Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บททดสอบภาคทฤษฎี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim

บทที่ 12 : บททดสอบภาคทฤษฎี 1

 

 

“อาเชอร์! ทางนี้ ๆ” เสียงของคู เพื่อนใหม่ของเด็กหนุ่มเรียกตะโกนขึ้น พร้อมกับกระโดดขึ้นลงเพื่อให้เด็กหนุ่มเห็น อาเชอร์ที่เห็นเพื่อนของเขาแล้วก็รีบแทรกตัวท่ามกลางฝูงชนเพื่อไปหาคู

 

“ที่นี่ใหญ่จังเลยนะนายว่าไหม?”

 

“ช่ายย ถ้าไม่บอกว่าที่นี่คือสถาบัน ฉันนึกว่าเป็นเมืองอีกเมืองเลยนะเนี่ย” อาเชอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่คูเอ่ยมา เท่าที่เขาเคยอ่านข้อมูลมาเบื้องต้น สถาบันแห่งนี้มีเกาะลอยฟ้าอยู่สองโซน โซนแรกคือโซนที่เป็นคนทั่วไปสามารถมาเยี่ยมชมได้ และระหว่างอยู่ในเรือเหาะพวกเขาเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด คือห้ามมองวิวภายนอกก่อนถึงสถาบันเช่นเดียวกันกับที่พวกเขาปฏิบัติ

 

และโซนที่สองคือโซนที่เป็นสำหรับนักศึกษา บุคลากร และอัศวินแห่งรุ่งอรุณเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ซึ่งจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นจุดที่บุคคลภายนอกทั่วไปสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ เพราะฝูงชนที่คาดว่าเยอะพอสมควร

 

“แบบนี้พวกเราต้องไปที่ไหนต่อล่ะ?” เพื่อนชาวเอลฟ์ของเด็กหนุ่มถามขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังเบียดเสียดกับฝูงชนอยู่ ซึ่งอาเชอร์ก็ได้แต่ส่ายหัวเพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

 

“น้อง ๆ ที่จะมาสอบในวันนี้ เชิญมารวมกันที่จุดนี้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะมีทีมงานของเราพาไปสนามสอบนะคะ”

 

“นั่น ที่นั่นไง พวกเราไปกันเถอะคู” อาเชอร์รีบชี้บอกสหายของเขา แล้วรีบพากันไปยังจุดที่เขาประกาศ ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ก็เล่นเอาพวกเขาอ่วมไปเลย!

 

ตรงจุดนี้เป็นจุดที่ตรวจข้อมูลและยืนยันตัวตนก่อนที่จะมีคนพาพวกเขาไปยังสนามสอบ ตรงหน้าของสองหนุ่มตอนนี้มีโต๊ะของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเรียงรายยาวเหยียด และที่สำคัญแถวยาวทุกแถว แต่การตรวจสอบข้อมูลนั้นไม่นานอย่างที่คิด ทำให้คิวของสองหนุ่มนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิด

 

“ขอบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบด้วยครับ” เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่กรอกข้อมูลเอ่ยกับพวกเขา

 

“เอ่อ นี้ครับ” อาเชอร์ยื่นบัตรประจำบัตรผู้เข้าสอบให้เจ้าหน้าที่คนนั้นไป เจ้าหน้าที่นำบัตรของเขาไปเสียบกับเครื่องสแกนข้อมูล ชั่วพริบตาเดียวข้อมูลของเด็กหน้าก็ปรากฏบนจอโฮโลแกรมตรงหน้าของเขา

 

“อาเชอร์ คิงสตัน อายุย่างเข้าสิบแปดปี เผ่าพันธุ์มนุษย์ เพศชาย สายอาชีพนักธนู มาจากเมืองทราวิส ลินโด้ ข้อมูลถูกต้องนะครับ?”

 

“ถูกต้องครับ”

 

“โอเค ของคุณคิงสตันอยู่ห้องสอบ 24A เลขที่นั่งสอบ 678 เดี๋ยวรอด้านข้างตรงนี้สักครู่นะครับ อีกเดี๋ยวจะมีนักศึกษาชั้นปีที่สองมานำทางให้นะครับ ขอให้โชคดี”

 

อาเชอร์รับบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบกลับมา และรอให้เจ้าหน้าที่คนเดิมเช็กข้อมูลของคู

 

“คู ฮูลินน์ อายุสามร้อยหกสิบปี เผ่าพันธุ์เอลฟ์ เชื้อสายเอลฟ์แห่งแสง เพศชาย สายอาชีพพลหอก ข้อมูลถูกต้องนะครับ” อาเชอร์กลั้นขำเล็กน้อยพอเพื่อนของเขาทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยตอนที่คุณเจ้าหน้าที่เล่นอ่านอายุของเขาซะดังลั่น ทำไงได้ล่ะ ก็เอลฟ์อายุยืนกว่ามนุษย์เป็นยี่สิบเท่านี่นา

 

“ครับ!” คูรีบเอาบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบมาจากคุณเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็ว ห้องสอบของคูอยู่ห้องเดียวกันกับอาเชอร์ แต่เขาเลขที่นั่งสอบเป็น 680

 

“เลิกขำเถอะน่า! เดี๋ยวนายก็แก่เหมือนแหละ”

 

“ฉันยังไม่ทันว่าอะไรเลยคู จริงๆ”

 

“สายตานายมันบ่งบอกออกมาชัดเจนมากเฟ้ย!” ทั้งคู่หยอกล้ออย่างกันอารมณ์ดี (อาจจะเป็นอาเชอร์คนเดียวที่อารมณ์ดี) กันอยู่ครูหนึ่งก่อนที่นักศึกษาชั้นปีที่สองจะมานำทางคนที่ตรวจสอบข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“สำหรับคนที่เช็กข้อมูลเสร็จแล้วนะคะ ตามพวกพี่สองคนมาเลยค่ะ” สิ้นเสียงของนักศึกษาชั้นปีที่สองพวกว่าที่น้องใหม่ทั้งหลายก็รีบเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วตามนักศึกษาชั้นปีที่สองไป ตอนนี้พวกเขาผ่านมายังโซนที่สำหรับจัดเตรียมสอบโดยเฉพาะ

 

ซึ่งพวกปีสองที่นำทางพวกเขาบอกว่านี่คือเกาะที่ชื่อเกาะสัประยุทธ์ มันเป็นเกาะที่เป็นที่ตั้งของสนามประลองประจำสถาบัน นอกสนามประลองแล้ว ยังมีอาคารอีกหลายอาคารที่ถูกใช้เป็นสนามสอบ

 

ตลอดทางที่ผ่านมา ผู้เข้าสอบทุกคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมอันงดงามของสถาบันมาก นี่ขนาดยังไม่ได้เข้าไปในโซนของบุคคลภายในสถาบันเลยนะ ถ้าเป็นตึกด้านในจะสวยขนาดไหนกัน

 

“ภาคเช้าเราจะสอบภาคทฤษฎีก่อน เดี๋ยวน้อง ๆ คนไหนที่นำอาวุธประจำตัวมาด้วย ขอความกรุณาให้จัดเก็บอาวุธก่อนนะคะ” สิ้นเสียงประกาศ ผู้เข้าสอบที่นำอาวุธประจำตัวมาก็เดินเอาอาวุธไปเจ้าหน้าที่กันอย่างวุ่นวาย รวมไปถึงสองหนุ่มที่นำอาวุธประจำตัวมาด้วยเช่นกัน

 

เจ้าหน้าที่ที่ทำการเก็บอาวุธประจำตัวใช้เครื่องสแกนยิงใส่อาวุธประจำตัวของผู้เข้าสอบ และอาวุธของผู้เข้าสอบคนนั้นก็หายวับไปกับตา

 

“ไม่ต้องตกใจนะคะ อาวุธของน้องจะถูกวาร์ปไปห้องสอบภาคปฏิบัติของน้องค่ะ”

 

ผู้เข้าสอบคนนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แต่ประโยคต่อมาของรุ่นพี่คนนั้นกลับทำให้ทุกคนหน้าซีดกันเป็นแถว

 

“แต่ถ้าน้องสอบภาคทฤษฎีไม่ผ่าน อาวุธของน้องก็จะถูกวาร์ปไปยังห้องเก็บของบนเรือเหาะขากลับ แล้วค่อยมาสอบใหม่ปีหน้านะคะ”

 

กฎของการสอบเข้าของทางสถาบันเพิ่งเปลี่ยนมาได้ไม่เกินสิบปีที่ผ่านมา คือให้ผู้เข้าสอบคนใดสอบภาคทฤษฎีไม่ผ่าน คนคนนั้นก็จะหมดสิทธิ์สอบภาคปฏิบัติไปโดยปริยาย นั่นจึงทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมาการที่จะถูกคัดเลือกเข้าศึกษาที่นี่ จึงมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้หลาย ๆ คน เกิดความเครีดสูงจนเกิดอาการชักในการสอบก็มี ฉะนั้นอาเชอร์จึงไม่แปลกใจถ้าจะเห็นหน่วยพยาบาลของสถาบันเดินไปเดินมาในเขตสนามสอบแห่งนี้

 

แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อจะเข้ามาอยู่ในองค์กรของเขา อันดับแรกสุดก็ต้องยอมรับในเงื่อนไขที่องค์กรตั้งขึ้น จึงไม่แปลกที่บางคนก็เลี้ยวเป้าหมายไปยังสถาบันอื่น ๆ ที่สอบแต่ภาคปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของผู้สมัครสอบแข่งขันของสถาบันแห่งนี้ก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปีไม่เคยลดลงเลย

 

“กรุณายืนนิ่ง ๆ นิดนึงนะครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยกับอาเชอร์ เขายื่นซองใส่ธนูของเขาให้เจ้าหน้าที่สแกน และพริบตาเดียวอาวุธของเขาก็หายแวบไปแล้ว

 

“เรียบร้อยครับ เชิญเข้าไปด้านในได้เลยครับ” เมื่อสแกนอาวุธเสร็จแล้ว ทั้งอาเชอร์และคูก็เดินด้านไปยังอาคาร A ที่เป็นสนามสอบภาคทฤษฎีของพวกเขา

 

อาคารที่ถูกใช้เป็นสนามสอบเป็นตึกที่สร้างตามศิลปะโคโลเนียลตามอาคารที่อาเชอร์เคยเห็นในเมืองหลวงมาก่อน เมื่อมาเห็นอาคารสนามสอบแล้ว อาเชอร์กับคูก็มาอยู่ด้านล่างอาคาร A เพราะตอนนี้กรรมการคุมสอบยังไม่ให้ผู้เข้าสอบขึ้นตึกจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

 

เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็ค้นพบว่าหลาย ๆ คน นั่งจับกลุ่มกัน บ้างก็อ่านตำรากันหน้าดำคร่ำเครียด บ้างก็นั่งพูดคุยกันเพื่อฆ่าเวลา บ้างก็เอ่อ...คุกเข่าเหมือนกับกำลังสวดภาวนาขออะไรสักอย่าง ต่อให้ไม่ถามเขาคนนั้น เด็กหนุ่มก็สามารถตอบได้เลยว่าขอเรื่องทำข้อสอบอยู่แน่ ๆ

 

“อาเชอร์ มาตรงนี้ดีกว่า” คูชี้ไปยังที่ว่างที่ยังไม่มีจับจองที่นั่ง “เฮ้อ โหดเหมือนกันนะเนี่ย ต้องสอบภาคทฤษฎีให้ผ่านก่อน แล้วถึงสอบภาคปฏิบัติได้” เอลฟ์หนุ่มยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะนั่งข้าง ๆ อาเชอร์

 

“นั่นสินะ แถมตอนสอบภาคปฏิบัติก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่านด้วยอีกหรือเปล่า” คูพยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นของอาเชอร์ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าถ้าผ่านภาคทฤษฎีแล้วจะผ่านภาคปฏิบัติด้วย

 

“แต่ก็นั่นแหละ แบบนี้มันถึงจะน่าตื่นเต้นหน่อย” อาเชอร์หลุดขำกับคำพูดของคู แต่ดูเหมือนหลายคน ๆ จะไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ ซึ่งคูก็บอกเขาว่า “ถ้าเราเครียดมันก็ยิ่งไม่ส่งผลดีอะไรกับตัวเรา สู้ทำตัวให้สดใสและลุยกับมันให้เต็มที่ที่สุดไปเลยดีกว่าจริงป่ะ”

 

อาเชอร์เองก็สังเกตเพื่อนใหม่ของเขามาสักพักหนึ่งแล้ว คูไม่เคยแสดงท่าทีว่าเครียดให้เขาเห็นเลย แถมไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งว่าไม่เครียดด้วย

 

“นั่นสินะ ทำตัวให้สดใสและลุยกับมันให้เต็มที่ที่สุดไปเลยดีกว่า”

 

“เอาน่าเพื่อน เรามาถึงตรงนี้แล้วพวกเราไม่กลับไปง่ายหรอกจริงไหม?”

 

“แน่นอน เพื่อน” และทั้งสองหนุ่มก็เอากำปั้นชนกัน เหมือนเป็นคำยืนยันว่า พวกเขาจะไม่กลับบ้านตอนนี้แน่นอน

 

“ขณะนี้ ใกล้เวลาเข้าห้องสอบแล้ว ขอให้ผู้เข้าสอบทุกคนขึ้นไปประจำหน้าห้องสอบด้วยค่ะ” เสียงประกาศจากสวนกลางดังขึ้น ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนลุกจากที่นั่งตัวเองแล้วเดินขึ้นอาคารสอบทันที

 

“ป่ะ ลุยกันเลย!” คูเอ่ยปลุกใจพวกเขาทั้งคู่ คอยดูนะวันนี้พวกเขาต้องเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้!

 

ทันทีที่ผู้เข้าสอบทุกคนประจำที่นั่งของตน ความเงียบสงัดก็เข้าครอบงำทันที เวลานี้ทั้งสนามสอบไม่มีเสียงพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากมีใครทำของอะไรบางอย่างตกลงพื้นล่ะก็ คงจะได้ยินกันทั่วทั้งสนามสอบ

 

แน่นอนว่าที่เงียบขนาดนี้ เป็นเพราะผู้เข้าสอบทุกชีวิตกำลังขะมักเขม้นเขียนขยุกขยิกลงบนกระดาษคำตอบของพวกเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เพราะข้อสอบตรงหน้าของพวกเขาคือตัวชี้ชะตาว่าพวกเขาจะสามารถผ่านด่านทดสอบด่านแรกที่จะเข้าร่วมองค์กรแห่งนี้ได้หรือไม่

 

และข้อสอบภาคทฤษฎีที่ทางสถาบันออกมานั้น ก็ยากจนแม้กระทั่งนักวิชาการหลาย ๆ คนยังส่ายหัวให้ จึงไม่แปลกที่เด็กอายุย่างเข้าสิบแปดปีหรือเทียบเท่าสิบแปดปีในเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาขนาดนั้น

 

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?” เสียงของอาจารย์หนุ่มนามว่าเดวิดเอ่ยถามนักศึกษาปีสี่ที่ทำหน้าที่คุมห้องสอบในสนามสอบภาคปฏิบัติ

 

“เรียบร้อยดีครับอาจารย์ ดูเหมือนปีนี้จะไม่มีตัวปัญหาอะไรครับ”

 

“อย่าเพิ่งประมาทไปสิธันเดอร์ อย่าลืมว่าเราจับทุจริตสอบได้ทุกปีนะ” เพื่อนของธันเดอร์นามว่าฮัสซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ถึงแม้ว่าจะออกกฎเอาไว้ว่าถ้าจับทุจริตสอบได้ ผู้ที่กระทำการทุจริตสอบจะโดนขึ้นบัญชีดำขององค์กรอัศวินแห่งรุ่งอรุณ และจะถูกส่งรายชื่อไปยังองค์กรอื่น ๆ ด้วยว่าเคยทุจริตสอบ แต่ไม่วายก็ยังมีคนแอบทำทุกปี และจับได้ทุกปี

 

“อย่าเครียดไปเลยน่าเพื่อน ครั้งนี้ศาสตราจารย์เมอร์ลินที่ 14 เป็นคนร่ายเขตอาคมด้วยเชียวนา ลองระดับศาสตราจารย์เมอร์ลินที่ 14 ร่ายมนตร์เองแบบนี้ หายห่วงได้เลย”

 

“อืม...ถ้าเมอร์ลินที่ 14 เป็นคนร่ายมนตร์เองแบบนี้ก็วางใจได้เลย” เดวิดรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้เป็นจอมเวทที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว และจอมเวทผู้นี้ยังเป็นคนที่สืบทอดทายาทของจอมเวทเมอร์ลิน จอมเวทในอดีตที่ฝีมืออยู่ในระดับตำนานอีกด้วย แบบนี้หายห่วงแน่นอน

 

“ถ้าอาจารย์เมอร์ลินร่ายมนตร์เองก็หายห่วงหน่อย แต่อย่าประมาทเดียวนะ”

 

“โธ่ เพื่อนนายจะกังวลมากไปแล้ว” แม้ธันเดอร์จะโอบไหล่เพื่อนรักของเขา แต่ฮัสซินก็ยังคงไม่แสดงออกทางสีหน้าอยู่ดี

 

“อาจารย์ว่า เธอควรจะฟังเพื่อนเอาไว้บ้างก็ดีนะ ภารกิจเทอมที่ผ่านมาเธอประมาทศัตรูโดนซัด จนต้องให้ฮัสซินไปหยอดน้ำข้าวให้เธอเกือบเดือนเลยไม่ใช่เหรอ?”

 

“โธ่ จารย์อ่า ผมว่าผมจะลืมไปแล้วนะ จารย์จะย้ำอีกทำไมอ่า!” จะตะโกนแก้อายเสียงดังก็ไม่ได้ และผู้เข้าสอบยังสอบอยู่ ด้วยความที่เดวิดชอบหยอกล้อแบบนี้ ทำให้ช่องว่างระหว่างของเขากับนักเรียนแทบไม่มี แต่เดวิดก็ยังคงได้รับความเคารพจากนักเรียนทุกคนอยู่ดี

 

“หืม?”

 

“อาจารย์มีอะไรเหรอครับ?” ฮัสซินเอ่ยถามเดวิดที่กำลังจะผ่านห้องสอบห้องหนึ่งไป แต่แล้วอาจารย์หนุ่มก็มาสะดุ้งเข้ากับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับข้อสอบของตัวเองอยู่

 

“เปล่าหรอก เด็กที่อาจารย์เคยไปรับมาน่ะ ตอนนี้ก็ยังนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นไง” เดวิดชี้ไปยังจุดที่อาเชอร์นั่งเคร่งเครียดกับข้อสอบให้รุ่นพี่ในอนาคตทั้งสองดู

 

“โห เขาถูกผนึกแห่งแสงเลือกเหรอครับอาจารย์” ธันเดอร์มองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างสนใจ ในขณะที่ฮัสซินเองก็มองดูเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่แสดงออกมาผ่านสีหน้าก็ตาม

 

“อืม ใช่แล้วล่ะ ไม่เจอกันเกือบสามเดือน ดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

 

“ผมว่าเขาน่าสนใจดีนะครับอาจารย์”

 

“โว้ ๆ เด็กนั้นมีอะไรพิเศษแน่ ๆ ถึงทำให้น้ำแข็งเดินได้เอ่ยออกมาอย่างนี้” ฮัสซินหยักไหล่ไม่ใส่ใจกับฉายา น้ำแข็งเดินได้ ที่เพื่อน ๆ ในรุ่นตั้งให้

 

“ไม่รู้สิ ฉันว่าฉันมองไม่ผิดแน่ ๆ”

 

เดวิดปล่อยให้นักเรียนของเขาพูดคุยกันแป๊บนึงก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าห้องคุมสอบ ไม่วายทั้งสองยังแอบโดนเพื่อนอีกสองคนในห้องบ่นอีกว่าอู้งาน

 

“สู้ ๆละกันนะอาเชอร์ หวังว่าเราคงได้เป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันนะ” เดวิดเอ่ยส่งกำลังใจไปให้เด็กหนุ่ม และอาจารย์หนุ่มก็เดินตรวจความเรียบร้อยของสนามสอบต่อไป

 

เมื่อไหร่จะหมดเนี่ย...

 

อาเชอร์ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ข้อสอบทั้งหมดยากอย่างที่เขาร่ำลือจริง ๆ แต่เขายังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่บางข้อเขาเคยเรียนมาตั้งแต่ตอนที่เรียนกับพวกมิชชั่นนารีที่โชซอน บวกกับท่านตาได้มอบหมายให้แพทย์สนามอควาฟรีน่า และสาวสไนเปอร์หูแมวคริสตัส ผู้วึ่งเคยได้คะแนนสูงสุดในภาคทฤษฎีมาติวให้

 

เด็กหนุ่มทำข้อสอบได้เร็วพอสมควรในวิชาที่เขาถนัด อย่างภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์เพราะเขาชื่นชอบเรื่องราวพวกนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่กลับกันพอเป็นวิชาคำนวณกลับไม่เข้าสมองเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงวิชาคำนวณที่อาเชอร์ยังคงนั่งหัวสมองว่างเปล่ากับวิชานี้

 

เมื่อคิดไม่มองเขาจึงแอบชำเลืองมองคู เพื่อนใหม่ของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้างผลปรากฏก็คือ

 

เขาหลับ...

 

ใช่! หมอนั่นนั่งหลับหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่ เหลือเชื่อสุด ๆ ไปเลย เพื่อนของเขา แต่ก็ว่าไม่ได้เมื่อมีผู้เข้าสอบอีกคนที่กำลังนั่งหลับอยู่เหมือนกัน แถมหมอนี่ก็ตัวใหญ่ที่สุดในห้องสอบ คาดว่าน่าจะเป็นออร์ค

 

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว อาเชอร์ที่กำลังเคร่งเครียดกับวิชาคำนวณก็เกิดสติแตกขึ้นมา เขาไม่ถนัดวิชาที่ต้องใช้การคำนวณจริง ๆ เขาจึงหยิบดินสอของเขา แล้วฝนคำตอบในกระดาษคำอย่างรวดเร็ว

 

ช่างมันแล้ว ดิ่งมันไปซะเลยละกัน!

 

จากที่คิดไม่ออก เด็กหนุ่มฝนคำตอบอย่างรวดเร็ว จนผู้เข้าสอบที่นั่งข้าง ๆ เขาหันมามองด้วยสีหน้าที่อึ้ง ๆ

 

เอ่อ ขออภัยที่อาจจะรบกวนไปบ้างนะ แม่นาง...แต่ตอนนี้เขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ

 

โอ๊ยยยย เขาล่ะอยากจะตะโกนสถบออกมาเป็นภาษาโชซอนกลางห้องสอบเสียจริง!

“เฮ้อออ ฉันตกภาคทฤษฎีแน่ ๆ เลยคู” อาเชอร์ร้องโอดครวญหลังจากที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปตอนนี้พวกเขาร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเกาะสำนักงาน อันเป็นเกาะลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ เป็นเกาะที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานต่าง ๆ ในองค์กรอัศวินแห่งรุ่งอรุณ

 

นอกเหนือจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาขององค์กร ความเป็นมาขององค์กรเพื่อรักษาสันติภาพ และยังมีร้านค้าอื่น ๆ อีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้เกาะสำนักงานจึงเป็นเกาะที่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้อีกด้วย ฉะนั้นตอนนี้ร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ในเกาะสำนักงาน จึงคับคั่งไปด้วยผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานของตนมาสอบที่นี่ ซึ่งร้านที่อาเชอร์และคูมาจองที่นั่งทานข้าวมื้อกลางวันก็เป็นหนึ่งในร้านที่เต็มไปด้วยฝูงชนอีกเช่นเดียวกัน

 

“เอาน่า อาเชอร์อย่าเครียดไปเลย มันผ่านไปแล้ว พวกเรามารอลุ้นผลกันตอนบ่ายดีกว่า” คูเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนที่จะตักสตูเนื้อเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

 

“แต่ฉันดิ่งวิชาคำนวณทั้งหมดเลยนะเพื่อน” อาเชอร์ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนที่จะตักอาหารของเขาเข้าปากไปบ้าง

 

“แต่นายก็ได้วิชาอื่นไม่ใช่เหรอ เอาน่าสัดส่วนคะแนนของวิชาคำนวณมันไม่ใช่ตัวตัดสินของทั้งหมดนี่นา พวกเราต้องผ่านอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ”

 

“นายไม่เครียดแน่ล่ะ ก็เล่นหลับสบายไปเต็มอิ่มเลยไม่ใช่เหรอ?” แถมยังหลับตั้งแต่ยังไม่พ้นสองชั่วโมงแรกด้วยซ้ำ

 

“ก็นะ นายน่าจะลองบ้างนะ” เอลฟ์หนุ่มตรงหน้าก็ยังคงตอบอย่างไม่ยี่หระ ถ้าเขาได้ความชิวจากเพื่อนตรงหน้าของเขาสักครึ่งหนึ่งก็คงดี

 

“ผลสอบประกาศแล้วทุกคน!” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนลั่นกลางร้านขึ้นมา ทำเอาฝูงชนหลาย ๆ โต๊ะ ที่ทานอาหารเสร็จรีบเช็กบิล แล้วกรูกันออกไปดูผลสอบที่เกาะสัประยุทธ์ทันที ทั้งสองหนุ่มมองหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจว่าทานมื้อกลางวันให้เรียบร้อยก่อนค่อยไปจะดีกว่า

 

“คนเยอะ แน่ ๆ ฉันว่าพวกเรากินกันให้หมดก่อนดีกว่าไหม แล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยไปเกาะสัประยุทธ์กัน”

 

“เห็นด้วย” คูทำท่าโอเคให้เด็กหนุ่ม เป็นอันว่าพวกเขาค่อยไปดูผลตอนที่ไม่เบียดเสียดกับคนอื่นก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ พวกเจ้าหน้าที่ก็คงยังไม่รีบเก็บผลสอบไปไหนแน่ ๆ

 

 

“นายเจอชื่อตัวเองยัง?” ตอนนี้พวกเขามาอยู่ที่หน้าจอโฮโลแกรมประกาศรายชื่อ คูเอ่ยถามอาเชอร์ที่ไล่ดูรายชื่อมาจากรายชื่อโฮโลแกรมแผ่นสุดท้ายขึ้นไป ซึ่งบางคนที่มีรายชื่อสอบผ่านก็ดีใจกระโดดโลดเต้น ต่างจากคนที่หารายชื่อไม่เจอ บางคนก็ถึงกับล้มทรุดไปก้มกับพื้น บางคนก็ยิ้มหัวเราะแห้ง ๆ ด้วยรู้ตัวว่าทำข้อสอบไม่ได้เลย นั่นทำเอาอาเชอร์ยิ่งรู้สึกกดดันตัวเองเล็ก ๆ ขึ้นมา

 

“ยังไม่เห็นเลย นายเจอแล้วเหรอ?” อาเชอร์ยังคงไล่รายชื่ออย่างเคร่งเครียด

 

“ทำไมเราไม่พิมพ์ค้นหาชื่อพวกเราเลยล่ะ” เอลฟ์หนุ่มนำเสนออาเชอร์ ทำเอาอาเชอร์นึกอยากจะเขกหัวตัวเองเสียจริง ทำไมเขาถึงต้องมานั่งไล่หารายชื่อแบบเสียเวลากันด้วยล่ะ!

 

“เออ นั่นสิ เมื่อกี้คนใช้บริการเยอะด้วยมั้ง ระบบเลยรวนนิดหน่อย” ตอนนี้ระบบค้นหารายชื่อน่าจะกลับมาทำงานปกติแล้ว ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีล้ำหน้าแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคนใช้บริการพร้อมกันทีละร้อย ๆ คนระบบก็มีสิทธิ์ที่จะรวนได้ง่ายเช่นกัน

 

อาเชอร์พิมพ์รายชื่อของเขาลงในหน้าต่างค้นหารายชื่อ แม้จะพิมพ์ไปมือสั่นไป แต่ก็พิมพ์ชื่อตนเองจนจบได้ พอกดตกลงเพื่อค้นหารายชื่อไป หน้าจอโฮโลแกรมก็เลื่อนหน้าจอตัวเองเพื่อค้นหารายชื่อทันที ในจังหวะที่ค้นหารายชื่อนั้น อาเชอร์ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองลืมหายใจไปครู่หนึ่ง เช่นเดียวกันกับคู ที่ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ และจนในที่สุดก็ปรากฏรายชื่อหนึ่งตรงหน้าจอโฮโลแกรม

 

อาเชอร์ คิงสตัน ลำดับที่ 6 คะแนนภาคทฤษฎี 89 คะแนน

 

เพียงเท่านั้นแหละอาเชอร์ก็หวีดร้องด้วยออกมาด้วยความดีใจสุด ๆ จนคนรอบข้างตกใจ

 

“ไชโย! ผ่านแล้วโว้ยยยย!”

 

“ฮ่า ๆ ๆ ฉันบอกแล้วว่านายต้องทำได้ แถมยังอยู่สิบอันดับแรกอีกเห็นไหม” คูที่อยู่ข้าง ๆ ก็พลอยดีใจไปกับเขาด้วย

 

“เอ๊ะ จริงสิ งั้นเดี๋ยวฉันหาชื่อนายต่อเลยก็แล้วกัน”

 

“ไม่ต้องหรอก ชื่อฉันมันก็อยู่หน้าเดียวกันกับนายนี้แหละ” เด็กหนุ่มเลื่อนสายตากลับไปดูที่หน้าจอโฮโลแกรมอีกครั้ง

 

คู ฮูลินน์ ลำดับที่ 2 คะแนนภาคทฤษฎี 95 คะแนน

 

อ๋อ ลำดับที่ 2 นี่เอง...เดี๋ยวก่อน ลำดับที่ 2 เนี่ยนะ! หลับสบายในห้องสอบขนาดนั้นยังได้ตั้งลำดับที่ 2 เนี่ยนะ!

 

“เฮ้ ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะพรรคพวก ฉันหลับก็จริง แต่ฉันไม่ได้บอกนายว่าทำไม่ได้นะ”

 

“สงสัยฉันคงได้คนติวหนังสือสอบตอนเรียนที่นี่แล้วล่ะ” เหลือเชื่อสุด ๆ ไปเลย เขาคงจะมองเฉพาะแค่ภายนอกของผู้อื่นไม่ได้จริง ๆ

 

“ใจเย็นน่าอาเชอร์ ฉันไม่ถนัดอธิบายให้คนอื่นฟังเท่าไหร่หรอก ฉันว่านายไปให้อันดับที่ 1 ติวให้นายดีกว่า” เอลฟ์หนุ่มชี้รายชื่อของผู้ที่ได้คะแนนสอบภาคทฤษฎีสูงที่สุดในรุ่นให้เพื่อนของเขาดู และเด็กหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง

 

ริชาร์ด เลโอนาท ลำดับที่ 1 คะแนนภาคทฤษฎี 99 คะแนน

 

“หมอนั่นน่าจะทำให้เต็มร้อยไปเลยเนอะ นายว่าไหม?” คูเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ส่วนอาเชอร์นั้นก็แอบพยักหน้าเชิงเห็นด้วย ถึงอันดับที่ 1 นี้จะได้คะแนนที่น่าเหลือเชื่อมากแต่อาเชอร์กลับติดใจที่นามสกุลของอันดับที่ 1 มากกว่า

 

“เลโอนาท...” ราชสีห์สินะ...เขาจำได้ว่าเมเทียเคยเล่าให้เขาว่าหนึ่งในตระกูลสุริยะวิถี มีตระกูลหนึ่งที่ใช้สิงโตเป็นตราประจำตระกูล นั่นคือตระกูลลีโอ แบบที่ตระกูลซาจิทารัสของเขาใช้ธนูเป็นตราประจำตระกูล

 

แล้วเลโอนาทที่แปลว่าสิงโตเหมือนกัน จะมีความเกี่ยวข้องกันกับตระกูลลีโอหรือเปล่านะ...

 

“คนที่สอบภาคทฤษฎีผ่านแล้ว ขอให้ไปรวมตัวกันที่สนามประลองของเกาะสัประยุทธ์นะคะ ขอบคุณค่ะ”

 

เสียงประกาศตามสายของสถาบันดังขึ้น ทำให้ผู้ที่สอบภาคทฤษฎีผ่านทั้งหลายเดินไปที่สนามประลองกันอย่างเบิกบานใจ ส่วนใครที่สอบภาคทฤษฎีไม่ผ่านก็เดินคอตกกลับบ้านตนเองไปตามระเบียบ

 

“ไปกันเถอะ เหลืออีกด่านหนึ่งที่เราต้องผ่านไป” คูหักนิ้วดังกร๊อบ ๆ และยืดเส้นยืดสายไปมา เขาเกลียดการนั่งทำข้อสอบในห้อง (แม้ว่าจะได้คะแนนสูงลิบก็ตาม) ทำให้เขาชอบทำข้อสอบให้เร็วที่สุดและหลับฆ่าเวลา แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวล่ะก็ บอกให้บอกเถอะ! หนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น

 

“ใช่แล้วล่ะ เหลืออีกด่านเดียวเท่านั้น” อาเชอร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปยังสนามสอบถัดไป สนามประลองในเกาะสัประยุทธ์

 

สนามประลองของสถาบันเป็นสนามแบบโคลอสเซียมตามต้นแบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมของอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตแดนของประเทศเฮทาเลีย การสอบภาคบ่ายนี้หรือการสอบภาคปฏิบัติคนค่อนข้างเบาบางลง แต่ก็ยังมีจำนวนคนอยู่พอสมควร

 

โชคดีจริง ๆ ที่เขายังเป็นหนึ่งในคนที่สอบผ่านในภาคเช้า

 

เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ และต่อแถวที่จุดลงทะเบียนสอบภาคปฏิบัติอย่างเงียบ ๆ แต่ในใจของอาเชอร์รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอีกแล้ว ปีนี้ไม่มีใครทราบถึงแนวทางของการสอบภาคปฏิบัติเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งก็คงไม่ใช่เพียงเด็กหนุ่มคนเดียวที่รู้สึกกระวนกระวายกับการสอบที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป

 

“ขอบัตรประจำตัวครับ” อาเชอร์ยื่นบัตรประตัวผู้เข้าสอบให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียน เจ้าหน้าที่คนนั้นสแกนบัตรของอาเชอร์ และพริบตาเดียวเท่านั้น ธนูคู่ใจของเขาก็ถูกวาร์ปส่งมาตรงหน้าของเขา

 

“ขอให้โชคดีครับ” อาเชอร์เอ่ยขอบคุณเจ้าหน้าที่ และเดินออกมาจากจุดลงทะเบียน เขารอให้คูลงทะเบียนจนเสร็จสิ้นแล้วถึงเดินไปที่ห้องพักรับรองผู้เข้าสอบของทั้งคู่ ซึ่งในการสอบภาคปฏิบัตินี้ จะสอบเป็นแบบทีม และแน่นอนว่ารายชื่อสมาชิกในทีมจะทำการสุ่ม ซึ่งทั้งคู่เองก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะได้ร่วมทีมกับใครบ้าง

 

“นายเนี่ยนะอาเชอร์ ขนาดบอกว่านายดิ่งวิชาคำนวณทั้งหมด นายยังได้ตั้งอันดับที่ 6 สงสัยคำตอบที่ถูกคงอยู่ตัวเลือกที่นายดิ่งแน่ ๆ” ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย เพราะพวกเขาผ่านบททดสอบแรกไปแล้ว ตอนนี้ก็แค่สอบภาคปฏิบัติเท่านั้น

 

“นายเองก็ทำคะแนนสอบได้มากกว่าฉันอีกไม่ใช่หรือไงกัน” พวกเขาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยมาสักพักจนกระทั่งพวกเขาเดินมาจนถึงห้องที่มีป้ายบอกหน้าห้องว่า ห้องพักรับรองรับ กลุ่มที่ 11

 

“ห้องนี้สินะ” พอคูเอ่ยจบเขาก็หมุนลูกบิดห้องพักเข้าไปด้านในทันที สิ่งแรกที่ทั้งคู่เจอก็คือโซฟาตัวใหญ่สามตัวล้อมโต๊ะไม้โอ๊คชั้นดี นอกเหนือจากนี้ชั้นหนังสือเอาไว้สำหรับอ่านฆ่าเวลาด้วย

 

นอกจากชุดรับแขกสุดหรูที่สะดุดตาอาเชอร์แล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินของเขายังไปหยุดอยู่ที่เด็กสาวคนหนึ่ง ผิวพรรณขาวผ่องและดวงหน้าที่เข้ารูปของเธอทำให้เธอดูเหมือนกับตุ๊กตา ผมยาวสีน้ำตาลเข้มของเธอถูกมัดรวบหางม้าเอาไว้อย่างหลวม ๆ กำลังนั่งอ่านหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า เทคนิคการลอบสังหาร

 

อ่า...น่าจะเป็นสายลอบสังหารสินะ

 

ฝ่ายหญิงสาวเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่ เจ้าตัวก็ตวัดตามองกลับมายังอาเชอร์เช่นกัน ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของเธอ ก็นะ...สายตานักลอบสังหารชัดเจน

 

“เอ่อ...นี้ใช่ห้องพักรับรองผู้เข้าสอบใช่ไหมครับ?” อาเชอร์ตัดสินใจเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

 

“ใช่แล้วค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ระหว่างที่รอโจทย์จากกรรมการคุมสอบ พวกคุณก็นั่งเล่นรอในห้องนี้ก่อนก็ได้ค่ะ” ทั้งสองหนุ่มนั่งโซฟาคนละตัวกับเธอผู้นี้ และหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้คุยอะไรกับพวกเขาต่อ นอกจากลุกไปหยิบหนังสือเล่มใหม่มานั่งอ่าน คราวนี้คุณเธออ่านหนังสือที่ชื่อว่า ยาพิษเบื้องต้น

 

หนังสือที่เธออ่านช่างเป็นหนังสือที่ไม่น่าเสวนาด้วยจริง ๆ ...

 

ขนาดคูที่มีนิสัยร่าเริงยังต้องสงบปากสงบคำเมื่ออยู่ในห้องพักรับรองแห่งนี้ แม้จะเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาแล้วแต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าอุณหภูมินั้นเย็นผิดปกติยังไงก็ไม่รู้

 

“มีอะไรหรือเปล่าพวก?” คูกระซิบอาเชอร์หลังจากที่เขาจ้องแต่เด็กสาวคนไหน

 

“ไม่มีอะไร ทำไมเหรอ?” เอลฟ์หนุ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปหาเพื่อนของเขาแล้วแอบกระทุ้งศอกเบา ๆ

 

“ไม่ใช่ว่านายเจอเนื้อคู่แล้วหรือไง จ้องเขาซะพรุนขนาดนี้”

 

“ม...ไม่ใช่นะว้อย!” อาเชอร์เริ่มหลุดคำหยาบคายกับเพื่อนคนนี้มาบ้าง จะตะโกนออกมาก็ไม่ได้ อาเชอร์จึงได้แต่กระซิบกระซาบกลับไป ส่วนคูยิ่งหัวเราะชอบใจเมื่ออาเชอร์เริ่มหลุดคำหยาบใส่เขา

 

“ฮ่า ๆ พูดคำหยาบกันได้แบบนี้ แสดงว่าเราสนิทกันมากขึ้นแล้วสินะ”

 

“เอาที่นายสบายเถอะ” อาเชอร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันต่อ ก็ปรากฏเด็กหนุ่มอีกคนเข้ามาในห้องพักรับรอง

 

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” เด็กหนุ่มผิวแทน สูงพอประมาณเดินเข้าห้องมา ที่เป็นจุดเด่นสำหรับเด็กหนุ่มคนนี้เลยก็คือ หูและหางที่เป็นหมาป่าของเขา

 

“ที่นี่ห้องพักรับรองของกลุ่มที่ 11 ใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ เข้ามานั่งเล่นด้านในก่อนสิ ตอนนี้เขายังไม่แจกโจทย์เลย” คูเป็นคนเชิญให้เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามานั่งในห้องด้วย “ฉันคู ฮูลินน์นะ ยินดีที่รู้จัก”

 

“เรนฮาน อะแวลชีครับ ยินดีที่รู้จักเช่นกันนะครับ” เรนฮานยิ้มตอบคูอย่างสุภาพ “คุณคูมาจจาก เอลเวนแลนด์ใช่ไหมครับ”

 

“เอ๊ะ นายรู้ได้ยังไงเนี่ย”

 

“ส่วนมากเอลฟ์จะมาจากที่นั่นแหละครับ ผมก็ลองเดาตามความเป็นไปได้มากที่สุดเอา” คูและเรนฮานพูดคุยกับอย่างถูกคอ ดูเหมือนเราฮานผู้ไม่น่าจะเป็นคนที่เข้าถึงยากเท่าไหร่นัก

 

“อืม...นั่นสินะ แล้วนายล่ะพรรคพวก?”

 

“อ๋อ ผมมาจากลิเบอร์แลนด์น่ะครับ”

 

“โห นี่นายมาไกลอยู่เหมือนกันนะ ที่นี่กับลิเบอร์แลนด์อยู่กันคนละทวีปกันเลย” ลิเบอร์แลนด์ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุด เพราะประเทศนี้เพิ่งเกิดมาได้ประมาณสองสามร้อยปีที่ผ่านมาแค่นั้นเอง ในขนาดที่ประเทศอื่น ๆ มีอายุกว่าพันปีหรือเกือบพันปีทั้งนั้น แต่ลิเบอร์แสนด์กลับมาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่าหลาย ๆ ประอีกเช่นกัน

 

“อืม...นั่นน่ะสิครับ ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น”

 

“เพื่อนของฉันเองก็มาไกลเหมือนกันนะ หมอนี่น่ะมาจากโชซอนเชียวนะ” คูตบบ่าของอาเชอร์แนะนำเขาให้กับเรนฮาน

 

“โห...โซชอนในเอซาเนียทางตะวันออกไกลใช่ไหมครับ แต่หน้าตาคุณไม่เหมือนชาวตะวันออกเลยนิครับ”

 

“อ่า...ไปโตที่นู่นน่ะ แล้วนี่เพิ่งจะกลับมาที่ลินโด้ได้ไม่นานนี้เองแฮะ ๆ” อาเชอร์เลือกที่จะพูดสุภาพกับเรนฮาน ไม่เหมือนกันกับคูที่เข้าคนอื่นได้ง่ายดายเหลือเกิน

 

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เรนฮานพยักหน้ารับรู้ “อ้อ! ผมเรนฮาน อะแวลชีครับ” เด็กหนุ่มหูหมาป่ายื่นมือมาทักทายกับเด็กหนุ่ม

 

“อาเชอร์ อาเชอร์ คิงสตัน” ทั้งคู่จับมือทักทายกัน ก่อนที่เรนฮานจะหันหน้าไปอีกทางที่เด็กสาวเพียงคนเดียวของห้องนั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่สนใจใครทั้งนั้น

 

“เอ่อ...แล้วเธอคนนั้นล่ะครับ” ทั้งคูและอาเชอร์ต่างก็ส่ายหัวให้เรนฮาน เป็นนัย ๆ ว่ายังไม่รู้จักเธอเลย

 

อ่า...นางน่าจะเป็นประเภทฉายเดี่ยวสินะ

 

“ฮัลโล! ทุกคนรีเบ็คก้ามาแล้ววว” เสียงเล็กหวีดแหลมของผู้มาเยือนคนใหม่ทำเอาสามหนุ่มสะดุ้งไปเล็กน้อย คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่มีส่วนสูงไม่ถึงร้อบสี่สิบเซนติเมตร ผมสีดำของเธอมัดแกละสองข้างและปล่อยยาวลงมาจนเกือบถึงพื้น มองเผิน ๆ จะอาจจะนึกว่าเธอยังเป็นเด็กเล็กอยู่เลย

 

“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะต้องมาร่วมทีมกับเด็กเล็กเนี่ยนะ” คูจากที่เป็นคนอัธยาศัยดีก็เริ่มปากเสียใส่ผู้มาเยือนใหม่ทันที เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะสาวน้อยผู้มาใหม่คนนี้คือเผ่าพันธุ์คนแคระนั่นเอง และเอลฟ์กับคนแคระก็ขึ้นชื่อเรื่องไม่ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

 

“รีเบ็คก้าก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะต้องมาร่วมทีมกับพวกหูยาวด้วย ไม่สบอารมณ์เลย ถ้ารีแบ็คก้าสอบไม่ผ่านขึ้นมา ก็น่าจะมาจากพวกหูยาวแถว ๆ นี้แหละ” ผู้มาใหม่นามรีแบ็คก้าทำแก้มป่อง และต่อล้อต่อเถียงกันกับเอลฟ์หนุ่มทันที

 

“นี่ ให้มันน้อย ๆ หน่อยเธอ เธอนั่นแหละที่จะมาเป็นตัวถ่วงให้ทีมมากกว่า ตัวเล็กแค่นี้ ระวังจะเหยียบโดยไม่รู้ตัวก็แล้วกัน”

 

“ก่อนที่นายจะเหยียบรีแบ็คก้า ไรเฟิลของรีแบ็คก้าก็เป่าสมองของนายกระจุยไปแล้ว” เมื่อสาวน้อยรีแบ็คก้าเมื่อไรเฟิลออกมาเล็งไปยังเอลฟ์หนุ่ม เอลฟ์หนุ่มก็หยิบหอกสีทองของตนออกมาทันที

 

“ก็มาเซ่! ใครมันจะกลัวกันล่ะ” ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ทั้งอาเชอร์และเรนฮานที่อยู่นอกสงครามน้ำลายก็มาห้ามทัพทั้งคู่

 

“เฮ้ ๆ คู นายใจเย็นก่อนไหม ยังไงพวกเราก็ต้องร่วมทีมกันนะ”

 

“เห็นด้วยนะครับ ยังไงตอนนี้พวกเราก็สมานฉันท์กันก่อนดีไหมครับ” ทั้งคู่พยายามห้ามปรามคู่กัดสองเผ่าพันธุ์ตั้งแต่โบราณกาล โดยยกเหตุผลต่าง ๆ นานาว่าพวกเขายังคงต้องร่วมทีมกันจนกว่าจะจบการสอบภาคปฏิบัติ นั้นจึงทำให้ทั้งคู่สะบัดหน้าหนีจากกัน

 

“อ่า คุณรีแบ็คก้าใช่ไหมครับ ผมเรนฮาน อะแวลชีครับ”

 

“อื้ม รีแบ็คก้า เอดิสัน ยินดีเช่นกันนะเรนฮาน คุณหมาป่าโฮ่ง ๆ” เรนฮานหัวเราะแฮะ ๆ เมื่อคุณอยากที่จะเรียกเขาเช่นนั้น และคุณเธอก็เล่นเห่าออกมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น เอ่อ...เขาอยากจะบอกว่าฮาล์ฟบีส ครึ่งหมาป่าไม่เห่าต่อเมื่อแปลงร่างเป็นหมาป่า แต่เขาก็ว่ารีแบ็คก้าไม่ลง เพราะคุณเธอก็ทำท่าทางซะน่ารักเหลือเกิน

 

“ส่วนฉัน อาเชอร์ คิงสตันนะ ส่วนหมอนี่ คู ฮูลินน์” อาเชอร์จัดการแนะนำชื่อของเอลฟ์เองเสร็จสรรพ ในขณะที่คูก็กำลังนั่งหน้าบึ้งไม่ต่างจากเด็กสามขวบที่ถูกพ่อแม่ขัดใจ

 

“ยินดีเช่นนะอาเชอร์ อาเชอร์ฝากบอกเพื่อนของอาเชอร์หน่อยสิ ว่าเพื่อนของอาเชอร์มีน้องหมาในปากกี่ตัว” เท่านั้นแหละอาเชอร์ก็รีบคว้าตัวเพื่อนของเขาแทบจะทันที ถ้ามีควันออกมาจากหูของคูได้ เขาก็คงจะเห็นมันออกมามากมายมหาศาลแล้ว

 

“แบร่!” ไม่วายคุณเธอก็ไปแอบหลังเรนฮานและแลบลิ้นใส่เอลฟ์หนุ่มอีก อาเชอร์และเรนฮานต่างก็ส่ายหัวกับพฤติกรรมที่เหมือนเด็กของทั้งคู่ ส่วนเด็กสาวอีกคนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ มาโดยตลอด ก็แอบชำเลืองมองคนที่เธอจะต้องร่วมทีมด้วยก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วกลับไปอ่านหนังสือของเธอต่อ

 

ก่อนที่คูและรีแบ็คก้าจะเริ่มสงครามน้ำลายไปมากกว่านี้ผู้ร่วมทีมคนสุดท้ายจะเดินเข้าห้องมา เขาเป็นชายหนุ่มร่างยักษ์ใหญ่ผิวออกเขียวอันสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ออร์ค พร้อมขวานยักษ์ของเขาเดินเข้ามานั่งตรงโซฟาอย่างเงียบเชียบ และไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกันกับหญิงสาวอีกคนที่นั่งตรงมุมห้องไม่สนใจใคร

 

พอชายหนุ่มคนสุดท้ายเดินเข้าห้องมา บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง เพราะทุกคนต่างก็รู้สึกเกร็ง ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทำไมทุกคนถึงรู้สึกว่าต้องเกร็งใจสมาชิกคนใหม่คนนี้ด้วยก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าสายตาอันเฉียบคมของของชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้ ที่ทำให้ทุกคนต่างก็พร้อมกันเงียบโดยอัตโนมัติ

 

“อาเชอร์ นายว่าเขาผ่านมากี่ศพแล้วอ่ะ” คูเพื่อนของเขาแอบกระซิบข้างหูของเขาเบา ๆ

 

เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเอ็งก็โดนเขาจับเจี๋ยนหรอก!

 

“ประกาศถึงผู้เข้าสอบทุกคน ขณะนี้พวกเราได้ทำการแบ่งกลุ่มของผู้เข้าสอบทุกคนแล้ว ขอให้ทุกเข้าสอบทุกคนเตรียมตัวฟังโจทย์ และกฎของการสอบภาคภาคปฏิบัติในครั้งนี้ด้วยค่ะ”

 

 

To be continued................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา