Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ภารกิจของผู้กล้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 13 : ภารกิจของผู้กล้า
 
“ประกาศถึงผู้เข้าสอบทุกคน ขณะนี้พวกเราได้ทำการแบ่งกลุ่มของผู้เข้าสอบทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้ผู้เข้าสอบทุกคนเตรียมตัวฟังโจทย์ และกฎการสอบของภาคปฏิบัติในครั้งนี้ด้วยค่ะ” ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ เหล่าหนุ่มสาวในห้องพักรับรองต่างก็ยืนขึ้นเตรียมพร้อมฟังโจทย์ที่จะได้รับทันที
 
“สวัสดีผู้เข้าสอบทุกคน ผม ดร.เดวิด ลิฟวิ่งสโตน ผู้รับผิดชอบในการสอบภาคปฏิบัติครั้งนี้” โต๊ะไม้โอ๊คตรงกลางห้องถูกเลื่อนออกเป็นเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมของคนที่อาเชอร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี และเขาเองก็รู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ได้เห็นหน้าคนคุ้นเคย แม้จะเป็นแค่ภาพโฮโลแกรมก็ตาม
 
แต่ทว่าคนอื่นในห้องพักรับรองกลับไม่ได้คิดอย่างเดียวกันกับที่อาเชอร์คิด ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาฉายแววค่อนข้างกังวลพอสมควร เพราะเดวิดคือคนแรกที่ทำการสำรวจใจกลางทวีปอาบูเคลันจนค้นพบน้ำตกขนาดใหญ่ที่ซุกซ่อนมานานหลายศตวรรษอย่างน้ำตกวิตอเรีย
 
การที่ให้บุคคลที่มีชื่อเสียงขนาดนี้มาออกข้อสอบภาคปฏิบัติของพวกเขา มันก็น่าจะเป็นการสอบที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
 
“ในการสอบภาคปฏิบัติครั้งนี้ จะไม่ใช่แค่การเอารอดจากสถานการณ์อันตราย หรือการทดสอบทักษะการต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราจะให้ทุกคน ได้ปฏิบัติภารกิจของอัศวินแห่งรุ่งอรุณ ที่พวกเขาได้ไปปฏิบัติภารกิจกันมาจริง ๆ ด้วย” ภาพโฮโลแกรมนั้นหยุดพูด และฉายภาพของเมืองแห่งหนึ่งที่น่าจะผ่านสงครามมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน
 
“นี่คือเมืองสมมุติที่พวกเรากำหนดให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกิด โรคระบาดจากละอองมาร และสถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมาก”
 
ภาพโฮโลแกรมนั้นฉายภาพของชาวเมืองที่กำลังถูกอสุรกายจำพวกผีดิบไล่ล่าพวกเขาอยู่ อสุรกายพวกนี้ก็เคยเป็นคนปกติมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาได้รับสสารละอองมารในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์ธรรมดาจะรับไหว และพวกเขาก็ได้กลายพันธุ์เป็นผีดิบที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะไปเรียบร้อยแล้ว
 
ที่สำคัญผีดิบพวกนี้ไม่สนใจหรอกว่าเหยื่อที่พวกมันจะฉีกเป็นชิ้น ๆ ตรงหน้าของพวกมันนั้น จะเคยเป็นญาติพี่น้อง คนรู้จัก หรือคนรักของพวกมันมาก่อนหรือไม่
 
เหล่าผู้เข้าสอบในห้องพักรับรองต่างก็กลืนน้ำลายเหนี่ยว ๆ ลงคออย่างไม่รู้ตัว เมื่อพวกเขาเห็นภาพของผีดิบพวกนั้นไล่กัด และกระชากร่างของเหยื่ออย่างน่าสยดสยอง
 
“ภารกิจในการสอบครั้งนี้ พวกคุณทุกคน จะต้องทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตในเมือง ให้ไปยังจุดรวมพล ของกลุ่มทหารหรือตำรวจประจำเมือง จากนั้นกลุ่มทหารหรือตำรวจประจำเมืองจะทำการเคลื่อนย้ายผู้รอดชีวิตออกจากเมืองโดยรถโดยสารของพวกเขา ซึ่งพวกคุณก็จะต้องคุ้มครองขบวนรถเคลื่อนย้ายของผู้รอดชีวิตให้ออกจากเมืองโดยสวัสดิภาพ”
 
ทุกคนฟังโจทย์ที่ได้รับอย่างตั้งใจ สรุปง่าย ๆ ก็คือ หนึ่ง ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตไปยังจุดรวมพล สอง คุ้มกันขบวนรถเคลื่อนย้ายผู้รอดชีวิตออกจากเมืองให้ได้ ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างตามที่กำหนดเอาไว้ ถือว่าเป็นอันจบภารกิจ
 
“เมื่อทุกคนเข้าใจข้อกำหนดของภารกิจแล้ว เรามีเวลาให้ทุกคนได้เตรียมตัว 5 นาที ก่อนที่เราส่งทุกคนไปยังจุดเกิดในเมือง คิดให้ถี่ถ้วนว่าทีมของพวกคุณจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโชคดี” เมื่อเสร็จสิ้นการอธิบายโจทย์ ภาพโฮโลแกรมของเดวิดก็ดับลง
 
จากนั้นพวกตู้หนังสือที่อยู่ในห้องพักรับรองการถูกเปลี่ยนเป็นคลังอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติภารกิจ ทั้งพวกน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิต น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ น้ำยาฟื้นฟูกำลังกาย หรือแม้กระทั่งยาพิษ กับดักหลากชนิด ลูกธนูและกระสุนแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอาวุธหลากหลายชนิดสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมอาวุธประจำตัวมาในการสอบครั้งนี้ด้วย
 
“เอ่อ...พวกเราจะเอายังไงกันต่อดี?” คูเอ่ยออกมาหลังจากที่ทุกคนนิ่งเงียบไม่หือไม่อืออะไร ซึ่งเวลานับถอยหลังของพวกเขาก็เหลือน้อยลงไปทุกที ตัวเลขนาฬิกาดิจิตอลยังคงนับถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้น
 
“งั้นพวกเราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของแต่ละคนก่อนครับ ว่าแต่ละคนมีสายอาชีพอะไรบ้าง แล้วพวกเราจึงจะสามารถจัดอุปกรณ์ได้ถูกต้อง” เรนฮานเริ่มเอ่ยแผนการขั้นแรก แม้เขาจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นครึ่งหมาป่า แต่เขาก็ได้ลักษณะเด่นของหมาป่าจริง ๆ มาด้วยนั้นคือการทำงานเป็นทีม
 
“พวกเราช่วยกันเก็บน้ำยาพื้นพลังชีวิตกันก่อนดีกว่าครับ สิ่งนี้จำเป็นมาก ๆ ถ้าพวกเราต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีจอมเวทขาว”
 
“แล้วพวกเราจะขนน้ำยาพวกนี้ได้ยังไง คงไม่ใช้หอบไปพะรุงพะรังแบบนี้นะ” คูเอ่ยถามเรนฮาน ถ้าต้องแบกขวดน้ำยาพวกนี้ไปด้วย คงไม่ไหวแน่ ๆ
 
“นี่ครับ นาฬิกาข้อมือแบบที่พวกอัศวินแห่งรุ่งอรุณใช้กัน เราสามารถนำอุปกรณ์ทั้งหมดใส่ในนี้ได้ครับ” ตอนที่เรนฮานอยู่ที่ลิเบอร์แลนด์ เขาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของอัศวินแห่งรุ่งอรุณมาพอสมควร หมาป่าหนุ่มหยิบนาฬิกาข้อมือที่อยู่ในกล่องด้านหน้าของพวกเขา แล้วสอนทุกคนให้เปิดหน้าจอของนาฬิกาข้อมือขึ้นมาได้ หน้าต่างโฮโลแกรมของนาฬิกาข้อมือเด้งขึ้นมา ซึ่งมีเพียงช่องเมนูของสัมภาระให้ใช้แค่นั้น
 
ในความจริงเป็น เมนูการใช้นาฬิกาข้อมือของอัศวินแห่งรุ่งอรุณจะเยอะกว่านี้ แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่ใช่ ทางสถาบันจึงล็อกแค่เมนูช่องสัมภาระแค่นั้น
 
“แค่เอาขวดน้ำยาใส่ในช่องสัมภาระนี้ ก็เรียบร้อยแล้วครับ” แล้วเรนฮานก็หยิบขวดน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตใส่ลงไปในช่องสัมภาระ ขวดน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตก็หายเข้าไปอยู่ในช่องสัมภาระแล้วหนึ่งขวด พอเห็นดังนั้นทุกคนจึงทำตามเรนฮานทันที
 
ซึ่งมีหน้าจอโฮโลแกรมก็ปรากฏจำนวนที่พวกเขาสามารถใส่ขวดน้ำยาฟื้นฟูชีวิตได้ไปแค่คนละยี่สิบขวดแค่นั้น นอกเหนือจากนี้น้ำยาแต่ละชนิดก็ยังจำกัดจำนวนที่ไม่เท่ากันเสียด้วย สงสัยพวกเขาคงต้องวางแผนให้รัดกุมในการใช้น้ำยาพวกนี้ให้มากขึ้นเสียแล้ว และที่สำคัญเวลาที่จะต้องใช้น้ำยาพวกนี้ ต้องไม่สูญเปล่าด้วย
 
“สายอาชีพของผมคือ นักเวทดรูอิด (Druid) ครับ ว่าแต่ทุกคนมีสายอาชีพอะไรกันบ้างครับ?” เรนฮานเอ่ยถามสมาชิกในทีม ขณะที่เขากำลังรวบรวมน้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์อยู่ด้วย
 
“ของฉันเป็นนักธนู (Archer) ”
 
“ของรีแบ็คก้าเป็นพลซุ่มยิง (Snipers) ” ไม่ว่าเปล่า คนแคระสาวโชว์ปืนสไนเปอร์ให้เรนฮานดูอีกด้วย
 
“งั้นดีเลยครับ คุณอาเชอร์ คุณรีแบ็คก้าแล้วก็ผมช่วยกันสนับสนุนการโจมตีระยะไกลให้ทีมด้วยนะครับ อย่าลืมสำรองลูกธนูกับกระสุนเยอะ ๆ นะครับ”
 
“รับทราบ!” เมื่อได้รับมอบหมายงานแล้ว อาเชอร์ก็รีบดูลูกธนูชนิดต่าง ๆ และเลือกหยิบอันที่เขาคาดว่าน่าจะได้ใช้ในภารกิจมาสำรองด้วย
 
“ส่วนฉัน พลหอก (Lancer) เดี๋ยวฉันจะอยู่แนวหน้าให้เอง”
 
“รบกวนด้วยนะครับคุณคู แล้วพวกคุณทั้งคู่?” ตั้งแต่ที่เข้าห้องพักมายังไม่มีใครรู้ข้อมูลของสมาชิกอีกสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะดูแล้วทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ค่อยเอ่ยคำพูดอะไรออกมามากนัก
 
“แคทเธอรีน แบล็ก นักลอบสังหาร (Assassin) อาวุธที่ถนัดคือมีด” แคทเธอรีนเอ่ยนามและสายอาชีพของเธอออกมาเรียบ ๆ เหมือนอย่างที่เคยพูดกับอาเชอร์และคู
 
“ถ้าอย่างนั้น คุณแคทเธอรีนน่าจะอยู่แนวหน้ากับคุณคูได้ใช่ไหมครับ?” เรนฮานถามหญิงสาวผู้มีสีหน้าเรียบเฉย เขาเดาทางของผู้หญิงคนนี้ไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเธอคิดอะไรอยู่
 
ฝ่ายแคทเธอรีนไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเล็กน้อย เป็นอันรับรู้ว่าหน้าที่ของเธอคือเป็นแนวหน้าให้กับทีม และลงมือหยิบขวดยาพิษมาใส่ในช่องสัมภาระของเธอต่อ ซึ่งเธอสามารถเอาไปได้แค่หกขวดเท่านั้น
 
“อ่า แล้วก็คุณ...” ทีนี้ก็เหลือสมาชิกคนสุดท้ายของทีมแล้ว ชายหนุ่มร่างยักษ์เพียงคนเดียวของกลุ่มก็หันมาเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างต่ำกว่ามนุษย์ทั่วไป
 
“แม็กซิมัส อาร์มัน นักรบคลั่ง (Berserker) ส่วนอาวุธของฉันก็คือเจ้านี่แหละ” แม็กซิมัส กระแทกขวานยักษ์ของเขาลงกับพื้น ทำเอาอาเชอร์และคนอื่น ๆ ในทีมเผลอกลืนน้ำลายดังอึก
 
ถ้าคิดจะมีเรื่องกับใครล่ะก็ แม็กซิมัสนี่แหละ คือคนสุดท้ายที่ควรจะมีเรื่องด้วย!
 
“ถ...ถ้าอย่างงั้น เราก็แบ่งหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ แฮะ ๆ” เรนฮานเสียงสั่นไปเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าก่อนที่เสียงประกาศตามห้องพักรับรองจะดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
 
“เหลือเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งนาที” เสียงประกาศเตือนผู้เข้าสอบทุกห้องอีกครั้ง
 
“ตามนี้เลยนะครับ ทุกคนรีบเตรียมตัวกันต่อเถอะครับ” หลังจากที่วางแผนกันเสร็จสิ้น อาเชอร์ก็ทำการแกะซองใส่ธนูของเขาเพื่อขึ้นสายทันที
 
คูอวดหอกสีทองอร่ามของเขาต่อสายตาของสมาชิกในทีม เด็กหนุ่มยอมรับจริง ๆ ว่า หอกของสหายผู้นี้นั้นงดงามมาก ๆ เหลือเกิน
 
ฝ่ายอาเชอร์เองก็แกะซองใส่ธนูของเขา และใช้ขาขัดคันธนูเพื่อขึ้นสายธนู ธนูสีดำสนิทแบบโชซอนของเขาโค้งงออย่างสวยงามเมื่อขึ้นสายเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเมื่อเขาทำการวอร์มสายธนูด้วยการง้างดึงแล้วผ่อนสาย ทำให้เอลฟ์หนุ่มผู้เป็นสหายของเขามองธนูอย่างสนใจ
 
“อืม...ธนูของนายนี้จากต่างธนูที่ใช้ในยูโรเปียนจริง ๆ ด้วย แบบนี้แรงส่งลูกธนูน่าจะแรงกว่าธนูในยูโรเปียนแน่ ๆ”
 
ธนูของอาช็อกชอร์เป็นธนูวัสดุผสม คือการเอาเขาสัตว์มาฝานเป็นแผ่นและประกบเข้ากับไม้ ตามด้วยติดกาวหนังสัตว์ ทำให้ธนูตะวันออกมีความยืดหยุ่นกว่าธนูตะวันตกที่ใช้เพียงไม้ล้วนเพียงอย่างเดียวในการทำธนู
 
“มันต้องเป็นธนูที่ดีมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ อาเชอร์”
 
“มันไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยแหละ” อาเชอร์มองธนูในมือของตนเอง เขาเคยรอดชีวิตมาครั้งหนึ่งได้ด้วยธนูคันนี้ และตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าอาวุธในมือของเขาจะทำหน้าที่ของมันได้ไม่บกพร่องเช่นกัน
 
“เหลือเวลาในการเตรียมตัวอีกสามสิบวินาที” เสียงประกาศเตือนนับถอยหลังดังขึ้นทีไร อาเชอร์ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ถ้าเทียบกับเมื่อเช้า ป่านนี้คงมีผีเสื้อนับร้อย ๆ ตัวบินวนอยู่ในท้องของเขาอยู่
 
“เหลือเวลาในการเตรียมตัวอีกยี่สิบวินาที” เหล่าหนุ่มสาวในห้องพักรับรองต่างก็เตรียมอาวุธประจำตัวของพวกเขาให้พร้อม ในขณะที่เวลาก็จวนเจียนเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าหัวใจหลุดออกจากหน้าอกของเด็กหนุ่มได้ มันก็คงจะหลุดออกมาแล้ว
 
“เหลือเวลาอีกสิบวินาที” อาเชอร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งหนึ่ง และพยายามข่มใจของตัวเองให้สงบลง เขาจะมาสติแตกในรอบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
 
“5...” รีแบ็คก้าทำการบรรจุกระสุนปืนพกของตนเองและเอาไรเฟิลแขวนบ่าของเธอเอาไว้ ส่วนแม็กซิมัสก็ยกขวานยักษ์ของเขาขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะโฮมรันศัตรูทุกตัวที่เข้ามาขว้างหน้าเขา
 
“4...” คูหักนิ้วดังกร๊อบอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็ยังคงเป็นเอลฟ์ที่อารมณ์ดี ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ
 
“3...” เรนฮานทำการร่ายมนตร์เรียกวิญญาณหมาป่าแสงมาช่วยเขาสามตัว ซึ่งบัดนี้หมาป่าแสงทั้งสามตัวก็ปรากฏอยู่ข้าง ๆ ผู้อัญเชิญแล้ว และพวกมันก็กำลังรอคำสั่งจากนายของพวกมันอยู่
 
“2...” แคทเธอรีนดึงผ้าปิดปากสีหม่นขึ้นมาปิดปากของเธอ นั้นยิ่งทำให้เธอดูลึกลับเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัว สมกับสายอาชีพนักลอบสังหารยิ่งนัก ส่วนอาเชอร์เองก็หยิบลูกธนูของเขาออกมาจากกระบอกใส่ลูกธนูเพื่อเตรียมพร้อมที่จะยิงเป้าหมาย
 
“1... ส่งตัวผู้เข้าสอบทุกคนไปยังจุดเกิดของเมือง ขอให้ทุกคนโชคดี” เมื่อสิ้นเสียงประกาศจากส่วนกลางลง ตัวของเหล่าหนุ่มสาวในห้องพักรับรองก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงสีขาว ก่อนที่ตัวของพวกเขาจะหายวับไปกับตา ราวกับไม่เคยมีผู้ใดเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
 
 
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
 
“ออกไป อย่าเข้ามา ไม่นะ ไม่!!”
 
“อ้ากกกกก!”
 
หลังจากที่ถูกวาร์ปมายังจุดเกิดแค่ไม่ถึงนาที สารพัดเสียงของผู้คนหลากหลายคน ก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของอาเชอร์ทันที ภาพตรงหน้าของพวกเขามันถ้าจะบอกว่ามันคือนรกบนดิน ก็คงจะไม่ต่างจากคำพูดนี้เท่าไหร่นัก
 
พวกผีดิบกลายพันธุ์รุมกัดซากศพอย่างไม่แยแสรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขาถูกส่งมายังที่ที่เหมือนเป็นจัตุรัสใจกลางเมือง และตอนนี้ผู้คนต่างก็กำลังวิ่งหนีพวกผีดิบกันอย่างหัวซุกหัวซุน
 
ในขณะที่ทุกคนกำลังช็อกกับเหตุการณ์ตรงหน้า อสุรกายตนหนึ่งที่รับรู้ถึงการปรากฏของพวกเขา มันก็พุ่งเข้าหารีแบ็คก้าที่อยู่ใกล้มันมากที่สุดอย่างรวดเร็ว โดยที่เธอยังไม่ทันได้รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
 
ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะสายเกินแก้ไปแล้ว แคทเธอรีนที่อยู่ใกล้รีแบ็คก้าที่สุดก็ใช้มีดของเธอปาดลำคอของผีดิบตนนั้นอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณของนักลอบสังหาร
 
ฉัวะ!
 
มีดแหลมคมของแคทเธอรีนหมุนรอบลำคอของผีดิบตนนั้น และตัดหัวของผีดิบนั้นขาดสะบั้นออกจากตัว ผีดิบที่ถูกแคทเธอรีนสังหารไปก็หายวับไปกับตา เป็นเพราะพวกมันเป็นแค่เพียงภาพโฮโลแกรมสมมุติเหตุการณ์แค่นั้น
 
แม้จะทุกอย่างในที่แห่งนี้จะเป็นแค่เหตุการณ์สมมุติอย่างที่เดวิดกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นก็ตาม มันทำให้ผู้เข้าสอบเกิดความรู้สึกสั่นกลัวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันช่างเสมือนจริงเหลือเกิน
 
“พวกนายอย่ามัวแต่ยืนเหม่อ พวกมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวนะ” แคทเธอรีนเอ่ยเตือนสติสมาชิกในทีม เมื่อตอนนี้พวกผีดิบทั้งฝูงเริ่มรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาแล้ว
 
“แค่ตกใจนิดหน่อยเองน่า อย่าเพิ่งเครียดไปสิ” คูเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดเล่นอย่างที่เคยเป็น ก่อนที่เขาจะควงหอกของตนเข้าโฮมรันกับฝูงผีดิบตรงหน้าทันที
 
ฝ่ายเรนฮานก็สั่งการหมาป่าแสงของเขาเข้าโจมตีผีดิบที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขาพร้อมกับขว้างลูกไฟสีน้ำเงินใส่กลุ่มผีดิบตรงหน้าเขา จนไฟสีน้ำเงินลุกท่วมกองซากศพเดินได้พวกนั้น มาถึงตรงนี้อาเชอร์ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสมจริงมากเกินไปหน่อย เมื่อเขาได้กลิ่นไหม้จากซากศพพวกนั้น
 
“ย้าก!” แม็กซิมัสหวดขวานของตนเองอย่างบ้าคลั่ง จนร่างของพวกผีดิบที่จะมารุมกินโต๊ะเขาขาดเป็นสองท่อนไปหลายศพ แต่เนื่องจากเขาตัวใหญ่จึงทำให้การเคลื่อนไหวของเขานั้นค่อนข้างช้า ทำให้ผีดิบตนหนึ่งที่จ้องแม็กซิมัสจากด้านหลังของเขา พุ่งเข้าหาเขาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
 
“ระวัง!” อาเชอร์ปล่อยลูกธนูในมือของเขาจนมันพุ่งไปปักที่หน้าผากของผีดิบตนนั้นอย่างรวดเร็ว ร่างของผีดิบตนนั้นกระเด็นออกจากตำแหน่งที่แม็กซิมัสยืนไปไม่ไกลมากนัก ก่อนที่ร่างของมันจะหายไปเช่นเดียวกันกับร่างของผีดิบตนอื่น ๆ
 
“แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ  พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดไม่งั้นพวกเราจะโดนพวกมันรุมแน่นอน” คูตะโกนบอกหลังจากที่เขาใช้หอกของตนแทงหัวของผีดิบตนหนึ่งทะลุ ขืนยังอยู่ในที่โล่ง ไร้ที่กำบังอยู่แบบนี้ต่อไปพวกเขาเสียเปรียบแน่นอน
 
เพราะพวกมันยังคงวิ่งเข้าหาพวกเขามาเรื่อย ๆ ราวกับสายน้ำ ตอนนี้พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันสุด ๆ และพวกเขาจะต้องรีบแก้สถานการณ์เดี๋ยวนี้!
 
ในขณะที่พวกเขากำลังจะถูกฝูงผีดิบล้อมรอบ อาเชอร์ก็จัดการยิงธนูแบบปล่อยกระแสไฟฟ้าที่เพิ่งเรียนไปห้าลูกเพื่อยิงสกัดทางของพวกผีดิบ หลังจากที่ลูกธนูปักลงบนพื้น กระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากลูกธนูก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นเขตกั้นบริเวณให้พวกเขา ทำให้พวกผีดิบที่พยายามจะผ่าเขตกระแสไฟฟ้าเข้ามาถูกช็อตและไหม้เป็นตอตะโก
 
“พวกเราจะต้องหาทางไปจากที่นี่นะ กระแสไฟฟ้าพวกนี้จะอยู่ได้อีกไม่นาน ถ้าไม่รีบออกไปจากตรงนี้ พวกเราเสร็จพวกมันแน่” อาเชอร์ตะโกนบอกทีมพร้อมกับพยายามหาทางหนีทีไล่ไปด้วย แต่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่พวกผีดิบเต็มไปหมด
 
ปัง! ปัง! ปัง!
 
เสียงยิงติดต่อกันหลายนัดดังขึ้นมาจากทิศทางอื่น และมันก็ไม่ใช่ปืนของรีแบ็คก้าอีกด้วย
 
“ทางนั่น มีคนช่วยพวกเราอยู่!” คนแคระสาวลองใช้กล้องส่องจากไรเฟิลของเธอส่องไปทิศทางของกระสุนที่พุ่งมา แล้วเธอก็พบว่าตรงดาดฟ้าของสถานีตำรวจที่อยู่ห่างจากจัตุรัสกลางเมืองไปสองบล็อก มีแสงกระท้อนจากลำกล้องของปืนอยู่บนนั้น
 
“นั้นใครน่ะ!” คูสะบัดหอกของเขากวาดพวกผีดิบกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง
 
“ไม่รู้ แต่ดูเหมือนคนซุ่มยิงคนนั้นจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้พวกเราอยู่นะ” รีแบ็คก้าส่องไปยังดาดฟ้าของสถานีตำรวจนั้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่ช่วยยิงพวกผีดิบให้พวกเขาส่งสัญญาณบอกพวกเขาว่า ให้รีบมาที่นี่
 
“เธอบอกว่าให้พวกเราไปที่นั่นน่ะ” รีแบ็คก้ารีบตะโกนบอกสมาชิกในทีมทันทีที่เธออ่านสัญญาณจากกระบอกไฟฉายของคนที่อยู่บนดาดฟ้านั้นได้
 
“งั้นพวกเรารีบไปที่นั่นก่อนดีกว่าครับ ดีกว่าอยู่ในที่โล่งแบบนี้” เรนฮานขว้างลูกไฟสีน้ำเงินใส่ผีดิบตรงหน้า ก่อนที่จะสั่งให้หมาป่าแสงของเขาวิ่งผ่านกระแสไฟฟ้าออกไปล่อให้ผีดิบฟากหนึ่งเปิดทางให้พวกเขาวิ่งไปที่สถานีตำรวจได้
 
“ทุกคนครับ วิ่ง!” ไม่ต้องรอให้เรนฮานพูดซ้ำ เมื่อกระแสไฟฟ้าจากลูกธนูดับลง ทุกคนในทีมก็รีบวิ่งไปยังทางที่เหล่าหมาป่าแสงเคลียร์ทางให้ทันที ทุกคนวิ่งไปทางสถานีตำรวจกันอย่างไม่คิดชีวิต
 
ในขณะที่เสียงปืนอย่างคงดังมาจากดาดฟ้าของสถานีตำรวจอยู่เรื่อย ๆ ทั้งอาเชอร์ เรนฮาน และรีแบ็คก้าต่างก็หันมาระดมยิงใส่ผีดิบที่เข้ามาใกล้พวกเขาเกินไปเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งพวกเขาวิ่งมาถึงจุดที่เป็นแผงกั้นของสถานีตำรวจจนได้
 
ซึ่งแผงกั้นตรงนี้ก็สูงมากเสียด้วยจนมันแทบจะเป็นกำแพงได้เลยด้วยซ้ำ และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องปืนข้ามกำแพงแผงกั้นพวกนี้ไปยังฝั่งตรงข้ามให้ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างกับเดินเข้าหาทางตัน
 
“ปีนขึ้นมาเลยพรรคพวก เดี๋ยวพวกเราจะคอยคุ้มกันให้เอง!” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังมาจากด้านบนกำแพงแผงกั้น เมื่อดูคร่าวๆ แล้ว น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขา ซึ่งคงจะเป็นผู้เข้าสอบทีมอื่นแน่ ๆ ที่ช่วยเหลือพวกเขาอยู่
 
“ถ้างั้นคุณรีแบ็คก้าปีนขึ้นไปก่อนได้เลยครับ แล้วคุณรีแบ็คค่อยเล็งปืนจากบนนั้นลงมาด้านล่างนะครับ”
 
“ได้เลยฮับ!” คนแคระสาวเก็บปืนพกของตนไว้ที่ซองใส่ปืน แล้วปีนตรงตะแกรงเหล็กขึ้นมาด้านบน
 
“พวกนายเป็นแนวหลัง! ปีนขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวพวกฉันตามขึ้นไป ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นนะ” คูตะโกนบอกอาเชอร์ที่ทำท่าจะอยู่ด้านล่างกับพวกเขา
 
“ได้! พวกนายก็รีบตามขึ้นมานะ” อาเชอร์จัดการแขวนธนูของเขาไว้ที่บ่าของตนเองแล้วรีบปีนตะแกรงขึ้นไป และเรนฮานที่ตามเขาขึ้นมาติด ๆ
 
“มาฉันช่วย” ผู้เข้าสอบอีกทีมที่อยู่บนตะแกรงเหล็กยื่นมือมาหาพวกอาเชอร์ที่ปีนขึ้นมาจนเกือบพ้นกำแพงกั้นเต็มที ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของอีกทีมก็ทำการดึงตัวรีแบ็คก้าขึ้นไปบนยอดกำแพงกั้นแล้ว
 
เด็กหนุ่มยื่นไปจับมือกับเด็กหนุ่มที่คาดว่าเป็นหนึ่งในเข้าสอบเช่นกันบนนั้น และเขาก็ออกแรงดึงให้อาเชอร์ขึ้นมาอยู่บนยอดกำแพงกั้น ตามด้วยเรนฮานที่ขึ้นมาทีหลังสุด
 
“ตามขึ้นมาเลยทุกคน ตอนนี้พวกมันยังมาไม่ถึงกำแพง” ทั้งคู แคทเธอรีน และแม็กซิมัสต่างก็รีบปีนกำแพงขึ้นไปตามพวกอาเชอร์ทันที
 
“นายปีนไหวใช่ไหมพี่เบิ้ม?” คูเอ่ยถามชายร่างยักษ์ ซึ่งเขาก็ตอบแค่อืมและพยักหน้าเล็กน้อย โชคดีที่กำแพงกั้นนี้ยังแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของแม็กซิมัสได้ ไม่งั้นกำแพงกั้นนี่คงถล่มไปแล้ว
 
เสียงร้องโหยหวนของฝูงผีดิบเริ่มใกล้เข้ามาทุกที อาเชอร์ที่อยู่ด้านบนก็เริ่มยิงธนูใส่พวกฝูงผีดิบที่เข้ามาใกล้กำแพงกั้นทันที
 
“พวกมันมีมากเกินไป แบบนี้ยิงเท่าไหร่ก็ไม่หมดแน่!” รีแบ็คก้าใช้ไรเฟิลของเธอในการช่วยยิงพวกผีดิบฝูงนี้ ในขณะที่เรนฮานเปลี่ยนหมาป่าแสงของเขาตัวหนึ่งให้กลายเป็นพญาอินทรีแสงให้โฉบบินก่อกวนศัตรูจากบนฟ้า
 
“เร็วเข้า เร็วเข้า...” อาเชอร์พึมพำออกอย่างลืมตัว เขาลุ้นให้เพื่อน ๆ ในทีมของเขาขึ้นมาให้ทันเวลา ตอนที่แม็กซิมัสไปดึงแผงกั้นแผงหนึ่งหลุดออกจากแนวกำแพงของมัน โชคดีที่ไม่ใช่ตัวเขาที่หล่นลงไปข้างล่าง และในที่สุดทั้งสามคนที่เหลือก็ปีนขึ้นมายอดกำแพงกั้นพวกนี้ได้อย่างฉิวเฉียดเหลือเกิน
 
“โชคดีนะที่พวกมันปีนไม่ได้ ไม่งั้นละก็พวกนายอาจจะออกจากการสอบนี้ไปแล้ว” เด็กหนุ่มอีกทีมกล่าวกับพวกเขา และมันเป็นจริงอย่างที่เขาว่าเอาไว้ พวกผีดิบด้านล่างร้องระงมอยู่ด้านล่าง แต่พวกมันปีนขึ้นมาไม่ได้
 
“ไปกันเถอะ ในสถานีตำรวจมีอะไรเจ๋ง ๆ เยอะเลยแหละ” เด็กหนุ่มคนนั้นชวนพวกเขาให้เข้าไปในสถานีตำรวจด้วยกัน พวกเขาทั้งหมดจึงตามทีมผู้เข้าสอบที่ช่วยชีวิตพวกเขาเข้าไปในสถานีตำรวจตรงหน้า
 
“ฉันอาเธอร์ เพนตราก้อน ส่วนสองคนนั้นคือ ริชาร์ด กับฮันโซ พอดีสองคนนั้นเป็นคนไม่ค่อยพูดเท่าไหร่น่ะนะ ไม่ต้องใส่ใจหรอก” อาเธอร์แนะนำตนเองพร้อมกับแนะนำสมาชิกในทีมของเขา ซึ่งริชาร์ดและฮันโซต่างก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งในห้องโถงกลางของสถานีตำรวจ
 
“หืม หมอนั้นคือคนที่สอบได้ที่หนึ่งใช่ไหม?” คูชี้ไปยังเด็กหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังใช้หินขัดดาบของเขาจนคนที่อยู่รอบข้างรู้สึกเสียว ๆ ทุกครั้งที่หินเสียดสีกับดาบ
 
“อ่า ใช่แล้วล่ะ แต่มนุษยสัมพันธ์ไม่น่าจะอยู่ในอันดับที่ 1 เหมือนคะแนนภาคทฤษฎีของเขาหรอกนะ” ประโยคหลังอาเธอร์แอบกระซิบกับคูทำเอาคูแอบหัวเราะไปนิดนึง แสดงว่าหมอนั้นอาจจะเย็นชากับทุกคนตั้งแต่ในห้องพักรับรองจนถึงตอนนี้
 
คูทำการแนะนำสมาชิกในทีมให้อาเธอร์รู้จักบ้าง แม้จะแอบแขวะรีแบ็คก้านิดหน่อย ดีที่นางไม่ได้ยินสิ่งที่คูเอ่ยออกมา เพราะนางขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อดูชัยภูมิจากที่สูง และคนแคระสาวยังไปทำความรู้จักกับอนาสตาเซีย สาวพลซุ่มยิงของทีมนี้ที่ยิงช่วยชีวิตพวกเขาเมื่อสักครู่นี้
 
“ในสถานีตำรวจมีแผนผังของเมืองนี้ด้วยนะคู มันอยู่ที่ชั้นสองน่ะ พวกนายสามารถอัปโหลดมันลงเมนูแผนที่ในนาฬิกาข้อมือได้ด้วยนะ มันจะปลดล็อกเมนูแผนที่ให้”
 
“งั้นเหรอ พวกนายนี้โชคดีชะมัดที่จุดเกิดสุ่มให้มาเกิดที่นี่พอดี”
 
“ก็นะ คงไม่มีใครโชคร้ายไปกว่ากลุ่มของพวกนายที่จุดเกิดดันอยู่ใจกลางเมืองขนาดนั้น”
 
อาเชอร์นั่งฟังบทสนทนาของคูและอาเธอร์เงียบ ๆ ดูเหมือนจะคุยกันถูกคอด้วย เด็กหนุ่มสองคนนั้นพูดคุยกันแบบผ่าน ๆ เพราะกำลังจ้องเด็กหนุ่มอีกคนที่ชื่อริชาร์ด
 
ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลก ๆ กับริชาร์ด มันเป็นความรู้สึกเดียวกันแบบที่เขารู้สึกกับแคทเธอรีนตอนที่เจอกันในห้องพักรับรอง ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกแบบฉันชู้สาวกับแคทเธอรีน หรือว่าเขาชอบพอริชาร์ดนะ สาบานได้เลย!
 
เขารู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงระหว่างกับสองคนนั้นกับเขา อันที่จริงต้องบอกว่าสามคนตังหาก แต่อาเชอร์ไม่รู้ว่าคนที่สามที่เขารู้สึกเชื่อมโยงกันกับเขานั้นเป็นใคร อาจจะเป็นหนึ่งในทีมของเขาก็ได้ แต่มันไม่ได้รู้สึกชัดเท่ากันกับแคทเธอรีนและริชาร์ด
 
ในระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ เขาก็มารู้สึกตัวทีหลังเอาตอนที่ริชาร์ดเองก็กำลังจ้องมองเขาอยู่เหมือนกัน ทำให้อาเชอร์รีบแสร้งหันไปทางอื่น ฝ่ายริชาร์ดที่เห็นว่าอาเชอร์ไม่ได้จ้องมองมาทางเขาแล้ว เขาก็กลับมาสนใจดาบของเขาต่อ
 
“มีอะไรงั้นหรือ?” นินจาหนุ่มของทีมนามว่าฮันโซเอ่ยกับริชาร์ดด้วยน้ำเสียงที่เรียบ ๆ
 
“เปล่าหรอก...ไม่มีอะไร” ริชาร์ดตอบฮันโซด้วยน้ำเสียงที่เรียบ ๆ กลับไปเช่นกัน
 
ใช่...ไม่มีอะไรจริง ๆ หรอก หรือเปล่านะ?
 
“เมื่อกี้น่ะอานาสตาเซียเจ๋งมากเลยรู้ไหม?” เสียงแจ้ว ๆ ของคนแคระสาวดังมาจากชั้นบน ตอนนี้รีแบ็คก้ากับอนาสตาเซียกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
 
“ไม่หรอกจ้ะรีแบ็คก้า ฉันว่าทักษะการช่างของเธอเจ๋งกว่าเยอะเลย เธอสร้างหุ่นซุ่มยิงในเวลานิดเดียวได้ยังไงเนี่ย” เสียงหวาน ๆ ของอนาสตาเซียเอ่ยชมรีแบ็คก้าที่สร้างหุ่นซุ่มยิงทำหน้าที่แทนพวกเธอสองคน ทำให้ไม่ต้องไปนั่งหลังขดหลังแข็งบนดาดฟ้าอีกแล้ว
 
“งานกล้วย ๆ แบบนี้น่ะ สบายมาก ไว้ใจได้เลย” รีแบ็คก้าชูนิ้วโป้งขึ้นมา ดูเหมือนรีแบ็คก้าเองก็น่าจะได้เพื่อนใหม่เหมือนกันสินะ
 
“เป็นไงบ้างอนาสตาเซีย ทางที่พวกเราจะไปมีอะไรขวางไหม?” อาเธอร์เอ่ยถามสมาชิกของเขา
 
“เท่าที่ดูจากด้านบนก็ไม่มีอะไรบล็อกทางอยู่นะ” คำยืนยันของเธอทำเอาอาเธอร์ผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี
 
“ดีเลย งั้นพวกเราไปก่อนนะคู จุดที่พวกเราจะไปมีกลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่พอดี พวกนายเองก็รีบเร่งมือเข้านะ ในเมืองนี้น่าจะมีแบบพวกเราอีกสิบ ๆ กลุ่มแหละ ช้าหมด อดไม่รู้ด้วยนา”
 
“ได้เลย ว่าแต่พวกนายรู้ได้ยังไงว่าจะหาผู้รอดชีวิตจากตรงไหน?”
 
“มันจะขึ้นบนแผนที่ให้เอง” อาเอร์ทำการโชว์แผนที่โฮโลแกรมของเขา ซึ่งมันปรากฏจุดสีแดงและจุดสีเขียว สีแดงคือแทนกลุ่มผู้รอดชีวิต จุดสีเขียวคือแทนพวกเขา
 
“โอเค ขอบใจมากนะอาเธอร์”
 
“อืม โชคดี หวังพวกเราจะได้เจอกันตอนเปิดเทอมนะ บาย อนาสตาเซีย พวกเราไปสมทบพวกนั้นที่หน้าประตูกันเถอะ” อาเธอร์อบกกับอนาสตาเซียและหันมาโบกมือบ๊ายบายให้อาเชอร์และแม็กซิมัสที่นั่งอยู่ไม่ไกล เด็กหนุ่มยกมือและโบกมือให้ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย
 
ตอนนี้สมาชิกของพวกอาเธอร์ครบกันหมดแล้ว ซึ่งอีกสองคนที่เหลือของทีมนั้นเป็นหญิงสาวทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นชาวนิโกรและแต่งตัวเหมือนพวกหมอผีในทวีปอาบูเคลัน และอีกคนแต่งตัวเหมือนนักรบไวกิ้งที่อยู่ทางเหนือของทวีปยูโรเปียน และพวกเขาก็ออกจากสถานีตำรวจไปจุดหมายปลายทางของพวกเขา
 
แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป ถ้าอาเชอร์ไม่ได้รู้สึกไปเอง เขารู้สึกว่าริชาร์ดเองก็มองมาทางเขาอย่างแปลก ๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะเดินออกนอกประตูไป
 
แปลกจริง ๆ ด้วยแฮะ...
 
 
“มีกลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่สามกลุ่มที่อยู่ใกล้เรามากที่สุดตอนนี้ครับ” สมาชิกในทีมดูแผนผังของเมืองบนหน้าจอโฮโลแกรมของเขา ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งตัดสินใจอยู่ในห้องโถงกลางว่าจะไปยังจุดไหนกันก่อนดี
 
“กลุ่มนี้ให้เป็นกลุ่มสุดท้ายดีกว่า สองกลุ่มนี้อยู่ใกล้กันมากที่สุด ถ้าช่วยสองกลุ่มนี้เสร็จ พวกเราค่อยไปกลุ่มนี้กัน” แคทเธอรีนชี้ไปยังจุดสองจุดที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน นั้นจะทำให้พวกเขาประหยัดเวลาในการทำภารกิจไปได้มากโข
 
“แล้วในภารกิจนี้ เขากำหนดมาหรือเปล่าว่าพวกเราต้องช่วยกี่กลุ่ม” อาเชอร์ถามถึงข้อกำหนดของภารกิจครั้งนี้ หมาป่าหนุ่มก็ทำการเปิดข้อกำหนดของภารกิจนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
 
“อืม...อย่างน้อยต้องสามกลุ่มครับ อาจจะมากกว่านี้ก็ได้ แต่ต้องให้ครบสามกลุ่ม” ถ้าอย่างนั้นหากพวกเขาช่วยเหลือทั้งสามกลุ่มที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุด พวกเขาก็จะเสร็จสิ้นภารกิจช่วยเหลือ และจะได้ทำภารกิจคุ้มกันต่อทันที
 
“แล้วถ้าพวกเราไปช่วยพวกผู้รอดชีวิตแล้ว พวกเราต้องไปส่งพวกเขาที่จุดรวมพลด้วยหรือเปล่า?” คูเอ่ยถามเรนฮานด้วยความสงสัย เพราะถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คิดเอาไว้
 
“ในนี้บอกว่า ให้เราใช้อุปกรณ์วาร์ปที่อยู่ในช่องสัมภาระ วาร์ปตัวผู้รอดชีวิตไปยังจุดรวมพลครับ แล้วในแผนที่จะบอกเราเองว่าจุดรวมพลอยู่ที่ไหน”
 
“อ๋อ ไอ้แท่งพลาสติกอันนี้น่ะเหรอ ตอนแรกฉันก็งงว่ามันคืออะไร ที่แท้ก็อุปกรณ์วาร์ปนี้เอง” คูชูแท่งพลาสติกสีขาวที่อยู่ในช่องสัมภาระมาตั้งแต่แรก ตอนแรกเขาเกือบจะขว้างมันทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ยังอยู่ในห้องพักรับรอง
 
“มันเป็นอุปกรณ์ที่พวกอัศวินแห่งรุ่งอรุณใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้รอดชีวิตกันน่ะครับ มันสะดวกกว่าวิ่งไปส่งเองเยอะเลย”
 
“แล้วเราใช้ไอ้นี่วาร์ปไปจุดสีแดงพวกนี้เลย ไม่ได้เหรอ?”
 
“มันต้องมีเครื่องรับสัญญาณวาร์ปกับเครื่องส่งสัญญาณวาร์ปน่ะครับ ถ้าไม่มีสองตัวนี้ เราก็วาร์ปไปตรงไหนตามใจชอบไม่ได้ครับ” คำตอบของเรนฮานทำเอาเอลฟ์หนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ นึกว่าจะได้วาร์ปไปมาง่าย ๆ แล้วเชียว
 
“แล้วไอ้เครื่องรับเครื่องส่งสัญญาณอะไรนี่มันอยู่ที่ไหนบ้างล่ะ”
 
“เครื่องรับสัญญาณวาร์ปก็น่าจะอยู่ที่จุดรวมพลอย่างเดียวน่ะครับ ส่วนเครื่องที่พวกเรามีน่าจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณวาร์ปครับ”
 
“ฉันล่ะไม่อยากออกไปเดินเพ่นพ่านด้านนอกเลยจริง ๆ พวกผีดิบนั้นจะไปกันหมดหรือยังก็ไม่รู้” พูดถึงแล้ว เขาก็ยังขนลุกจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หายเลย และตอนนี้พวกมันก็ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด ตอนที่พวกอาเธอร์ออกไป ทีมของพวกเขาจุดกำยานที่ได้จากหมอผีประจำกลุ่ม พอพวกผีดิบสูดดมควันสีม่วงอ่อนพวกนั้นไป ก็ไม่มีผีดิบตนไหนมาทำอันตรายแก่พวกเขาเลยแม้แต่ตนเดียว
 
ซึ่งทีมนี้ไม่มีใครทำแบบนั้นได้ไง!
 
“มันน่าจะมีทางออกอื่น ๆ ที่ออกจากสถานีได้ นอกจากทางด้านหน้าที่พวกเราเข้ามาครับ”
 
“งั้นพวกเรารีบไปหาทางออกจากที่นี่กันเถอะ พวกเราเสียเวลามามากแล้ว” แคทเธอรีนโชว์นาฬิกาเลขดิจิตอลในนาฬิกาข้อมือให้ดู พวกเขาเสียเวลาไปมากแล้วจริง ๆ ต้องรีบเข้าแล้ว ไม่งั้นเสียเวลาไปว่าง ๆ แน่นอน
 
“เดี๋ยวนะ แล้วรีแบ็คก้ากับแม็กซิมัสไปไหนล่ะ?” อาเชอร์เอ่ยทักขึ้นมาเมื่อเขาสังเกตมาพักใหญ่ ๆ แล้วว่าทั้งสองคนนั้นยังไม่เข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเขามาพักใหญ่แล้ว
 
“เออจริงด้วย พี่เบิ้มกับยัยเตี้ยนั้นไม่อยู่ที่นี่จริงด้วย หายไปไหนทั้งคู่นะ” อาเชอร์ถอนหายใจให้กับฉายาที่เอลฟ์หนุ่มตั้งให้ทั้งคู่ แต่พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เพราะแม็กซิมัสมายืนตรงหน้าประตูเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
 
“เฮ้อ! ตกใจหมดพี่เบิ้ม นี่นายหายไปหายมาเนี่ย แล้วยัยเตี้ยนั้นอยู่ไหนล่ะ” คูยิงประโยคคำถามรัว ๆ ใส่แม็กซิมัสโดยไม่ได้แคร์เลยว่าเขาจะฟังทันหรือเปล่า แต่แม็กซิมัสก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบอกอะไรบางอย่างกับพวกเขา
 
“รีแบ็คก้าให้มาตามพวกนายไปที่โรงรถของสถานี”
 
“ทำไมเหรอแม็กซิมัส?” อาเชอร์เอ่ยถามชายร่างยักษ์แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรเพิ่มเติมนอกจากบอกให้พวกเขาตามเขาไปที่โรงรถของสถานี ซึ่งคนแคระสาวก็ยังรอพวกเขาอยู่ที่นั่น โรงรถของสถานีตำรวจอยู่ถัดจากอาคารหลักไม่ไกลนัก พวกเขายังคงได้ยินเสียงของฝูง
 
“แท่นแท๊น! รีแบ็คก้าขอนำเสนอสิ่งที่จะพาพวกเราออกจากที่นี่ได้อย่างไร้รอยข่วน” รีแบ็คก้าอวดสิ่งที่ทำเอาสมาชิกในทีมต้องอ้าปากค้าง ที่รีแบ็คก้ากับแม็กซิมัสหายไปนานสองนานเพราะเธอก้มหน้าก้มตาดัดแปลงรถบัสโดยสารของพวกตำรวจให้กลายเป็นรถบัสหุ้มเกราะสุดเถื่อนอยู่น่ะสิ!
 
อาเชอร์มองดูหนามด้านหน้าของรถบัสอย่างหวาดเสียว ไม่ต้องนึกสภาพเลยเวลาที่ถูกเจ้านี่ชนเข้าให้สภาพร่างกายจะเป็นยังไง
 
“รีแบ็คก้า ที่หายไปนานคือกำลังดัดแปลงเจ้านี้อยู่เหรอ?”
 
“ใช่แล้วอาเชอร์ แม็กซี่คอยเป็นลูกมือให้รีแบ็คก้าอยู่ เลยเสร็จเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย” ชื่อที่คนแคระสาวเรียกชายร่างยักษ์ผู้นี้ ช่างดูต่างจากบุคลิกที่พี่ท่านเอาขวานยักษ์ไล่หวดใส่ฝูงผีดิบกันอย่างลิบลับ แต่เช่นเคยแม็กซิมัสก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากับชื่อเล่นที่คนอื่นตั้งให้เขา
 
“โห สุดยอดไปเลยนะครับคุณรีแบ็คก้า”
 
“แน่นอน ฝีมือซะอย่าง”
 
“นี่ยัยเตี้ย แล้วใครจะเป็นคนขับรถนี่ฝ่าดงผีดิบออกไป ไม่มีใครที่ขับเจ้านี่เป็นหรอกนะ” รีแบ็คก้าทำสีหน้าเหม็นเบื่อทันทีที่เจ้าหูยาวจนหน้าเธอเรียกเธอด้วยคำว่า ยัยเตี้ย
 
“ปากแบบนี้เดี๋ยวรีแบ็คก้าก็ปล่อยให้โดนผีดิบรุมแทะอยู่ที่นี้หรอก ตาทึ่มหูยาว คนที่รู้เรื่องเครื่องยนต์พวกนี้ดีที่สุดก็อยู่ตรงนี้แล้วไง!” คูจ้องรีแบ็คก้าเขม็ง ไม่ใช่เพราะว่าเธอเรียกเขาตาทึ่มหูยาว แต่เพราะเขารู้ว่าคนแคระตรงหน้าเขาคิดจะทำอะไรต่อจากนี้
 
“อย่าบอกนะว่า...”
 
“เชิญขึ้นรถกันได้เลยผู้โดยสารทุกท่าน ตอนนี้รถกำลังจะออกจากสถานีแล้ว” รีแบ็คก้าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ แต่สีหน้าของเอลฟ์หนุ่มก็ซีดเผือดลงอย่างชัดเจน เขานึกอยากจะขัดทุกคนที่เห็นดีเห็นงามกับการเดินทางครั้งนี้เหลือเกิน แต่ก็ขัดไม่ได้เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงถูกทิ้งให้ฝูงผีดิบรุมแทะเล่นที่นี่เพียงคนเดียว
 
นี่ทุกคนไม่รู้หรือไงว่าเวลาที่คนแคระขับรถน่ะ มันเป็นยังไง!
 
“นายเป็นอะไรไปน่ะคู?” อาเชอร์ถามเพื่อนของเขาเมื่อเขาเห็นเอลฟ์หนุ่มตรงหน้ามีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
 
“นายนับถือศาสนาอะไรอาเชอร์?”
 
“ห๊ะ?” อาเชอร์ถึงกับอุทานออกมาเมื่อจู่ ๆ คูก็ถามถึงศาสนาที่เขานับถือ
 
“นายถามทำไมเนี่ยคู”
 
“ฉันจะบอกนายว่า ถ้านายนับถือพระผู้สร้างโลกนะ นายเตรียมสวดภาวนาอ้อนวอนพระองค์ท่านคุ้มครองนายเอาไว้ได้เลยเพื่อน!”
 
 
to be continued..................................
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา