ก็น่าจะเป็นของที่ขโมยมา พวกเรากลุ่มสนับสนุนก็รอคอยจังหวะอยู่ในพุ่มไม้ ขณะที่ซาโซริและพวกวาเรียกระโดดออกจากที่ซ่อนเข้าไปบรรเลงบทเพลงแห่งความตาย การจู่โจมชั่วพริบตาก็ดูเหมือนจะเขย่าขวัญกำลังใจศัตรูได้เป็นอย่างดี พวกโจรขวัญเสียต่างพากันวิ่งหนีอย่างไม่เป็นท่า ทิ้งข้าวของที่กำลังเคลื่อนย้ายไว้กับพื้นแล้วหนีเอาตัวรอด ซาโซริกับวาเรียวิ่งตรงเข้าไปในถ้ำ ปล่อยให้วาเลนเซียร์กับยูนะอาละวาดต่ออย่างเต็มที่ ส่วนผมก็เห็นว่าได้โอกาสแล้ว ก็วิ่งเข้าไปคุ้ยหาของที่ดูจะสำคัญในโรงเก็บของกลางแจ้ง แต่ก็ตามที่คิด ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ อาราลิก็คุ้ยหาของมีค่าไปพลางบ่นไปพลาง ดูเหมือนหมอนี่จะหยุดปากไม่ค่อยได้ ส่วนเอยาบิไปดูของตามเกวียนที่พวกโจรทิ้งไว้ ไม่นานนัก เจ้าบ้านก็กลับมาอีกพร้อมกำลังเสริม แต่วาเลนเซียร์ผู้อาจหาญก็ยังคงหยัดยืนสู้กับศัตรูนับสิบได้อย่างไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเข้าช่วยเหลือ เหวี่ยงขวานศึกสองมือเข้าฟาดฟันใส่ศัตรูคนแล้วคนเล่าอย่างรุนแรงโดยมียูนะคอยยิงธนูสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เห็นดังนั้นผมก็จึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป
“อาราลิ ถ้าเห็นพวกเอกสารก็ส่งมาให้ฉันนะ”
“เออ! รู้น่า” หมอนั่นตอบกลับในทันที ฟังดูก็รู้ว่าตอบส่ง ๆ แต่ก็ช่างแม่งมันเถอะ
ไม่นาน ซาโซริก็ออกมาพร้อมกับเชลยคนหนึ่งที่ถูกผ้าคลุมหัว เธอส่งสัญญาณให้พวกผมเข้าไปขนของมีค่าข้างในออกมาขณะเดียวกันก็หยิบปืนหน้าตาแปลก ๆ มายิงขึ้นฟ้า ก็ปรากฏว่าเป็นปืนยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกให้ฮาบารินำเกวียนเข้ามาในพื้นที่ ทั้งผมและพวกฮาบาริช่วยกันขนของเท่าที่เกวียนจะรับไหว ช่างน้ำหนักและชั่งใจว่าจะเลือกเอาอะไรไปแล้วทิ้งอะไรไว้ เมื่อขนของขึ้นเกวียนเสร็จ ซาโซริก็ปิดฉากการบุกในวันนี้ด้วยการโยนระเบิดมือทำลายเกวียนทุกเล่มที่จอดอยู่ โยนระเบิดแรงสูงเข้าไปภายในถ้ำ แรงระเบิดของมันมากพอที่จะทำให้หินด้านบนถล่มลงมาปิดปากถ้ำจนมิด นี่ถ้าไม่ใช่ว่าค่ายนี้ติดกับป่า เธอก็คงหมายจะเผามันให้วอดวายเป็นแน่ หลังจากทำการเยี่ยมเยือนรังโจรเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ซาโซริที่รู้ว่าจะต้องมีการดักซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับเป็นแน่ ก็ยอมใช้เส้นทางที่อ้อมไกลกว่าเพื่อเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น และแล้ว สามชั่วโมงให้หลังการต่อสู้ พวกเราก็กลับโซฟานอเรียได้โดยสวัสดิภาพ
ที่ประตูเมืองทิศเหนือ ซาโซริมอบเงินเป็นค่าแรงก่อนจะสั่งให้พวกฮาบารินำของที่ยึดมาได้ไปเก็บในสำนักงานพร้อมกับพวกวาเรีย จากนั้นก็แยกย้ายไปพักผ่อนได้ แล้วมาประชุมกันอีกครั้งในตอนเย็น ส่วนตัวเธอ ผมและคุณเชลยที่ยังคงถูกคลุมหัวอยู่จะแยกไปก่อนที่นี่ เมื่อแจงคำสั่งเสร็จ ซาโซริก็พาผมเดินเข้าไปข้างในค่ายทหารของกองพลที่สอง “โซฟากุนอฟ” ภายในนั้นผมสังเกตเห็นสีหน้าสองแบบที่แสดงออกมาเมื่อเห็นซาโซริ กลุ่มแรกเมื่อเห็นก็ตะเบ๊ะให้ด้วยสีหน้าซื่อ ๆ กับอีกกลุ่มที่มองด้วยความตื่นตะลึง เหมือนกับว่าไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ส่วนมากคนพวกหลังจะเป็นคนที่ค่อนข้างดูมีอายุ หรือดูก็รู้ว่าเป็นทหารมานานแล้ว ดูท่าเจ๊คนนี้จะไม่ธรรมดาจริง ๆ แฮะ...
“อ้าว! ซาโซริ ได้ตัวมาแล้วรึ? ” เสียงของชายวัยดึกคนหนึ่งดังมาจากด้านในห้องธุรการ ไม่นานเขาก็เดินออกจากห้อง เข้ามาหาเธอ
ซาโซริพยักหน้าทักทายให้ลุงคนนั้น “จับมาเมื่อเช้าเลยค่ะ คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยรับไปสอบสวนต่อด้วย”
“ตามมาสิ” คุณลุงคนนั้นพูด ก่อนจะเดินนำพวกเราลึกเข้าไปภายในค่ายจนมาถึงอาคารเก่า ๆ หลังหนึ่งที่มีทหารสองสามคนยืนคุมที่ทางเข้าอยู่ ทันทีที่เห็นพวกเรา พวกเขาก็ยืนตรงทำความเคารพอย่างดุดัน หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหาผมที่คุมตัวเชลยไว้อยู่
“เราจะดูแลให้เอง” เขาพูดกับผม ผมหันไปหาซาโซริ เธอพยักหน้าเล็กน้อย ผมก็จึงส่งมอบเชลยให้ชายคนนั้นไป
“เดี๋ยวฉันจะให้พวกนายทหารสอบสวนอย่างเข้มข้นเลย แล้วถ้าได้เรื่องอย่างไร ฉันจะส่งข่าวให้อีกทีนะ” คุณลุงคนนั้นพูดขึ้นมา มองไปยังซาโซริด้วยท่าทีสุขุม “ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องให้เธอทำงานให้เราอีก ปลดประจำการไปแล้วแท้ ๆ ”
ซาโซริส่ายหน้า “คิดเสียว่าแลกเปลี่ยนกันเป็นธุรกิจก็ได้ค่ะ” เธอพูดแล้วตบปืนกลมือของเธอเบา ๆ
“หึ!” ลุงยิ้มเยาะออกมา “นั่นสินะ...” พูดเสร็จ ลุงแกก็เดินตามชายที่คุมเชลยคนนั้นเข้าไปในอาคาร
“เอาไงต่อล่ะ? ” ผมหันไปถามซาโซริ
เธอยิ้มออกมา “ตามมาสิ” เธอพูดก่อนจะเดินออกมาจากอาคารที่ดูน่ากลัวหลังนั้น แล้วนำผมไปยังจุดหมายต่อไปของเธอ
ซาโซริพาผมมายังอีกอาคารหนึ่งที่มีคนคุ้มกันแน่นหนากว่าเดิม เธอเดินเข้าไปข้างในได้อย่างไม่มีปัญหา ในขณะที่ผมถูกห้ามเข้า ซาโซริจึงหันกลับมาคุยกับผู้ดูแล ผมก็จึงได้เข้ามา ภายในนั้นมีห้องที่ถูกล็อกด้วยกุญแจอย่างแน่นหนาอยู่หลายห้อง เดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก็เจอห้องหนึ่งที่เปิดประตูเอาไว้ ภายในเป็นนายทหารสองคนที่กำลังง่วนกับงานเอกสารกันอยู่ เมื่อเห็นซาโซริเดินเข้ามา พวกเขาก็ทักทายเธอราวกับว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี
“วันนี้เอาอะไรบ้างล่ะ? ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“ระเบิดมือซักครึ่งโหล กระสุนของเอ็มพีสี่สิบชุดใหญ่ซักชุดหนึ่ง แล้วก็ตับกระสุนของเมาเซอร์ ซีเก้าสิบหกสักห้าชุดนะ” ซาโซริพูดก่อนจะเดินไปดูปืนกระบอกหนึ่งที่วางอยู่แถว ๆ นั้น เป็นปืนที่ดูสวยแปลกตาใช่เล่นเลย
“หา? ทำไมคราวนี้เอากระสุนปืนพกด้วยล่ะ? ”
“จะงกไปทำไม อย่างไรเสียก็มีล้นคลังอยู่แล้วนี่”
“เฮ้อ~ คุยกับเธอนี่น่าปวดหัวจริง ๆ ” ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัวออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องกระสุนมาวางบนโต๊ะให้ซาโซริ แต่ดูเหมือนเธอจะกำลังให้ความสนใจกับปืนกระบอกนั้นอยู่ “อย่าเลย นั่นน่ะของใหม่ จำนวนต้องเป๊ะตามรายการนะยะ!” เธอพูดแล้วมองแรงไปยังซาโซริ
“ไม่ล่ะ ฉันยังติดใจเจ้านี่อยู่” ซาโซริพูดแล้วตบปืนกลมือของเธออีกครั้ง
“จ้า ๆ ระเบิดมือหยิบเอาในลังข้างหลังได้เลย มีอะไรอยากได้อีกมั้ย? ”
“ไม่ล่ะ เอาแค่นี้ก่อน ไม่อยากให้มันผิดสังเกตไปเกินจำเป็น” ซาโซริพูดก่อนจะหยิบของทั้งหมดบนโต๊ะมาใส่กระเป๋า หันหลังไปหยิบระเบิดมือมาใส่กระเป๋าเพิ่ม ก่อนจะยื่นมันมาให้ผมแบก โอ้โห! หนักใส่เล่นเลยนะ “ไว้เจอกัน ยัยเคโกะ” ซาโซริโบกมือกล่าวลา
“จ้า ๆ ไว้เจอกัน” ผู้หญิงคนนั้นลาแบบส่ง ๆ ก่อนจะง่วนกับงานเอกสารของเธอต่อ
“มิน่า ทำไมถึงได้มีกระสุนไว้ยิงโจรเรื่อย ๆ มาเติมของที่กองทัพนี่เอง” ผมหันไปพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ยื่นหมูยื่นแมวไง ฉันมีสิ่งที่พวกเขายื่นมือไปทำเองไม่ได้ ส่วนพวกเขาก็มีทรัพยากรอย่างที่ฉันไม่มี” ซาโซริพูดไปเดินไปขณะที่เหม่อมองไปทางขวา จ้องไปที่บันไดของอาคารธุรการ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“พี่ซาโซริ? ” เสียงอันคุ้นเคยของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากที่ด้านหลังของพวกเรา เมื่อหันกลับไปมองก็... โอ้! น้องสาวของผมเอง... โอ๊ะ เมื่อเห็นว่าเป็นผม โยชิโนะก็มีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ว่าแต่เธอกับซาโซริรู้จักกันรึนี่? แต่พอมาคิด ๆ แล้ว ก็เป็นทหารเหมือนกันนี่นะ จะรู้จักกันก็ไม่น่าแปลก มั้งนะ? เมื่อซาโซริหันไปมอง โยชิโนะมีท่าทีตกใจเล็กน้อย คงจะแปลกใจกับผ้าปิดตา ถ้าให้เดา ล่าสุดที่ทั้งสองคนนี้เจอกัน ซาโซริคงยังไม่ได้เสียตาข้างนี้ไป
“โยชิโนะ!? ” ทั้งผมและซาโซริพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน ซาโซริที่ได้ยินผมเรียกชื่อเธอเหมือนก็หันมามองผมด้วยความตกใจ
“นายรู้จักเธอด้วยรึ? ”
“นั่นน้องฉันเอง...” ผมพูดออกมาเบา ๆ จ้องมองไปยังโยชิโนะที่กอดอก มองมายังผมด้วยแววตาเย็นชา จะว่าไป ก็พึ่งเคยเห็นเธอในชุดทหาร อา น้องพี่ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ
“ห๊ะ!? ” ซาโซริอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะมองไปยังโยชิโนะเพื่อยืนยันอีกที ซึ่งเธอก็พยักหน้ายอมรับ
“ช่างหมอนี่เถอะ พี่ซาโซริเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ส่งข่าวคราวอะไรมาเลย ฉันเป็นห่วงแทบแย่” เธอพูดแล้วเดินเข้ามาหาซาโซริ มองเธออย่างเป็นห่วงเป็นใย ดูแล้วก็น่ารักมิใช่หยอก
“ขอโทษนะ โยชิโนะ พอดีมีอะไรหลาย ๆ อย่างน่ะ..”
“แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่รึ ทำไมยังใส่เครื่องแบบอยู่ล่ะ ปลดออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้น? ” เธอดูซักไซ้เป็นพิเศษ ดูท่าสองคนนี้คงจะสนิทกัน
“ก็... มีอะไรนิดหน่อยล่ะนะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก แล้วก็ยินดีด้วยนะ ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นจ่าสิบตรี ฉันภูมิใจในตัวเธอนะ โยชิโนะ” ซาโซริพูดออกมาแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน โยชิโนะเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“อ่า...” ผมอ้าปาก กำลังจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเธอ แต่โยชิโนะหุบยิ้ม หันมามองผมอย่างเคืองแล้วไม่พูดอะไร กลับมาซักไซ้ซาโซริต่อ เธอเองก็ไปไม่ถูกเหมือนกันกับสถานการณ์ตรงหน้า พวกเธอทั้งสองคุยกันอยู่เกือบสิบนาที โยชิโนะก็ลากลับไป พร้อมทิ้งท้ายให้ซาโซริเขียนจดหมายมาหาเธอด้วย ซาโซริค่อย ๆ มองเธอเดินจากไปด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เศร้าสร้อย
ไม่นาน เราทั้งคู่ก็เดินออกมาจากค่ายทหาร พร้อมกับยุทโธปกรณ์เต็มกระเป๋า เราทั้งคู่เดินกลับสำนักงาน ซาโซรินำกระเป๋าอันตรายนั้นไปเก็บในห้องตัวเอง ก่อนจะออกมาชวนผมไปกินข้าว ระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากสำนักงานนั้น ก็ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิงสภาพมอมแมมยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้ว จ้องเขม็งมายังพวกเรา ผมที่บังเอิญไปสบตาเข้าแล้วไม่รู้จะทำตัวยังไงดีก็หันไปมองซาโซริด้วยความร้อนใจ เธอมองผม รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้า แล้วจึงออกหน้าแทนผม
“สาวน้อย มาทำอะไรที่หน้าบ้านฉันรึ? ” เธอพูดออกไปด้วยเสียงที่ฟังดูหวานหูกว่าตอนคุยกับผม แต่สาวน้อยคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ แถมมีท่าทีหวาดกลัว กับแม่สาวตาเดียวในชุดทหาร ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
“...ชื่ออะไรรึเรา? ” ซาโซริเดินเข้าไปใกล้ ๆ ยื่นมือเข้าไปหา แต่เธอก็ถอยห่างจากเธอ ยังคงนิ่งเงียบ เพียงแต่จ้องมองพวกเราด้วยแววตาบ้องแบ้วของเด็ก “ถ้าไม่อยากยุ่งด้วย งั้นเราก็ไปกันเถอะ ยูคาริ” ซาโซริถอยออกมาจากน้องแก หันกลับมาหาผม เตรียมจะไปกินข้าวกัน ทันใดนั้น เสียงร้องของท้องอันหิวโหยก็ดังมาจากที่ด้านหลังของซาโซริ เธอหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองน้องเงียบพร้อมกับยื่นมือไปหาเธออีกครั้ง “มาสิ ไปกินข้าวกัน” เด็กสาวผู้หวาดหวั่นคนนั้น เมื่อได้ยินคำชวนของซาโซริก็เดินออกมาจากที่แอบ ยื่นมือน้อย ๆ ของเธอไปจับมือซาโซริ แล้วเราทั้งสามก็ไปกินข้าวร่วมกัน
ที่ร้านอาหารใกล้ ๆ กับประตูเมืองทางเหนือ ภายในร้านมีการจัดองค์ประกอบแปลก ๆ ไปจากร้านอาหารทั่วไป ที่นี่นำครัวมาไว้ตรงกลาง ให้ลูกค้าได้ดูกรรมวิธีทำอาหารกันจะจะ ทั้งผมและน้องไร้ชื่อต่างก็ได้ "ข้าวผัดไฟลุก" ของขึ้นชื่อของที่นี่เป็นมื้อเที่ยง น้องแกดูท่าทางจะหิวมาก ๆ ใช้ช้อนตักคำแล้วคำเล่าเข้าปากอย่างรวดเร็ว ตาอันเป็นประกายของน้องแกนั้นยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู
“เจ๊ ขอเกี๊ยวซ่าทอดด้วยได้มั้ย? ” ผมหันไปขอสั่งอาหารเพิ่มกับซาโซริที่กำลังเอร็ดอร่อยกับเต้าหู้ผัดพริก
“หือ? เอาสิ สั่งสองเลย” ซาโซริพูดก่อนจะตักข้าวขึ้นมากิน ได้ยินดังนั้น ผมก็หันไปสั่งอาหารกับบริกรที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่นานมากนัก เกี๊ยวซ่าทอดกรอบ ๆ หอม ๆ สองจานก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้ผมและซาโซริ สาวน้อยคนเดิมมองมายังจานเกี๊ยวซ่าด้วยแววตาอันเป็นประกายที่น่าเอ็นดู แต่ไม่ยักกะเอื้อมมือมาเอาไป
“ลองกินดูสิ” ผมใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวซ่าชิ้นหนึ่งไปวางในจานข้าวผัดของเธอแล้วยิ้มให้ เธอมองผมด้วยสีหน้าที่ดีใจสุดขีด ก่อนจะกินเกี๊ยวซ่าชิ้นนั้นด้วยความสุขใจ
“เกิดอะไรขึ้นรึ? ระหว่างนายกับโยชิโนะ” ซาโซริเอ่ยถามออกมา จ้องผมด้วยความสนใจ
“เรามีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อย แล้วก็ทะเลาะกันเรื่อยมา จนวันนึง ที่ฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาด นับแต่นั้น เธอก็ประกาศตัดขาดกับผมน่ะ ผมเป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่อง เป็นลูกชายคนโตที่ห่วยแตก น้องสาวก็เลยต้องคอยรับภาระของพ่อแม่ ก็สมแล้วล่ะ ที่จะถูกเธอเกลียดขี้หน้าเอา” ผมพูดแล้วคีบเกี๊ยวซ่ามากิน เหม่อมองจานข้าวของตัวเอง ไม่สบตากับซาโซริ เธอเองก็นิ่งไป ไม่ถามอะไรต่อ
“กลับไป นายไปคัดซะ ว่าอะไรจะเก็บไว้ วันพรุ่งนี้ ฉันจะให้พวกฮาบาริเอาของที่เหลือไปขาย แล้วก็คุยกับแม่สาวซาวารินั่นเรื่องบัญชีดี ๆ ล่ะ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาแก้บัญชีทีหลังอีก” ซาโซริที่กินข้าวอิ่มแล้วหันมาสั่งงานก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ครับ ๆ ”
“เอ้า! แม่สาวน้อย ยังหิวอยู่มั้ย? ” ซาโซริก้มหน้าไปคุยกับสาวน้อยไร้ชื่อ เธอส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ออกมา
“งั้นเรากลับกันเถอะ” ซาโซริพูดขณะลูบหัวเธอ
“ขอบคุณนะคะ” สาวน้อยที่เงียบมาตลอด ในที่สุดก็พูดอะไรออกมา
ซาโซริมองเธอแล้วยิ้มให้ ก่อนจะจูงมือเธอไปจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน ผมเองก็เดินตามไปติด ๆ มองสองแม่ลูก (?) ด้วยความอิ่มเอมทั้งกายและใจ ไม่นาน เราสามคนเดินกลับมาจนถึงสำนักงาน ซาโซริก็สั่งให้ผมไปส่งสาวน้อยขณะที่เธอจะไปพักผ่อนหลังมื้อเที่ยง (งีบ)
“เรายังไม่รู้ชื่อกันเลยนะ” ผมย่อตัวลงนั่งยอง ๆ มองสาวน้อยตัวมอมแมมในระดับเดียวกัน “พี่ชื่อยูคาริ เราชื่ออะไรเอ่ย? ”
“....ชินาริน” เธอพูดออกมาเบา ๆ ขณะจ้องผมด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ
“ชินาริน...” ซาโซริที่กำลังจะเปิดประตูเข้าสำนักงานไปหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินชื่อของเธอ ซาโซริหันกลับมาหาชินาริน “นามสกุลล่ะ? ” พูดออกมาด้วยท่าทีตกใจ
“....วาชิซากะ..” ชินารินพูดขณะหลบหน้าซาโซริ ดูท่าเธอจะกลัวเจ๊แกซะแล้ว
“มีอะไรเหรอ ทำไมถึงได้ถามล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซาโซริหันมาตอบผม ก่อนจะหันกลับไปคุยกับชินารินต่อ “แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่แถวนี้ล่ะ บ้านอยู่ไหนรึ? ”
“ไม่มีแล้วล่ะ... ” ชินารินพูดแล้วก้มหน้าลง ก่อนจะวิ่งหนีไป เป็นคำตอบที่ฟังแล้วใจหายเอามาก ๆ ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกตอนที่สูญเสียทุกอย่างไป ผมกำลังจะวิ่งตามเธอไป แต่ทันใดนั้น ซาโซริก็สั่งห้ามผมเสียก่อน ก่อนจะเดินเข้าสำนักงานไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองชินารินที่วิ่งหนีไป ผมได้แต่ยืนมองเธอที่ค่อย ๆ ไกลออกไป จนกระทั่งลับหายไปที่หน้าซอย มันเรื่องบ้าอะไรกันนะ? เมื่อผมกลับเข้ามาข้างในสำนักงาน ก็เห็นว่าซาโซริกำลังง่วนเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงาน ครู่หนึ่งเธอก็นำกระดาษนั่นใส่ในซองจดหมายแล้วปิดผนึกอย่างดี ก่อนจะฝากผมไปส่งที่ค่ายทหารอีกครั้งโดยด่วนขณะที่ตัวเธอเองเข้าห้องไปพักผ่อน โหเจ๊... เอาเถอะ ถ้ารีบขนาดนี้ก็แปลว่าคงจะเรื่องสำคัญ จะเกี่ยวกับชินารินมั้ยนะ? อดเป็นห่วงน้องแกไม่ได้เลยจริง ๆ
ผมเดินไปค่ายทหารที่พึ่งไปมาเมื่อช่วงสาย นำจดหมายของซาโซริไปส่งให้กับเจ้าหน้าที่ธุรการ ระหว่างที่กำลังเดินกลับก็เจอเข้ากับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม
“ยูคาริน!” ผมเรียกเธอขณะที่เรากำลังจะเดินสวนกัน เธอหันมามองผมแล้วแสดงอาการตกใจออกมา
“ยูคาริ!? โอ้แหม เมืองนี้มันช่างแคบเหลือเกินนะ”
“เป็นไงบ้าง ยังเที่ยวจิ๊กเงินคนขี้เมาในโรงเตี๊ยมอยู่รึเปล่า? ”
“จะบ้าเรอะ! ว่าแต่นายล่ะ เป็นไงบ้าง? ”
“ก็ดีแหละ ได้งาน ได้ที่ซุกหัวนอนแล้ว”
“งั้นรึ? ” ยูคารินหันไปมองคนที่มาด้วย “อืม.. ฉันขอตัวก่อนนะ พอดีว่ามีธุระต้องไปทำน่ะ”
“หมอนั่นใครรึ? ” ผมยื่นหน้าไปใกล้ ๆ พูดเสียงค่อย ๆ กลัวเขาได้ยิน
“เพื่อนร่วมงานน่ะ ไปก่อนนะ” เธอตอบก่อนจะโบกมือให้ผมแล้วเดินต่อไปตามทางของเธอ หมอนั่นเป็นชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ดู ๆ แล้วก็สงสัย ว่าคนอย่างนี้เป็นเพื่อนร่วมงานอีท่าไหนกับยูคารินกันนะ หลังจากแวะทักทายเพื่อนเก่า ผมก็กลับมาถึงสำนักงาน เกือบลืมแน่ะ ว่าต้องแยกของที่จะเอาออกจากกองของที่ยึดมา อา.. ง่วงจัง... ช่างแม่งละกัน นอนดีกว่า...
เสียงเคาะประตูดังลั่นจนผมตื่นขึ้นมาจากความฝัน ลุกขึ้นมาจากที่นอน ออกไปเปิดประตูก็พบว่าทุกคนมากันครบแล้ว ได้เวลาประชุมแล้วเหรอ? เร็วจัง
“เอ้า ๆ มานั่งเร็ว จะได้เริ่มประชุมซะที” ซาโซริบ่นกับผม ขณะชี้ให้ผมมานั่งข้าง ๆ เธอ
“ฮาบาริ พรุ่งนี้มาเอาของที่ยึดได้ไปขายเสีย แล้วให้ซาวาริมาลงบัญชีกับยูคาริด้วย จะได้นำเงินมาแบ่งให้ทุกคน”
“รับทราบขอรับ” ฮาบาริตอบกลับ
“อาทิตย์หน้าเราจะมีงานใหญ่สองชิ้น บุกรังของพวกคากิล่าที่อยู่ทางใต้ของเมือง รูปแบบทีมเหมือนกับงานที่แล้ว เข้าใจนะ? ” ซาโซริพูดออกมาแล้วหันไปมองแต่ละคน
“ครับ!” ผมตอบกลับอย่างฉะฉาน เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ
“ส่วนอีกงาน ดูเหมือนจะมีกองโจรกลุ่มหนึ่งที่เริ่มออกอาละวาด โจมตีใส่พวกกิลด์พ่อค้ากับกิลด์นักรบบางกลุ่ม แหม ใจเด็ดใช่เล่นนะเนี่ย” ซาโซริพูด ขณะหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน “มีรายงานว่ามีกิลด์พ่อค้าและกิลด์นักรบรวมแล้วอย่างน้อย 17 กิลด์ ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าถูกลอบโจมตีในตอนกลางคืนโดยกลุ่มโจรที่เรียกตัวเองว่า หมู่จันทร์ห้าเสี้ยว นำโดยแมวดำต้องคำสาป ยูคาริน ฉันอยากให้ทุกคนไปสืบดูเสียหน่อย แล้วนำข้อมูลที่ได้มาให้ฉันในการประชุมครั้งหน้า..”
“ยูคาริน!? ” ยังไม่ทันที่ซาโซริจะพูดจบ ผมก็พูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ใช่ ยูคาริน ทำไมรึ? ”
“อะ เปล่า ๆ ขอโทษที่ขัดจังหวะ...”
ซาโซริมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันต้องการข้อมูลอีกมาก เพื่อจะประเมินก่อนว่าเจ้าพวกนี้เป็นศัตรูของเรารึเปล่า เพราะฉะนั้น อย่าลืมล่ะ ไปหาข้อมูลกันมาด้วย”
“ไม่เห็นจำเป็นเลย ขึ้นชื่อว่าโจร เราจะฆ่าให้เกลี้ยงก็ไม่น่ามีปัญหาเลยนี่” วาเลนเซียร์พูดออกมาด้วยท่าทีห้าวหาญ
“นั่นคือเหตุผลไงล่ะ ว่าทำไมคนแบบนายถึงไม่มีความเป็นผู้นำ หัดใช้สมองซะบ้าง ไอ้คนบ้าพลัง” ซาโซริบ่นออกมาอย่างถึงอารมณ์ วาเลนเซียร์เริ่มออกอาการโมโหอย่างชัดเจน แต่วาเรียก็ห้ามเขาเอาไว้
“มีใครมีปัญหาหรือคับแคลงใจในการตัดสินใจของฉันอีกมั้ย? ” เธอมองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครพูดอีก “ดี! งั้นเรื่องสุดท้าย” ซาโซริพูดก่อนจะหยิบปืนสั้นกระบอกหนึ่งมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนมันมาหาผม “ยูคาริ รับไป แล้วถือมันให้ทุกคนเห็นด้วย!” ซาโซริพูดออกมา ตอนแรกผมก็นึกว่าพูดเล่น แต่เธอมองมายังผมอย่างขึงขัง ก็แปลว่าไม่ใช่สินะ.. ผมหยิบปืนกระบอกนั้นมา ซาโซริรีบสั่งห้ามไม่ให้ผมเอานิ้วเข้าไกปืน ผมจึงถือมันขึ้นมาชูขึ้นระดับสายตา เมินหน้าไปทางอื่นเพราะทุกคนกำลังมองมา น่าอายอยู่ไม่น้อยนะ...
“ปืนพกกระบอกนี้ คืออาญาสิทธิ์จากฉันที่มอบให้กับยูคาริ ถ้าอ้ายอีคนไหนขัดคำสั่งของเขา ก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งของฉันด้วย ฉันขอมอบสิทธิ์อันชอบธรรมให้หมอนี่สำเร็จโทษใครก็ตามที่กล้าทรยศฉัน ขอให้ทุกคนเป็นพยานในการมอบอำนาจนี้และจงจำไว้ว่าตนคือใคร อย่าลืมคำพูดของตัวเองตอนที่ขอเข้ากิลด์เสียล่ะ” ทันทีที่เธอพูดจบ วาเรียก็ยกมือขึ้น ซาโซริจึงเปิดโอกาสให้เขาพูด
“เรื่องความเป็นผู้นำในตัวคุณซาโซริ กระผมและพวกเราที่นี่ไม่มีผู้ใดติดใจสงสัยแม้แต่นิด แต่กับยูคาริ จะให้กระผมทำใจยอมรับคำสั่งจากคนไร้ความสามารถเช่นนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ได้โปรดชี้แนะด้วยเถิด ว่าทำไมถึงยกอำนาจอันใหญ่หลวงเช่นนี้ให้กับเขา”
“ถามได้ดี” ซาโซริพูดแล้วพยักหน้า ก่อนจะคว้าปลายกระบอกปืนในมือผมไปจ่อขมับตัวเธอเอง เล่นเอาทุกคนสะดุ้งออกมา รวมทั้งผมด้วย แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอะอะออกมา เธอก็ชิงพูดก่อน “เมาเซอร์ ซีเก้าสิบหกกระบอกนี้มีกระสุนสิบนัด รวมฉันกับพวกนายที่เหลือด้วยก็จะเป็นแปดคน ซึ่งเราทั้งหมดไร้อาวุธอยู่ในมือ ถ้าหมอนี่คิดอยากจะหักหลัง แล้วส่งพวกเราไปโลกหลังความตายทั้งหมด ก็ยังเหลือกระสุนอีกสองนัดไว้ยิงใส่ศพนายหรืออาราลิเล่นเพื่อความสะใจ” เธอพูดเสร็จก็ปล่อยมือออกจากปากกระบอกปืน ผมก็จึงรีบยกมันออกแล้วยื่นจะไปวางบนโต๊ะ แต่ซาโซริก็รีบห้ามไว้ และสั่งให้ผมยังคงถือมันเอาไว้ในมือดังเดิม
“สิ่งที่ฉันจะบอกก็คือความเชื่อใจไงล่ะ ฉันกับยูคาริ เราสองคนเอาตัวรอดมาด้วยกัน ตั้งกิลด์นี้ขึ้นมาด้วยกัน ยูคาริคือมือขวาของฉัน ถึงแม้ว่าไอ้บ้านี่จะถนัดซ้ายก็เถอะ” ซาโซริลุกขึ้น แล้วเดินไปรอบ ๆ “ชื่อของกิลด์นี้เป็นของฉัน สำนักงานนี้ เก้าอี้ที่พวกนายนั่งอยู่ หรือแม้แต่ชีวิตของพวกนายในตอนนี้ก็เป็นของฉัน ตราบเท่าที่ยังถือซาโซริคไว้ในชื่อตัวเอง แต่ตัวฉันคนเดียวไม่อาจทำการใดได้ทั้งหมด ก็มียูคาริคนนี้ ที่คอยบริหารจัดการเรื่องยิบย่อยให้ ก็เหมือนกับที่พวกนาย คอยเป็นแขนเป็นขาให้กับฉัน เพราะพวกเราทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี กิลด์จึงเติบโตมาได้ถึงเพียงนี้ ความสามารถในการต่อสู้น่ะ ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ จำกันไว้ด้วย” ซาโซริพูดแล้วมองทุกคน เมื่อไม่มีใครจะแย้งอะไรเธอก็ปิดการประชุมลง “ประชุมครั้งต่อไป พุธหน้า เวลาเดิม อย่าลืมล่ะ เลิกได้!” ซาโซริพูดแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เริ่มแยกย้ายกันไป ซาวาริหันมามองผมแล้วยิ้มให้อย่างเคย ก่อนจะเดินตามพวกฮาบาริไป ผมไม่กล้าสบตาพวกที่เหลือ ไม่แม้แต่จะกล่าวลา ได้แต่นั่งเกรง ๆ อยู่ที่เดิม หลบสายตาไปทางอื่นขณะที่พวกเขาเดินออกไปจนเหลือเพียงห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่าและปืนพกในมือ ผมวางมันลงบนโต๊ะ มองมันด้วยความหวาดหวั่นใจ นี่น่ะเหรอ ที่เจ๊บอกว่าจะจัดการให้ น่ากลัวจริงเชียว
ครู่หนึ่ง ซาโซริก็เดินออกมาจากห้องครัว ยื่นเงินให้ผมไปซื้อข้าวร้านเดิม พร้อมของหวานเหมือนวันนั้น ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ก็เห็นชินารินยืนจ้องผมอยู่ที่เดิม ดูเหมือนเธอจะไม่มีที่ไป ได้ข้าวกินจากพวกเราครั้งหนึ่งก็รู้ว่าถ้ามาที่นี่ก็จะได้ข้าวกินอีก ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปถามซาโซริ ก่อนที่จะเดินไปซื้อข้าวตามเดิม แต่แทนที่จะซื้อมาแค่สองกล่อง ก็กลายเป็นสามกล่องแทน ผมพาชินารินเข้าไปในสำนักงาน ร่วมวงกินข้าวกับเรา เธอยังคงมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ และหวาดระแวงซาโซริ จึงเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ ผม ซาโซริถามชินารินว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน แต่เธอไม่ตอบอะไรกลับ ผมมองเธอก็สังเกตเห็นจุดแดง ๆ ตามตัวเธอของเธอเต็มตัวไปหมด ก็จึงขอซาโซริให้นางนอนที่นี่ ซาโซริก็อนุญาต แต่ก็ให้นอนในห้องของผมเท่านั้น เธอเอาปืนคืนไปก่อนเพื่อความปลอดภัย และให้ผมคอยดูเธอให้ดี ดูเหมือนซาโซริจะไม่ยังไม่ค่อยไว้ใจชินารินมากนัก? ผมเอง แม้จะอึดอัดเล็กน้อยที่จะให้เธอมานอนด้วย แต่ก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้เธอไปตากลมหนาวข้างนอกอย่างเดียวดาย ผมจึงเต็มใจช่วยเหลือสาวน้อยคนนี้เต็มที่ หลังมื้อเย็น ซาโซริพาชินารินไปอาบน้ำด้วย ถูสบู่และประแป้งอย่างดี และแล้ว ผมกับชินารินที่เนื้อตัวสะอาดเหมือนเด็กทั่วไปก็เข้านอนในช่วงสองทุ่มเศษ ๆ รู้สึกเหมือนเป็นพ่อลูกอ่อนเลยแฮะ?
เอาล่ะ... พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
หลังจากที่กิลด์ซาโซริคมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา กิจการของซาโซริคก็เติบโตขึ้นอย่างทันตา อาทิตย์ ๆ หนึ่ง เราสามารถรับภารกิจมาทำได้เกือบสามเท่าจากแต่ก่อน แถมยังได้พวกของฮาบาริมาดำเนินการค้าขายภายใต้คำสั่งของซาโซริ ซึ่งกำไรหนึ่งในสามต้องนำกลับมาให้กิลด์พร้อมกับทำบัญชีโดยละเอียด คนที่ตรวจเช็คตัวเลขก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผมเองนี่ล่ะ.. หลังจากวันนั้นมา งานหลัก ๆ ของผมคือการไปหางานที่เหมาะสมจากทั้งกระดานจ้างงานของสหภาพกิลด์พ่อค้า บางทีก็แวะไปดูที่สหภาพกิลด์นักรบและที่หน้าศาลากลางของเมือง แต่ละแห่งก็มีรูปแบบงานที่แตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือกองโจรที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้นได้เป็นภัยคุกคามตัวฉกาจของทั้งสามองค์กร งานปราบซ่องโจรมีมากเสียจนแม้จะจัดทีมย่อยสองทีมแบ่งกันทำก็ยังทำกันไม่หวาดไม่ไหว ค่าหัวของขุนโจรคนแล้วคนเล่าถูกแปะอยู่บนกระดานและงานคุ้มครองคาราวานที่มีให้ทำทุกวัน ใบประกาศรับสมัครสมาชิกกิลด์แปะกันจนล้นกระดาน กิลด์เล็กกิลด์น้อยก็พลอยหายไป บ้างก็ถูกกลืนไปกับกิลด์ใหญ่และบ้างก็ล่มสลายไปเพราะถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทาง ด้วยเหตุนี้ ผมจะสักแต่เลือกงานที่ให้เงินเยอะ ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่แลกด้วยชีวิตของคนในกิลด์ด้วย แต่ก็ดูเหมือนหลายคนจะไม่พอใจเท่าไหร่ เจ๊ซาโซริ บางครั้งก็มองว่าผมคิดมากไปเอง พวกวาเรียก็มองว่าผมขี้ขลาดเกินไป บางครั้งมันก็น่าน้อยใจเหมือนกัน
ในช่วงบ่ายของวันที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ผมนั่งเล่นในสวนสาธารณะ นั่งตากลมใต้ร่มไม้ คิดอะไรไปเรื่อย เอื้อมมือไปหยิบเบอร์เกอร์ในถุงกระดาษออกมาก แกะห่อกระดาษออกแล้วกัดลงไปบนขนมปังสอดไส้เนื้อและผักและซอส ผมได้ลิ้มรสมันครั้งแรกเมื่อสามสี่ปีก่อน หลังจากกัดเข้าไปคำแรก ผมก็หลงรักมันทันที เนื้อบดย่างเกรียม ๆ ราดด้วยซอสมะเขือ มัสตาร์ดและชีส ตกแต่งด้วยผักกาดและแตงกวาดอง อัดสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่ามาด้วยแผ่นขนมปังที่ย่างด้วยเวลาสั้น ๆ รสชาติของมันนั้นลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คงจะเป็นแตงกวาดองเปรี้ยว ๆ ที่รสชาติโดดเด่นมาก ๆ แต่ก็ดันเข้ากับอย่างอื่นได้ดี เป็นหนึ่งในอาหารที่ผมกินได้อย่างไม่มีวันเบื่อ
“มานั่งแทะเบอร์เกอร์อยู่นี่เอง ก็ว่าอยู่ว่าไปไหน” ระหว่างที่ผมกำลังเหม่อ ๆ ซาโซริที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็เข้ามานั่งข้าง ๆ ผม “ยังงอนเรื่องเมื่อเช้าอยู่เหรอ? ” เธอพูดออกมาขณะยื่นขวดโคล่ามาให้ผมหนึ่งขวด
ผมรับมา พึ่งรู้นะ ว่าเมืองนี้มีโคล่าแบบขวดด้วย “ไปซื้อร้านไหนมาล่ะเนี่ย” ผมเอ่ยถามไป
“พวกฮาบาริไปเห็นเข้าว่ามีร้านหนึ่งในเมืองเวียเรสเบิร์กขายโคล่าขวด ก็เลยลองซื้อมาจำนวนหนึ่งเพื่อเอามาตีตลาดที่นี่ดู ซาวาริรู้ว่านายชอบโคล่า ก็เลยขอให้ฉันแบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้นาย ฉันเลยแบ่งไว้ให้สองขวดน่ะ วางไว้ที่โต๊ะทำงานฉันนะ พวกนั้นซื้อมาไม่เยอะ เอาไปลองตีตลาดก่อน อ้อ! แล้วก็อย่าลืมไปขอบคุณพวกนั้นด้วยล่ะ”
“ขอบคุณครับ..”
“นายทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้ว ติดแต่ตรงว่าคิดมากไปหน่อยแค่นั้นล่ะ”
“ผมก็แค่เลือกงานที่ไม่เสี่ยงเกิน แล้วทั้งเจ๊และวาเรียก็บอกว่าผมคิดมากแล้วก็ขี้ขลาดเกินไป แล้วถ้าเกิดผมเลือกงานไม่ดีพอแล้วทำให้คนอื่นตายล่ะ ผมไม่ต้องอยู่ไปกับตราบาปตลอดชีวิตเลยรึ? ” ผมบ่นออกมาก่อนจะแทะเบอร์เกอร์ต่อ
“ฉันมอบหมายให้นายไปเลือกงาน ฉันต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจ ว่าจะส่งพวกเขาไปทำรึไม่ เพราะงั้น ตราบาปนั่นน่ะ เป็นของฉัน ไม่ใช่นาย ยูคาริ ยากเกินไปบ้างก็เป็นความท้าทาย นายไม่ใช่คนที่จะหยิบงานเดนตายมาโดยไม่รู้เรื่องหรอก ฉันเชื่อ” ซาโซริพูดแล้วตบบ่าผม ก่อนจะลุกขึ้น “ฉันไปธุระก่อนล่ะ ไว้เจอกันตอนเย็น” เธอพูด ก่อนจะเดินจากไป ส่วนผมเองก็กินเบอร์เกอร์จนหมด หาทางแงะฝาจีบของโคล่าอยู่พัก แล้วดื่มมันอย่างสะใจ เรอออกมาแล้วกลับเข้าสำนักงานไปทำหน้าที่ของตัวเอง
งานเอกสารเป็นงานยุ่งยากน่าเบื่อที่ซาโซริมักจะโยนมาให้ผมทำ ผมเองไม่ใช่คนเรียบร้อยอะไร หลายครั้งก็เขียนผิดบ้าง ทำผิดรูปแบบบ้าง ซาโซริมองปราดเดียวก็ขีด ๆ ด้วยปากกาแดงของเธอ วงจุดที่ผิดแล้วให้ผมไปแก้ใหม่บ่อย ๆ ให้ตาย อย่างกับทำงานส่งครูแน่ะ... ผมนั่งทำงานเอกสารอยู่ในห้องนั่งเล่นของสำนักงาน ไม่นาน อาราลิและเอยาบิก็เข้ามาเพื่อคุยธุระกับซาโซริซึ่งไม่อยู่ พวกเขาไถ่ถามว่าซาโซริได้ฝากจดหมายอะไรไว้ไหม ผมก็ส่ายหน้า พวกเขามองผมด้วยความผิดหวัง ก่อนจะไปนั่งรอที่โซฟาใกล้ ๆ แล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่เกรงใจคนนั่งทำงานอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย ครู่ต่อมา วาเลนเซียร์ก็เข้าสำนักงานมาอีกคน เอาเอกสารที่ซาโซริฝากไว้มาโยนใส่โต๊ะผม ก่อนจะไปนั่งใกล้ ๆ กับพวกอาราลิ แล้วก็เริ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน... ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดี ผมทนทำงานเอกสารจนเสร็จ ก่อนจะหยิบโค้กที่ซาโซริเก็บไว้ให้แล้วหนีเข้าไปพักในห้องตัวเอง นั่งวาดรูปเล่นสงบจิตสงบใจที่ว้าวุ่น ครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เมื่อเดินไปเปิดก็พบว่าเป็นซาวาริที่เอาขนมมาแบ่งให้
“ไม่ต้องเอาไปแบ่งมันหรอกน่า นั่นมันส่วนของเธอไม่ใช่เหรอ เธอจะใจดีเกินไปแล้ว ซาวาริ” เสียงนี้.. น่าจะอาราลิ หมอนี่เป็นพวกขวานผ่าซาก อยากพูดอะไรก็พูด ก็เห็นได้ชัดว่าเรียกผมด้วย “มัน” นี่ก็แสดงได้ถึงความเคารพกันขนาดไหน
ผมพยายามยิ้มให้ซาวาริ “เธอเก็บไว้กินเถอะ” ตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลที่สุด
เธอหันไปมองค้อนอาราลิ ก่อนจะกลับมายืนกรานจะมอบขนมนั้นให้กับผม ซึ่งผมก็ยอมแพ้และรับมันมาด้วยความปลาบปลื้มใจ จริงอย่างที่หมอนั่นว่า เธอใจดีเกินไป ซาวาริ.. ขอบคุณนะ
“ขอบใจนะ ขอบใจเรื่องโคล่าด้วยนะ อร่อยมากเลย” ผมถือโอกาสกล่าวขอบคุณเธอไป
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ พวกฮาบาริเองก็ขอแบ่งไว้ด้วยเหมือนกัน ได้ไว้คนละสองขวดแหน่ะ คุณซาโซริเองก็ใจดีเหมือนกันนะ” เธอก็ยิ้มแล้วตอบกลับมา ผมก็ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป “ไปก่อนนะ” เธอพูดแล้วเดินกลับไปยังวงสนทนาที่ยังคงคุยกันอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ ก็มากันจนครบแล้ว เว้นแต่ซาโซริคนเดียว ผมนำกล่องขนมมาวางที่โต๊ะ เปิดออกก็เห็นเป็นเค้กนุ่ม ๆ สีชมพู แม้จะไม่มีครีมแต่ก็อร่อยใช่เล่น นุ่มมาก หวานกำลังดี น่าดีใจเสียจริง... สักพักใหญ่ ๆ หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของความวุ่นวายที่ดังขึ้นผิดปกติมาจากด้านนอก ดูท่าซาโซริจะกลับมาแล้ว ผมก็จึงออกมาจากห้อง ก็พบว่าซาโซริกำลังยืนกอดอกคุยกับพวกนั้นด้วยท่าทีจริงจังอยู่
“โอ้! พอดีเลย มานี่เสีย ฉันจะได้พูดทีเดียว” ซาโซริเมื่อเห็นผมก็หันมาเรียก
“ไม่ต้องมีหมอนั่นเราก็ทำงานกันได้นี่ครับ” อาราลิพูดออกมาอย่างคึกคะนอง แล้วพวกก็หัวเราะออกมา
“ปากดีจังนะ ไอ้ตัวขี้เกียจ” ซาโซริพูดออกมาเบา ๆ แต่ทำเอาเขาเงียบได้ในทันตา อาราลิหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าไม่มีฮาบาริสักคน ฉันก็อยากรู้ว่านายจะทำอะไรได้บ้าง” ซาโซริพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“มีใครมีปัญหาอีกมั้ย? ” ซาโซริพูดแล้วหันไปรอบ ๆ “ดี! เข้าเรื่องเลยละกัน พรุ่งนี้เราจะบุกรังของพวกกิลลาริน อยู่ในป่าใกล้ ๆ เมืองนี่เอง เป้าหมายหลักคือจับตัวหัวหน้าที่คุมที่นั่นและรวบรวมข้อมูลเท่าที่จะหาได้ เป้าหมายรองคือจับเชลยเท่าที่จำเป็นและยึดข้าวของทุกอย่างเท่าที่จะขนกลับมาได้” ซาโซริหันมามองที่ผม “ยูคาริ อาราลิ เอยาบิ พวกนายคือกลุ่มสนับสนุน รอจับและเชลยและขนของ ฮาบาริ ซาวาริ เฝ้าเกวียน รอสัญญาณจากฉัน แต่ถ้าหากมีอะไรฉุกเฉินก็ให้ทิ้งเกวียนเข้ามาหาพวกเราได้เลย” เธอพูดก่อนจะหันไปหาพวกวาเรีย “วาเรียมากับฉัน เป็นชุดเข้าตีหนึ่ง บุกเข้าจับเป้าหมาย วาเลนเซียร์ ยูนะ เป็นชุดเข้าตีที่สอง สนับสนุนการเข้าตีและอาละวาด ดึงความสนใจ จับตัวเป้าหมายได้เมื่อไหร่ก็ล้างบางพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือ ทุกคนเข้าใจนะ? ”
“ครับ!” ผมตอบกลับอย่างฉะฉาน เฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
ซาโซริมองไปรอบ ๆ มองหน้าของแต่ละคนก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ดี! เจอกันที่นี่ พรุ่งนี้หกโมงเช้า แยกย้ายได้!” ทันทีที่เธอพูดเสร็จ พวกฮาบาริและวาเรียก็ชวนเธอไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ซาโซริปฏิเสธ พวกเขาก็จึงกล่าวลากับเธอแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน พวกฮาบาริมีบ้านของตัวเองอยู่แถบขอบเมือง ส่วนพวกวาเรียก็ไปอาศัยอยู่ที่โบสถ์ใกล้ ๆ ศาลากลางเมือง ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ก็ดี ที่นี่จะได้ไม่หนวกหูวุ่นวายมากนัก
“ฉันหิวแล้ว ไปซื้อข้าวกล่องให้หน่อยสิ” ซาโซริยื่นเงินมาให้ผมจำนวนหนึ่ง ก่อนจะไปนั่งลงหน้าโต๊ะที่ผมนั่งทำงานเมื่อช่วงบ่ายแล้วเริ่มตรวจเอกสารที่ผมทำ
“ไม่มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึ? ”
“ไม่ล่ะ อะไรก็ได้ อ้อ! ถ้าแวะร้านขนมข้าง ๆ ขออะไรหวาน ๆ มากินด้วยนะ” เธอพูดโดยไม่วางตาจากเอกสาร
“ได้เลย” ผมรับคำสั่งแล้วเดินออกจากสำนักงานไป
ในยามเย็นที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแสด แสงมัว ๆ พอให้มองทางได้สลัว ๆ โชคดีที่มีไฟถนนพอให้มองทางได้ถนัดตามากขึ้น ผมเดินออกไปสู่ถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายเล็กน้อยก็เจอเข้ากับร้านข้าวที่ใส่ในกล่องกระดาษแข็งสำหรับนำกลับบ้าน ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับข้าวสองกล่อง เดินเข้าร้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นร้านขนมแล้วซื้อเค้กช็อกโกแลตมาสองชิ้น ก่อนจะเดินกลับสำนักงานอย่างสบายใจ
“ยังมีผิดอยู่สามสี่จุด แต่ก็ดีขึ้นแล้วนะ ไหนได้อะไรมา? ” ซาโซริที่เห็นผมกลับมาพูด ขณะเอาเอกสารไปวางที่มุมอื่นของโต๊ะ ส่วนผมก็นำข้าวกล่องกับเค้กมาวางบนโต๊ะตรงหน้าเธอแทน ก่อนจะไปลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามของเธอ
“ข้าวหน้าหมูทอดน่ะ กับเค้กช็อกโกแลต” ผมพูดขณะเอากล่องข้าวออกมาจากถุงกระดาษสีน้ำตาล ยื่นกล่องแรกไปให้ซาโซริและอีกกล่องมาวางตรงหน้าผม
“อื้ม! ก็ดี” ซาโซริเปิดกล่องข้าวออกแล้วเริ่มกิน ผมเองก็นั่งลง กินข้าวของตัวเองไปเงียบ ๆ
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องเจ้าพวกนั้นหรอกนะ นายก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไป ถ้าพวกมันทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง ฉันจะจัดการให้เอง” ซาโซริมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุม
“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“มองหน้านายแวบเดียวก็รู้แล้วว่ากังวลอยู่”
“มันชัดขนาดนั้นเชียวรึ? ”
“ก็เคยบอกแล้วนี่ ว่าคนอย่างนายน่ะ มองออกง่ายจะตาย” ซาโซริตักเค้กขึ้นมาแล้วชี้มาที่ผม “ลูกกิลด์มีปัญหา หัวหน้าก็ต้องคอยดูแลสิ จริงมั้ย? ” เธอพูดก่อนจะกินเค้กต่อจนหมดแล้วเดินไปหาน้ำกิน ผมมองเจ๊แกเดินเข้าไปในห้องครัวขณะกินเค้กคำสุดท้ายของตัวเอง เก็บกล่องข้าวกับเค้กไปทิ้งก่อนจะเดินเข้าครัวไปกินน้ำบ้าง
“คืนนี้รีบเข้านอนเสีย พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” ซาโซริที่เดินออกมาจากห้องครัวพอดีก็กล่าวลากลับผม ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู ก็คงเข้าห้องไปนอนแล้วสินะ วันไหนยัยนั่นดูท่าทางเครียด ๆ ก็มักจะเป็นแบบนี้ ไม่แตะเหล้าเบียร์ พูดจาจริงจังไม่มีเล่น เข้านอนเร็ว มีหน้ามาว่าคนอื่นมองออกง่าย โถ่เจ๊... เอาเถอะ! ผมเองก็ควรไปนอนได้แล้ว..
รุ่งเช้าที่หนาวเหน็บของกลางเดือนตุลาคม กิลด์โจรซาโซริคเคลื่อนทัพออกมานอกเมืองโดยพรางตัวเป็นเกวียนพ่อค้า เดินทางได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ฮาบาริและซาวารินำเกวียนไปแอบไว้ข้างทาง รอสัญญาณอยู่เงียบ ๆ ส่วนกลุ่มสนับสนุนอย่างพวกผมก็ค่อย ๆ เดินตามซาโซริอย่างช้า ๆ ลึกเข้าไปในป่า ไม่นานก็เห็นค่ายขนาดใหญ่ของพวกโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า มีโรงเก็บของและโรงนอนราวกับเป็นชุมชนขนาดย่อม ๆ อีกทั้งเกวียนหลายเล่มที่จอดรอเอาของลง ดูเหมือนกำลังจะขนของเข้าไปข้างในถ้ำกันอยู่ ก็น่าจะเป็นของที่ขโมยมา พวกเรากลุ่มสนับสนุนก็รอคอยจังหวะอยู่ในพุ่มไม้ ขณะที่ซาโซริและพวกวาเรียกระโดดออกจากที่ซ่อนเข้าไปบรรเลงบทเพลงแห่งความตาย การจู่โจมชั่วพริบตาก็ดูเหมือนจะเขย่าขวัญกำลังใจศัตรูได้เป็นอย่างดี พวกโจรขวัญเสียต่างพากันวิ่งหนีอย่างไม่เป็นท่า ทิ้งข้าวของที่กำลังเคลื่อนย้ายไว้กับพื้นแล้วหนีเอาตัวรอด ซาโซริกับวาเรียวิ่งตรงเข้าไปในถ้ำ ปล่อยให้วาเลนเซียร์กับยูนะอาละวาดต่ออย่างเต็มที่ ส่วนผมก็เห็นว่าได้โอกาสแล้ว ก็วิ่งเข้าไปคุ้ยหาของที่ดูจะสำคัญในโรงเก็บของกลางแจ้ง แต่ก็ตามที่คิด ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ อาราลิก็คุ้ยหาของมีค่าไปพลางบ่นไปพลาง ดูเหมือนหมอนี่จะหยุดปากไม่ค่อยได้ ส่วนเอยาบิไปดูของตามเกวียนที่พวกโจรทิ้งไว้ ไม่นานนัก เจ้าบ้านก็กลับมาอีกพร้อมกำลังเสริม แต่วาเลนเซียร์ผู้อาจหาญก็ยังคงหยัดยืนสู้กับศัตรูนับสิบได้อย่างไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเข้าช่วยเหลือ เหวี่ยงขวานศึกสองมือเข้าฟาดฟันใส่ศัตรูคนแล้วคนเล่าอย่างรุนแรงโดยมียูนะคอยยิงธนูสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เห็นดังนั้นผมก็จึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป
“อาราลิ ถ้าเห็นพวกเอกสารก็ส่งมาให้ฉันนะ”
“เออ! รู้น่า” หมอนั่นตอบกลับในทันที ฟังดูก็รู้ว่าตอบส่ง ๆ แต่ก็ช่างแม่งมันเถอะ
ไม่นาน ซาโซริก็ออกมาพร้อมกับเชลยคนหนึ่งที่ถูกผ้าคลุมหัว เธอส่งสัญญาณให้พวกผมเข้าไปขนของมีค่าข้างในออกมาขณะเดียวกันก็หยิบปืนหน้าตาแปลก ๆ มายิงขึ้นฟ้า ก็ปรากฏว่าเป็นปืนยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกให้ฮาบารินำเกวียนเข้ามาในพื้นที่ ทั้งผมและพวกฮาบาริช่วยกันขนของเท่าที่เกวียนจะรับไหว ช่างน้ำหนักและชั่งใจว่าจะเลือกเอาอะไรไปแล้วทิ้งอะไรไว้ เมื่อขนของขึ้นเกวียนเสร็จ ซาโซริก็ปิดฉากการบุกในวันนี้ด้วยการโยนระเบิดมือทำลายเกวียนทุกเล่มที่จอดอยู่ โยนระเบิดแรงสูงเข้าไปภายในถ้ำ แรงระเบิดของมันมากพอที่จะทำให้หินด้านบนถล่มลงมาปิดปากถ้ำจนมิด นี่ถ้าไม่ใช่ว่าค่ายนี้ติดกับป่า เธอก็คงหมายจะเผามันให้วอดวายเป็นแน่ หลังจากทำการเยี่ยมเยือนรังโจรเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ซาโซริที่รู้ว่าจะต้องมีการดักซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับเป็นแน่ ก็ยอมใช้เส้นทางที่อ้อมไกลกว่าเพื่อเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น และแล้ว สามชั่วโมงให้หลังการต่อสู้ พวกเราก็กลับโซฟานอเรียได้โดยสวัสดิภาพ
ที่ประตูเมืองทิศเหนือ ซาโซริมอบเงินเป็นค่าแรงก่อนจะสั่งให้พวกฮาบารินำของที่ยึดมาได้ไปเก็บในสำนักงานพร้อมกับพวกวาเรีย จากนั้นก็แยกย้ายไปพักผ่อนได้ แล้วมาประชุมกันอีกครั้งในตอนเย็น ส่วนตัวเธอ ผมและคุณเชลยที่ยังคงถูกคลุมหัวอยู่จะแยกไปก่อนที่นี่ เมื่อแจงคำสั่งเสร็จ ซาโซริก็พาผมเดินเข้าไปข้างในค่ายทหารของกองพลที่สอง “โซฟากุนอฟ” ภายในนั้นผมสังเกตเห็นสีหน้าสองแบบที่แสดงออกมาเมื่อเห็นซาโซริ กลุ่มแรกเมื่อเห็นก็ตะเบ๊ะให้ด้วยสีหน้าซื่อ ๆ กับอีกกลุ่มที่มองด้วยความตื่นตะลึง เหมือนกับว่าไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ส่วนมากคนพวกหลังจะเป็นคนที่ค่อนข้างดูมีอายุ หรือดูก็รู้ว่าเป็นทหารมานานแล้ว ดูท่าเจ๊คนนี้จะไม่ธรรมดาจริง ๆ แฮะ...
“อ้าว! ซาโซริ ได้ตัวมาแล้วรึ? ” เสียงของชายวัยดึกคนหนึ่งดังมาจากด้านในห้องธุรการ ไม่นานเขาก็เดินออกจากห้อง เข้ามาหาเธอ
ซาโซริพยักหน้าทักทายให้ลุงคนนั้น “จับมาเมื่อเช้าเลยค่ะ คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยรับไปสอบสวนต่อด้วย”
“ตามมาสิ” คุณลุงคนนั้นพูด ก่อนจะเดินนำพวกเราลึกเข้าไปภายในค่ายจนมาถึงอาคารเก่า ๆ หลังหนึ่งที่มีทหารสองสามคนยืนคุมที่ทางเข้าอยู่ ทันทีที่เห็นพวกเรา พวกเขาก็ยืนตรงทำความเคารพอย่างดุดัน หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหาผมที่คุมตัวเชลยไว้อยู่
“เราจะดูแลให้เอง” เขาพูดกับผม ผมหันไปหาซาโซริ เธอพยักหน้าเล็กน้อย ผมก็จึงส่งมอบเชลยให้ชายคนนั้นไป
“เดี๋ยวฉันจะให้พวกนายทหารสอบสวนอย่างเข้มข้นเลย แล้วถ้าได้เรื่องอย่างไร ฉันจะส่งข่าวให้อีกทีนะ” คุณลุงคนนั้นพูดขึ้นมา มองไปยังซาโซริด้วยท่าทีสุขุม “ขอโทษด้วยนะ ที่ต้องให้เธอทำงานให้เราอีก ปลดประจำการไปแล้วแท้ ๆ ”
ซาโซริส่ายหน้า “คิดเสียว่าแลกเปลี่ยนกันเป็นธุรกิจก็ได้ค่ะ” เธอพูดแล้วตบปืนกลมือของเธอเบา ๆ
“หึ!” ลุงยิ้มเยาะออกมา “นั่นสินะ...” พูดเสร็จ ลุงแกก็เดินตามชายที่คุมเชลยคนนั้นเข้าไปในอาคาร
“เอาไงต่อล่ะ? ” ผมหันไปถามซาโซริ
เธอยิ้มออกมา “ตามมาสิ” เธอพูดก่อนจะเดินออกมาจากอาคารที่ดูน่ากลัวหลังนั้น แล้วนำผมไปยังจุดหมายต่อไปของเธอ
ซาโซริพาผมมายังอีกอาคารหนึ่งที่มีคนคุ้มกันแน่นหนากว่าเดิม เธอเดินเข้าไปข้างในได้อย่างไม่มีปัญหา ในขณะที่ผมถูกห้ามเข้า ซาโซริจึงหันกลับมาคุยกับผู้ดูแล ผมก็จึงได้เข้ามา ภายในนั้นมีห้องที่ถูกล็อกด้วยกุญแจอย่างแน่นหนาอยู่หลายห้อง เดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก็เจอห้องหนึ่งที่เปิดประตูเอาไว้ ภายในเป็นนายทหารสองคนที่กำลังง่วนกับงานเอกสารกันอยู่ เมื่อเห็นซาโซริเดินเข้ามา พวกเขาก็ทักทายเธอราวกับว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี
“วันนี้เอาอะไรบ้างล่ะ? ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“ระเบิดมือซักครึ่งโหล กระสุนของเอ็มพีสี่สิบชุดใหญ่ซักชุดหนึ่ง แล้วก็ตับกระสุนของเมาเซอร์ ซีเก้าสิบหกสักห้าชุดนะ” ซาโซริพูดก่อนจะเดินไปดูปืนกระบอกหนึ่งที่วางอยู่แถว ๆ นั้น เป็นปืนที่ดูสวยแปลกตาใช่เล่นเลย
“หา? ทำไมคราวนี้เอากระสุนปืนพกด้วยล่ะ? ”
“จะงกไปทำไม อย่างไรเสียก็มีล้นคลังอยู่แล้วนี่”
“เฮ้อ~ คุยกับเธอนี่น่าปวดหัวจริง ๆ ” ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัวออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องกระสุนมาวางบนโต๊ะให้ซาโซริ แต่ดูเหมือนเธอจะกำลังให้ความสนใจกับปืนกระบอกนั้นอยู่ “อย่าเลย นั่นน่ะของใหม่ จำนวนต้องเป๊ะตามรายการนะยะ!” เธอพูดแล้วมองแรงไปยังซาโซริ
“ไม่ล่ะ ฉันยังติดใจเจ้านี่อยู่” ซาโซริพูดแล้วตบปืนกลมือของเธออีกครั้ง
“จ้า ๆ ระเบิดมือหยิบเอาในลังข้างหลังได้เลย มีอะไรอยากได้อีกมั้ย? ”
“ไม่ล่ะ เอาแค่นี้ก่อน ไม่อยากให้มันผิดสังเกตไปเกินจำเป็น” ซาโซริพูดก่อนจะหยิบของทั้งหมดบนโต๊ะมาใส่กระเป๋า หันหลังไปหยิบระเบิดมือมาใส่กระเป๋าเพิ่ม ก่อนจะยื่นมันมาให้ผมแบก โอ้โห! หนักใส่เล่นเลยนะ “ไว้เจอกัน ยัยเคโกะ” ซาโซริโบกมือกล่าวลา
“จ้า ๆ ไว้เจอกัน” ผู้หญิงคนนั้นลาแบบส่ง ๆ ก่อนจะง่วนกับงานเอกสารของเธอต่อ
“มิน่า ทำไมถึงได้มีกระสุนไว้ยิงโจรเรื่อย ๆ มาเติมของที่กองทัพนี่เอง” ผมหันไปพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ยื่นหมูยื่นแมวไง ฉันมีสิ่งที่พวกเขายื่นมือไปทำเองไม่ได้ ส่วนพวกเขาก็มีทรัพยากรอย่างที่ฉันไม่มี” ซาโซริพูดไปเดินไปขณะที่เหม่อมองไปทางขวา จ้องไปที่บันไดของอาคารธุรการ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“พี่ซาโซริ? ” เสียงอันคุ้นเคยของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากที่ด้านหลังของพวกเรา เมื่อหันกลับไปมองก็... โอ้! น้องสาวของผมเอง... โอ๊ะ เมื่อเห็นว่าเป็นผม โยชิโนะก็มีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ว่าแต่เธอกับซาโซริรู้จักกันรึนี่? แต่พอมาคิด ๆ แล้ว ก็เป็นทหารเหมือนกันนี่นะ จะรู้จักกันก็ไม่น่าแปลก มั้งนะ? เมื่อซาโซริหันไปมอง โยชิโนะมีท่าทีตกใจเล็กน้อย คงจะแปลกใจกับผ้าปิดตา ถ้าให้เดา ล่าสุดที่ทั้งสองคนนี้เจอกัน ซาโซริคงยังไม่ได้เสียตาข้างนี้ไป
“โยชิโนะ!? ” ทั้งผมและซาโซริพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน ซาโซริที่ได้ยินผมเรียกชื่อเธอเหมือนก็หันมามองผมด้วยความตกใจ
“นายรู้จักเธอด้วยรึ? ”
“นั่นน้องฉันเอง...” ผมพูดออกมาเบา ๆ จ้องมองไปยังโยชิโนะที่กอดอก มองมายังผมด้วยแววตาเย็นชา จะว่าไป ก็พึ่งเคยเห็นเธอในชุดทหาร อา น้องพี่ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ
“ห๊ะ!? ” ซาโซริอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะมองไปยังโยชิโนะเพื่อยืนยันอีกที ซึ่งเธอก็พยักหน้ายอมรับ
“ช่างหมอนี่เถอะ พี่ซาโซริเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ส่งข่าวคราวอะไรมาเลย ฉันเป็นห่วงแทบแย่” เธอพูดแล้วเดินเข้ามาหาซาโซริ มองเธออย่างเป็นห่วงเป็นใย ดูแล้วก็น่ารักมิใช่หยอก
“ขอโทษนะ โยชิโนะ พอดีมีอะไรหลาย ๆ อย่างน่ะ..”
“แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่รึ ทำไมยังใส่เครื่องแบบอยู่ล่ะ ปลดออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้น? ” เธอดูซักไซ้เป็นพิเศษ ดูท่าสองคนนี้คงจะสนิทกัน
“ก็... มีอะไรนิดหน่อยล่ะนะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก แล้วก็ยินดีด้วยนะ ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นจ่าสิบตรี ฉันภูมิใจในตัวเธอนะ โยชิโนะ” ซาโซริพูดออกมาแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน โยชิโนะเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“อ่า...” ผมอ้าปาก กำลังจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเธอ แต่โยชิโนะหุบยิ้ม หันมามองผมอย่างเคืองแล้วไม่พูดอะไร กลับมาซักไซ้ซาโซริต่อ เธอเองก็ไปไม่ถูกเหมือนกันกับสถานการณ์ตรงหน้า พวกเธอทั้งสองคุยกันอยู่เกือบสิบนาที โยชิโนะก็ลากลับไป พร้อมทิ้งท้ายให้ซาโซริเขียนจดหมายมาหาเธอด้วย ซาโซริค่อย ๆ มองเธอเดินจากไปด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เศร้าสร้อย
ไม่นาน เราทั้งคู่ก็เดินออกมาจากค่ายทหาร พร้อมกับยุทโธปกรณ์เต็มกระเป๋า เราทั้งคู่เดินกลับสำนักงาน ซาโซรินำกระเป๋าอันตรายนั้นไปเก็บในห้องตัวเอง ก่อนจะออกมาชวนผมไปกินข้าว ระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากสำนักงานนั้น ก็ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิงสภาพมอมแมมยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้ว จ้องเขม็งมายังพวกเรา ผมที่บังเอิญไปสบตาเข้าแล้วไม่รู้จะทำตัวยังไงดีก็หันไปมองซาโซริด้วยความร้อนใจ เธอมองผม รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้า แล้วจึงออกหน้าแทนผม
“สาวน้อย มาทำอะไรที่หน้าบ้านฉันรึ? ” เธอพูดออกไปด้วยเสียงที่ฟังดูหวานหูกว่าตอนคุยกับผม แต่สาวน้อยคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ แถมมีท่าทีหวาดกลัว กับแม่สาวตาเดียวในชุดทหาร ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
“...ชื่ออะไรรึเรา? ” ซาโซริเดินเข้าไปใกล้ ๆ ยื่นมือเข้าไปหา แต่เธอก็ถอยห่างจากเธอ ยังคงนิ่งเงียบ เพียงแต่จ้องมองพวกเราด้วยแววตาบ้องแบ้วของเด็ก “ถ้าไม่อยากยุ่งด้วย งั้นเราก็ไปกันเถอะ ยูคาริ” ซาโซริถอยออกมาจากน้องแก หันกลับมาหาผม เตรียมจะไปกินข้าวกัน ทันใดนั้น เสียงร้องของท้องอันหิวโหยก็ดังมาจากที่ด้านหลังของซาโซริ เธอหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองน้องเงียบพร้อมกับยื่นมือไปหาเธออีกครั้ง “มาสิ ไปกินข้าวกัน” เด็กสาวผู้หวาดหวั่นคนนั้น เมื่อได้ยินคำชวนของซาโซริก็เดินออกมาจากที่แอบ ยื่นมือน้อย ๆ ของเธอไปจับมือซาโซริ แล้วเราทั้งสามก็ไปกินข้าวร่วมกัน
ที่ร้านอาหารใกล้ ๆ กับประตูเมืองทางเหนือ ภายในร้านมีการจัดองค์ประกอบแปลก ๆ ไปจากร้านอาหารทั่วไป ที่นี่นำครัวมาไว้ตรงกลาง ให้ลูกค้าได้ดูกรรมวิธีทำอาหารกันจะจะ ทั้งผมและน้องไร้ชื่อต่างก็ได้ "ข้าวผัดไฟลุก" ของขึ้นชื่อของที่นี่เป็นมื้อเที่ยง น้องแกดูท่าทางจะหิวมาก ๆ ใช้ช้อนตักคำแล้วคำเล่าเข้าปากอย่างรวดเร็ว ตาอันเป็นประกายของน้องแกนั้นยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู
“เจ๊ ขอเกี๊ยวซ่าทอดด้วยได้มั้ย? ” ผมหันไปขอสั่งอาหารเพิ่มกับซาโซริที่กำลังเอร็ดอร่อยกับเต้าหู้ผัดพริก
“หือ? เอาสิ สั่งสองเลย” ซาโซริพูดก่อนจะตักข้าวขึ้นมากิน ได้ยินดังนั้น ผมก็หันไปสั่งอาหารกับบริกรที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่นานมากนัก เกี๊ยวซ่าทอดกรอบ ๆ หอม ๆ สองจานก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้ผมและซาโซริ สาวน้อยคนเดิมมองมายังจานเกี๊ยวซ่าด้วยแววตาอันเป็นประกายที่น่าเอ็นดู แต่ไม่ยักกะเอื้อมมือมาเอาไป
“ลองกินดูสิ” ผมใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวซ่าชิ้นหนึ่งไปวางในจานข้าวผัดของเธอแล้วยิ้มให้ เธอมองผมด้วยสีหน้าที่ดีใจสุดขีด ก่อนจะกินเกี๊ยวซ่าชิ้นนั้นด้วยความสุขใจ
“เกิดอะไรขึ้นรึ? ระหว่างนายกับโยชิโนะ” ซาโซริเอ่ยถามออกมา จ้องผมด้วยความสนใจ
“เรามีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อย แล้วก็ทะเลาะกันเรื่อยมา จนวันนึง ที่ฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาด นับแต่นั้น เธอก็ประกาศตัดขาดกับผมน่ะ ผมเป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่อง เป็นลูกชายคนโตที่ห่วยแตก น้องสาวก็เลยต้องคอยรับภาระของพ่อแม่ ก็สมแล้วล่ะ ที่จะถูกเธอเกลียดขี้หน้าเอา” ผมพูดแล้วคีบเกี๊ยวซ่ามากิน เหม่อมองจานข้าวของตัวเอง ไม่สบตากับซาโซริ เธอเองก็นิ่งไป ไม่ถามอะไรต่อ
“กลับไป นายไปคัดซะ ว่าอะไรจะเก็บไว้ วันพรุ่งนี้ ฉันจะให้พวกฮาบาริเอาของที่เหลือไปขาย แล้วก็คุยกับแม่สาวซาวารินั่นเรื่องบัญชีดี ๆ ล่ะ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาแก้บัญชีทีหลังอีก” ซาโซริที่กินข้าวอิ่มแล้วหันมาสั่งงานก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ครับ ๆ ”
“เอ้า! แม่สาวน้อย ยังหิวอยู่มั้ย? ” ซาโซริก้มหน้าไปคุยกับสาวน้อยไร้ชื่อ เธอส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ออกมา
“งั้นเรากลับกันเถอะ” ซาโซริพูดขณะลูบหัวเธอ
“ขอบคุณนะคะ” สาวน้อยที่เงียบมาตลอด ในที่สุดก็พูดอะไรออกมา
ซาโซริมองเธอแล้วยิ้มให้ ก่อนจะจูงมือเธอไปจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน ผมเองก็เดินตามไปติด ๆ มองสองแม่ลูก (?) ด้วยความอิ่มเอมทั้งกายและใจ ไม่นาน เราสามคนเดินกลับมาจนถึงสำนักงาน ซาโซริก็สั่งให้ผมไปส่งสาวน้อยขณะที่เธอจะไปพักผ่อนหลังมื้อเที่ยง (งีบ)
“เรายังไม่รู้ชื่อกันเลยนะ” ผมย่อตัวลงนั่งยอง ๆ มองสาวน้อยตัวมอมแมมในระดับเดียวกัน “พี่ชื่อยูคาริ เราชื่ออะไรเอ่ย? ”
“....ชินาริน” เธอพูดออกมาเบา ๆ ขณะจ้องผมด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ
“ชินาริน...” ซาโซริที่กำลังจะเปิดประตูเข้าสำนักงานไปหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินชื่อของเธอ ซาโซริหันกลับมาหาชินาริน “นามสกุลล่ะ? ” พูดออกมาด้วยท่าทีตกใจ
“....วาชิซากะ..” ชินารินพูดขณะหลบหน้าซาโซริ ดูท่าเธอจะกลัวเจ๊แกซะแล้ว
“มีอะไรเหรอ ทำไมถึงได้ถามล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซาโซริหันมาตอบผม ก่อนจะหันกลับไปคุยกับชินารินต่อ “แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่แถวนี้ล่ะ บ้านอยู่ไหนรึ? ”
“ไม่มีแล้วล่ะ... ” ชินารินพูดแล้วก้มหน้าลง ก่อนจะวิ่งหนีไป เป็นคำตอบที่ฟังแล้วใจหายเอามาก ๆ ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกตอนที่สูญเสียทุกอย่างไป ผมกำลังจะวิ่งตามเธอไป แต่ทันใดนั้น ซาโซริก็สั่งห้ามผมเสียก่อน ก่อนจะเดินเข้าสำนักงานไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองชินารินที่วิ่งหนีไป ผมได้แต่ยืนมองเธอที่ค่อย ๆ ไกลออกไป จนกระทั่งลับหายไปที่หน้าซอย มันเรื่องบ้าอะไรกันนะ? เมื่อผมกลับเข้ามาข้างในสำนักงาน ก็เห็นว่าซาโซริกำลังง่วนเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงาน ครู่หนึ่งเธอก็นำกระดาษนั่นใส่ในซองจดหมายแล้วปิดผนึกอย่างดี ก่อนจะฝากผมไปส่งที่ค่ายทหารอีกครั้งโดยด่วนขณะที่ตัวเธอเองเข้าห้องไปพักผ่อน โหเจ๊... เอาเถอะ ถ้ารีบขนาดนี้ก็แปลว่าคงจะเรื่องสำคัญ จะเกี่ยวกับชินารินมั้ยนะ? อดเป็นห่วงน้องแกไม่ได้เลยจริง ๆ
ผมเดินไปค่ายทหารที่พึ่งไปมาเมื่อช่วงสาย นำจดหมายของซาโซริไปส่งให้กับเจ้าหน้าที่ธุรการ ระหว่างที่กำลังเดินกลับก็เจอเข้ากับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม
“ยูคาริน!” ผมเรียกเธอขณะที่เรากำลังจะเดินสวนกัน เธอหันมามองผมแล้วแสดงอาการตกใจออกมา
“ยูคาริ!? โอ้แหม เมืองนี้มันช่างแคบเหลือเกินนะ”
“เป็นไงบ้าง ยังเที่ยวจิ๊กเงินคนขี้เมาในโรงเตี๊ยมอยู่รึเปล่า? ”
“จะบ้าเรอะ! ว่าแต่นายล่ะ เป็นไงบ้าง? ”
“ก็ดีแหละ ได้งาน ได้ที่ซุกหัวนอนแล้ว”
“งั้นรึ? ” ยูคารินหันไปมองคนที่มาด้วย “อืม.. ฉันขอตัวก่อนนะ พอดีว่ามีธุระต้องไปทำน่ะ”
“หมอนั่นใครรึ? ” ผมยื่นหน้าไปใกล้ ๆ พูดเสียงค่อย ๆ กลัวเขาได้ยิน
“เพื่อนร่วมงานน่ะ ไปก่อนนะ” เธอตอบก่อนจะโบกมือให้ผมแล้วเดินต่อไปตามทางของเธอ หมอนั่นเป็นชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ดู ๆ แล้วก็สงสัย ว่าคนอย่างนี้เป็นเพื่อนร่วมงานอีท่าไหนกับยูคารินกันนะ หลังจากแวะทักทายเพื่อนเก่า ผมก็กลับมาถึงสำนักงาน เกือบลืมแน่ะ ว่าต้องแยกของที่จะเอาออกจากกองของที่ยึดมา อา.. ง่วงจัง... ช่างแม่งละกัน นอนดีกว่า...
เสียงเคาะประตูดังลั่นจนผมตื่นขึ้นมาจากความฝัน ลุกขึ้นมาจากที่นอน ออกไปเปิดประตูก็พบว่าทุกคนมากันครบแล้ว ได้เวลาประชุมแล้วเหรอ? เร็วจัง
“เอ้า ๆ มานั่งเร็ว จะได้เริ่มประชุมซะที” ซาโซริบ่นกับผม ขณะชี้ให้ผมมานั่งข้าง ๆ เธอ
“ฮาบาริ พรุ่งนี้มาเอาของที่ยึดได้ไปขายเสีย แล้วให้ซาวาริมาลงบัญชีกับยูคาริด้วย จะได้นำเงินมาแบ่งให้ทุกคน”
“รับทราบขอรับ” ฮาบาริตอบกลับ
“อาทิตย์หน้าเราจะมีงานใหญ่สองชิ้น บุกรังของพวกคากิล่าที่อยู่ทางใต้ของเมือง รูปแบบทีมเหมือนกับงานที่แล้ว เข้าใจนะ? ” ซาโซริพูดออกมาแล้วหันไปมองแต่ละคน
“ครับ!” ผมตอบกลับอย่างฉะฉาน เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ
“ส่วนอีกงาน ดูเหมือนจะมีกองโจรกลุ่มหนึ่งที่เริ่มออกอาละวาด โจมตีใส่พวกกิลด์พ่อค้ากับกิลด์นักรบบางกลุ่ม แหม ใจเด็ดใช่เล่นนะเนี่ย” ซาโซริพูด ขณะหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน “มีรายงานว่ามีกิลด์พ่อค้าและกิลด์นักรบรวมแล้วอย่างน้อย 17 กิลด์ ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าถูกลอบโจมตีในตอนกลางคืนโดยกลุ่มโจรที่เรียกตัวเองว่า หมู่จันทร์ห้าเสี้ยว นำโดยแมวดำต้องคำสาป ยูคาริน ฉันอยากให้ทุกคนไปสืบดูเสียหน่อย แล้วนำข้อมูลที่ได้มาให้ฉันในการประชุมครั้งหน้า..”
“ยูคาริน!? ” ยังไม่ทันที่ซาโซริจะพูดจบ ผมก็พูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ใช่ ยูคาริน ทำไมรึ? ”
“อะ เปล่า ๆ ขอโทษที่ขัดจังหวะ...”
ซาโซริมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันต้องการข้อมูลอีกมาก เพื่อจะประเมินก่อนว่าเจ้าพวกนี้เป็นศัตรูของเรารึเปล่า เพราะฉะนั้น อย่าลืมล่ะ ไปหาข้อมูลกันมาด้วย”
“ไม่เห็นจำเป็นเลย ขึ้นชื่อว่าโจร เราจะฆ่าให้เกลี้ยงก็ไม่น่ามีปัญหาเลยนี่” วาเลนเซียร์พูดออกมาด้วยท่าทีห้าวหาญ
“นั่นคือเหตุผลไงล่ะ ว่าทำไมคนแบบนายถึงไม่มีความเป็นผู้นำ หัดใช้สมองซะบ้าง ไอ้คนบ้าพลัง” ซาโซริบ่นออกมาอย่างถึงอารมณ์ วาเลนเซียร์เริ่มออกอาการโมโหอย่างชัดเจน แต่วาเรียก็ห้ามเขาเอาไว้
“มีใครมีปัญหาหรือคับแคลงใจในการตัดสินใจของฉันอีกมั้ย? ” เธอมองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครพูดอีก “ดี! งั้นเรื่องสุดท้าย” ซาโซริพูดก่อนจะหยิบปืนสั้นกระบอกหนึ่งมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนมันมาหาผม “ยูคาริ รับไป แล้วถือมันให้ทุกคนเห็นด้วย!” ซาโซริพูดออกมา ตอนแรกผมก็นึกว่าพูดเล่น แต่เธอมองมายังผมอย่างขึงขัง ก็แปลว่าไม่ใช่สินะ.. ผมหยิบปืนกระบอกนั้นมา ซาโซริรีบสั่งห้ามไม่ให้ผมเอานิ้วเข้าไกปืน ผมจึงถือมันขึ้นมาชูขึ้นระดับสายตา เมินหน้าไปทางอื่นเพราะทุกคนกำลังมองมา น่าอายอยู่ไม่น้อยนะ...
“ปืนพกกระบอกนี้ คืออาญาสิทธิ์จากฉันที่มอบให้กับยูคาริ ถ้าอ้ายอีคนไหนขัดคำสั่งของเขา ก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งของฉันด้วย ฉันขอมอบสิทธิ์อันชอบธรรมให้หมอนี่สำเร็จโทษใครก็ตามที่กล้าทรยศฉัน ขอให้ทุกคนเป็นพยานในการมอบอำนาจนี้และจงจำไว้ว่าตนคือใคร อย่าลืมคำพูดของตัวเองตอนที่ขอเข้ากิลด์เสียล่ะ” ทันทีที่เธอพูดจบ วาเรียก็ยกมือขึ้น ซาโซริจึงเปิดโอกาสให้เขาพูด
“เรื่องความเป็นผู้นำในตัวคุณซาโซริ กระผมและพวกเราที่นี่ไม่มีผู้ใดติดใจสงสัยแม้แต่นิด แต่กับยูคาริ จะให้กระผมทำใจยอมรับคำสั่งจากคนไร้ความสามารถเช่นนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ได้โปรดชี้แนะด้วยเถิด ว่าทำไมถึงยกอำนาจอันใหญ่หลวงเช่นนี้ให้กับเขา”
“ถามได้ดี” ซาโซริพูดแล้วพยักหน้า ก่อนจะคว้าปลายกระบอกปืนในมือผมไปจ่อขมับตัวเธอเอง เล่นเอาทุกคนสะดุ้งออกมา รวมทั้งผมด้วย แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอะอะออกมา เธอก็ชิงพูดก่อน “เมาเซอร์ ซีเก้าสิบหกกระบอกนี้มีกระสุนสิบนัด รวมฉันกับพวกนายที่เหลือด้วยก็จะเป็นแปดคน ซึ่งเราทั้งหมดไร้อาวุธอยู่ในมือ ถ้าหมอนี่คิดอยากจะหักหลัง แล้วส่งพวกเราไปโลกหลังความตายทั้งหมด ก็ยังเหลือกระสุนอีกสองนัดไว้ยิงใส่ศพนายหรืออาราลิเล่นเพื่อความสะใจ” เธอพูดเสร็จก็ปล่อยมือออกจากปากกระบอกปืน ผมก็จึงรีบยกมันออกแล้วยื่นจะไปวางบนโต๊ะ แต่ซาโซริก็รีบห้ามไว้ และสั่งให้ผมยังคงถือมันเอาไว้ในมือดังเดิม
“สิ่งที่ฉันจะบอกก็คือความเชื่อใจไงล่ะ ฉันกับยูคาริ เราสองคนเอาตัวรอดมาด้วยกัน ตั้งกิลด์นี้ขึ้นมาด้วยกัน ยูคาริคือมือขวาของฉัน ถึงแม้ว่าไอ้บ้านี่จะถนัดซ้ายก็เถอะ” ซาโซริลุกขึ้น แล้วเดินไปรอบ ๆ “ชื่อของกิลด์นี้เป็นของฉัน สำนักงานนี้ เก้าอี้ที่พวกนายนั่งอยู่ หรือแม้แต่ชีวิตของพวกนายในตอนนี้ก็เป็นของฉัน ตราบเท่าที่ยังถือซาโซริคไว้ในชื่อตัวเอง แต่ตัวฉันคนเดียวไม่อาจทำการใดได้ทั้งหมด ก็มียูคาริคนนี้ ที่คอยบริหารจัดการเรื่องยิบย่อยให้ ก็เหมือนกับที่พวกนาย คอยเป็นแขนเป็นขาให้กับฉัน เพราะพวกเราทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี กิลด์จึงเติบโตมาได้ถึงเพียงนี้ ความสามารถในการต่อสู้น่ะ ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ จำกันไว้ด้วย” ซาโซริพูดแล้วมองทุกคน เมื่อไม่มีใครจะแย้งอะไรเธอก็ปิดการประชุมลง “ประชุมครั้งต่อไป พุธหน้า เวลาเดิม อย่าลืมล่ะ เลิกได้!” ซาโซริพูดแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เริ่มแยกย้ายกันไป ซาวาริหันมามองผมแล้วยิ้มให้อย่างเคย ก่อนจะเดินตามพวกฮาบาริไป ผมไม่กล้าสบตาพวกที่เหลือ ไม่แม้แต่จะกล่าวลา ได้แต่นั่งเกรง ๆ อยู่ที่เดิม หลบสายตาไปทางอื่นขณะที่พวกเขาเดินออกไปจนเหลือเพียงห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่าและปืนพกในมือ ผมวางมันลงบนโต๊ะ มองมันด้วยความหวาดหวั่นใจ นี่น่ะเหรอ ที่เจ๊บอกว่าจะจัดการให้ น่ากลัวจริงเชียว
ครู่หนึ่ง ซาโซริก็เดินออกมาจากห้องครัว ยื่นเงินให้ผมไปซื้อข้าวร้านเดิม พร้อมของหวานเหมือนวันนั้น ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ก็เห็นชินารินยืนจ้องผมอยู่ที่เดิม ดูเหมือนเธอจะไม่มีที่ไป ได้ข้าวกินจากพวกเราครั้งหนึ่งก็รู้ว่าถ้ามาที่นี่ก็จะได้ข้าวกินอีก ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปถามซาโซริ ก่อนที่จะเดินไปซื้อข้าวตามเดิม แต่แทนที่จะซื้อมาแค่สองกล่อง ก็กลายเป็นสามกล่องแทน ผมพาชินารินเข้าไปในสำนักงาน ร่วมวงกินข้าวกับเรา เธอยังคงมีท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ และหวาดระแวงซาโซริ จึงเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ ผม ซาโซริถามชินารินว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน แต่เธอไม่ตอบอะไรกลับ ผมมองเธอก็สังเกตเห็นจุดแดง ๆ ตามตัวเธอของเธอเต็มตัวไปหมด ก็จึงขอซาโซริให้นางนอนที่นี่ ซาโซริก็อนุญาต แต่ก็ให้นอนในห้องของผมเท่านั้น เธอเอาปืนคืนไปก่อนเพื่อความปลอดภัย และให้ผมคอยดูเธอให้ดี ดูเหมือนซาโซริจะไม่ยังไม่ค่อยไว้ใจชินารินมากนัก? ผมเอง แม้จะอึดอัดเล็กน้อยที่จะให้เธอมานอนด้วย แต่ก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้เธอไปตากลมหนาวข้างนอกอย่างเดียวดาย ผมจึงเต็มใจช่วยเหลือสาวน้อยคนนี้เต็มที่ หลังมื้อเย็น ซาโซริพาชินารินไปอาบน้ำด้วย ถูสบู่และประแป้งอย่างดี และแล้ว ผมกับชินารินที่เนื้อตัวสะอาดเหมือนเด็กทั่วไปก็เข้านอนในช่วงสองทุ่มเศษ ๆ รู้สึกเหมือนเป็นพ่อลูกอ่อนเลยแฮะ?
เอาล่ะ... พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ