ตุ๊กตาเทวา
-
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
25 บท
2 วิจารณ์
19.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) บทที่39นิพนธ์ มดเท็จ(3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"อดัม"
เสียงใสเรียบๆเรียกชื่อใครบางคนดังขึ้นจากความมืด
"หืม อ่า เอวา เอวาที่รัก เธอนั่นเองที่เอ่ยชื่อฉัน"
ชายหนุ่มตื่นจากนิทราลุกขึ้นอ้าแขนกว้างเดินเข้าหาอีกฝ่ายสวมกอดด้วยความรัก
ทว่ากลับถูกหลบอย่างไร้เยื่อใย
"รีบไปเถอะ ท่านเทพกำลังจะสร้างร่างภาชนะแล้ว"
ฝ่ายหญิงสาวนามเอวาจริงจังไร้อารมณ์หยอกล้อกล่าว
"จ้าๆ"
อดัมประกบมือร่ายคาถาพรางกาย
พวกเขาอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
ที่นี่คือเป้าหมาย
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องน้ำหญิงห้องหนึ่ง ทั้ง2คนเดินเข้าไปก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งยืนเด่นอยู่ผู้เดียว
ประตูห้องส้วมเปิดอยู่ทุกบานแปลว่าไม่มีใคร
"มากันแล้วรึ"
หญิงสาวผู้มาก่อนร้องทัก เธอรอทั้ง2คนอยู่แล้ว
แม้จะดูภายนอกไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป แต่ดวงตาสีฟ้าประกายราวดาราช่างพิลึก รวมถึงท่วงท่าการวางมาดดั่งราชสีห์
อดัมและเอวาคุกเข่าลงแสดงความนอบน้อมโดยไม่สนว่าจะเป็นพื้นของห้องน้ำแต่อย่างใด
"ต้องขออภัยที่ให้รอค่ะ"
"เพลาของข้ามีน้อยนัก เราควรเริ่มกันเสียที"
"เอ๋ ในห้องน้ำนี้เลยหรือครับ" อดัมร้องเสียงหลงจริตจะก้านเกินการ
"ตามนั้น" ตอบเพียงสั้นๆ หญิงสาวก็ยื่นมือให้ทั้ง2คน
พวกเขาจับมือกันเป็น 3เหลี่ยม หลับตาสงบเสงี่ยมตั้งจิต
หญิงสาวร่ายมนต์ฟังไม่รู้ภาษา
ห้องน้ำหายไป
รอบๆมืดมิด มีเพียงแสงระยิบระยับดั่งว่าอยู่ในอวกาศ
ที่พื้นส่องสว่างด้วยลวดลายภาษาที่ไม่เคยเจอบนโลก
ร่างของอดัมและเอวาเรื่องแสง แสงเหล่านั้นไหลเข้าหาผู้บริกรรมคาถาและไปรวมกันที่ท้องของเธอเป็นจุดเดียว
เมื่อผ่านไปได้สัก10นาที ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อดัมและเอวาลาผู้เป็นนายและกลับออกมา
เสียงเพลงดังขึ้น หญิงสาวตื่นจะภวังค์ดูสับสน
เมื่อตั้งสติได้จึงรู้ว่าเสียงเพลงนั่นมาจากมือถือตนที่อยู่ในกระเป๋าถือ
"ฮาโหล" เธอรับ
"เป็นอะไรรึเปล่า เห็นเข้าห้องน้ำนานแล้ว" เสียงในสายร้องถาม
"เอ๋ ฉันพึ่งเข้ามาเองนะ"
"เธอเข้าไปเกือบ 15นาทีแล้วนะ"
"...จริงด้วย!! อะไรกันนะ รอเดี๋ยวนะ"
หญิงสาวที่เห็นว่าเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือและการรับรู้ของเธอไม่ตรงกัน จึงกุลีกุจอทำธุระแล้วออกไป
"เป็นอะไรรึเปล่า ให้หมอตรวจอีกรอบไหม" ชายหนุ่มที่ท่าทางเป็นคนรักถามอย่างห่วงใย
"ไม่หรอกกังวลเกินไปแล้ว"
"ก็นะลูกคนแรก ก็ขี้เห่อเป็นธรรมดา"
"จ้าๆ ยังอีกตั้ง 5เดือนนะกว่าจะได้เห็นหน้าลูก"
"อยากเห็นเร็วๆจังเลยนะ ลูกสาวคนสวย"
"ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ภรรยาของคุณ เสียชีวิตระหว่างคลอดบุตร เราพยายามยื้อชีวิตของทั้งแม่และเด็กแล้ว แต่ว่า เราช่วยได้แค่เด็กครับ"
ชายในชุดสีเขียวอ่อนที่ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าคือแพทย์ทำคลอดได้เดินจากไปหลังแจ้งข้อความที่เขาควรรู้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเริ่มป่วยและอ่อนแอลงเรื่อยๆ
แม้หมอจะเตือนแล้วว่าอาจจะถึงแก่ชีวิต แต่เธอก็อยากจะรักษาลูกเอาไว้
คำว่า ไม่เป็นไร เราต้องผ่านมันไปได้
เป็นคำพูดที่เข้าใช้เรียกกำลังใจให้เธอเสมอ
ทว่าวันนี้เขาได้รู้แล้วว่า ที่จริงเขาแค่ปลอบใจตัวเอง
ภรรยาของเขาไม่อยู่แล้ว ความจริงที่ทำให้สมองของเขาว่างเปล่า
แต่เมื่อตั้งสติได้ก็บอกตัวเองว่า ยังเหลือลูกอยู่
ใช่ เขาต้องเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เติบโตได้ดี
ด้วยความรัก
ตามขั้นตอนแล้วลูกจะต้องอยู่ที่หอเด็กอีก 3วันโดยประมาณ
ส่วนศพภรรยาก็รอให้เขาซึ่งเป็นสามีจัดการอะไรหลายๆอย่างให้เรียบร้อยถึงจะมารับทีหลัง
ดังนั้นวันนี้สิ่งที่เขาทำได้คือกลับบ้านหลังจากที่ไปเจอหน้าลูกไม่ถึง 5นาที
ลูกคนแรกซึ่งเป็นลูกชาย
ลูกชาย?
ถ้าจำไม่เพี้ยน ตอนอัลตราซาวด์เขาได้ลูกสาว
แล้วเหตุใดกัน วันนี้เด็กคนนั้นถึงกลายเป็นเด็กชายเล่า
พ่อม่ายเหยียบเบรคจมเท้าเสียงล้อสีพื้นยางมะตอยแสบแก้วหู
มองรอบๆไม่มีรถสวนมา แม้เป็นกลางคืนแต่ไฟทางทั้งหลายให้ความสว่างได้อย่างมั่นใจ
เขาเลี้ยวรถกลับอย่างลุแก่โทสะ
แค่ผิดพลาดเรื่องเมียตายก็น่าโมโหพอแรงแล้ว
ยังจะมาส่งเด็กให้ผิดอีก
เขาต้องกลับไปคุยให้รู้เรื่อง
ทว่ายังไม่ทันไร รถยนต์คันสวยก็ต้องหยุดอีกครั้ง
ชายหนุ่มแต่งตัวดูมีภูมิด้วยสูทสีดำโผล่มายืนขวางทางอย่างไม่กลัวตาย
"เฮ้ย อะไรวะ อย่างตายรึไง คนยิ่งรีบๆอยู่" เจ้าของรถโวยวายการใหญ่ วันนี้มีแต่เรื่องชวนเวียนเศียร
"คุณนะ อันตรายเกินไปนะครับ" ชายคนนั้นพูด ใบหน้ายิ้มแย้มดูแล้วชวนรำคาญอย่างบอกไม่ถูก
ไม่เข้าใจจริงๆว่าคนๆนี้พูดอะไร ชายหนุ่มเบนหัวรถออกเพื่อจะรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
แต่รถกลับไม่ขยับ
กุญแจบิดกลับดับเครื่องเองอย่างประหลาด
แม้พยายามติดเครื่องอีกกี่ครั้งก็ไร้ผล
"อะไรวะ!!! " เจ้าของรถสบถ
"ที่จริงผมสงสารคุณนะครับ ต้องเสียทั้งภรรยาและลูกไปพร้อมกันแบบนี้ แต่เพื่อนของผมเห็นว่า การเก็บคุณเอาไว้ อาจจะทำให้แผนการของพวกเราเสียทิ้งก็ได้ ดังนั้น ผมคงต้องขออภัยจริงๆนะครับ"
"พูดอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง อย่ามาเล่นลิ้นนะโว้ย ที่ว่าเสียลูกหมายความว่าไง มึงรู้อะไร ทำไมอยู่ๆ ลูกกูกลายเป็นผู้ชาย!! "
เจ้าของรถลงมาโวยวายพร้อมปืนพกในมือ ชูเล็งไปด้านหน้า
"แหมๆ เพราะผมสงสารคุณนะครับ ก็เลยจะบอกให้ เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของคุณครับ ลูกสาวของคุณนะ ตายไปตั้งแต่เดือนที่5ของครรภ์แล้วละครับ ทำไมนะเรอะ ก็ถูกเด็กชายคนนั้นกินไปตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วยังไงละ แล้วเขาก็มาแทนลูกสาวของคุณ ทั้งคุณและภรรยาเลี้ยงเด็กกาฝากมาจนเขารอดปลอดภัยออกมาได้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ เหตุที่ภรรยาของคุณอ่อนแอจนตายไปนะ เพราะถูกเด็กคนนั้นกัดกินจากข้างในอย่างไงละครับ"
"จะเป็นไปได้ยังไงเรื่องแบบนี้!!! ก็เห็นอยู่ว่ามีเด็กคนเดียวในท้องนะ!! "
"เพราะพวกเรา ใส่เด็กคนนั้นลงไปเองหลังจากอันตราซาวด์ครั้งแรกยังไงละ"
"มึง!!! "
ไม่รู้หรอกว่าเจ้านี้พูดจริงไหม หรือถ้าพูดจริงแล้วทำได้ยังไง
แต่นิ้วของเขาก็เหนี่ยวไกใส่คำสั่งสังหารให้กับปืนในมือด้วยโทสะไปแล้ว
กระสุนถูกอกชายคนนั้นเต็มๆ
แต่มันไม่ทะลุเข้าเนื้อ เขาปัดมันออกราวกับว่าเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ติดเสื้อ
"อะไรกัน สูทตัวนี้แพงนะครับ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ อืมจริงสิ ไหนๆคุณก็ยิงออกไปแล้วนัดหนึ่ง งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน"
ชายใส่สูท หยิบกระสุนที่หล่นพื้นขึ้นมา เขาปามันออกไปทางซ้ายของตัวเอง
กระสุนบินเลี้ยวเจาะเข้าที่ขมับขวาของเจ้าของปืนจนทะลุออกอีกด้านล้มลงสิ้นใจตรงนั้น
"แบบนี้จะได้ดูเหมือนฆ่าตัวตายไงละ"
"พล่ามมากน่ารำคาญนะ อดัม ฉันรอจนเมื่อยแล้ว" เอวาที่หลบอยู่ด้านหลังเงาของเสาไฟทางบ่นขึ้นหลังจบงาน
"ขอโทษๆ นานๆทีก็อยากคุยกับคนจริงๆบ้างนะ แล้วยังไงต่อละ เอวา แผนของเธอต่อจากนี้นะ"
"เรา 2คนจะรับบทเป็นพ่อแม่ปลอมๆของเด็กนั้นเอง"
"โห แปลว่าเราคือสามีภรรยาสินะ"
"ฉันไม่มีทางนอนกับนาย นี้ก็เพื่อร่างสถิตของท่านเทพ จำไว้ซะ"
จู่ๆพิมก็ถูกลากออกมาจากจิตของอดัมกลับมาที่บ้านไม้เหมือนเดิม
"แอบดูอะไรหรอครับ พี่พิม"
เสียงเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย พิมหันกลับไปก็พบนิพนธ์ยืนอยู่
แต่ตาขวาไม่เป็นสีทองเหมือนทุกครั้ง วันนี้มันเป็นสีฟ้าประกายดวงดาว
เทพองค์นั้นควบคุมอยู่สินะ
เธอรู้ได้
"บางครั้งสาวๆเขาก็อยากรู้อดีตของหนุ่มๆบ้างละ นิพนธ์ เธอละ เมื่อไรจะกลับไปทำงานสักที"
"ฮ่าๆๆ เปล่าประโยชน์ ถึงจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เราก็ยึดร่างนี้ได้ราว 4 ใน 5 ส่วนแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ มีฝีไม้ลายมือไม่ใช่เล่น จักมาร่วมหัวจมท้ายกับเราไหมละ"
"กับเทพไม่รู้หัวนอนปลายเท้านะเรอะ ฉันไม่ใช่พวกเทวะนิยมที่พอเห็นว่าเป็นเทพแล้วบูชาไหว้สาไปเรื่อย ฉันนับถือเทพที่ศีล"
"น่าเสียดายนะ"
สิ้นคำพูดเทพ พิมก็ชิงลงมือก่อน นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้องไปที่เป้าหมาย
ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ไร้สาระน่า แม่มด ไอ้การหลอกจักให้เห็นว่าแขนขาดขาขาดแล้วควบคุมพูสมองส่วนกลางว่าเจ็บแบบที่เจ้าทำกับคนอื่นนะ ใช่กับเราไม่ได้ผลหรอก เอาละ มีอาคมมนตร์ดำอันใดใช้มาให้หมดเลย แม่มดเอ๋ย
เสียงใสเรียบๆเรียกชื่อใครบางคนดังขึ้นจากความมืด
"หืม อ่า เอวา เอวาที่รัก เธอนั่นเองที่เอ่ยชื่อฉัน"
ชายหนุ่มตื่นจากนิทราลุกขึ้นอ้าแขนกว้างเดินเข้าหาอีกฝ่ายสวมกอดด้วยความรัก
ทว่ากลับถูกหลบอย่างไร้เยื่อใย
"รีบไปเถอะ ท่านเทพกำลังจะสร้างร่างภาชนะแล้ว"
ฝ่ายหญิงสาวนามเอวาจริงจังไร้อารมณ์หยอกล้อกล่าว
"จ้าๆ"
อดัมประกบมือร่ายคาถาพรางกาย
พวกเขาอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
ที่นี่คือเป้าหมาย
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องน้ำหญิงห้องหนึ่ง ทั้ง2คนเดินเข้าไปก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งยืนเด่นอยู่ผู้เดียว
ประตูห้องส้วมเปิดอยู่ทุกบานแปลว่าไม่มีใคร
"มากันแล้วรึ"
หญิงสาวผู้มาก่อนร้องทัก เธอรอทั้ง2คนอยู่แล้ว
แม้จะดูภายนอกไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป แต่ดวงตาสีฟ้าประกายราวดาราช่างพิลึก รวมถึงท่วงท่าการวางมาดดั่งราชสีห์
อดัมและเอวาคุกเข่าลงแสดงความนอบน้อมโดยไม่สนว่าจะเป็นพื้นของห้องน้ำแต่อย่างใด
"ต้องขออภัยที่ให้รอค่ะ"
"เพลาของข้ามีน้อยนัก เราควรเริ่มกันเสียที"
"เอ๋ ในห้องน้ำนี้เลยหรือครับ" อดัมร้องเสียงหลงจริตจะก้านเกินการ
"ตามนั้น" ตอบเพียงสั้นๆ หญิงสาวก็ยื่นมือให้ทั้ง2คน
พวกเขาจับมือกันเป็น 3เหลี่ยม หลับตาสงบเสงี่ยมตั้งจิต
หญิงสาวร่ายมนต์ฟังไม่รู้ภาษา
ห้องน้ำหายไป
รอบๆมืดมิด มีเพียงแสงระยิบระยับดั่งว่าอยู่ในอวกาศ
ที่พื้นส่องสว่างด้วยลวดลายภาษาที่ไม่เคยเจอบนโลก
ร่างของอดัมและเอวาเรื่องแสง แสงเหล่านั้นไหลเข้าหาผู้บริกรรมคาถาและไปรวมกันที่ท้องของเธอเป็นจุดเดียว
เมื่อผ่านไปได้สัก10นาที ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อดัมและเอวาลาผู้เป็นนายและกลับออกมา
เสียงเพลงดังขึ้น หญิงสาวตื่นจะภวังค์ดูสับสน
เมื่อตั้งสติได้จึงรู้ว่าเสียงเพลงนั่นมาจากมือถือตนที่อยู่ในกระเป๋าถือ
"ฮาโหล" เธอรับ
"เป็นอะไรรึเปล่า เห็นเข้าห้องน้ำนานแล้ว" เสียงในสายร้องถาม
"เอ๋ ฉันพึ่งเข้ามาเองนะ"
"เธอเข้าไปเกือบ 15นาทีแล้วนะ"
"...จริงด้วย!! อะไรกันนะ รอเดี๋ยวนะ"
หญิงสาวที่เห็นว่าเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือและการรับรู้ของเธอไม่ตรงกัน จึงกุลีกุจอทำธุระแล้วออกไป
"เป็นอะไรรึเปล่า ให้หมอตรวจอีกรอบไหม" ชายหนุ่มที่ท่าทางเป็นคนรักถามอย่างห่วงใย
"ไม่หรอกกังวลเกินไปแล้ว"
"ก็นะลูกคนแรก ก็ขี้เห่อเป็นธรรมดา"
"จ้าๆ ยังอีกตั้ง 5เดือนนะกว่าจะได้เห็นหน้าลูก"
"อยากเห็นเร็วๆจังเลยนะ ลูกสาวคนสวย"
"ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ภรรยาของคุณ เสียชีวิตระหว่างคลอดบุตร เราพยายามยื้อชีวิตของทั้งแม่และเด็กแล้ว แต่ว่า เราช่วยได้แค่เด็กครับ"
ชายในชุดสีเขียวอ่อนที่ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าคือแพทย์ทำคลอดได้เดินจากไปหลังแจ้งข้อความที่เขาควรรู้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเริ่มป่วยและอ่อนแอลงเรื่อยๆ
แม้หมอจะเตือนแล้วว่าอาจจะถึงแก่ชีวิต แต่เธอก็อยากจะรักษาลูกเอาไว้
คำว่า ไม่เป็นไร เราต้องผ่านมันไปได้
เป็นคำพูดที่เข้าใช้เรียกกำลังใจให้เธอเสมอ
ทว่าวันนี้เขาได้รู้แล้วว่า ที่จริงเขาแค่ปลอบใจตัวเอง
ภรรยาของเขาไม่อยู่แล้ว ความจริงที่ทำให้สมองของเขาว่างเปล่า
แต่เมื่อตั้งสติได้ก็บอกตัวเองว่า ยังเหลือลูกอยู่
ใช่ เขาต้องเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เติบโตได้ดี
ด้วยความรัก
ตามขั้นตอนแล้วลูกจะต้องอยู่ที่หอเด็กอีก 3วันโดยประมาณ
ส่วนศพภรรยาก็รอให้เขาซึ่งเป็นสามีจัดการอะไรหลายๆอย่างให้เรียบร้อยถึงจะมารับทีหลัง
ดังนั้นวันนี้สิ่งที่เขาทำได้คือกลับบ้านหลังจากที่ไปเจอหน้าลูกไม่ถึง 5นาที
ลูกคนแรกซึ่งเป็นลูกชาย
ลูกชาย?
ถ้าจำไม่เพี้ยน ตอนอัลตราซาวด์เขาได้ลูกสาว
แล้วเหตุใดกัน วันนี้เด็กคนนั้นถึงกลายเป็นเด็กชายเล่า
พ่อม่ายเหยียบเบรคจมเท้าเสียงล้อสีพื้นยางมะตอยแสบแก้วหู
มองรอบๆไม่มีรถสวนมา แม้เป็นกลางคืนแต่ไฟทางทั้งหลายให้ความสว่างได้อย่างมั่นใจ
เขาเลี้ยวรถกลับอย่างลุแก่โทสะ
แค่ผิดพลาดเรื่องเมียตายก็น่าโมโหพอแรงแล้ว
ยังจะมาส่งเด็กให้ผิดอีก
เขาต้องกลับไปคุยให้รู้เรื่อง
ทว่ายังไม่ทันไร รถยนต์คันสวยก็ต้องหยุดอีกครั้ง
ชายหนุ่มแต่งตัวดูมีภูมิด้วยสูทสีดำโผล่มายืนขวางทางอย่างไม่กลัวตาย
"เฮ้ย อะไรวะ อย่างตายรึไง คนยิ่งรีบๆอยู่" เจ้าของรถโวยวายการใหญ่ วันนี้มีแต่เรื่องชวนเวียนเศียร
"คุณนะ อันตรายเกินไปนะครับ" ชายคนนั้นพูด ใบหน้ายิ้มแย้มดูแล้วชวนรำคาญอย่างบอกไม่ถูก
ไม่เข้าใจจริงๆว่าคนๆนี้พูดอะไร ชายหนุ่มเบนหัวรถออกเพื่อจะรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
แต่รถกลับไม่ขยับ
กุญแจบิดกลับดับเครื่องเองอย่างประหลาด
แม้พยายามติดเครื่องอีกกี่ครั้งก็ไร้ผล
"อะไรวะ!!! " เจ้าของรถสบถ
"ที่จริงผมสงสารคุณนะครับ ต้องเสียทั้งภรรยาและลูกไปพร้อมกันแบบนี้ แต่เพื่อนของผมเห็นว่า การเก็บคุณเอาไว้ อาจจะทำให้แผนการของพวกเราเสียทิ้งก็ได้ ดังนั้น ผมคงต้องขออภัยจริงๆนะครับ"
"พูดอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง อย่ามาเล่นลิ้นนะโว้ย ที่ว่าเสียลูกหมายความว่าไง มึงรู้อะไร ทำไมอยู่ๆ ลูกกูกลายเป็นผู้ชาย!! "
เจ้าของรถลงมาโวยวายพร้อมปืนพกในมือ ชูเล็งไปด้านหน้า
"แหมๆ เพราะผมสงสารคุณนะครับ ก็เลยจะบอกให้ เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของคุณครับ ลูกสาวของคุณนะ ตายไปตั้งแต่เดือนที่5ของครรภ์แล้วละครับ ทำไมนะเรอะ ก็ถูกเด็กชายคนนั้นกินไปตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วยังไงละ แล้วเขาก็มาแทนลูกสาวของคุณ ทั้งคุณและภรรยาเลี้ยงเด็กกาฝากมาจนเขารอดปลอดภัยออกมาได้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ เหตุที่ภรรยาของคุณอ่อนแอจนตายไปนะ เพราะถูกเด็กคนนั้นกัดกินจากข้างในอย่างไงละครับ"
"จะเป็นไปได้ยังไงเรื่องแบบนี้!!! ก็เห็นอยู่ว่ามีเด็กคนเดียวในท้องนะ!! "
"เพราะพวกเรา ใส่เด็กคนนั้นลงไปเองหลังจากอันตราซาวด์ครั้งแรกยังไงละ"
"มึง!!! "
ไม่รู้หรอกว่าเจ้านี้พูดจริงไหม หรือถ้าพูดจริงแล้วทำได้ยังไง
แต่นิ้วของเขาก็เหนี่ยวไกใส่คำสั่งสังหารให้กับปืนในมือด้วยโทสะไปแล้ว
กระสุนถูกอกชายคนนั้นเต็มๆ
แต่มันไม่ทะลุเข้าเนื้อ เขาปัดมันออกราวกับว่าเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ติดเสื้อ
"อะไรกัน สูทตัวนี้แพงนะครับ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ อืมจริงสิ ไหนๆคุณก็ยิงออกไปแล้วนัดหนึ่ง งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน"
ชายใส่สูท หยิบกระสุนที่หล่นพื้นขึ้นมา เขาปามันออกไปทางซ้ายของตัวเอง
กระสุนบินเลี้ยวเจาะเข้าที่ขมับขวาของเจ้าของปืนจนทะลุออกอีกด้านล้มลงสิ้นใจตรงนั้น
"แบบนี้จะได้ดูเหมือนฆ่าตัวตายไงละ"
"พล่ามมากน่ารำคาญนะ อดัม ฉันรอจนเมื่อยแล้ว" เอวาที่หลบอยู่ด้านหลังเงาของเสาไฟทางบ่นขึ้นหลังจบงาน
"ขอโทษๆ นานๆทีก็อยากคุยกับคนจริงๆบ้างนะ แล้วยังไงต่อละ เอวา แผนของเธอต่อจากนี้นะ"
"เรา 2คนจะรับบทเป็นพ่อแม่ปลอมๆของเด็กนั้นเอง"
"โห แปลว่าเราคือสามีภรรยาสินะ"
"ฉันไม่มีทางนอนกับนาย นี้ก็เพื่อร่างสถิตของท่านเทพ จำไว้ซะ"
จู่ๆพิมก็ถูกลากออกมาจากจิตของอดัมกลับมาที่บ้านไม้เหมือนเดิม
"แอบดูอะไรหรอครับ พี่พิม"
เสียงเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย พิมหันกลับไปก็พบนิพนธ์ยืนอยู่
แต่ตาขวาไม่เป็นสีทองเหมือนทุกครั้ง วันนี้มันเป็นสีฟ้าประกายดวงดาว
เทพองค์นั้นควบคุมอยู่สินะ
เธอรู้ได้
"บางครั้งสาวๆเขาก็อยากรู้อดีตของหนุ่มๆบ้างละ นิพนธ์ เธอละ เมื่อไรจะกลับไปทำงานสักที"
"ฮ่าๆๆ เปล่าประโยชน์ ถึงจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เราก็ยึดร่างนี้ได้ราว 4 ใน 5 ส่วนแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ มีฝีไม้ลายมือไม่ใช่เล่น จักมาร่วมหัวจมท้ายกับเราไหมละ"
"กับเทพไม่รู้หัวนอนปลายเท้านะเรอะ ฉันไม่ใช่พวกเทวะนิยมที่พอเห็นว่าเป็นเทพแล้วบูชาไหว้สาไปเรื่อย ฉันนับถือเทพที่ศีล"
"น่าเสียดายนะ"
สิ้นคำพูดเทพ พิมก็ชิงลงมือก่อน นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้องไปที่เป้าหมาย
ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ไร้สาระน่า แม่มด ไอ้การหลอกจักให้เห็นว่าแขนขาดขาขาดแล้วควบคุมพูสมองส่วนกลางว่าเจ็บแบบที่เจ้าทำกับคนอื่นนะ ใช่กับเราไม่ได้ผลหรอก เอาละ มีอาคมมนตร์ดำอันใดใช้มาให้หมดเลย แม่มดเอ๋ย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ