Sasoric Thieves Guild

-

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  6,288 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) We all have “Sasoric” on our name, likes a cult or something?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ในช่วงเช้าของวันทำงานที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปทั่วเมือง ผมนั่งดื่มโกโก้ร้อนอยู่ที่ม้านั่งหน้าสหภาพกิลด์พ่อค้าประจำเมือง อันเป็นสถานที่ของเหล่ากิลด์พ่อค้ากลุ่มต่าง ๆ จะมารวมตัวกัน ตัวผมเองไม่ใช่พ่อค้า และก็จินตนาการไม่ออก ว่าถ้าตัวเองเป็น จะมีสารรูปแบบไหน สิ่งที่ผมรออยู่ คือกระดานจ้างงานที่อยู่ด้านหน้าอาคาร รอให้เจ้าหน้าที่มาติดประกาศประจำวันให้เรียบร้อย ก่อนจะไปแทรกตัวกับคนอื่น ๆ ที่มายังที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลเดียวกันกับผม คือหางานในกระดานดังกล่าวที่พอจะทำได้ แลกกับค่าจ้างวานที่เขาพอจะเจียดให้ ผมยืนมองอยู่สักพักก็ไปสะดุดตาเข้ากับงานชิ้นหนึ่งเข้า ก็จึงเบียด ๆ กับชาวบ้านเข้าไปดึงมันออกมาจากหมุดบนกระดาน สิ่งที่ผมดึงออกมาคือกระดาษที่ระบุรายละเอียดของงาน ค่าจ้างและระยะเวลา ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอาคาร คุยกับพี่สาวที่ประจำอยู่โต๊ะ “รายงานการจ้างวาน”

“ขอรับงานนี้ครับ” ผมเดินเอากระดาษที่หยิบมาจากกระดานจ้างงานไปยื่นให้ที่โต๊ะที่ว่า

“รับทราบค่ะ ขอทราบชื่อผู้รับงานด้วยนะคะ”

“ซาโซริค ยูคาริครับ” ผมตอบออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าไปเขียนรายละเอียดต่อ

“รบกวนปั๊มลายนิ้วมือลงในช่องนี้ก็เป็นอันเสร็จแล้วค่ะ” เธอยื่นแท่นหมึกประทับตราสีน้ำเงินมาพร้อมกับเอกสารยืนยันการรับงาน ผมก็กดนิ้วโป้งลงบนแท่นหมึกแล้วปั๊มมือลงไปบนช่องข้าง ๆ ชื่อของผม ก็เป็นอันเสร็จพิธี

“ขอบคุณค่ะ” เธอเก็บแท่นหมึกกับเอกสารยืนยันไป ยื่นเอกสารที่เป็นรายละเอียดงานเพิ่มเติมมาให้ ผมก็รับมันมาแล้วเดินออกมาจากที่นั่น ตรงดิ่งกลับไปสู่ “รัง” ของผม อาคารอดีตสำนักงานสองชั้นโทรม ๆ จืด ๆ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากศูนย์การค้ามากนัก ผมวางรายละเอียดงานไว้ที่หน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้าในห้องนั่งเล่น แล้วค่อยไปเคาะประตูห้องของเธอดัง ๆ สักสองชุด เรียกให้ตื่นจากภวังค์ขณะที่ผมไปเตรียมขนมปังปิ้งทาแยมสับปะรดและกาแฟเข้ม ๆ แล้วเอามาเสิร์ฟที่โต๊ะตัวเดิม ไม่นาน นายหญิงวัยยี่สิบกลาง ๆ ก็เปิดประตูออกมาในสภาพที่ดูไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวนัก แต่หลังจากได้ดื่มกาแฟได้กินขนมปังเข้าไป เธอก็ดูจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเล็กน้อย เธอคือ “ซาโซริ” หัวหน้าสุดโหดของผมเอง เธอเป็นผู้หญิงห้าว ๆ บางทีก็ร่าเริง บางครั้งก็ดูเงียบขรึม อ่านทางไม่ออก อดีตทหารที่ผันตัวมาเป็นคนนอกกฎหมาย ใส่ผ้าปิดตาขวาสีดำดูน่าเกรงขาม ออกกระทืบศัตรูด้วยชุดทหารเก่าของเธอ ไม่รู้ว่าเพื่อรำลึกอดีตรึไงก็ไม่ทราบ แต่ดูแล้วก็เท่ดีเหมือนกัน

“นายนี่เริ่มเลือกงานได้ถูกใจฉันซะทีนะ” ซาโซริที่อ่านใบงานที่ผมนำมาวางให้แล้วพูดออกมา ก่อนจะซดกาแฟ เป็นคำชมที่ฟังแล้วไม่ชื่นใจสักนิด

“คนบ้าพลังที่ขี้เกียจใช้สมองอย่างเจ๊ก็มีแต่งานรุนแรง ๆ อย่างถล่มซ่องโจรนี่ล่ะ ถึงจะชอบ”

“พักนี้ชักจะได้ใจใหญ่แล้วนะ ไอ้เด็กเวร” เธอด่ากลับก่อนจะกระแทกถ้วยกาแฟลงบนจานรองแก้วเบา ๆ ก่อนจะหยิบขนมปังแผ่นสุดท้ายมากิน เป็นปฏิกิริยาปกติ ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด

“สรุปว่าเอาไงล่ะ? ถ้าไม่ทำผมจะได้เอาไปคืน” ผมลุกขึ้น ทำทีว่าจะไปหยิบเอกสารนั่น

“จะบ้าเรอะ! แหม.. แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นน้อยใจนะ” เธอหัวเราะออกมาหลังจากได้แหย่ผมเล่น “เอาเถอะ งานนั้น เราจะเริ่มงานกันหกโมงเย็น”

“งานนั้น งั้นเหรอ? ”

“อ้าว! ไม่ได้บอกรึ? ว่าวันนี้เราต้องไปคุ้มกันกลุ่มพ่อค้ากลุ่มเล็ก ๆ ไปหาของนอกเมือง”

“..ผมว่าไม่ได้บอกนะ...”

“เอ.. สงสัยจะลืม ช่างเถอะ! เอ้า! ไปเตรียมตัวเสีย ให้เวลาเตรียมตัวสิบนาที” เฮ้ ๆ อย่าลืมเรื่องสำคัญแบบนี้บ่อย ๆ สิ... มันลำบากลูกน้องไม่ใช่รึไง

ผมเดินเข้าไปหยิบถ้วยกาแฟกับจานขนมปังเตรียมเอาไปล้าง “ทีหลังเรื่องแบบนี้ ช่วยบอกล่วงหน้าหน่อยเถอะนะเจ๊..”

“จ้า ๆ ” เธอตอบส่ง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปเตรียมตัวในห้องของตัวเอง ส่วนผมหลังจากล้างจานเสร็จก็กลับมานั่งรอที่เดิม ไม่นาน เธอก็ออกมา ใส่เครื่องแบบของเธอ สะพายปืนกลมือพร้อมออกศึก ส่วนผมมีแค่มีดสั้นเล่มเล็ก ๆ เป็นอาวุธ แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ส่วนจะเพราะอะไร เดี๋ยวคุณก็ได้เห็นเอง...

 

          ที่ร้านอาหารขนาดใหญ่ข้าง ๆ กับสหภาพกิลด์พ่อค้าที่ผมพึ่งไปมาเมื่อเช้า อันเป็นที่พบปะชุมนุมกันของเหล่าปุถุชน คนพเนจรทั้งหลายที่หากินกับการเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอันตราย ซาโซริพาผมไปพบกับกลุ่มพ่อค้าที่มีสมาชิกอยู่สี่คน เป็นชายสาม หญิงหนึ่ง ดูอายุก็คงไล่ ๆ กับผม ดูหน่วยก้านแล้วก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาจ้างให้คนอื่นคอยคุ้มกัน คุยกันได้สักครู่หนึ่ง พวกเราก็เดินทางออกจากเมืองด้วยเกวียนไม้

“สมัยก่อน พื้นที่รอบ ๆ นี้ยังจัดอยู่ในพื้นที่สีเหลือง คือจัดอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย อย่างมากก็โดนหมี โดนหมาป่าไม่ก็โจรเข้าโจมตี ถ้าดวงซวยมากพอ” ซาโซริพูดขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งเดินทาง

“ฟังดูไม่ค่อยน่าปลอดภัยเท่าไหร่นะ” ผมพูดขณะหยิบขนมออกมากิน

“แต่ทุกวันนี้กลายเป็นสีส้มเสียแล้วล่ะ หลังจากวันนั้น...” ซาโซริพูดด้วยเสียงต่ำลง พลางมองออกไปยังด้านนอกเกวียนด้วยแววตาที่ดูเศร้า ๆ

“หมายถึงวันที่พวกโซยูเรียแพ้ศึกที่คุเมะ ซาซาไลน์น่ะหรือขอรับ? ” หนึ่งในกลุ่มพ่อค้าร่วมแจมในการสนทนา

“ใช่แล้วล่ะ..” ซาโซริพูดแล้วหันไปมอง “ตั้งแต่วันนั้น ฝูงสัตว์ประหลาดก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งโซยูเรี่ยนตอนเหนือ เมืองโซฟานอเรียแห่งนี้ที่อยู่ห่างมาเกือบ ๆ 400 กิโลเมตรก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้คนเดือดร้อนมากมายหลายคนก็หันหลังให้อาชีพสุจริต รวมตัวเป็นกองโจรออกปล้นสะดมเพื่อความอยู่รอดจนกองทัพปราบไม่หวาดไม่ไหว สุดท้ายก็ปล่อยให้แต่ละหัวเมืองดิ้นรนเอาตัวรอดกันเอง ก็จึงเกิดระบบค่าหัวและเงินรางวัลขึ้น เกิดระบบกระดานจ้างงาน เกิดการรวมกลุ่มกันเป็นกิลด์นักรบ ออกตะลุมบอนกับสัตว์ประหลาดและเหล่าโจร” ซาโซริพูดแล้วหันมายังผม “และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทางการก็ได้ออกกฎให้กิลด์ทุกกิลด์ต้องขึ้นทะเบียน โดยแบ่งออกเป็นสองประเภท คือกิลด์พ่อค้าและกิลด์นักรบ ส่วนกิลด์หรือกลุ่มติดอาวุธใด ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็จะถูกตีตราว่าเป็นกิลด์โจร ถือว่าเป็นพวกนอกกฎหมาย และยิ่งถ้าไปทำอะไรผิดกฎหมายเยอะ ๆ เข้า ก็จะถูกตั้งค่าหัวและถูกล่า” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมา

“ผมยังสงสัยไม่หาย ว่าทำไมเจ๊ถึงไม่ตั้งกิลด์ให้มันถูกระเบียบเป็นเรื่องเป็นราวเสีย”

“กิลด์นักรบน่ะ จำเป็นต้องทำตามระเบียบของทางการอย่างเคร่งครัด เอกสารก็วุ่นวายแถมยังต้องเข้าประชุมกับสหภาพกิลด์นักรบทุกเดือนอีก กิลด์นี้น่ะ ทำตามกฎของฉันคนเดียวก็พอแล้ว ไอ้เรื่องขั้นตอนยุ่งยากน่าเบื่อน่ารำคาญพวกนั้นน่ะ ไม่จำเป็นหรอก แถมจะให้ไปนั่งเบื่อ ๆ ฟังพวกโลภมากเถียงกันว่าใครจะได้ผลประโยชน์ไปน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก”

“ดูเป็นข้ออ้างมากกว่าเหตุผลนะครับ เอาเถอะ ไง ๆ กิลด์โจรอย่างเรา ๆ ก็ไม่ต้องเสียภาษีนี่นะ? ” ผมตอบกลับ

“อันนั้นผลพลอยได้หรอก!” ซาโซริพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

“ลำบากแย่เลยนะขอรับ นักสู้อิสระอย่างพวกคุณทั้งสอง” พ่อค้าพูดขึ้นมา พลางมองมายังพวกเราด้วยแววตาที่ไร้ความชั่วร้ายในจิตใจ

“พวกเรามันก็แค่คนที่เอากำลังเข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินตราค่ะ พวกคุณที่เป็นพ่อค้าต่างหาก ทั้งภาษีสินค้า ค่าธรรมเนียมสมาชิกสหภาพกิลด์พ่อค้า ไม่ใช่เล่นเลยนี่คะ? ไหนจะการแข่งขันกันในหมู่พ่อค้ากันเองอีก” ซาโซริพูดแล้วยิ้มด้วยแววตาเย็น ๆ ของเธอ มองไปยังคุณพ่อค้าคนนั้น

“หนักเอาเรื่องเลยล่ะขอรับ เราถึงต้องมาเอาสิ่งนี้ให้ได้” พ่อค้าคนนั้นพูดแล้วหันหน้าไปมองทางข้างหน้า

“สิ่งนี้? ” ผมเอ่ยออกไปด้วยความสงสัย

“หนึ่งในวิธีสร้างกำไรจากสิ่งที่ตัวเองขายก็คือการลดต้นทุนไงล่ะ ยูคาริ ขายได้ในราคาตลาดหรือต่ำกว่า แต่ก็ยังคงได้กำไร แล้วหลาย ๆ ครั้ง การมาหาวัตถุดิบถึงแหล่งเองเพื่อเอาไปขายนี่แหละ ก็คือการตัดต้นทุนที่เรียบง่ายที่สุด” ซาโซริเริ่มอธิบายออกมา ฟังดูอ้อมค้อมไปเยอะอยู่

“แล้วสิ่งนี้ที่ว่านั่น คืออะไรล่ะ? ”

ซาโซริหันไปมองคุณพ่อค้าที่คุยกับเราอยู่เมื่อครู่ “ผลึกเวทมนตร์ใช่มั้ยคะ? คุณพ่อค้า”

พ่อค้าคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย หันมาหาซาโซริด้วยความตื่นกลัว “ทำไมถึงคิดเช่นนั้นหรือขอรับ? ”

“ได้ยินข่าวลือมาน่ะค่ะ ว่าหลังจากสัตว์ประหลาดนั่นแพร่ไปทั่ว ก็มีผลึกเวทมนตร์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทั้งแบบที่นำไปทำเป็นสื่อเวทมนตร์ได้และไม่ได้ ฉันเองไม่รู้รายละเอียดหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าตอนนี้ แคว้นโซยูเรียประกาศให้ผลึกเวทมนตร์พวกนี้เป็นสินค้าควบคุมแล้วกว้านบังคับซื้อจนขาดตลาด ของที่หายากอยู่แล้ว ก็ยิ่งหายากมากขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับราคาในตลาดมืด ที่ดีดสูงลิบลิ่ว เพราะงั้น คุณถึงได้มาจ้างพวกเราที่เป็นกิลด์นอกกฎหมายที่พอจะเชื่อใจได้ ใช่มั้ยคะ? เพราะถ้าต้องจ้างกิลด์นักรบที่ถูกกฎหมายก็ต้องลงรายละเอียดงาน และก็ต้องถูกบังคับให้ขายให้ทางการในราคาที่ถูกกว่าตลาดมืด” ซาโซริพูดฉอด ๆ ออกไปราวกับว่าเป็นนักสืบ เล่นเอาพ่อค้าพวกนั้นหน้าเสียอย่างออกอาการกันเป็นแถว

“ขอความกรุณา... อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะขอรับ...” พ่อค้าคนนั้นพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

“ฉันเองก็ไม่ได้จะข่มขู่อะไรพวกคุณหรอกนะคะ ของที่ว่าก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาได้มั้ย นั่นคือความเสี่ยงที่พวกคุณลงทุนออกนอกเมืองมาไม่ใช่รึ? ” ซาโซริพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย เห็นอย่างนั้น พวกพ่อค้าก็ผ่อนคลายลงไปได้หลายกระเปาะ “แต่ว่านะ ถ้าปรากฏว่าพวกคุณเจอขุมสมบัตินั่นจริง ฉันเองก็หวั่นไหวนิด ๆ นะคะ” เธอพูดต่อ แม้จะเป็นเสียงหวาน ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยคำข่มขู่ ทำผู้ว่าจ้างหน้าเสียจนซีดขาวไปตาม ๆ กัน เฮ้อ...

“อย่าไปขู่เขามากน่า เจ๊ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไง ๆ เรามันก็พวกนอกกฎหมาย ไม่ไปบอกใครหรอก ไม่เห็นได้ประโยชน์ตรงไหน” ผมพยายามปลอบ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รู้สึกผ่อนคลาย ซาโซริก็พูดเสริมอย่างไม่รอจังหวะให้ใครได้ตั้งตัว “นั่นคือความคิดของลูกน้องดิฉันคนเดียวค่ะ ส่วนฉันน่ะ เขี้ยวและโหดมากนะคะ! ก็เพราะว่าเราเป็นพวกนอกกฎหมายนี่ล่ะค่ะ ถึงได้มีหลากวิธีกำราบฝ่ายตรงกันข้าม”

“ละ... แล้วคุณ...ต้องการอะไรหรือขอรับ..? ” พ่อค้าเอ่ยถามด้วยสีหน้าของผู้ยอมจำนน หึ.. ไม่ต้องรบก็ยังชนะได้ หัวหน้าของเรานี่โหดจริง ๆ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นแค่กลุ่มพ่อค้าเล็ก ๆ ก็เถอะนะ..

ซาโซริแสยะยิ้มออกมา “ก็แค่ส่วนแบ่งจากการล่าสมบัติครั้งนี้เล็กน้อยค่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้โลภถึงขั้นทำพวกคุณขาดทุนหรอก อย่างไรเสีย พวกคุณก็คือหุ้นส่วนของฉัน” แม้จะได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ยังไม่หายหน้าซีด หลบสายตาและเลี่ยงที่จะพูดอะไรต่อ พวกเราก็จึงเดินทางอย่างเงียบ ๆ จนชวนอึดอัดจนมาถึงที่หมายในที่สุด

 

          ที่ตีนเขาไม่ไกลจากโซฟานอเรียมากนัก พวกพ่อค้าสามคนและซาโซริต่างเดินหายเข้าไปในป่า ทิ้งผมและคุณผู้หญิงเอาไว้เฝ้าเกวียน เธอจูงม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใกล้ ๆ ส่วนผมก็หาหินมาขัดตรงล้อ ไม่ให้เกวียนไหลไปไหน ก่อนที่จะไปนั่งพักกันใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ เกวียน เธอเป็นผู้หญิงที่ดูท่าทางเรียบร้อย แต่ว่ากลุ่มพ่อค้าของเธอกลับกำลังจะก้าวล้ำเส้นไปสู่เขตแดนอันตรายเสียแล้ว ตัวผมที่ก้าวข้ามมาก่อนก็คงไม่มีหน้าไปห้ามอะไรพวกเธอ ผมก็จึงนั่งของผมอยู่เงียบ ๆ มองซ้ายบ้าง ขวาที ระวังเผื่อมีอะไรไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น

“ทำไมถึงมาเป็นลูกน้องของผู้หญิงคนนั้นหรือเจ้าคะ? ” ในความเงียบงัน เธอนั้นได้เริ่มบทสนทนาขึ้นมา

“ถ้าให้พูดอย่างสั้น ๆ ก็.. เอาตัวรอดน่ะ” ผมตอบกลับไป สงสัยจะกำกวมไปหน่อย เธอเลยแสดงสีหน้างงงวยออกมา “วันหนึ่งฉันดันไปเกี่ยวพันกับอะไรยุ่งยากเข้า ก็ได้เจ๊แกช่วยเอาไว้ ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็เลยกลายเป็นลูกไล่หล่อนเรื่อยมาน่ะครับ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่”

เธอหัวเราะออกมา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของเธออย่างตั้งอกตั้งใจ “พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ได้พ่อค้าคนหนึ่งอุปถัมภ์ไว้ เป็นแรงงานเด็กที่คอยช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกิลด์ พอโตขึ้นก็ได้โอกาสติดตามคาราวานพ่อค้า...” เธอก้มหน้าลง “มาวันหนึ่ง กิลด์ของเราก็ถูกฟ้องร้อง แล้วทำให้กิลด์ถูกยุบไป พ่อเลี้ยงของเราฆ่าตัวตายหนีหนี้ พวกเราสี่คนเลยต้องเอาตัวรอดด้วยความรู้เท่าที่มี แต่ไม่ว่าจะไปหยิบจับสินค้าไหน ๆ ก็ถูกพวกเจ้าถิ่นกีดกันออกจากตลาด จะเอาของไปขายเมืองอื่นเราก็ไม่มีทุนพอ ก็เลยจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้...” เธอพูดด้วยสีหน้าที่กลั้นน้ำตาเต็มที่

“ถ้ายัยนั่นบอกว่าไม่เอาจนถึงขั้นให้พวกคุณขาดทุนก็หมดห่วงเถิดครับ กับคู่ธุรกิจน่ะ เธอไม่เคยหักหลังใคร” ผมพูดแล้วยิ้มให้ เธอเองก็มองผมด้วยแววตาที่ดูดีขึ้นนิดหน่อย

“ยูคาริครับ” ผมแนะนำตัวและยื่นมือไปหาเธอ

“ซาวาริเจ้าค่ะ” เธอตอบกลับขณะยื่นมือมาจับมือผม เป็นมือที่นุ่มและเรียวมาก ๆ หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันไปเรื่อย จนกระทั่งพวกซาโซริกลับมา

“ได้มั้ย? สิ่งที่เจ๊ต้องการ” ผมเอ่ยถามออกไป ซาโซริไม่ตอบอะไร แต่ยิ้มให้ผมแทน เอาเป็นว่าก็ได้คำตอบแล้วล่ะ ผมสังเกตเห็นพวกพ่อค้าขนตะกร้าที่มีทั้งผลไม้ป่า ของป่าและอื่น ๆ ที่ผมไม่รู้จัก ต่อให้จะออกมาแล้วไม่พบไอ้สมบัติที่ว่านั่น อย่างน้อยก็ไม่กลับไปมือเปล่า สมกับเป็นพ่อค้าจริง ๆ ไม่นานเราก็เดินทางกลับเมือง และในไม่ถึงสองชั่วโมง งานแรกของวันก็สิ้นสุดลง สำหรับทั้งซาโซริและพวกซาวาริ การเดินทางครั้งนี้ได้ผลเป็นที่น่ายินดียิ่ง และแล้วก็ได้เวลาที่จะต้องบอกลากัน

“ถ้าโชคชะตานำพา เราคงได้พบกันอีกนะเจ้าคะ” ซาวาริกล่าวลากับผม และก็เดินตามพวกของเธอไปฉลองในร้านอาหารร้านเดิมที่นัดเจอกันเมื่อเช้า

“พวกเราก็ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ซาโซริพูด ก่อนจะเดินไปตามทางโดยมีผมเดินตามไปติด ๆ

 

          ช่วงบ่ายหลังเสร็จงานแรกของวัน ที่ร้านอาหารที่ตกแต่งเหมือนกับฟาร์มในชนบท ซาโซริกินพิษซ่าด้วยสีหน้าเบิกบาน ส่วนผมค่อย ๆ บรรจงใช้ส้อมปั่นเส้นพาสต้า ก่อนจะยกขึ้นมากิน แม้อาหารจะเอร็ดอร่อยเพียงใด แต่ในใจผมก็ยังคงกังวลถึงงานในส่วนของเย็นวันนี้ ไหนจะเรื่องผลึกเวทมนตร์อะไรนั่น แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป

“ยังขี้กังวลไม่เปลี่ยนเลยนะ นายน่ะ” ซาโซริบ่นออกมาขณะมองมายังผม เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ? ”

“ก็นะ นายน่ะ เป็นคนประเภทที่มองออกได้ง่ายจะตาย” เธอพูดแล้วกินพิษซ่าชิ้นที่เธอถืออยู่จนหมด “ทำใจให้ชินให้ได้เร็ว ๆ เถอะ ฉันว่านายก็แค่คิดมากจนเกินไปเท่านั้นล่ะ”

“พูดมันก็ง่ายสิ...” ผมพูดแล้วยื่นส้อมไปจิ้มมีตบอลมากิน อืม... อร่อยดีแฮะ

“ว่าแต่ร้ายไม่เบานี่ หืม? คุยอะไรกับน้องคนนั้นบ้างละ? ” ซาโซริพูดแล้วมองผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ คงจะหมายถึงซาวาริล่ะมั้ง?

“จะไปมีอะไรล่ะเจ๊ ก็คุยกันเรื่องธรรมดานี่ล่ะ”

“เหรอ? เห็นแกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดขากลับ ก็นึกว่าจะตกหลุมรักน้องเขาไปแล้ว นี่! ถ้าจะรุกต่อฉันช่วยให้ได้นะ” เธอพูดแล้วหัวเราะออกมา

“จะบ้าเรอะเจ๊!? ” ผมพูดแล้วหลบสายตาไปทางอื่น โดนแซวอย่างนี้ เป็นใครมันก็ต้องเขินกันทั้งนั้นแหละ แต่.. ซาวาริเองก็น่ารักจริง ๆ ละนะ

ซาโซริยิ้มแล้วนิ่งไป กินอาหารส่วนของเธอต่อจนอิ่ม ส่วนผม หลังจากกินพาสต้าตัวเองจนหมดก็เก็บส่วนที่ซาโซริกินเหลือจนหมด ไม่นาน เราทั้งสองที่แน่นท้องไปด้วยของอร่อยก็กลับมายังรัง พักผ่อนกันพักหนึ่ง ให้ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า พวกเราก็เตรียมตัวสู้อีกศึกของวันนี้

“ไปทำงานกันเถอะ ยูคาริ” ซาโซริในสภาพพร้อมรบเดินไปที่หน้าประตูหันมามองผมแล้วแสยะยิ้มออกมา

“รับทราบ..” ผมสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ที่หลัง น้อมรับคำสั่งแล้วเดินตามไปติด ๆ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายของเรา ซ่องโจร “อิลลา”

 

          ในซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ ในแถบชานเมืองฝั่งตะวันตก ซาโซริและผมเดินลึกเข้าไปในความมืด ใจของผมเริ่มสั่นด้วยความหวาดหวั่น ล่อกแล่กมองไปมองมา ในขณะที่ซาโซริจ้องมองไปข้างหน้าแล้วเดินไปอย่างเยือกเย็น ที่ด้านหน้านั้นมีชายร่างใหญ่ยืนพูดคุยกันอยู่สามสี่คน ใกล้กันนั้นมีประตูที่ไม่มีลูกบิดที่ด้านนอก เมื่อพวกเขาเห็นเราเดินเข้าไปหา ก็ตกใจ ตะโกนไล่ให้พวกเราออกไปจากซอยนี้ ซาโซริหยุดฝีเท้า ยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบ เห็นอย่างนั้น พวกเขาก็ชักดาบพุ่งเข้าใส่เธอ เสียงปืนดังซ้อนกันชุดหนึ่ง ก้องไปทั่วซอยแคบ ๆ แสงวาบเกิดขึ้นที่ด้านหน้าของซาโซริ แล้วพริบตาเดียว ร่างของพวกศัตรูก็ล้มฟุบไปกับพื้น นอนแน่นิ่งไปอย่างไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก เธอเดินไปแอบข้าง ๆ กำแพง รอคนด้านในเปิดประตูออกมาตรวจสอบเสียเอะอะข้างนอก และเมื่อเหยื่อติดกับดัก เปิดประตูออกมา เธอก็รัวกระสุนใส่โจรดวงซวยนั่นไปชุดหนึ่ง เมื่อประตูเปิดออก เธอก็สั่งให้ผมเฝ้าประตูนี้ไว้ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในประตูนั้น เสียงปืนดังขึ้นมาอีกหลายต่อหลายนัด ส่วนผมก็เขี่ย ๆ ศพศัตรู หยิบอาวุธ ของมีค่าหรืออะไรที่ดูน่าจะขายได้เอามาเก็บใส่กระเป๋า เจ้าพวกนี้เป็นโจรกระจอก ก็เลยไม่ค่อยมีของอะไรมาก ครู่ต่อมาเสียงปืนก็เงียบลง ซาโซริเรียกให้ผมเริ่มงานส่วนของผมได้ ผมก็จึงเดินเข้าไปข้างใน ก็เห็นพวกโจรที่เหลือยอมจำนนกับซาโซริแต่โดยดี ผมเข้าไปมัดข้อมือพวกเขาด้วยเชือกทีละคน ๆ ขณะที่ซาโซริจ่อปืนขู่เอาไว้เผื่อใครคิดขัดขืน เมื่อเสร็จแล้ว ผมก็กลับไปตามเก็บของขายจากศพผู้วายชนม์ต่อ หลังจากที่ฉกชิงของจากคนตายจนเป็นที่พอใจได้ไม่นาน พวกยามรักษาการณ์ก็เข้ามาตรวจสอบเสียงของความวุ่นวาย ซาโซริก็ถือโอกาสส่งมอบเชลยให้กับพวกยามรักษาการณ์ของเมือง แล้วตามพวกเขาไปยังศูนย์บัญชาการยามรักษาการณ์ ส่งพวกโจรยัดเข้าคุกใต้ดิน แล้วให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเขียนใบรับรองให้ เพื่อนำมันไปเป็นหลักฐานขึ้นเงินรางวัลที่กิลด์พ่อค้าในวันรุ่งขึ้นก็เป็นอันจบงาน มาถึงตรงนี้ก็คงจะเห็นแล้ว ว่าต่อให้ผมจะพกอาวุธอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ผมไม่ได้ลุย เป็นแค่แรงงานแบกสัมภาระที่ชิงมาได้เท่านั้น ก็ไม่รู้จะดีใจรึเสียใจกับหน้าที่นี้ดี แต่เอาเถอะ! รอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว น่าแปลกที่แม้เมืองแห่งนี้จะมีกองพลโซฟากุนอฟอยู่ แต่ดูเหมือนว่าการรักษาความปลอดภัยทั่วไปในเมืองจะเป็นหน้าที่ของยามรักษาการณ์ ที่ขึ้นตรงกับเจ้าเมืองโดยตรง กองทัพจะไม่เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายใน เว้นเสียแต่จะเป็นเรื่องพิเศษหรือกรณีฉุกเฉิน เท่าที่ฟังจากที่ซาโซริบ่นให้ฟังตอนกินเหล้า ระบบราชการนี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากน่าปวดหัวเอามาก ๆ เลย ให้ตายก็ไม่ขอเป็นเด็ดขาด

“เอาของไปเก็บที่สำนักงานแล้วไปฉลองกันดีกว่า ยูคาริ” ซาโซริพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี เป็นอีกหนึ่งวันที่โชคเข้าข้างเธอเหลือเกิน ลูกน้องอย่างผมก็พลอยใจชื้นไปด้วย เพราะมันนำมาซึ่งการฉลองหลังเลิกงานไงล่ะ!

 

          ที่โรงเตี๊ยมชื่อ “แสงจันทร์ส่องทาง” เป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลจากรังของเรามากนัก เป็นร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เป็นร้านโปรดของซาโซริเพราะที่นี่มีสุราหลากชนิดให้เธอได้ลิ้มลอง ผมเองก็ติดอกติดใจไก่ทอดของที่นี่เป็นอย่างมาก แถมยังมีดนตรีสดให้ได้สดับรับฟังกันอย่างเพลิดเพลินใจ ร้านแห่งนี้จึงกลายเป็นที่ที่เราใช้ฉลองกันหลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน ที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน แม้จะได้ยินเสียงดนตรีไม่ถนัดนัก แต่ก็ไม่มีโต๊ะข้าง ๆ มาวอแวด้วย

“เอ้า! ยูคะจัง ชน!!” ซาโซริพูดแล้วยกแก้วเบียร์ของเธอยื่นมาหาผม

“เย่!” ผมที่กำลังแทะไก่อย่างเมามันก็ยกแก้วโคล่าของผมไปชนกับเธอ

ไม่นาน อาหารสารพัดเมนูก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ชนิดว่ากินแค่กับแกล้มก็อิ่มจนไม่ต้องกินข้าวได้เลย ยิ่งดื่มเบียร์เข้าไป ซาโซริก็ยิ่งแสดงความร่าเริงออกมา เริ่มเล่าเรื่องนั่นนี่ เส้นตื้น หัวเราะออกมาง่ายดาย ชนิดที่ว่าต่อให้คุณเล่าเรื่องตลกไม่เก่ง เธอก็ยังขำให้จนคุณรู้สึกภูมิใจในตัวเองไปเลย เราสังสรรค์ให้กับวันที่เหนื่อยยากอยู่จนถึงสี่ทุ่ม ผมก็พยุงซาโซริที่เมาปลิ้นออกมาจากร้าน เดินไปตามถนนที่ชวนเงียบเหงาของโซฟานอเรียยามราตรี

 

          ผมค่อย ๆ วางซาโซริลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เดินไปในครัว เอาน้ำเปล่าเทใส่แก้วแล้วเอาไปให้เธอดื่ม เมื่อซาโซริอยู่เพียงลำพัง เธอมักจะเหม่อลอยหงอยเหงา ผิดกับตอนยังอยู่ที่ร้านที่ดูเริงร่าท้าลมแดด อย่างกับคนละคนกันอย่างไงอย่างงั้น นี่สินะ ฤทธิ์ของน้ำเมา

“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าดูเศร้า ๆ ” ผมเดินเข้าไปหาเธอแล้วยื่นน้ำให้ ซาโซริหันมามองผมด้วยหน้าแดง ๆ ของเธอ.. แดงเพราะเมาอะนะ.. เธอยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่มีอะไร” เธอพูดด้วยเสียงเบา ๆ ที่เยือกเย็น ยิ้มให้ผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย รับน้ำไปดื่มก่อนจะเข้าห้องไปพักผ่อน ส่วนผมก็เอาแก้วไปล้าง ปิดไฟห้องนั่งเล่นแล้วก็เข้าไปพักผ่อนในห้องตัวเองบ้าง อา.. ช่างเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยเสียเหลือเกิน...

 

          วันต่อมา ผมก็นำรายละเอียดงานกับใบรับรองไปขึ้นเงินรางวัลที่สหภาพกิลด์พ่อค้า หลังจากที่รอการตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ออกมาจากที่นั่นพร้อมกับเงินค่าจ้าง เอาเงินรางวัลไปไว้ที่โต๊ะทำงานซาโซริ แบกสัมภาระที่เก็บ (ขโมย) มาเอาไปขายให้กับช่างตีเหล็กที่รู้จักกัน เขารับซื้อพวกมันในฐานะเศษเหล็กที่จะนำไปหลอมใหม่ แม้จะได้แค่เศษเงินไม่กี่แดง แต่เงินส่วนนี้ก็เป็นของผมทั้งหมด ซาโซริไม่หักส่วนแบ่งใด ๆ ก็ถือว่าเธอยังมีความใจดีอยู่บ้าน ซึ่งผมก็จะนำเงินพวกนี้ไปละลายกับกิเลสของตัวเองในภายภาคหน้าอันใกล้

“ยูคาริ” ว่าแล้ว เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็เห็นว่าเป็นซาโซริที่ออกมาเดินเที่ยวข้างนอกพอดี

“มีอะไรรึ? ”

“พรุ่งนี้เราจะไปเวียร์เรสเบิร์กกัน” เธอพูดออกมาด้วยท่าทางเรียบเฉย ก่อนจะเดินไปธุระของเธอต่อ ทั้งผมไว้กับความสับสนงุนงงเพียงลำพัง

 

          เมืองเวียร์เรสเบิร์ก แคว้นโซยูเรีย อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโซฟานอเรียไปราว ๆ 80 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแคว้นโซยูเรีย ตั้งอยู่บนตีนเขาที่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน มีประชากรมากกว่าเมืองของเราไม่มาก แต่ขนาดเศรษฐกิจและกองทัพถือว่าใหญ่โตแทบจะเป็นสองเท่าของโซฟานอเรียเลยทีเดียว ผมและซาโซริมายังเมืองแห่งนี้เพื่อคุ้มครองคาราวานของพวกซาวาริที่นำผลึกเวทมนตร์มาขายที่นี่ ซาวาริที่ได้เจอกับผมอีกครั้ง ก็ยิ้มให้กับผมราวกับยินดีกับโชคชะตาที่นำพาเราทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้ง ผมเองก็ปลาบปลื้มไม่น้อยเช่นกัน พวกเราออกเดินทางด้วยเกวียนตั้งแต่เช้ามืด ใช้เวลาราว ๆ 4 ชั่วโมงก็มาถึงโดยสวัสดิภาพ ส่วนเรื่องผลึกเวทนั่น เท่าที่ฟังดู แม้ว่าผลึกเวทมนตร์จะเป็นสิ่งหายาก ราคาสูง แต่ก็หาผู้ที่สนใจจะจ่ายเงินเพื่อมันยากด้วยเช่นกัน ยิ่งจำต้องค้าขายภายใต้เงาของผู้รักษากฎหมายด้วยแล้ว ก็ยิ่งยากไปใหญ่ ส่วนมากพวกที่รับซื้อจะเป็นพวกขาจรที่มีพ่อค้าเจ้าประจำเป็นของตัวเองอยู่แล้วมากกว่า พวกเขาเลยต้องนำมันมาขายที่เมืองนี้แทน แม้เวียร์เรสเบิร์กจะอยู่ภายใต้กฎของแคว้นโซยูเรียที่ประกาศให้ผลึกเวทมนตร์เป็นสินค้าควบคุมก็ตาม แต่ตลาดมืดที่นี่ก็กว้างขวางมาก ความเสี่ยงที่จะถูกจับก็น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงมาเยือนเมืองแห่งนี้ด้วยความหวัง ทั้งพวกพ่อค้าที่หวังจะได้กำไรกลับไปและผมที่อยากให้การเดินทางครั้งนี้ จบลงด้วยความสุขสงบ ด้วยเหตุที่งานหนนี้ต้องมาต่างเมือง ผมก็จึงเจียดเงินที่มีส่วนหนึ่งไปหาซื้อดาบสั้นมาเล่มหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะไปเห็นเขาขายแล้วดูสวยดี แถมราคาถูกอีก จำเป็นจริง ๆ นะ เผื่อได้ใช้ในสถานการณ์คับขัน ส่วนซาโซริ แม้ว่าที่โซฟานอเรีย เธอจะสามารถสะพายปืนเดินไปไหนมาไหนได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อมาต่างเมือง ก็ดูเหมือนว่าเธอจะทำตัวเหมือนอยู่บ้านไม่ได้ เธอต้องทิ้งปืนกลมือสุดรักสุดหวงไว้ที่ห้องนอน แล้วพกดาบมาแทน มันเป็นดาบที่เธอพกติดตัวแทบตลอดเวลาที่ออกทำงาน แต่ผมไม่ค่อยได้เห็นเธอใช้เท่าไหร่ ก็คงเพราะแค่ปืนกลกระบอกเดียวก็เพียงพอจะยับยั้งศัตรูได้ ก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ แต่ไม่ยักกะเปลี่ยนชุดแฮะ ยังใส่ชุดทหารไว้ใต้เสื้อโค้ทเหมือนเดิม อย่างไรเสีย สัญชาตญาณของผมบอกว่าก็คงได้เห็นเธอใช้มันเร็ว ๆ นี้เป็นแน่ เฮ้อ... ขอล่ะ อย่าเป็นอย่างนั้นเลย

 

          การเดินทางของพวกเราพึ่งจะเริ่มขึ้นได้ไม่นานนัก ผมก็ไม่ทราบว่าความหวังของคุณพ่อค้าจะเป็นจริงได้มั้ย? แต่ดูท่า ความหวังอันสุขสงบของผมจะพังลงไปเรียบร้อย.. หลังจากที่เราเข้ามาในเมืองได้ไม่นาน พวกของซาวาริก็ถูกพวกพ่อค้าท้องถิ่นเข้ามาหาเรื่องไถเงินค่าธรรมเนียม ซึ่งซาโซริก็พยายามแทรกแซงอย่างสันติ แต่แล้ว หนึ่งในพวกพ่อค้าท้องถิ่นนั้นก็ชี้หน้าด่าทั้งเธอและพวกของซาวาริอย่างดุเดือด ผมที่นั่งดูอยู่ในเกวียนก็ได้ยินเสียงหลอดความอดทนของซาโซริที่แตกออก ซาโซริที่ไฟเริ่มติดก็เริ่มด่าสวนกลับ และแล้ว จากการด่าทอกันก็กลายเป็นการวิวาทด้วยกำปั้น ก็...ไม่รู้จะเรียกว่าวิวาทได้มั้ย เพราะซาโซริก็ซัดเขาอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อรับรู้ด้วยความเจ็บปวดว่าตนสู้ไม่ได้ พวกพ่อค้าเจ้าถิ่นพวกนั้นก็หนีไป แต่ผมก็รับรู้ได้โดยธรรมชาติ ว่าความวุ่นวายมันพึ่งจะเริ่มต้น อย่างไรเสีย ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป ไม่มีเวลามาสะดุดให้กับเรื่องขี้หมาข้างทาง

“แล้ว..พวกคุณซาวาริรู้มั้ยครับ ว่าต้องเอาไอ้นั่นไปขายที่ไหน คงไม่ได้มาตายเอาดาบหน้าหรอก ใช่มั้ย? ” ผมเอ่ยถามกับแม่สาวซาวาริที่นั่งรออยู่บนเกวียนเหมือนกัน

“เจ้าค่ะ ฮาบาริบอกว่าที่เมืองนี้จะมีตลาดเล็ก ๆ ของพวกจอมเวทอยู่ภายในตลาดใหญ่อีกที ถ้าเป็นที่นั่น รับรองว่ายังไงก็ขายได้เป็นแน่เจ้าค่ะ” เธอพูดแล้วยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ก็หวังว่าจะราบรื่นนะครับ เพราะผมสังหรณ์ใจว่ากำลังจะมีอะไรวุ่นวาย ๆ ตามเรามาอยู่”

“ทำไมหรือเจ้าคะ? ” เธอเอ่ยถามออกมาอย่างไร้เดียงสา หารู้ไม่ว่าคนคุ้มกันของเธอกำลังจะพาเรื่องมาหา

ผมหันไปทางหน้าเกวียนแล้วชี้พวกพ่อค้าที่กำลังวิ่งเตลิดหนีไปให้ซาวาริมองตาม “นั่นไงล่ะครับ”

“เอ๋? คุณซาโซริก็จัดการให้แล้วนี่เจ้าคะ? ” เธอยังคงไม่รู้เรื่อง

“เดี๋ยวคุณซาวาริก็รู้เองล่ะครับ ว่าผมหมายถึงอะไร..” เธอฟังแล้วไม่ตอบอะไรกลับมา คงไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร แต่เอาเถอะ เดี๋ยวปัญหาที่ว่าก็มาให้เห็นเอง

“หยุดบ่นพึมพำแล้วส่งกระเป๋าของฉันมาเร็ว ยูคาริ!” ซาโซริที่หายหงุดหงิดแล้ว (มั้ง) เดินเข้ามาสั่ง ผมก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่ว่าส่งไปให้เธอ ซาโซริแนะนำกับหัวหน้าของกลุ่มว่าให้เขาเข้าเขตตลาดมืดไปกับเธอแค่สองคนเพื่อไม่ให้สะดุดตา ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่เกวียน อย่าไปไหนกันเอง เนื่องจากเราเป็นพวกต่างถิ่นที่จะถูกเล่นเอาได้ง่าย ๆ หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือ ผมต้องคุ้มครองซาวาริและเพื่อน ๆ จนกว่าซาโซริจะกลับมา

 

โอ้! ดูสิว่าใครมา.. พวกกุ๊ยที่โดนซาโซริอัดไปเมื่อครู่ กลับมาพร้อมกับเพื่อน ๆ เพียบเชียว ตรงดิ่งมายังเกวียนของพวกเราด้วยท่าทางเหมือนคนอยากมีเรื่อง

“เฮ้ย! ไอ้พวกบ้านนอก ยัยผู้หญิงป่าเถื่อนที่ทำร้ายลูกน้องฉันมันอยู่ไหน!? โผล่หัวออกมาออกมาสิวะ!” คนที่ดูท่าทางเหมือนเป็นหัวโจกตะโกนแล้วชี้ดาบมายังพวกเรา

“ไม่อยู่นะครับ ไปธุระ..” ผมตีหน้าเซ่อ ชี้เข้าไปยังตลาด พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาที่กำลังจะมา

“ชั่งเถอะ! อย่างไรเสีย ไอ้พวกพ่อค้าหลังเขาเข้าเมืองมาแล้วไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม คิราโด้ผู้นี้เห็นทีจะต้องสั่งสอนพวกแกเสียหน่อยแล้ว” มันพูดแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องของมัน ผมพยายามมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นทหารรึยามหรือใครที่พอจะช่วยได้ ชาวเมืองเดินกันเพ่นพ่านแต่ไม่ยักกะมีใครสนใจจะช่วย มองมาแล้วทำเมินมองไปทางอื่น ให้ตายสิน่า..

ไม่มีทางเลือก ผมมองไปยังพวกซาวาริ พวกเขามองมายังผมด้วยความตระหนก ผมเองก็คงพูดหล่อ ๆ อย่าง “ฉันจัดการเอง ไว้ใจได้” ไม่ได้หรอก ใจหนึ่งก็อยากจะขอให้พวกเขาร่วมช่วยสู้ แต่ดูจากจำนวนแล้ว ไง ๆ ก็น่าจะแพ้เป็นแน่ “พวกคุณสามคนรีบเข้าไปตามซาโซริมาเถอะครับ เกวียนนี่ ไง ๆ ก็ไม่มีของมีค่าอะไรเป็นพิเศษใช่มั้ยล่ะ ถ้าโดนเอาไปผมก็ขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ”

“แล้วคุณยูคาริล่ะเจ้าคะ? ” ซาวาริมองผมด้วยความกังวล

ผมยิ้มแห้ง ๆ ให้เธอ “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ พวกคุณจ่ายเงินให้ผมมาคุ้มครองพวกคุณนี่นา ความปลอดภัยของพวกคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด ถึงผมจะไม่เก่งเท่าเจ๊ซาโซริ แต่ก็ไม่ได้กระจอกหรอกนะ” ผมพูดติดตลกออกไป หวังจะช่วยไม่ให้เครียดกัน แต่ไม่มีใครขำสักคน ผมเดินลงจากเกวียนไปเผชิญหน้ากับศัตรู ส่วนทั้งสามคนที่เหลือก็ใช้จังหวะนี้โดดออกจากเกวียนแล้ววิ่งเข้าไปในเขตตลาด อย่างไรเสีย ถ้าไง ๆ ก็ต้องแพ้อยู่แล้ว ก็ขอเจ็บคนเดียว ปล่อยให้นายจ้างรอดไปน่าจะดีกว่า..

พวกคิราโด้เมื่อเห็นผมออกมาเผชิญหน้าคนเดียวก็หัวร่อกันอย่างสนุกสนาน “เฮ้ย ๆๆ ไอ้หนู ตัวคนเดียวแบบนี้คิดว่าจะชนะได้รึไง? จะหยามผู้ใหญ่เกินไปหน่อยม้า~ง? ”

ผมไม่พูดอะไรตอบกลับ ยกดาบสั้นขึ้นมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เอาวะ! ตายเป็นตาย!

คิราโด้มองมายังผมด้วยความสนใจ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “น่าสนุกดีนี่” เขาพูดแล้วเดินเข้ามาหาผม เมื่อเห็นลูกน้องคนอื่น ๆ จะเข้ามารุมกระทืบผมด้วย พี่แกก็หันไปห้าม ดูท่าคงคิดจะสู้กับผมคนเดียวล่ะมั้ง? “มาเลยสิ ไอ้หนู” เขาพูดด้วยท่าทางกวนประสาท กะหวังให้ผมวิ่งเข้าใจ แต่เสียใจด้วย เรื่องพวกนี้น่ะ ผมเก่งกว่าพี่เยอะ

“อย่ามาพูดจาหมา ๆ ดีกว่าน่าลุง อยากกระทืบผมนักก็ขยับก้นเข้ามาเองสิ” ผมพูดจายียวนกวนส้นเท้ากลับไป และก็ดูเหมือนจะได้ผล คิราโด้ควันออกหู พุ่งเข้ามาพร้อมแทงดาบของตัวเองเข้าใส่ผม เห็นมั้ย? บอกแล้ว ว่าผมเก่งกว่าลุงเยอะ เรื่องปั่นประสาทชาวบ้านเนี่ย...

ผมกะจังหวะแล้วใช้ดาบสั้นเบี่ยงวิถีดาบของคิราโด้ออก แล้วฟันเข้าใส่ลำตัวของเขา แต่น่าเสียดายที่แรงฟันเบาเกินไป เลยไม่สามารถเฉือนผ่านเกราะหนังของเขาได้ คิราโด้ถอยไปตั้งหลักครู่สั้น ๆ แล้วเข้าตีผมอีกรอบ ผมตั้งการ์ดรับดาบของหมอนั่นได้ไม่ยากนัก แต่ให้ตายสิ แรงเยอะอะไรขนาดนี้เนี่ย แค่รับการโจมตีไหวก็เต็มกลืนแล้ว.. ไม่ได้การ ต้องรีบโจมตีสวนคืน ผมรอจังหวะที่คิราโด้จะโจมตี ยกดาบขึ้น แกล้งว่าจะป้องกัน เมื่อดาบจะปะทะกัน ผมก็ชักดาบตัวเองกลับ ปล่อยให้ดาบของคิราโด้ไหลไปตามแรงเหวี่ยง เมื่อศัตรูเสียท่า ผมก็เหวี่ยงดาบเข้าฟันคิราโด้เข้าที่ลำตัวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ครู่ต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงวัตถุตกลงกับพื้น เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นใบดาบที่หักออก เมื่อหันไปมองดูดาบสั้นของตัวเองก็พบว่ามันได้สั้นลงไปกว่าเดิมอีก โอ.. ให้ตาย ไม่น่าซื้อของถูก ๆ มาเลย คิราโด้ที่เสียท่าสองครั้งติดก็ยิ่งโมโหมากขึ้น เมื่อเห็นว่าดาบผมหักก็แสยะยิ้มออกมา ตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่ผม ตายละวา เรา...

 

          เสียงแห่งความวุ่นวายดังสนั่นมาจากทางด้านหลังของคิราโด้ ทั้งผมและหมอนั่นต่างก็หันไปมองตามความโกลาหลที่เกิดขึ้น ก็ปรากฏเป็นซาโซริกับดาบตรงที่มีคมด้านเดียวของเธอ กำลังร่ายรำสังหารลูกน้องของคิราโด้ เมื่อเห็นว่าเธอปรากฏตัวออกมา คิราโด้ก็ผละจากผมแล้วพุ่งเข้าใส่เธอในทันที ทั้งคู่เหวี่ยงดาบเข้าปะทะกันอย่างหนักหน่วง แล้วในท้ายที่สุด คิราโด้ผู้หมายมั่นจะแก้แค้นให้ผู้เป็นลูกน้องก็ต้องดับดิ้นสิ้นชีวีไปพร้อมกับลูกกระจ๊อกทั้งหมด

“กะไว้แล้วว่าไอ้ลูกหมาพวกนั้นต้องไปตามป๊ะป๋ากลับมาหาเรื่อง ดีนะที่ออกมาดักรอไว้ก่อน” ซาโซริพูดขณะเดินเข้ามาหาผม ที่ด้านหลังเป็นพวกของซาวาริที่เดินตามมาติด ๆ ดูเหมือนจะปลอดภัยกันทุกคน “ทำได้ดีมาก ยูคาริ ทำหน้าที่ผู้คุ้มครองและนกต่อได้ดีมาก” ซาโซริพูดกับผมแล้วยิ้มให้

“ฮะ ๆ ขอบคุณครั.. หา? นกต่อ? ”

“ใช่! นายนี่นับวันยิ่งทำงานเข้าตาฉันดีนะ! นี่ขนาดไม่ได้สั่งนะเนี่ย” เธอพูดแล้วหัวเราะออกมาก อะไรวะ? นี่เอาเราเป็นเหยื่อล่อศัตรูเหรอ เออ... ชั่งเหอะ....

“เฮ้ ๆ อย่าโกรธขนาดนั้นสิ นายนี่ขี้งอนจังนะ” สงสัยซาโซริจะเห็นความไม่พอใจของผมออกมาบนสีหน้า เธอเลยแซวออกมา ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่รู้จะพูดอะไรดี...

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะขอรับ? ” คนที่ดูเป็นหัวหน้าพ่อค้า เอ.. รู้สึกจะชื่อฮาบาริ? เข้ามาคุยกับผมด้วยท่าทีเป็นห่วง ส่วนพวกที่เหลือก็มองมายังผมด้วยท่าทีที่ดูกังวล

“ไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” ผมยิ้มแล้วตอบกลับไปให้พวกเขาสบายใจ ฮาบาริได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา

“เจ๊พาพวกเขาไปขายของเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเกวียนเอง” ผมพูดแล้วกำลังจะเดินหนีกลับไปขลุกในเกวียน

“เดี๋ยวสิ!” ซาโซริพูดแล้วคว้าไหล่ผม

เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าเจ๊แกยื่นเงินมาให้จำนวนหนึ่ง “ดาบหักไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไปหาอาวุธใหม่ซะ แล้วก็อย่างกซื้อของถูก ๆ โหลยโท่ย ๆ มาอีกล่ะ”

“..ขอบคุณครับ” ผมรับเงินมา ซาโซริเมื่อยื่นเงินให้ ก็หันหลังกลับ พาพวกของฮาบาริทุกคนเข้าไปในตลาด ส่วนผมก็เดินไปมา มองหาร้านของช่างตีเหล็กในเมือง โอ๊ะ! ริมถนนฝั่งนู้นเหมือนจะมีอยู่ร้านหนึ่ง เอาล่ะ ไปดูเสียหน่อยดีกว่า...

 

          ในร้านอาวุธที่กินพื้นที่สองห้องแถว ภายในตกแต่งด้วยผนังไม้สีเข้ม มีอาวุธนานาชนิด ทั้งแขวนตามกำแพงและวางในตู้จัดแสดง ผมเดินเข้าไปยืนตะลึง มองไปมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่นาน เจ้าของร้านที่สังเกตได้ว่ามีคนเข้ามาในร้านก็หันมาต้อนรับ ผมก็จึงบอกไปว่ากำลังหาอาวุธที่เหมาะกับตัวเองมาใช้สักชิ้น ลุงเจ้าของร้านก็พิจารณารูปร่างของผมอยู่ครู่ ไถ่ถามถึงหน้าที่ที่ทำ บรรดาสมรภูมิที่ต่อสู้ เมื่อผมตอบกลับไป พร้อมเล่าถึงสถานการณ์ของผมเมื่อครู่ให้ฟัง เขาก็พิจารณาอยู่พัก ก่อนจะเดินพาผมไปดูบรรดาขวานศึกที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของผม ที่ต่างก็มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย มีทั้งแบบใช้มือเดียวและสำหรับสองมือ คุณลุงบอกว่าแรงของผมมีน้อย ลำพังแรงเหวี่ยงดาบอาจไม่มากพอที่จะเจาะเกราะศัตรู ดังนั้น หากใช้เป็นขวาน ที่ส่วนหัวมีน้ำหนักมาก ทำให้แรงเหวี่ยงมีน้ำหนักมากตามไปด้วย ก็น่าจะเหมาะกว่า และการต้องต่อสู้กับโจร ไม่ว่าจะสู้ทั้งในเมืองหรือในซ่องโจร โดยมากก็มักจะเป็นที่แคบ ก็จึงแนะนำขวานมือเดียว ให้ผมลองเลือกอันที่ถูกใจดู ผมหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่ง มันเป็นขวานที่มีตัวใบมีดขนาดกำลังดี น้ำหนักใช้ได้ ไม่มากรึน้อยเกินไป ที่อีกฝั่งของใบมีดเป็นหัวหอกเล็ก ๆ ไว้สำหรับทิ่มหรือเกี่ยว เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็รู้สึกถูกชะตากับขวานเล่มนี้ทันที เมื่อเอ่ยถามราคาไปก็พบว่ามันเป็นเงินราวสามในสี่ของที่ซาโซริให้มาเลยทีเดียว แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คุณลุงเสนอให้ผมถือโล่ด้วยมืออีกข้าง เพื่อความสมบูรณ์ทั้งโจมตีและป้องกัน แต่ดูเหมือนผมจะไม่มีเงินมากพอก็จึงปฏิเสธไป และแล้ว ซาโซริค ยูคาริผู้นี้ก็ออกมาจากร้านอาวุธพร้อมกับขวานศึกคู่ใจพร้อมซองหนังอย่างดี ไว้สำหรับเหน็บขวานไว้ข้างเอว นั่งเฝ้าเกวียนอย่างมาดมั่น ว่างก็หยิบขวานขึ้นมาเชยชมด้วยความเห่อ

 

          ในช่วงบ่าย ที่ท้องของผมเริ่มร้องออกมาอย่างหิวโหย พวกซาโซริก็เดินออกมาจากตลาด ทั้งเธอและฮาบาริต่างก็ยิ้มขนาดที่ต่อให้มองมาจากไกล ๆ ก็ยังเห็น แปลว่าคงจะได้กำไรจนเป็นที่น่าพอใจ ผมก็จึงลงจากเกวียนเดินเข้าไปหา

“ขวานงั้นรึ? ” ซาโซริมองมายังคู่หูใหม่ของผมแล้วเอ่ยถามออกมา

“ลุงแกแนะนำมาน่ะ ผมว่าก็เหมาะดี”

“อื้ม ก็ดูเป็นของคุณภาพดีใช้ได้เลย” ซาโซริพูดแล้วตบบ่าผมเบา ๆ

ผมสังเกตเห็นว่าพวกฮาบาริกลับมาพร้อมสินค้าที่จะนำกลับไปขายที่โซฟานอเรีย เป็นกำไรที่พวกฮาบาริจะนำไปต่อยอดเพิ่มพูนในภายหลัง ซาโซริเองก็ดูเหมือนจะซื้ออะไรมาบ้าง เห็นอีกทีก็มีสัมภาระเธอเพิ่มขึ้นมาอีกสองถุง หลังจากกินมื้อเที่ยงร่วมกัน ฮาบาริตัดสินใจพักที่เมืองนี่คืนหนึ่ง ใช้เวลาที่เหลือเที่ยวเล่นในต่างเมือง และจะเดินทางกลับในช่วงเช้า พวกเราก็จึงไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อฝากเกวียนและเก็บสัมภาระที่ซื้อมา แล้วออกไปเดินเล่นในเมืองไปเรื่อย หาซื้อของที่ระลึกหรืออะไร ๆ ที่ดูน่าจะขายได้เพิ่มเติม ช่างเป็นเมืองที่ดูวุ่นวายแต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ยากจะอธิบาย แต่ถ้าให้มาอยู่ที่นี่ ผมก็คงขออยู่ที่โซฟานอเรียเหมือนเดิมดีกว่า เผลอนิดเดียวก็รู้สึกได้ว่าแสงแดดเริ่มอ่อนลงไป ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เย็นเสียแล้วรึนี่? เวลาช่างผ่านไปไวจริง ๆ หลังมื้อเย็น พวกฮาบาริตัดสินใจพักผ่อนในห้องอย่างเงียบ ๆ ซาโซริก็จึงดึงผมออกไปเที่ยวต่อในเมือง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยจริง ๆ

 

          ย่ำสายัญในต่างเมืองทำเอาผมใจเต้นไม่น้อย ระหว่างที่เดินไปตามทางเท้าที่เรียงรายสองข้างไปด้วยร้านรวงมากมายที่เริ่มเปิดขายในช่วงเย็น เป็นบรรยากาศคนละแบบกับช่วงกลางวันไปโดยปริยาย ซาโซริที่เริงร่าเดินมองซ้ายขวาไปเรื่อย ก่อนจะจูงผมเข้าไปในร้านเหล้าที่ถูกใจเธอ ที่นี่ไม่มีโคล่าที่ผมโปรดปราน ผมก็เลยต้องกินเบียร์เป็นเพื่อนซาโซริ ผมค่อย ๆ จิบทีละนิดละหน่อยเพื่อไม่ให้ตัวเองเมา ปล่อยให้ซาโซริดื่มด่ำกับชีวิตอย่างเต็มที่ไป ไม่นานเราก็ออกมาจากร้านนั้น ดูเหมือนเบียร์จะไม่ถูกปากเธอเท่าไหร่ แม้จะซัดไปคนเดียวสองขวดก็ตาม ซาโซริที่ยังคงห่างไกลจากคำว่าพอใจก็เดินต่อไป เข้าร้านต่อไปและต่อไป จนท้ายที่สุด ในกลางดึกที่ผู้คนเริ่มบางตา เราทั้งคู่ก็มานั่งที่ร้านริมทางใกล้สวนสาธารณะ เป็นร้านปิ้งย่างที่มีเครื่องดื่มเสิร์ฟด้วย โชคดีที่มีโจ๊กด้วย ผมที่เริ่มท้องร้องก็จึงได้กินอะไรเบา ๆ ก่อนนอนเสียหน่อย ส่วนซาโซริก็ยังคงดื่มเบียร์ กินคู่กับไก่ย่างสูตรเด็ดของร้าน

“ดื่มหนักขนาดนี้ เดี๋ยวก็เมาค้างหรอก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ เจ๊อย่าลืมสิ”

“ฮึ่มมมมม นายอย่าพูดมากดีกว่า ฉันกำลังอารมณ์ดี” เธอพูดออกมาด้วยหน้าที่แดงก่ำ ตาจ้องมองไปยังไก่ย่างที่พ่อครัวกำลังปรุงรสอยู่ “ที่จริงฉันมานี่ก็เพราะมีเรื่องอยากตรวจสอบหน่อยน่ะ..” ซาโซริยกเบียร์ขึ้นซด ก่อนจะพูดต่อ “สถานการณ์ในโซฟานอเรียน่ะ ไม่ค่อยสู้ดีนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะพักหลังมา พวกกิลด์โจรผุดขึ้นเยอะเป็นดอกเห็ด แถมมีอาวุธครบมือกันถ้วนหน้า มันค่อนข้างที่จะผิดปกติไปเล็กน้อยน่ะ พอสืบลึกลงไป ก็เห็นถึงกิลด์โจรบางกลุ่มที่ไม่ตีกันเอง กิลด์โจรพวกนี้ดูเหมือนจะแบ่งเขตออกปล้นกัน เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทให้ตีกันเอง ราวกับกำลังร่วมมือกัน และดูเหมือนพวกกลุ่มที่ว่าก็มีเครือข่ายกับกิลด์โจรที่อื่นนอกโซฟานอเรียด้วย”

“ก็ได้จังหวะกับที่พวกฮาบาริจ้างมาเมืองนี้พอดีสินะ? ”

“ฉันเป็นคนแนะนำไปเองนั่นแหละ ว่าให้มาเมืองนี้ ฉันได้เบาะแสอะไรมานิดหน่อย ก็จึงอยากมาพิสูจน์เสียหน่อย”

“หา? หมายความว่าไง พรุ่งนี้เช้าเราก็กลับกันแล้วนะเจ๊? ”

“หึ!” ซาโซริวางแก้วเบียร์ลงโต๊ะจนเสียงดัง สั่งเบียร์เพิ่มอีกขวด ก่อนจะหันมาหาผม “ไม่ต้องรอตอนเช้าหรอก คืนนี้นี่แหละ..”

“.... ผมละเชื่อกะเจ๊เลยจริง ๆ คราวหน้าถ้าจะลุยอะไรก็ช่วยบอกกันก่อนหน่อยเถอะ มันกะทันหันแบบนี้ แล้วถ้าเกิดผมไม่พร้อมเจ๊ก็ต้องลุยคนเดียวนะ!” ผมบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ หลายครั้งแล้ว ที่ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกะทันหันจนผมเองก็ชักจะตามไม่ค่อยทัน

“อืม.. จริง ๆ ฉันก็กะจะลงมือคนเดียวนั่นล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของฉัน ข่าวกรองก็ไม่มี จะเจออะไรไม่คาดฝันบ้างก็ไม่รู้ ฉันไม่คิดจะพานายไปเสี่ยงด้วยแต่แรกแล้วล่ะ” ซาโซริพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง

ได้ยินดังนั้น ผมก็รู้สึกผิดหน่อย ๆ ที่บ่นออกไป “...เจ๊อย่าลืมสิ ว่าเราอยู่กิลด์เดียวกันนะ ตอนนี้ชีวิตของผมเป็นของเจ๊ เพราะงั้น..”

“.....ขอบใจนะ” เธอหันมามองผมด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับจะปลอบผมยังไงอย่างงั้น

“แล้วจะต้องไปลุยต่อ ทำไมถึงดื่มซะขนาดนี้ล่ะ? ”

“ร้านเหล้านี่แหล่ะ แหล่งหาเบาะแสชั้นดี ยูคาริ.. ฉันรู้ตัวดีนี่ แค่นี้ฉันยังไม่เมาหรอก” ซาโซริพูด ก่อนจะนำเบียร์ขวดใหม่รินใส่แก้วของตน

ผมมองดูซาโซริด้วยความกังวล เธอหันมามองแล้วยื่นมือมาตบบ่าผม “อย่าห่วงน่า ฉันรู้ขีดจำกัดตัวเองดี”

“ทั้ง ๆ ที่เมาเละแทบทุกวันจนต้องให้ผมแบกกลับห้องทุกครั้ง ๆ เนี่ยนะ? ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหาซาโซริ พูดใส่ด้วยความแคลงใจในคำพูดของเธอ

ซาโซรินิ่งไปครู่ ก่อนจะหันมามองผม “...เพราะมีนายคอบแบกฉันกลับไงล่ะ ฉันเลยกินเต็มที่ได้อย่างสบายใจ..” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมา ได้ยินได้เห็นอย่างนั้นผมก็ผละหน้าออก หนีหน้าไปทางอื่นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเธอจะตอบมาแบบนี้ ระหว่างที่กำลังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่รู้จะตอบอะไรดี ลูกค้าคนอื่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ร่วมวงสนทนากับเรา

“เอ่อ กระผมได้ฟังเรื่องที่พวกท่านทั้งสองคุยกันแล้วเกิดสนใจ ต้องขออภัยที่เสียมารยาท แต่ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปที่ใดต่อหรือ? ” ผมหันไปมองก็เห็นเป็นชายที่ดูแก่กว่าผมเล็กน้อย สวมเกราะโซ่ถัก (chainmail) ที่ทับด้วยเสื้อคลุมสั้น (tabard) สีฟ้าอ่อนตัดกับสีเทา มีอีกคนที่นั่งกันข้าง ๆ ในชุดเดียวกัน หันมามองพวกเราด้วยความสนใจทั้งคู่

“ฉันเจอจุดน่าสงสัยที่คิดว่าน่าจะเป็นรังของพวกมันน่ะ ก็ว่าจะบุกไปทักทายเสียหน่อย ไปถามคำถามสักสองสามข้อ เพื่อยืนยันสมมุติฐานของตัวเอง แล้วพวกคุณล่ะ เป็นใครกัน ทำไมถึงสนใจเรื่องของคนต่างเมืองอย่างพวกฉันด้วย? ”

“ขออภัยที่เราเสียมารยาท ข้ามีนามว่า วินซ่า วาเรีย ส่วนนี่น้องชายข้า วินซ่า วาเลนเซียร์ พวกเราเป็นนักรบของศาสนจักรแห่งพระแม่เอเรีย พวกโจรชั่วก็เปรียบเสมือนเนื้อร้ายที่กัดกินสังคม หากไม่รีบกำจัดจะมีผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนอีกมาก ให้เราสองพี่น้องช่วยพวกท่านเถอะ!”

ซาโซริวางไก่ย่างในมือลง ก่อนจะหันไปมองสองคนนั้น “ถ้าได้พวกคุณมาช่วย ฉันก็ยินดี...” ซาโซริพูดแล้วยื่นแก้วเบียร์ไปหาพวกเขา “เพียงแต่อยากให้พวกคุณรับรู้ไว้อย่าง ว่านี่คือปฏิบัติการของฉัน ฉันเป็นผู้นำ พวกคุณเป็นผู้สนับสนุน เพราะฉะนั้น กรุณาอย่าทำอะไรที่เกินเลยกว่าคำสั่งของฉัน หากพวกคุณยอมรับเรื่องนี้ได้ ฉันก็จะยอมให้พวกคุณมาด้วย เข้าใจนะ? ”

สองคนนั้นมองหน้ากันแล้วตอบตกลง ก่อนจะยกแก้วมาชนกับซาโซริ “ยูคาริ มาสิ มาชนแก้วกัน” ได้ยินดังนั้น ผมก็ยกแก้วมาชนด้วย ราวกับเป็นการชนแก้วร่วมสาบานยังไงยังงั้น

“ฉันชื่อซาโซริ ส่วนหมอนี้ ยูคาริ ตอนนี้พวกคุณรู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ซาโซริพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่นานนัก ทีมชั่วคราวของพวกเราก็ออกจากร้าน เดินไปตามถนนที่ไร้ผู้คน มุ่งสู่เป้าหมายของซาโซริต่อไป

 

          ซาโซริเดินนำพวกเราไปตามทางเรื่อย ๆ เดินไปตามป้ายบอกทางจนมาหยุดใกล้ ๆ ซอยแห่งหนึ่งที่ผู้คนพลุกพล่านผิดปกติ โฮ่.. นอกจากตลาดมืดจะโจ่งแจ้งแล้ว ซ่องโจรเองก็เตะตาไม่ใช่น้อย ในซอยที่มีแต่บ้านร้าง กลับมีชายฉกรรจ์ยืนสุมหัวกันเต็มไปหมด มันอะไรกันนะ? เมืองนี้..

“เอาล่ะ วาเรีย วาเลนเซียร์ เมื่อฉันพุ่งออกไป ให้คุณทั้งสองเข้าโจมตีศัตรูที่อยู่ใกล้ ๆ ฉัน ส่วนยูคาริ นายคอยคุ้มกันฉันจากข้างหลัง สังหารศัตรูด้านนอกให้หมด อย่าเหลือไว้ให้เป็นปัญหาภายหลัง เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว ระวังอย่าไปฆ่าหัวหน้าพวกมันเสียล่ะ ไม่งั้นทุกอย่างในคืนนี้จะเสียเปล่า” ซาโซริสรุปแผนสั้น ๆ ให้ฟัง ก่อนจะพุ่งออกไปซัดกับพวกโจรกระจอกด้านนอก โดยมีวาเรียและวาเลนเซียร์คอยสนับสนุนซ้ายขวา ผมเองก็กำขวานไว้แน่นขณะที่คอยคุ้มกันซาโซริจากด้านหลัง วาเรียใช้อาวุธเป็นคฑาที่มีหัวด้านบนเป็นหอกและมีใบขวานที่ด้านข้างพร้อมกับโล่ที่มือซ้าย ส่วนวาเลนเซียร์ใช้เป็นขวานสองมือ โดยมีโล่ทรงกระบอกติดอยู่ที่แขนขวา เทียบกันแล้ว ดูเป็นนักสู้ที่ดุดันกว่าผมหลายเท่าตัวนัก ก็ยิ่งรู้สึกน่าสมเพชในความอ่อนแอของตัวเองเสียจริง... ไม่นานนัก พวกเราก็บุกเข้าไปภายในบ้านร้างที่น่าจะเป็นแหล่งกบดาน ซาโซริสั่งให้สองคนนั้นแยกไปตรวจสอบชั้นล่าง ส่วนเธอและผมก็ได้ขึ้นไปยังชั้นสอง ผมได้มีโอกาสใช้ขวานของตัวเองเป็นครั้งแรก แต่ศัตรูคนแรกของผมดันเป็นประตูไม้ที่ถูกล็อกจากด้านใน ซาโซริสั่งให้ผมใช้ขวานเฉาะส่วนที่เป็นตัวล็อกแล้วถีบมันออก เปิดทางให้ซาโซริเข้าไปสังหารพวกขี้ขลาดที่ขังตัวเองหวังเอาตัวรอดอยู่ภายใน ในท้ายที่สุด ซาโซริก็สามารถจับตัวผู้เป็นหัวหน้าได้ ทั้งเธอและพวกวาเรียสังหารพวกโจรไปจนเกลี้ยงซอย ในขณะที่ผมได้แค่เฉาะประตูไม้บานเดียว.. เธอจับเขามานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่น ซักคำถามไปพลาง ทรมานขู่เข็ญโจรโชคร้ายคนนั้นไปพลาง จนเมื่อได้ข้อมูลมาเป็นที่พอใจแล้ว ก็ลงดาบตัดคอเขาหลุดจากบ่าในพริบตา ส่งไปสู่ความตายอย่างไม่ต้องทรมาน (?) มากนัก สุดท้ายแล้วสิ่งที่ซาโซริคิดเอาไว้ก็เป็นจริง แม้เชลยผู้สิ้นท่าคนนั้นจะพูดจากำกวมอยู่บ้าง แต่ก็ปะติดปะต่อกันได้ไม่ยากสรุปใจความได้ว่า กิลด์โจรหลายกลุ่มมีบางคนคอยอยู่เบื้องหลัง หนุนกลุ่มโจรให้ออกปล้นสะดมเพื่อรวบรวมกำลังทรัพย์และสร้างความวุ่นวายให้แก่หัวเมืองต่าง ๆ อยู่ และดูเหมือนเครือข่ายของพวกมันจะไม่ใช่แค่ระดับเมืองสองเมือง หากแต่เป็นทั่วทั้งแคว้นโซยูเรียหรืออาจจะใหญ่กว่านั้น... ดูท่า มันจะกลายเป็นงานชิ้นใหญ่เสียแล้ว

“ขอบคุณพวกคุณทั้งสองด้วยนะ ที่ช่วยเหลือ คงต้องลากันแต่เพียงเท่านี้แล้ว” ซาโซริพูดด้วยเสียงที่ดูสุขุม แทบไม่น่าเชื่อว่านี่กำลังเมาอยู่

“ท่านซาโซริ.... ข้ากับน้องชายตัดสินใจแล้ว ว่าอยากจะร่วมเดินทางกับท่าน ขอท่านช่วยรับเราไปด้วยเถิด!”

“...เหตุผลล่ะ? ” ซาโซริถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชา

“ถ้าสิ่งที่เจ้านั่นพูดเป็นจริง กองโจรพวกนั้น ไม่นานจะเป็นภัยใหญ่หลวงเป็นแน่ หากท่านมุ่งหมายที่จะทำลายพวกมัน พวกข้าก็ยินดีเป็นแขนขาให้” วาเลนเซียร์ผู้เป็นน้องตอบกลับมา

“จะดีหรือ? พวกคุณยังไม่รู้จักฉันดีนะ? ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร หรือมีจุดมุ่งหมายอะไร” ซาโซริถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “...ฉันเองก็ไม่อยากปิดบัง จะบอกอีกครั้ง ฉันคือซาโซริ ผู้นำกิลด์โจรซาโซริคแห่งโซฟานอเรีย ส่วนเจ้าหมอนั่นคือซาโซริคยูคาริ ถ้าพวกคุณทั้งสอง ผู้เป็นนักรบแห่งศาสนจักรมาเข้าร่วมกับฉัน ก็จะต้องรับชื่อแห่งซาโซริคนี้แทนชื่อสกุลไปพร้อมกับถูกตราหน้าว่าเป็นพวกกิลด์โจรนอกกฎหมาย... ได้ยินดังนี้แล้ว พวกคุณยังคิดแบบเดิมอยู่อีกมั้ยล่ะ? ” ซาโซริพูดออกมา กำดาบในมือไว้แน่น เผื่อพวกเขาทั้งสองพุ่งเข้าใส่

สังเกตได้ไม่ยาก ว่าเมื่อซาโซริพูดออกไปว่าพวกเราเป็นกิลด์โจร ทั้งสองก็มีท่าทีที่อึดอัดเป็นอย่างมาก “พวกคุณเป็นผู้มีคุณธรรม จิตใจสูงส่ง อีกทั้งยังแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับเราก็ปกป้องชาวเมืองจากโจรร้ายได้นี่ครับ ไม่มีความจำเป็นต้องลดตัวมาถูกตราหน้าว่าเป็นโจรอย่างพวกเราหรอก” ผมพูดเสริมออกไป ยอ ๆ อีกหน่อย เผื่อถ้าเขาคิดจะสู้กับเรา จะได้เปลี่ยนใจ

“...ลำพัง แค่ความแข็งแกร่งน่ะ มันไม่เพียงพอหรอก พวกเรายังเบาปัญญานัก เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเราต้องการคือผู้นำที่ดีสักคนหนึ่ง พวกเราเป็นนักรบของศาสนจักรก็จริง แต่กลับถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนตัว หาใช่เพื่อชาวเมืองไม่” วาเรียมองไปยังซาโซริด้วยท่าทีแข็งกร้าว “แล้วท่านล่ะ ท่านประกาศตนว่าเป็นโจร ไยจึงตามล่าโจรด้วยกันเล่า? ท่านบอกว่าข้าไม่รู้จุดมุ่งหมายของท่าน ถ้าเช่นนั้นก็จงช่วยบอกข้าด้วย”

ซาโซรินิ่งไปครู่สั้น ๆ “....ก็เป็นเพียงแค่ความพึงพอใจส่วนตัวของฉัน จะเป็นโจร เป็นพวกจอมเวทรึกองทัพสัตว์ประหลาด ถ้าย่างกรายเข้ามากวนใจฉันเมื่อไหร่ ก็จะปราบให้สิ้น ชื่อกิลด์โจรน่ะ เป็นชื่อที่ตราหน้ากับกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องเท่านั้นแหละ อย่างฉันที่ไม่ใช่โจรก็ถูกตราหน้าว่าเป็นโจรไปด้วย ถึงตอนแรกจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ชักชอบเสียแล้วล่ะ” ซาโซริแสยะยิ้มออกมา “ถึงอย่างไร ฉันก็เป็นคนนอกกฎหมาย จะเรียกยังไงก็ช่างมันเถอะ ขอแค่เป้าหมายสำเร็จก็พอใจแล้ว” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนสะใจ ผมหันไปมองก็เห็นว่าเธอยังคงหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ดูท่าจะยังคึกอยู่ ถึงได้จ้อเรื่องอย่างนี้ออกมา

“เจ๊ซาโซริ พอเถอะ..” ผมเดินเข้าไปวางมือบนบ่าของเธอ ซาโซริหันมามองแล้วยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว! ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดให้พวกเราสองพี่น้องเข้าร่วมกิลด์ด้วยเถิด!” วาเรียพูดออกมาอย่างจริงจัง

“หา!? ” ทั้งผมทั้งซาโซริอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“ทะ ทำไมล่ะ ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึ? ว่าพวกเราเป็นพวกนอกกฎหมาย”

“ขอแค่เป้าหมายสำเร็จก็พอใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ด้วย นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าสาบานตนเป็นนักรบแห่งศาสนจักรมาจนถึงวันนี้ ข้ามิได้พอใจในผลลัพธ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอทิ้งศักดิ์ศรีจอมปลอมนี่ไป แล้วขอรับชื่อซาโซริคอันมีเกียรติของท่านแทน!”

“ข้าก็ด้วย!” วาเลนเซียร์พูดตามด้วยความแน่วแน่

ผมหันไปมองซาโซริที่กำลังตะลึง “เอาไงล่ะ คุณหัวหน้ากิลด์? ”

ซาโซริหันมามองค้อนผมนิด ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองสองคนนั้น “ก็ได้” เธอตอบ “พวกฉันจะเดินทางกันเจ็ดโมงเช้าที่ประตูเหนือ ถ้าอยากจะเข้าร่วมกับเรา ก็จงไปรอที่ประตูเสีย” ซาโซริพูดออกมา สองคนนั้นก็ดีใจ กล่าวขอบคุณกับซาโซริยกใหญ่ ก่อนจะลาไปเตรียมตัว

“พวกเราก็ไปนอนกันบ้างเถอะ นี่กี่โมงกี่ยามก็ไม่รู้” ผมหันไปพูดกับซาโซริ

“อืม...” ซาโซริตอบกลับก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย ดูท่าเธอเองก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน และแล้ว พวกเราทั้งสองก็เดินกลับโรงเตี๊ยมไปพักผ่อน

 

          รุ่งเช้าของวันต่อมา พวกฮาบาริก็มาเคาะประตูปลุกพวกเราจนตื่น ซาโซริปวดหัวหนักจากอาการเมาค้าง ส่วนผมก็ง่วงจับใจเหลือหลาย แต่ท้ายที่สุด พวกเราก็เก็บข้าวของออกเดินได้ตามกำหนดการที่วางเอาไว้ แล้วก็ตามที่คาดไว้ วาเรีย วาเลนเซียร์และเอ่อ.. ผู้หญิงอีกหนึ่งคนได้มายืนรอเราที่ประตูทิศเหนือพร้อมกับม้าสามตัวที่น่าจะเป็นของพวกเขา ทั้งสามกล่าวทักทายกับซาโซริอย่างสุภาพ ผู้หญิงคนนั้นกล่าวแนะนำตัวกับซาโซริ ดูเหมือนจะเป็นภรรยาของวาเรีย แหมะ! สวยเหมือนกันนะเนี่ย พวกเขาควบม้าตามเกวียนของเราไปติด ๆ สี่ชั่วโมงให้หลัง พวกเราก็กลับมาถึงโซฟานอเรีย เป็นครั้งที่สองที่ผมได้เดินทางร่วมกับพวกของฮาบาริ และการเดินทางก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ได้เวลาจากลากับซาวาริอีกแล้วสินะ

“ได้เจอกันอีกครั้งแท้ ๆ แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเลย น่าเสียดายนะ ซาวาริ” ผมกล่าวออกไป เตรียมตัวที่จะกล่าวลากับเธอและเพื่อน ๆ

ซาวาริส่ายหน้า ยิ้มให้ไม่พูดอะไร ทำเอาผมตกใจเล็กน้อย

“คุณซาโซริขอรับ! ให้พวกเราสี่คนเข้าร่วมกิลด์ของคุณด้วยเถิด!” ฮาบาริพูดออกมาแล้วพวกเขาทั้งสี่คนก็ก้มหัวให้กับซาโซริ

“หา!? ” ทั้งผมทั้งซาโซริอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง อีกครั้ง

“ถ้าไม่ได้รับการพึ่งพาจากคุณซาโซริ พวกเราก็ไม่อาจจะทำการค้าครั้งนี้ได้จนสำเร็จได้ ลำพังกระผมเป็นเพียงพ่อค้าไม่ใช่ผู้นำ การจะทำการใดให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องต้องมีผู้นำที่ดี เพราะฉะนั้น ได้โปรดรับพวกเราเข้ากิลด์ด้วยเถิดขอรับ!” ฮาบาริพูดออกมาเสียงดัง

ซาโซริหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ได้สิ แต่ฉันน่ะ โหดนา” เธอพูดแล้วยิ้มออกมา

“พวกเรารู้ขอรับ!” ฮาบาริพูดออกมาอย่างขึงขัง ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย อุ่ย.. ซาโซริหันมามองค้อนผม น่ากลัวแท้

“กิลด์ของเราไม่ยึดติดกับอดีต ไม่ว่าพวกเจ้าจะเคยเป็นใคร เป็นอะไรมาก่อน เมื่อเป็นลูกน้องของฉันก็ต้องรับชื่อของซาโซริคไปแทนชื่อสกุลของตัวเอง..”

“ไม่มีปัญหาขอรับ!” ฮาบาริตอบกลับมาอย่างไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ

“ดี! เงยหน้าขึ้นมา” ซาโซริพูดแล้วมองสีหน้าของพวกเขาทีละคน

“บัดนี้พวกเจ้าคือสมาชิกแห่งกิลด์ซาโซริคแล้ว ทำตามคำสั่งให้ดี แล้วก็อย่าให้ฉันผิดหวังล่ะ” ซาโซริชายตาไปหาพวกวาเรีย “พวกนายก็ด้วย!” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมา พวกเขาก็ตอบรับกันโดยพร้อมเพรียง และแล้วในวันนี้ กิลด์ของเราก็มีสมาชิกพุ่งจากสองเป็นเก้าอย่างรวดเร็ว โว่ว! จะได้ดูเป็นกิลด์จริง ๆ จัง ๆ แล้วสินะ? ผมคิดได้ดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ยินดีต้อนรับ” ผมกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม ต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่นรกของการเป็นลูกน้องยัยเจ๊ซาโซริอย่างเต็มตัว

 

ซาโซริค วาเรียและซาโซริค วาเลนเซียร์ พี่น้องอดีตนักรบแห่งศาสนจักร ผู้หมายมั่นจะปกป้องประชาชนและสังคมที่สงบสุข

ซาโซริค ยูนะ หญิงสาวในชุดเกราะหนัง มือธนูผู้เป็นภรรยาของวาเรีย

ซาโซริค ฮาบาริ ซาโซริค อาราลิ ซาโซริค เอยาบิและซาโซริค ซาวาริ ทีมคาราวานพ่อค้ามือใหม่

 

 

 

จะว่าไปแล้ว พวกเรามี "ซาโซริค" อยู่ในชื่อกันทุกคนเลย อย่างกับลัทธิอะไรสักอย่างเลยนะ?

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา