Sasoric Thieves Guild

-

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  6,284 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) The Unforgettable day that I met you

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันพุธต่อมา เป็นวันประชุมของกิลด์ซาโซริคที่ซาโซริได้นัดเอาไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพื่อหารือเรื่องปฏิบัติการเข้าตีกองโจรกลุ่มหนึ่งทางใต้และการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหมู่จันทร์ห้าเสี้ยว กองโจรที่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในเมือง สำหรับผม กองโจรนี้ก็อาจจะไม่ต่างจากกองโจรอื่น ๆ ที่เราเคยหาเรื่องมาก่อน ถ้าไม่ใช่ว่าชื่อของหัวหน้ากลุ่มดันชื่อเดียวกันกับเพื่อนเก่าของผมอ่ะนะ... ก็หวังว่าจะไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะถ้าเช่นนั้น ผมก็คงลำบากใจมาก ถ้าเจ๊ซาโซริสั่งให้หันอาวุธใส่เพื่อนตัวเอง แต่เอาเถอะ! เรื่องในอนาคต ก็ให้ตัวผมในอนาคตเป็นคนคิดเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ผมควรทำคือจดจ่อกับงานตรงหน้า ซาโซริแนะนำให้ผมตรวจดูบัญชีที่ซาวาริส่งมาให้ เพื่อดูว่าสิ่งของประเภทไหนทำกำไรได้สูงสุด เพื่อที่ตอนนำของขึ้นเกวียน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเลือกว่าจะเอาอะไรไปทิ้งอะไรไว้ ผมก็จึงนำบัญชีมานั่งอ่าน โดยมีชินารินนั่งแทะขนมปังปิ้งทาแยมสับปะรดอยู่ข้าง ๆ หลังจากวันนั้น ชินารินก็มากินข้าวกับพวกเราเกือบทุกวัน แต่ก็ไม่ได้นอนกับผมอีกเลยหลังจากนั้น เห็นบอกว่ามีเพื่อนให้ไปนอนที่บ้านอะไรนี่ล่ะ ผมก็ฟังน้องแกพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ส่วนซาโซริก็นั่งอ่านรายงานในเอกสารที่ฝากผมไปเอาที่ค่ายทหาร คราวนี้ซองค่อนข้างหนาและหนัก ท่าทางจะเรื่องใหญ่น่าดู เห็นทำหน้าเครียดเลยเป็นห่วง แต่ถามอะไรไป เจ๊แกก็ไม่ตอบ ก็ไม่รู้ทำไม แต่จะว่าไป ซาโซริตอนหน้าตาเคร่ง ๆ ในชุดทหารเนี๊ยบ ๆ อ่านเอกสารไปดื่มกาแฟไป ดูแล้วก็เท่ดีเหมือนกัน

 

          เสียงจอแจเริ่มดังมาจากที่ด้านนอกสำนักงาน อืม... ได้เวลาประชุมแล้วรึเนี่ย? “เอ้า ๆ รีบเข้ามากันได้แล้ว” ซาโซริตะโกนออกไปให้พวกข้างนอกได้ยิน ไม่นานประตูบานนั้นก็เปิดออก พวกฮาบาริและวาเรียก็เดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะประชุมอย่างพร้อมเพรียง

“ชินาริน รออยู่ข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวพวกพี่จะประชุมงานกัน” ผมบอกกับน้องแก

“ไม่เป็นไร ยูคาริ” ซาโซริหันมาพูดกับพวกเรา เธอหันไปยิ้มให้กับชินาริน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประชุม ได้ยินดังนั้น ผมก็ผละออกมาจากชินาริน แล้วเดินเข้าไปนั่งที่ตัวเอง ข้าง ๆ ซาโซริ

การประชุมเริ่มขึ้น เปิดประเด็นด้วยการเข้าโจมตีรังของพวกกองโจรคากิล่าที่อยู่ทางใต้ของเมืองในวันพรุ่งนี้ ซาโซริแจงที่อยู่ของพวกมันและแผนเข้าตีให้พวกเราฟัง หลัก ๆ ก็เหมือนงานครั้งที่แล้ว ชุดเข้าจับกุม ชุดเข้าตีล่อความสนใจและชุดสนับสนุนก็เป็นชุดเดิม ซาโซริพูดเสริมถึงของที่จะยึด ว่าให้ชุดสนับสนุนเน้นของมีค่าที่ขายได้กำไรสูงสุด เมื่อหารือเรื่องคากิล่าจบ ซาโซริก็ให้แต่ละคนพูดถึงข้อมูลของหมู่จันทร์ห้าเสี้ยวเท่าที่หามาได้ แต่ปรากฏว่าพวกเขาร่วมแบ่งปันข้อมูลกันมาก่อนแล้ว ข้อมูลของกลุ่มฮาบาริทั้งสี่คนจึงเป็นข้อมูลเดียวกัน เช่นเดียวกันกับกลุ่มของวาเรีย ข้อมูลที่ทั้งสามคนมีก็เป็นชุดเดียวกัน พอมาประชุมกัน ข้อมูลเกือบทั้งหมดที่ทั้งสองกลุ่มมี ก็ดันเป็นข้อมูลชุดเดียวกันเกือบทั้งหมด แถมยังเป็นชุดข้อมูลที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า และที่น่าเศร้าที่สุด ข้อมูลที่ผมหามา ทั้งสองกลุ่มนั้นก็ได้พูดไปหมดแล้ว ซาโซริมองผมด้วยแววตาที่น่ากลัว แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน เมื่อสมาชิกคนอื่นพูดกันไปหมดแล้ว ซาโซริก็เริ่มแบ่งปันข้อมูลที่เธอได้มา เป็นข้อมูลชุดที่ยังไม่ได้รับการพูดถึง สรุปแล้ว หมู่จันทร์ห้าเสี้ยว คือกลุ่มโจรที่ไม่ประกาศตัวเองว่าเป็นกิลด์ ไม่มีใครรู้ว่าแหล่งกบดานของพวกเขาอยู่ที่ไหน แม้แต่ตัวสมาชิกก็ไม่มีใครสามารถระบุตัวตนได้อย่างชัดเจน เพียงรู้แค่ว่ามีสมาชิกอย่างน้อยห้าคน มีหัวโจกเป็น “แมวดำต้องสาปยูคาริน” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผม ไม่นานมานี้ เริ่มออกโจมตีบรรดาสมาชิกกิลนักรบหรือกิลด์พ่อค้าตามข้อมูลที่ได้รับมาเมื่อคราวประชุมครั้งที่แล้ว แต่ข้อมูลใหม่ที่ซาโซริไปหามา ในบรรดากิลด์ที่ถูกโจมตี ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าของเถื่อน โดยเฉพาะเหล้าเถื่อนและ ”ซีราลิน” ยาเสพติดที่ผลิตจากดอกไม้ชื่อเดียวกัน เป็นที่นิยมสำหรับกลุ่มกรรมาชีพเพราะช่วยให้เคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลาย แม้จะยังไม่เจอหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่ก็เป็นจุดเชื่อมโยงที่ซาโซริให้การสนใจเป็นอย่างมาก อย่างไรเสีย เธอก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับพวกเขาต่อ สุดท้าย ซาโซริก็ปิดประชุมโดยย้ำอีกครั้งถึงกำหนดการของปฏิบัติการในวันพรุ่งนี้ เมื่อประชุมเสร็จ ซาโซริก็ชวนพวกเราชาวสมาชิกกิลด์และชินารินไปกินข้าวร่วมกันด้วยความเฮฮา ปลุกกำลังใจกันเต็มที่ ส่วนตัวผม ก็ยังคงมีความกระวนกระวายอยู่ในใจ แม้ปฏิบัติการนี้จะไม่ต่างกับครั้งที่แล้วก็ตาม

 

          เช้าวันต่อมา กิลด์ซาโซริคเข้าโจมตีซ่องโจรคากิล่าและสามารถจับตัวหัวหน้ากองโจรไว้ได้ ซาโซริจึงสั่งให้ผมคุมตัวเชลย มัดมือทั้งสองของเขาแล้วกดให้นั่งลงขณะเดียวกันก็เอาปืนกดหลังเอาไว้ เมื่อได้ตัวเชลยอันเป็นเป้าหมายหลัก ซาโซริก็สั่งให้คนอื่น ๆ ล้างบางพวกโจรให้ราบคาบ ไม่นาน กองโจรคากิล่าก็สิ้นชื่อ พวกเรากลับเมืองพร้อมกับเชลยและของมีค่าที่ยึดมาได้ ซาโซรินำตัวเชลยไปส่งมอบให้กับพวกทหารในค่ายโซฟากุนอฟ และสั่งให้พวกผมนำของที่ยึดมาไปขาย ระหว่างทางที่จะไปยังร้าน ก็ผ่านหน้าสำนักงานที่ชินารินมายืนรออยู่พอดี ผมจึงชวนเธอไปด้วยกันกับเรา จะได้รอไปกินข้าวพร้อมกัน แต่เธอปฏิเสธ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน น้องแกมองเกวียนของพวกเราเคลื่อนไปเรื่อย ๆ อยู่ครู่ ก่อนจะเดินหายไป ไม่นาน พวกเราก็มาถึงร้านค้าเบ็ดเตล็ดที่พวกฮาบาริสนิทกับเจ้าของร้าน ลุงแกชื่อโจนาน เป็นคุณลุงแก่ ๆ ที่หน้าตาดูน่ากลัว ๆ แต่อัธยาศัยดี รับซื้อของกับพวกเราด้วยราคาเป็นธรรม หลังจากระบายของที่ยึดมาเสร็จสรรพ เมื่อได้เงินมา ผมกับซาวาริก็มานั่งคิดเงินร่วมกันโดยให้วาเรียคอยเฝ้าดูเป็นพยาน แบ่งหนึ่งในสามจากเงินทั้งหมดออกมาเป็นส่วนของที่ต้องนำให้ซาโซริ ส่วนที่เหลือก็นำมาแบ่งตามจำนวนคนที่เหลืออย่างเท่า ๆ กัน พวกเรามีข้อตกลงร่วมกันข้อหนึ่ง คือหากจำนวนเงินเป็นเศษ ถ้าไม่มาก ก็จะนำไปรวมกับส่วนหนึ่งในสามที่ต้องนำไปคืนซาโซริ ถ้าเหลือเศษเยอะ ก็จะหาผู้เสียสละ เพื่อให้เงินที่เป็นเศษที่เหลือหารได้ลงตัว แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็จะนำไปรวมกับส่วนของซาโซริ เป็นกฎที่ซาโซริตั้งให้ เพื่อป้องกันการทะเลาะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหนือส่วนแบ่งเท่าขี้เล็บ ผลคือการตกลงแบ่งเงินกันสามารถจบลงภายในสิบนาที โดยไม่ต้องผิดใจกัน ส่วนมาก เมื่อมีเศษ ผมมักจะเป็นคนแรกที่ยอมเสียสละ ไม่ใช่ว่าเพราะผมเป็นคนดีอะไร ผมก็แค่รำคาญที่จะทะเลาะกับคนอื่น ๆ เป็นคนแรกที่ยอมสละก็สบายใจดีเหมือนกัน พักหลังก็รู้สึกว่าพวกฮาบาริกับวาเรียเริ่มมีท่าทีที่ยอมรับผมมากขึ้น ถูกมองว่าเป็นเพื่อนร่วมงานบ้างแล้ว ก็ดีกว่ามีปัญหากันล่ะนะ ผมกับพวกวาเรียเดินกลับมายังสำนักงาน ส่วนพวกฮาบาริแยกนำเกวียนกลับไปเก็บ ก่อนจะกลับมารวมกับพวกเรา เนื่องจากซาโซริไม่ได้สั่งให้แยกย้าย ดังนั้น พวกเราจึงจำเป็นต้องมารอฟังคำสั่งที่สำนักงาน และหวังว่าซาโซริจะกลับมาเร็ว ๆ ครู่หนึ่งพวกฮาบาริก็มายังสำนักงานและไม่นานหลังจากนั้น ซาโซริก็กลับมา เธอไม่พูดอะไร แต่ยิ้มออกมาบาง ๆ ก็เป็นสัญญาณที่บอกว่าภารกิจได้จบลงอย่างสวยงาม

 

          เย็นวันนั้น ชาวกิลด์ซาโซริคร่วมฉลองกันที่ร้านแสงจันทร์ส่องทาง หลังจากที่ไม่ได้แตะของมึนเมามาเกือบอาทิตย์ ในที่สุดก็ได้เห็นซาโซริก็ร่ำสุราอย่างสุขสันต์สำราญใจอีกครั้ง พวกฮาบาริเองก็ดื่มเบียร์ด้วย พวกวาเรีย ในตอนแรกก็ปฏิเสธที่จะดื่ม แต่พักหลังนี่กระดกเอา ๆ โถ่ ตบะแตกซะแล้ว

“ยูคาริ นายไม่ดื่มเบียร์บ้างรึ? ดื่มแต่โคล่าคนเดียวมันไม่เข้าพวกนะ” วาเลนเซียร์ที่ท่าจะเมาแล้วหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าคึกคักเต็มที่ หมอนี่.. เคยดูเหมือนว่าจะไม่ชอบขี้หน้าผมที่สุด แต่พอเมาแล้ว ทิฐิที่เคยมีก็ปลิวหายไปกับสติ ในตอนนี้ก็เลยแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา เห็นแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่ไม่ถูกเกลียดขี้หน้าแล้ว

“ไม่ล่ะ แค่โคล่าก็พอใจแล้ว” ผมตอบกลับไป

“ฮ่า ๆ ทั้งนายทั้งซาวารินี่พอกันเลยนะ ยัยนี่ก็กินแต่นมกับน้ำผลไม้“ อาราลิพูดออกมาอย่างสนุกปาก แต่ก็ดูเหมือนผมจะมีเพื่อนละ ไม่นับชินารินที่ตามมากินข้าวด้วย ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าทำไมน้องแกไม่ดื่ม ผมหันไปมองซาวาริที่นั่งถือแก้วน้ำองุ่นด้วยท่าทีอึดอัดใจ ดูเหมือนเธอจะไม่ถูกกับงานสังสรรค์ที่มีเครื่องมึนเมาเท่าไหร่ ผมก็พอเข้าใจ แล้วยิ้มให้เธอไป

“หมอนี่น่ะ จะกินก็กินได้ แต่ไม่ยักกะกิน ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เปลือง ส่วนซาวาริ ไม่กินเบียร์ก็ดีแล้ว กินกับแกล้มเยอะ ๆ ล่ะ ชินารินก็กินเยอะ ๆ นะ จะได้โตไว ๆ ” ซาโซริพูดแล้วยิ้ม ยกแก้วซดไปอึกใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าโล่งใจเหลือเกิน พวกเราฉลองกันอยู่นานแต่งานเลี้ยงก็ย่อมต้องมีวันเลิกรา ซาโซริกับผมแยกกับพวกที่เหลือ กลับสำนักงานเพื่อไปพักผ่อน ผมคอยจูงมือชินารินที่เดินไปหลับไป ท่าจะง่วงมากแล้ว ก็นะ เด็กนี่นา มืออีกข้างพยุงซาโซริที่เมาแอ๋เดินไปตามถนนที่เงียบงันในยามดึก คิดว่าที่ผมไม่กินเบียร์เพราะอะไรล่ะเจ๊ หืม?

 

          เช้าวันต่อมา สมาชิกกิลด์ซาโซริคก็มารวมตัวกันที่สำนักงานอย่างไม่ได้นัดหมาย พวกวาเรียได้นำอาหารที่ทางศาสนจักรปันให้มากินร่วมกันกับพวกเรา ประจวบเหมาะกับพวกฮาบาริที่เข้ามารอปรึกษาซาโซริเรื่องการนำสินค้าไปขายที่เวียร์เรสเบิร์กพอดี ก็จึงกลายเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่ทุกคนมากินมื้อเช้าร่วมกันอย่างสุขอุรา หลังมื้อเช้า ซาโซริ วาเลนเซียร์และพวกฮาบาริก็นั่งหารือกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนผม ซาวาริและยูนะ ก็ช่วยกันเก็บจานชามไปล้างในห้องครัว ส่วนชินาริน หลังจากตื่นก็รีบออกจากสำนักงานไป ไม่รู้รีบไปไหน อดกินข้าวเช้าด้วยกันเลย

“ฉันสงสัยมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ว่าทำไมคนอย่างนายถึงมาอยู่กับนายหญิงซาโซริได้” ยูนะที่ล้างจานอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามผมออกมา

“อืม... เรื่องมันยาวน่ะนะ.. ถ้าจะให้พูดย่อ ๆ ก็คงเพื่อเอาตัวรอดน่ะ” ผมตอบกลับไป

ซาวาริได้ยินก็หัวเราะออกมา “ดิฉันก็เคยถามเหมือนกันนะเจ้าคะ คำถามนี้ และก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกันเลย ถึงจะเคยถามไปแล้ว แต่ก็ยังอยากฟังเรื่องราวเต็ม ๆ จังเลยนะเจ้าคะ” ซาวาริที่กำลังเช็ดจานอยู่ข้างหลังยูนะพูดออกมาขณะมองมายังผมด้วยแววตาที่สดใส ยูนะเองก็หันมามองผมแล้วพยักหน้า

“เอ๋? อยากฟังขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมหันไปมองสองคนนั้นอย่างประหลาดใจ

“เจ้าค่ะ!” ซาวาริตอบแล้วยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น ยูนะเองก็มองผมอย่างสนจิตสนใจเช่นกัน

“งั้นก็ได้ ไหน ๆ ก็ว่างอยู่พอดี” ผมพูด ขณะเช็ดมือให้แห้งหลังจากเราช่วยกันล้างจานเสร็จแล้ว

“เย่!” ซาวาริทำท่าดีใจราวกับเด็ก ๆ ดูแล้วน่ารักจริงเชียว

“หืม? คุยอะไรกันอยู่รึ? ” วาเรียที่รู้สึกสนใจยื่นหน้าเข้ามาถามพวกเราในห้องครัว

“อ้าวคุณ พอดีเลย ยูคาริจะเล่าเรื่องของเขากับนายหญิงให้พวกเราฟังพอดี” ยูนะพูดแล้วกวักมือให้เขาเข้ามาข้างในห้องครัว วาเรียเองก็มีท่าทีสนใจ เดินเข้ามาใกล้ ๆ พวกเรา ยืนพิงกำแพง มองมาทางผม รอฟังอย่างตั้งใจ ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ในห้องครัว ยูนะนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะ ส่วนซาวารินั่งข้าง ๆ ผม รอฟังผมเล่าอย่างตั้งใจ จะว่าไปแล้ว พอนึกย้อนไป มันก็รู้สึกน่าคิดถึงแปลก ๆ เหมือนกันนะ...

 

          ในต้นเดือนกันยาที่ลมหนาวมาเยือนโซฟานอเรียเร็วผิดปกติ ผม ลูกจ้างรายวันที่วันนี้มาเป็นแรงงานของกิลด์พ่อค้าบาซาริค กำลังทยอยขนของขึ้นเกวียนของคาราวานพ่อค้า แม้จะดูผิดวิสัยไปหน่อย ที่พวกพ่อค้ากลุ่มนี้ออกเดินทางกันตอนกลางคืน แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ ก้มหน้าก้มตาทำงานแลกค่าแรงของตัวเองไป แต่แล้ว เสียงของความวุ่นวายก็ดังมาจากด้านหลัง เมื่อผมหยุดมือหันไปมองตามเสียงที่ดังมา ก็เห็นเป็นกลุ่มคนติดอาวุธกำลังอาละวาด พวกมันวิ่งเข้าใส่คาราวาน สังหารผู้เคราะห์ร้ายที่หนีไม่ทันอย่างไร้ปรานี พวกคนคุ้มกันคาราวานลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปปะทะกับพวกศัตรู ผมเองก็ลังเลว่าจะหนีรึทำยังไงดี แต่เจ้านายก็สั่งให้ทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเองก็ยังอยากได้เงินอยู่ ก็จึงยอมทำงานต่อ ในขณะที่บางคนเริ่มวิ่งหนีไปอย่างรักชีวิต ไม่ทันไร ผมก็สังเกตเห็นกลุ่มคนจากอีกมุมหนึ่งที่วิ่งเข้ามาทางพวกเราอย่างน่ากลัว สัญชาตญาณของผมสั่งการให้ผมหนีในทันที ผมรีบวิ่งออกมาจากคาราวานนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะหนีจากคนพวกนี้ได้ง่าย ๆ พวกมันปิดถนนไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมสังเกตเห็นศพของคนที่วิ่งหนีไปเมื่อครู่อยู่ใกล้ ๆ กับพวกมัน ถ้าผมไม่ระวังก็คงมีจุดจบเช่นเดียวกับเขาเป็นแน่ ผมวิ่งกลับมาแอบที่ด้านหลังเกวียน พยายามมองหาทางหนีทีไล่ก็เห็นซอยเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ สำนักงานของกิลด์ ผมก็จึงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเข้าไปในซอยเล็ก ๆ นั้น และแล้วผมก็เริ่มแคลงใจในการตัดสินใจในครั้งนี้ เมื่อเห็นชายสี่คนยืนดักรออยู่ พวกเขาแสยะยิ้ม ชูอาวุธของตัวเองออกมาแล้ววิ่งเข้าใส่ผม วินาทีนั้น ผมนึกว่าตัวเองต้องตายเสียแล้ว แต่จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงปืนดังก้องมาจากด้านหน้าของผม แล้วทันใดนั้น ศัตรูทั้งสามก็ล้มลงนอนจมกองเลือด เมื่อพวกมันล้มลงนอน ก็ปรากฏเงาของหญิงสาวผมประบ่าในเครื่องแบบทหาร เดินเข้ามาหาผมอย่างรีบ ๆ ดึงแขนผมแล้วลากกลับไปด้วย ก่อนจะพากันไปหลบอยู่ในซอกหลืบในซอยนั้นอีกที ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เธอปิดปากผมไว้ ขณะชะโงกหัวออกไปดูต้นทางข้างนอก ผมได้ยินเสียงคนเอะอะอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน แต่คงจะเข้ามาตรวจดูในซอยหลังจากได้ยินเสียงปืนเป็นแน่ แน่นอน เธอคนนี้ก็คือซาโซริ และนี่ก็เป็นการพบกันของเรา

“เงียบไว้ไอ้หนู” เธอพูดขณะที่ยังคงปิดปากผมเอาไว้อยู่ แต่เมื่อแลดูแล้วว่าปลอดภัย เธอก็เอามือออกจากปากผม

“ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นจู่ ๆ ก็บุกเข้าใส่คาราวาน ว่าแต่พี่สาว ดูแล้วไม่น่าจะอยู่ฝั่งไหนเลยใช่มั้ยเนี่ย อย่าฆ่าผมเลยนะ ปล่อยผมไปเถอะ ผมเป็นแค่เด็กขนของรายวันแค่นั้นเอง” ผมพูดแล้วยกมือยอมแพ้

ซาโซริหันมามองด้วยท่าทางเซ็ง ๆ “ฉันไม่ฆ่านายหรอก แล้วนายก็คงไม่อยากหนีไปตอนนี้ด้วย พวกกองโจรบารารุคน่ะ ล้อมที่นี่ไว้หมดทุกทางแล้ว” เธอพูดก่อนยกปืนกลมือของเธอขึ้นมา เตรียมทำศึกเต็มที่ “อยากรอดก็ตามมาสิ แต่ไม่รับประกันหรอกนะ” เธอพูดแล้วชักคันรั้ง ส่งกระสุนเข้าสู่รังเพลิง เป็นภาพที่สองของซาโซริ ที่ผมเห็นแล้วประทับใจมาก ๆ

“ไปไหนไปกัน” เอาวะ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...

ซาโซริแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะผละตัวออกจากที่ซ่อน วิ่งมาจนเกือบออกข้างนอกซอย จากทางที่ผมเข้ามา เธอผละดูทางซ้ายที ขวาที ก่อนจะเปิดฉากยิงศัตรูทางซ้ายที่ยืนคุมเชิงตรงถนนหน้าสำนักงานกิลด์ แล้วหันมาทางขวา ยิงออกไปหลายชุด ก่อนจะกลับมาหลบ เปลี่ยนแม็กกาซีน ระหว่างที่กำลังง่วนกับแม็กกาซีนที่ว่านั้น ศัตรูคนหนึ่งก็โผล่ออกมาทางซ้าย ซึ่งเป็นมุมที่เห็นพวกเราพอดี ผมก็จึงรีบบอกเธอในทันที ซาโซริผละสายตาจากปืนไปมองศัตรู โยนแม็กกาซีนเปล่ามาทางผม ซึ่งผมก็รับไว้ได้ทัน แล้วใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ คว้าปืนสั้นมารัวกระสุนใส่ศัตรูคนนั้นไปสามนัดจนเขาหมดสภาพ เธอรีบเก็บปืนพก หยิบแม็กกาซีนใหม่ขึ้นมาใส่ปืนแล้วชักคันรั้งอย่างรวดเร็ว หันมาทางผมแล้วยื่นมือมา ผมก็จึงยื่นแม็กกาซีนของเธอคืนไป ซึ่งเธอก็เก็บมันใส่ซองแม็กกาซีนอย่างรวดเร็วไม่มีติดขัด ราวกับทำมันมาเป็นพันครั้งจนร่างกายชินไปแล้ว เป็นภาพของทหารมืออาชีพที่ผมประทับใจเอามาก ๆ

“ขอบใจนะ” เธอพูด ก่อนจะผละออกจากซอย รุดไปทางขวา มองหาศัตรูที่อาจจะเหลือรอดอยู่ด้านหลังกองข้าวของที่กระจัดกระจาย เมื่อพบว่าปลอดภัยเธอก็จึงหันเหความสนใจไปยังที่ด้านหน้าสำนักงานและถนนฝั่งตรงกันข้าม ผมที่เดินตามเธอมาอย่างไม่คิดชีวิตก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดหวั่นกับกองศพที่เกลื่อนไปทั่วพื้น เกวียนของขบวนคาราวานไม่อยู่แล้ว คงมีคนเอามันออกจากพื้นที่ไปแล้ว ดูเหมือนซาโซริจะหัวเสียนิดหน่อย ที่เกวียนหายไป

“ตามมา” เธอพูดแล้ววิ่งตรงเข้าไปแอบข้างบันไดทางขึ้นสำนักงาน มองออกไปยังถนนฝั่งตรงข้าม ไม่มีใครเหลืออยู่ เธอก็จึงพุ่งเป้าไปที่ด้านในของสำนักงานกิลด์ เธอนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะหันมามองผม แล้วบอกให้รออยู่ตรงนี้ พูดเสร็จ เธอก็ขึ้นบันไดไป พุ่งเข้าไปด้านในสำนักงาน เสียงปืนดังขึ้น เสียงต่อสู้ดังอยู่ราว ๆ 10 นาทีก็สงบลง มีสมาชิกกิลด์ที่หนีเอาตัวรอดวิ่งออกมาราว ๆ สี่ห้าคน ตามมาด้วยซาโซริที่เดินออกมาอย่างสบายใจเฉิบ ในมือถือสมุดเล่มหนึ่งออกมาด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสมุดบัญชี “ถือสมุดนั่น แล้วตามฉันไว้ติด ๆ เลยล่ะ”

เธอพูดแล้วโยนสมุดเล่มนั้นมาให้ผม

“ได้เลย...” ผมตอบรับโดยไว อย่างน้อย ๆ ถ้าไปกับนาง ผมก็น่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าเดินดุ่ม ๆ ไปคนเดียว โดนใช้นิดหน่อยจะเป็นอะไรไป

ระหว่างที่พวกเรากำลังจะหนีออกจากตรงนั้น ศัตรูไม่ทราบฝ่ายก็โผล่ออกมาจากซอยข้างสำนักงานที่พวกเราใช้ซ่อนตัว พวกเขาตะโกนลั่นเมื่อเห็นพวกเรา ชี้อาวุธใส่ขณะที่พุ่งเข้ามา ซาโซริก็จึงกราดปืนกลมือใส่แล้วพาผมหนีไปทางอื่นที่น่าจะปลอดภัย ผมหันไปมองข้างหลังก็เห็นศัตรูจำนวนมากวิ่งไล่ตามพวกเรามา อืม บางอย่างเราก็ทำเป็นไม่เห็นไปก็น่าจะสบายใจกว่า.. หันหน้ากลับมามองแผ่นหลังของซาโซริ ที่ด้านหน้าของเราเป็นซอยเล็ก ๆ มีศัตรูสองสามคนโผล่ออกมา พวกเขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นพวกเรา แต่ก็พร้อมสู้กับเราเต็มที่ ซาโซริก็จึงยิงปืนกลมือเข้าใส่พวกเขา แต่ด้วยความที่วิ่งไปยิงไป มันก็ทำให้เธอคุมปืนไม่ถนัดนัก ทำให้เธอต้องสิ้นเปลืองกระสุนมากเกินจำเป็น เมื่อศัตรูตรงหน้าล้มลง เธอก็ผละมือขวาออกจากปืนกลมือไปหยิบปืนสั้นแทน ใช้มือซ้ายถือปืนกลมือเพื่อไม่ให้มันห้อยต่องแต่ง ดูท่าจะลำบากพอตัว ผมก็จึงบอกว่าจะถือให้ เธอหันมามองครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นปืนมาให้ผม ซึ่งผมก็รับมันมาอย่างระวัง

“อย่าเอานิ้วเข้าไกปืน แล้วก็อย่าริอ่านหันมาใส่ฉันเด็ดขาดล่ะ” เธอพูดก่อนจะพาผมหนีต่อ ผมก็จึงวิ่งตามเธอไป ด้วยมือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยภาระของหญิงสาวที่ผมพึ่งจะเคยพบหน้า

เราวิ่งหนีเข้ามาในซอยแต่ก็พบว่ามีศัตรูดักอยู่ที่ปากทางออก ซาโซริรัวปืนสั้นเข้าใส่พวกที่ขวางทางหนี แต่กระสุนก็ไม่พอที่จะกำจัดพวกเขาได้หมด เธอก็จึงใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างด้านในเสื้อคลุม มันคือดาบเล่มหนึ่งที่ดูไม่เหมาะกับเธอเสียเท่าไหร่ ซาโซริฟาดดาบเข้าใส่ศัตรูตรงหน้า แต่ไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ ศัตรูที่ตามหลังเรามาติด ๆ ก็มาประกบเรา ในวินาทีเป็นตายนั้น ซาโซริที่ยังคงใจเย็น ชักดาบกลับ ค้างอยู่ครู่สั้น ๆ ขณะที่ศัตรูทั้งหน้าและหลังพุ่งเข้าใส่พวกเรา ใบดาบเล่มนั้นเรืองแสงสีเขียวอ่อน ๆ ออกมา เธอฟาดใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แม้เขาจะตั้งโล่ขึ้นมาป้องกัน แต่มันก็ถูกผ่าออก ใบดาบปะทะร่างของเขา ตัดผ่านเสื้อเกราะที่เขาใส่ราวกับมันทำจากผ้าบาง ๆ เมื่อศัตรูตรงหน้าสิ้นชีพไปแล้ว เธอก็หันกลับมา เหวี่ยงดาบลงพื้นด้วยความรุนแรง เกิดเป็นคลื่นลมที่ผลักศัตรูจนเทกระจาดไปทั่วซอย

“ไปเร็ว!” ซาโซริพูดแล้วรีบวิ่งออกจากซอยนั้น เราวิ่งออกมา แล้ววิ่งไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เสียงด้านในยังคงเจี๊ยวจ้าว

“หิวมั้ย? ” เธอถามกับผม

“มาก แต่ผมไม่มี..” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เธอก็ลากผมเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น และชื่อของมันก็คือ “แสงจันทร์ส่องทาง”

 

          ซาโซรินั่งลงที่โต๊ะที่ยังว่าง ผมก็นั่งฝั่งตรงกันข้ามเธอ ซาโซริหยิบเมนูมาดูแล้วเริ่มสั่งอาหารกับสาวเสิร์ฟที่รอรับเมนูอยู่ เธอหันมาถามว่าผมจะรับอะไรดี ผมก็จึงมองไปทางซาโซริ แล้วพยายามกระซิบว่าตัวเองไม่มีตังค์ แต่น่าเศร้า ที่คนเดียวที่ได้ยินดันเป็นสาวเสิร์ฟแทนที่จะเป็นซาโซริ เธอหลุดขำออกมาเล็กน้อย ผมก็จึงไม่สนอีกต่อไป เอามือตีเมนูที่ซาโซริกำลังดูอยู่เบา ๆ ให้เธอสนใจ แล้วพูดมันออกไปอย่างฉะฉานว่าผมไม่มีกะตังค์แม้แต่แดงเดียว ซาโซริตอบกลับมาเพียงแค่ว่า “อยากกินอะไรก็สั่งเถอะ ฉันเลี้ยง” ผมก็จึงยิ้มออกมา แล้วก็สั่งสเต๊กไก่หนึ่งที่

“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ? ” สาวเสิร์ฟเอ่ยถาม

“ลาเกอร์เหยือกนึง” ซาโซริสั่งแล้ววางเมนูลง มองมายังผมราวกับจะรอฟังว่าผมจะสั่งอะไร

“น้ำเปล่าครับ...” ผมพูดแล้ววางเมนูลง

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า อยากกินอะไรก็เอาเลย” ซาโซริพูดแล้วยิ้มออกมา

“ถ้างั้น... ขอโคล่าครับ..” ผมพูดออกไป สาวเสิร์ฟเมื่อจดเมนูอาหารที่สั่งจนครบ ก็เก็บเมนู บอกให้พวกเรารอสักครู่ ก่อนจะเดินจากไป

“เห? นายไม่กินเหล้ารึ? ” เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“กินน่ะ กินได้ แต่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรกิน”

“ก็หลังทำงานเสร็จนี่ล่ะ เหมาะที่สุดแล้ว ที่จะกิน” ซาโซริพูดแล้วยื่นมือมาทางผม เออ... เกือบลืมไปเลย ว่าเธอฝากปืนกลมือกับสมุดบัญชีไว้ ผมก็จึงยื่นของของ เธอคืนไป ซาโซริสะพายปืนแล้วเอาสมุดนั้นขึ้นมาอ่าน เธออ่านอยู่ครู่ก็แสยะยิ้มออกแล้วเหน็บมันไว้ที่เข็มขัด ไม่มีกระเป๋าเก็บของดี ๆ รึไงนะ?

“ว่าแต่นายชื่ออะไรรึ? เรายังไม่รู้จักกันเลยนะ” เธอพูดออกมาขณะมองมาทางผมด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ยูคาริ ซานารุ พี่สาวล่ะ? ” ผมตอบกลับไป ประจวบเหมาะกับที่สาวเสิร์ฟนำเครื่องดื่มของพวกเรามาพอดี เธอวางแก้วตรงหน้าของผมแล้วรินโคล่า วางแก้วตรงหน้าซาโซริแล้วรินเบียร์

ซาโซริหยิบแก้วเบียร์ของเธอขึ้นมา ชูมันมาตรงกลางโต๊ะ “...ซาโซริ” เธอบอกชื่อแก่ผมแล้วยิ้มบาง ๆ เห็นดังนั้น ผมก็หยิบแก้วโคล่าของตัวเองไปชนกับแก้วของเธอ เสียงของแก้วดีบุกกระทบกันเบา ๆ เป็นเสียงสัญญาณของมิตรภาพใหม่ที่ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่นานนัก อาหารที่พวกเราสั่งก็ทยอยนำมาเสิร์ฟ พวกเราดื่มด่ำมื้อเย็นด้วยกันไปพลาง พูดคุยไปพลาง ซาโซริไถ่ถามถึงความเป็นมาของผม ผมก็จึงเล่าไปว่าตัวเองเป็นใคร ชายหนุ่มที่หางานทำเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เสียที อาศัยรับจ้างเป็นแรงงานราคาถูกที่หางานวันต่อวัน เป็นคนขนของบ้าง เป็นลูกมือร้านเบเกอรี่บ้าง อยู่มาวันนึง ก็ถูกโจรงัดเข้าบ้าน ข้าวของมีค่าถูกกวาดไปจนสิ้น พ่อแม่ถูกสังหาร ถูกน้องสาวเกลียดเพราะปกป้องพ่อแม่ไม่ได้ บ้านก็กำลังจะถูกยึดเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ จนต้องเตรียมหาที่ซุกหัวนอนใหม่ เมื่อผมเป็นฝ่ายถามเรื่องราวของเธอบ้าง ซาโซริกลับเงียบ แล้วบอกว่าเธอเป็นเพียงแค่อดีตทหารที่หาเงินซื้อของอร่อยกินไปวัน ๆ แม้จะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเธอปกปิดตัวตน แต่ผมก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้อะไร เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เบียร์ที่ซาโซริดื่มเข้าไปก็เริ่มออกฤทธิ์ เราเริ่มคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในเมือง เธอก็ด่านั่นนี่อย่างถึงรสถึงชาติ เราต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสภาพเมืองที่โจรชุมเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครก็ตามที่ใช้ชีวิตอย่างสุจริตชน

ผมหันไปมองโต๊ะใกล้เคียง ดูเหมือนจะเป็นพวกกิลด์นักรบที่มาฉลองกัน ผมก็จึงพูดเปรย ๆ ออกไปว่า “ถ้าคนพวกนั้นเจียดเวลามาคอยกำจัดโจรบ้างก็น่าจะดีนะ” ออกไป ซาโซริได้ยินแล้วก็จึงหันไปมองตาม แล้วก็เหมือนคำพูดของผมไปกระตุกความคิดอะไรบางอย่างของเธอ ซาโซริทุบโต๊ะเสียแรง ทำเอาโต๊ะข้าง ๆ ยังสะดุ้งแล้วหันมามอง เธอชี้มายังผม “เออ นั่นสิ! ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ? ” ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร เราไม่ได้แตะเรื่องนี้อีก แล้วก็คุยเล่นกันไปเรื่อยจนกินมื้อเย็นกันจนอิ่ม หลังจ่ายเงินแล้ว พวกเราก็เดินออกมาข้างนอก ที่ด้านหน้าของโรงเตี๊ยมนั้น ซาโซริหันมาพูดกับผม “เอาเป็นชื่อซาโซริคละกัน” เธอพูดแล้วยิ้มด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“หา? หมายความว่าไง” ผมเอ่ยถามด้วยความงุนงง

“ก็ชื่อกิลด์ไง” เธอตอบกลับ ทำให้ผมยิ่งงงกว่าเดิม

“พูดถึงอะไรกันแน่เนี่ย”

“ก็ชื่อกิลด์ของเราไง ถ้าไม่มีใครที่คอยกำราบพวกโจรเฮงซวยพวกนั้น เราก็แค่ตั้งขึ้นมาเอง ก็เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่รึไง? ” เธอพูดออกมาด้วยตาที่จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ แต่เป็นคำพูดที่กระชากใจผมเอามาก ๆ

“เดี๋ยว ๆ อะไรนะ จะตั้งกิลด์? ใคร..” ยังไม่ทันที่ผมจะบ่นเสร็จ เธอก็ชี้ตัวเอง แล้วชี้มายังผม

“จะบ้าเรอะ!? ” ผมตะโกนออกมา แต่ดูเหมือนเธอจะคุยไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยช่างมัน ผมถามว่าบ้านของเธออยู่ไหน แล้วก็พาซาโซริที่เมาแอ๋ไปส่ง

ที่หน้าอาคารสองชั้นเก่า ๆ ผมที่ประคองซาโซริมาจนถึงฝั่งก็บอกลากับเธอ ก่อนจะเดินออกมา แต่เธอก็รั้งผมเอาไว้ ผมหันไปมอง แต่เธอนิ่ง ผมก็จึงถามไปว่ามีอะไร

“น้ำ.. หิวน้ำ” เธอพูดออกมา ผมถอนหายใจออกมา จะเปิดประตูแต่มันล็อก ผมก็จึงขอกุญแจจากเธอ ซาโซริใช้เวลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะยื่นกุญแจมาให้ผมได้ ผมรีบไขประตู เปิดไฟ พาเธอไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น เดินหาห้องครัว หาน้ำแล้วรินใส่แก้ว ก่อนจะนำมาให้เธอกิน ซาโซริดื่มน้ำรวดเดียวหมดแล้วผล็อยหลับไป ผมเองก็ไม่รู้จะทำไงดี ง่วงก็ง่วง เหนื่อยก็เหนื่อย ก็เลยโยนทุกอย่างทิ้งบ้าง เดินไปล็อกประตูสำนักงาน แล้วหามุมสงบในห้องแล้วนอนบ้าง โชคดีที่มีโซฟาอีกตัว ผมเลยไม่ต้องนอนกับพื้นเย็น ๆ มันวันอะไรกันวะเนี่ย..

 

          ช่วงสายของวันต่อมา ซาโซริที่ได้สติดีแล้วก็มาปลุกผมที่ยังคงฝันดีอยู่ ผมตื่นขึ้นมาโดยมีผ้าผืนหนึ่งคลุมผมอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มองไปยังซาโซริแล้วขอโทษเธอที่นอนโดยไม่ขอ ทีแรกนึกว่าเธอจะโกรธแล้วไล่ผมออกมา แต่เธอกลับเรียกผมไปคุยด้วย ปรากฏว่าเธอเอาจริงกับความคิดที่นึกออกมาได้ตอนเมา กิลด์ที่มุ่งหมายจะปราบโจรที่คุกคามชีวิตอันสงบสุขของชาวเมืองโซฟานอเรีย กิลด์ซาโซริคที่มีเพียงเธอและผมเป็นสมาชิกแรกเริ่ม ผมที่ไม่มีงานทำอยู่แล้วและไม่มีอะไรจะเสียก็ตอบตกลงไป เราทั้งคู่เดินไปยังศาลากลางเมืองเพื่อที่จะจดทะเบียนก่อตั้งกิลด์ให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าจำนวนสมาชิกของเราไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งเป็นกิลด์ได้ ซาโซริที่รู้อยู่ก่อนแล้วก็เดินออกมาจากศาลากลางโดยมีผมเดินตามหลังมา “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไม่ต้องขึ้นทะเบียนก็ดี จะได้ไม่ต้องอยู่ในกฎ จะลงมือแบบไหนก็ทำได้ อิสระดี” เธอพูดออกมา

“จะบ้าเหรอ ถ้างั้นเราก็เป็นกิลด์โจรนะสิ? ”

“แล้วไงล่ะ? มันก็แค่ชื่อเรียก พฤติกรรมต่างหาก ที่เป็นสิ่งบ่งบอกที่แท้จริงว่าเราเป็นใคร”

“นี่เจ๊ ถ้าเป็นกิลด์โจรก็เท่ากับเราเป็นพวกนอกกฎหมายนะ เราจะถูกทั้งทางการและพวกกิลด์นักรบไล่ล่า เป็นพวกนอกกฎหมายแล้วก็ล่าพวกนอกกฎหมายด้วยกัน ก็เท่ากับเราเป็นศัตรูกับทุกคนเลยไม่ใช่รึไง? ”

“นายนี่ขี้บ่นจังเลยนะ ฉันรู้น่า” ซาโซริหันมาบ่นแล้วเดินกลับบ้าน ผมที่ไม่รู้จะบ่นอะไรหรือยังไงต่อ ก็ได้แต่เดินตามเธอกลับมายังบ้านหลังนั้น เธอแบ่งห้องหนึ่งให้เป็นห้องส่วนตัวของผม มอบหมายหน้าที่ให้ผมคอยไปหางานที่เราพอจะทำได้จากกระดานหางานของกิลด์และศาลากลาง และเพื่อปกปิดตัวตน เธอก็จึงให้ผมเรียกแทนตัวเองใหม่ ว่า ซาโซริค ยูคาริ และแล้ว กิลด์ซาโซริคของเราก็ได้ถูกก่อตั้งอย่างไม่เป็นทางการ...

 

          หลังจากที่ผมเล่าไป ทั้งสามคนก็นิ่งไป มองผมแล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่ ก่อนจะคุยกันด้วยความสนุกสนาน ดูเหมือนพวกเขาจะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวของซาโซริเอามาก ๆ ส่วนซาวาริมองผมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอโน้มตัวมาลูบหัว “ผ่านอะไรหนัก ๆ มาเยอะน่าดูเลยนะเจ้าคะ” เธอพูดแล้วยิ้ม ภาพที่ผมเห็นมันเหมือนกับแม่ที่กำลังปลอบลูกชายที่พึ่งสอบตกวิชาคณิตศาสตร์มา มันอบอุ่นหัวใจมาก ๆ จนน้ำตาแทบจะไหลเลยทีเดียว พูดจริง ๆ นะ

“ขอบใจนะ ซาวาริ” ผมกล่าวขอบคุณกับเธอแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลออกมา

“ขอบใจนะ ที่เล่าให้พวกเราฟัง” ยูนะพูดแล้วยิ้มให้ ก่อนจะลุกไปคุยกับวาเรีย เขาหันมาพยักหน้าลาผมก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องนั้นไป ทิ้งผมไว้กับซาวาริสองคน

“ดิฉันรู้เจ้าค่ะ ว่าคุณยูคาริพยายามมามาก และเชื่อว่าคนอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะรับรู้มันแล้ว เก่งมากเลยนะเจ้าคะ” ซาวาริพูดปลอบผมต่อด้วยเสียงหวาน ๆ ของเธอ

“ขอบคุณนะ ซาวาริ... แต่ไม่ต้องถึงขั้นปลอบผมก็ได้...” ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ อย่าคิดมากไป..” ผมพูดแล้วยิ้มให้เธอ ซึ่งเธอก็ยิ้มบาง ๆ ตอบกลับมา

“วันแรกที่รู้ตัวว่ากลายเป็นเด็กกำพร้า ดิฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ อยากให้ใครมาคอยปลอบแต่ก็ไม่มี หลังถูกอุปถัมภ์มา เราก็ถูกมองแค่เป็นแรงงานคนหนึ่ง ไม่มีใครมองว่าเราเป็นเด็ก ไม่มีใครสนใจว่าเราจะต้องการความรักเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ดิฉันนอนร้องไห้อยู่หลายเดือนเลยล่ะเจ้าค่ะ กว่าจะชิน ดังนั้น ดิฉันจึงปฏิญาณกับตัวเอง ว่าจะเป็นคนที่คอยปลอบโยนให้กับทุกคน ดิฉันจะคอยอยู่เคียงข้าง ไม่ให้ใครต้องรู้สึกโดดเดี่ยวลำพัง”

ผมค่อย ๆ จับมือเธอที่ลูบหัวผมอยู่แล้วค่อย ๆ เบี่ยงออก “เธอนี่ใจดีจังเลยนะ ซาวาริ” ผมพูดแล้วมองใบหน้ายิ้มแย้มที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อยของเธอ “ถึงจะมีเพื่อนรายล้อมอยู่ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวสินะ” ผมพูดออกไป

ซาวาริส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ทั้งพวกคุณฮาบาริ ทั้งพวกคุณวาเรีย คุณซาโซริและคุณยูคาริ ทุกคนต่างก็เป็นคนดีที่ดิฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ” เธอพูดแล้วยิ้มหวาน ๆ ออกมา เห็นอย่างนั้นก็ชวนให้สบายใจขึ้นโข.. แต่ที่ไม่น่าอภิรมย์คือไอ้พวกที่กำลังเกาะประตูห้องครัวฟังพวกเราคุยกัน

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยออกไปหาคนที่อยู่ข้างนอก ซาวาริตกใจแล้วหันหลังไปมองทางประตูตามผม ก็เห็นเป็นพวกฮาบาริที่มายืนแอบฟังกันรวมทั้งซาโซริด้วย ซึ่งพวกฮาบาริก็แซวพวกเราอยู่ยกใหญ่ เล่นเอาเราทั้งคู่เขินจนมองหน้ากันไม่ติด

“เอ้า ๆ พอได้แล้ว แยกย้าย ๆ ” ซาโซริหันไปพูดกับพวกฮาบาริ เอาเอกสารตีหัวพวกเขาเบา ๆ เป็นการไล่ ก่อนจะหันมายิ้มให้พวกเราแล้วเดินออกไป ไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ช่างเป็นวันที่สงบสุขดีจริง ๆ

“เป็นไง? ” ซาโซริที่นั่งพิงโซฟาอย่างสบายใจหันมาถามผมด้วยรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์

“เป็นไงบ้าอะไรล่ะ” ผมพูดแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ เจ๊แก

ซาโซริหัวเราะ “ยัยนั่นก็ดูน่ารักดีนี่ ก็ไม่เห็นมีอะไรแย่เลย” เธอปั่นแล้วมองผมไม่วางตา

“ขอทีเถอะน่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดแล้วหลบหน้าไปทางอื่น ซาโซริก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

“เอาเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้ตัวเอง ว่าควรทำอย่างไรดี”

“ว่าแต่ เอาเรื่องสมัยก่อนมาเล่านี่ ไม่โกรธใช่มั้ย? ”

“เรื่องตอนเราเจอกันน่ะรึ? ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดอะไรเสียหน่อย ถ้าพวกเขาอยากรู้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เล่าให้ฟัง” ซาโซริพูดแล้วยื่นเงินมาให้ผม “ไปซื้อข้าวเย็นไป”

“ได้เลย..” ผมรับเงินมา เดินไปเปิดประตู ก็พบว่าชินารินมายืนรออยู่ข้างนอก “เจ๊..” ผมหันไปเรียกซาโซริ จะบอกเรื่องของน้องแก

“ชินารินละสิ? ซื้อมาเผื่อเธอด้วย” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดออกไป ซาโซริก็ตะโกนมา ผมก็จึงปิดประตู แล้วก็พาชินารินไปซื้อข้าวกลับมากินร่วมกันสามคน

 

อา.. สงบสุขดีจริง ๆ

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา