กังวาลในสายลม
-
เขียนโดย Kirinthorn7
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.18 น.
4 บท
0 วิจารณ์
4,073 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 23.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) วัยเด็ก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ชาลีเติบโตมาในบ้านสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรรซึ่งตั้งใกล้กับมหาวิทยาลัยซึ่งพ่อประจำอยู่นับตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล กินของอย่างดีซึ่งพ่อจัดเตรียมให้จากวัตถุดิบที่แม่คัดเลือกจากการศึกษาด้วยตัวเองตลอดแปดเดือน วันถัดมาพ่อก็จ้างยายม้วนซึ่งอาศัยอยู่ชั้นล่างมาช่วยเลี้ยงดูชาลีและดูแลห้องในเวลาที่ติดกิจธุระของชีวิตประจำวัน พอเสร็จจากหน้าที่การงานก็กลับมาใช้เวลาดูแลประคบประหงมลูกเหมือนไข่ในหิน จัดหาทุกอย่างที่เชื่อว่าดีสำหรับเด็กไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เสื้อผ้า ของเล่น ฯลฯ ห้องนั่งเล่นที่เคยแบ่งสัดส่วนข้าวของระหว่างพ่อกับแม่เท่ากันค่อยๆกลายเป็นห้องของลูกชาย ลามไปจนถึงห้องนอนในเวลาต่อมา ของของแม่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในห้องเก็บของ
การดูแลชาลีเป็นไปอย่างที่พ่อเชื่อว่าดีที่สุดแบบที่ตัวพ่อเองอยากได้รับหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาเลือกที่จะไม่สอนภาษาที่สองให้กับลูกชายในทันทีอย่างที่เป็นหลักยึดถือของพ่อแม่ยุคใหม่ แต่ให้ความสนใจไปยังการคิดวิเคราะห์เป็นตรรกะ ‘ทำไมต้องกินข้าว?’ ‘ทำไมข้างนอกมืด?’ ‘ทำไมแก้วตกลงมาแตก?’ ฯลฯ เริ่มแรกการหาสมดุลระหว่างการอธิบายความเป็นจริงกับการอธิบายให้เด็กเชื่อมโยงได้ทำให้พ่อปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพยายามพูดทุกอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าให้คำตอบที่ลูกชายพึงพอใจ แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่มีภาษาที่ตรงกัน เด็กชายเริ่มถามคำถามในแบบที่พ่อต้องการให้เขาถาม และพ่อก็เริ่มตอบคำถามในแบบที่เด็กชายอยากให้เขาตอบ
ยายม้วนอาศัยอยู่กับลูกสาวซึ่งทำงานเป็นพนักงานขายรถอยู่ในละแวก เป็นคนอ่อนโยนแต่ก็หัวอ่อน บอกกล่าวอะไรก็ตั้งใจทำอย่างปราศจากคำถามและทำออกมาได้ดั่งใจ หากตรงไหนไม่ถูกใจก็ปรับตัวได้ตามสั่งทันที บางครั้งพ่อนึกอิจฉายายม้วนซึ่งดูจะมีความสุขกับชีวิตได้กับการนั่งดูละครน้ำเน่าระหว่างทำงานบ้านและเลี้ยงดูชาลี เสร็จเวลาจ้างก็กลับบ้านไปทำอาหารกินกับลูกสาว เธอดำเนินกิจวัตรแบบนี้ตั้งแต่เขารู้จักเธอผ่านการแนะนำโดยภรรยา และกิจวัตรของเธอน่าจะดำเนินมายาวนานตั้งแต่จำความได้
ความตระหนักถึงการมีอยู่ตัวของชาลีเองเริ่มต้นในช่วงเวลาที่เขานั่งดูละครกับยายม้วน มันเป็นช่วงเวลาที่ประหลาดเพราะก่อนหน้านี้เขาแค่ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง หิวก็ร้อง เจ็บก็ร้อง เหงาก็ร้อง ทันใดนั้นชาลีรู้ว่าเขากำลังดูครอบครัวหนึ่งอยู่ในจอโทรทัศน์ ครอบครัวแบบเดียวกับเขา ผู้ใหญ่ไว้หนวดดูน่าเกรงขามเป็นพ่อ เด็กชายวัยรุ่นผมเกรียนเป็นชาลี แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่บนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารคือใคร ‘แม่ไง’ ยายม้วนตอบ ‘รู้จักแม่ไหม’ ชาลีส่ายหัว ‘แม่เป็นคนคลอดหนูไง’ ยายม้วนตอบ ชาลีนั่งคิดพลางมองครอบครัวในโทรทัศน์นั่งคุยกันอย่างมีความสุข ‘ยายม้วนเป็นแม่ไหม’ ชาลีถาม ยายม้วนหัวเราะ ‘ไม่ใช่ ยายม้วนเป็นพี่เลี้ยง’
เมื่อพ่อเคาะประตูยายม้วนก็เก็บกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นสะพายบนไหล่ วางชาลีที่นั่งบนตักลงบนโซฟา ลูบผมสั้นของชาลีเป็นเชิงบอกลาก่อนจะดึงโซ่คล้องประตูเปิดให้พ่อเข้ามา ทั้งสองยกมือไหว้ลากันขณะที่ชาลีจ้องมองจอโทรทัศน์ ‘ชาลีมีแม่ไหม’ พ่อซึ่งกำลังถอดรองเท้าหนังหนักอึ้งหันมามอง ทั้งสองจ้องตากัน ‘มี’ เขาวางรองเท้าลงและเปิดตู้เย็นเพื่อกรอกน้ำลงในแก้ว ‘แม่อยู่ไหน’ ชาลีถาม พ่อคิดอยู่นานก่อนจะนั่งลงข้างชาลีและตอบ ‘อยู่วัด’
‘วัดคือที่ไหน’ ชาลีถาม พ่อยิ้มมุมปาก ‘ที่ที่แม่ชอบ’ ‘แม่ไม่ชอบที่บ้านเหรอ’ ‘มันไม่เหมือนกัน’ ‘แม่ชอบที่บ้านไหม’ ‘ชอบสิ’ ‘แล้วทำไมแม่ไม่อยู่บ้าน’ พ่อนิ่งไปพักหนึ่ง ‘แม่เลือกไม่ได้’ ‘ทำไมแม่เลือกไม่ได้’ ‘เพราะแม่เสียแล้ว’ ‘เสียคืออะไร’ ‘เสียคือตาย’ ‘ตายคืออะไร’ ‘ตายคือไม่ได้อยู่กับเราแล้ว’ ‘ทำไมแม่ถึงตาย’
พ่อใช้รีโมตปิดโทรทัศน์ เลิกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะใช้มือทั้งสองรองใบหน้า ชาลีจ้องมองพ่อด้วยสายตาใคร่รู้ ‘ทำไมแม่ถึงตาย’ ชาลีถามย้ำเพราะคิดว่าพ่อไม่ได้ยิน ‘เพราะคลอดชาลี’ ‘คลอดคืออะไร’ ‘คลอดคือทำให้เกิดมา’ ‘ชาลีทำให้แม่ตายเหรอ’ พ่อไม่ตอบ ชาลียังคงจ้องมองใบหน้าพ่อ ในวินาทีนั้นเขารู้สึกไม่อยากเป็นคนแบบที่เขาเป็นมาตลอดกว่าสามสิบปีอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นนิสัยก็ยากจะฝืน ‘ใช่’ ชาลีถามต่ออย่างรวดเร็ว ‘งั้นถ้าชาลีไม่เกิดแล้ว แม่จะกลับมาอยู่บ้านไหม’ พ่อถอนหายใจ ‘อย่าพูดแบบนั้น แม่อยากให้ชาลีเกิดมา’ ‘แต่ชาลีอยากเจอแม่’ ‘แล้วถ้าชาลีไม่เกิดจะเจอแม่ได้ยังไง’ ‘ไม่ได้เหรอ’ พ่อพยายามหัวเราะ แต่สีหน้าขัดแย้งกับเจตนา ‘ในชีวิตหนึ่ง คนเราต้องเสียสละให้กับหลายสิ่งในเวลาที่เราคาดไม่ถึง’ พ่อพูด ‘อย่างที่แม่ทำ อย่างที่พ่อทำ เพื่อชาลีไง’ พ่อมองไปยังชาลี ชาลีส่ายหน้าแผ่วเบา ยิ้มแหยเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ พ่อยิ้ม ลูบเส้นผมซึ่งยาวกว่าเมื่อวานของชาลีแผ่วเบา ‘เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจเอง’
‘พ่อขอตัวไปล้างหน้าก่อน กินข้าวอิ่มแล้วใช่ไหม เอาอะไรอีกไหม’ ชาลีพยักหน้าและส่ายหน้าเป็นลำดับ พ่อหายเข้าไปในห้องน้ำขณะที่ชาลีนั่งมองจอโทรทัศน์ว่างเปล่า รอคอยให้พ่อกลับมาเปิด เมื่อเวลาผ่านไปนานจนรอไม่ไหว ชาลีเดินไปยังประตูห้องน้ำ ‘พ่อ’ ชาลีขาน ‘อะไรเหรอ’ ‘ถ้าพ่อไปวัด ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าชาลีรักแม่เท่าพ่อเลย’ ความเงียบเปิดช่องว่างให้เสียงฝักบัวเป็นที่สังเกตได้ ‘ได้ จะบอกพันครั้งเลย’ ‘พ่อเสร็จหรือยัง ชาลีอยากดูทีวี’ พ่อยิ้มหัวเราะ เดินออกมาในผ้าขนหนูเพื่อสอนวิธีกดรีโมตให้ลูกชาย ชี้ให้ลูกชายดูกระบวนการ ‘ถ้าจะดู กดปุ่มสีแดง ถ้าจะไม่ดู กดปุ่มสีแดงเหมือนกัน ลองดู’ ชาลีใช้แรงทั้งหมดที่มีประทับนิ้วโป้งลงไปบนปุ่มสีแดง ทันใดนั้นจอที่เคยมืดมิดก็กลับมาสว่าง ตอนนี้ฉายรายการเกมโชว์ ชาลียิ้มดีใจ ‘ขอบคุณครับ’ ชาลีบอกก่อนจะทุ่มเทความสนใจไปกับการเล่นสนุก พ่อเดินกลับเข้าอาบน้ำจนกระทั่งชาลีผล็อยหลับลงไปบนโซฟา
นับจากวันนั้น คำถามของชาลีก็ยากต่อการตอบของพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขามองมันเป็นความท้าทายมากกว่าความน่าเบื่อหน่าย ‘สองคนนั้นทำอะไรกันบนเตียง?’ ‘ไก่ที่เรากินมาจากไหน?’ ‘ทำไมเครื่องบินถึงชนตึก?’ ฯลฯ พ่อตอบคำถามทั้งหมดของชาลีในแบบที่ไม่ปิดบังและอ้อมค้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชาลีมักจะเข้าใจคำตอบไม่ครบทุกส่วน แต่ก็สัมผัสได้ถึงภาพจำลองของโลกในมุมมองของพ่อที่สร้างขึ้นจากการถามตอบนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะที่ชาลีแทบไม่ได้ออกจากบ้านและพบเจอผู้คนทั้งในวัยเดียวกันและต่างวัย ชาลีเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆตามระบบของการอธิบายของพ่อ คือสิ่งหนึ่งนำไปสู่สิ่งหนึ่ง และไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจนั้นหากเราคิดถึงความเป็นจริงของมันมากพอ นั่นทำให้ชาลีกลายเป็นเด็กที่มีความฉลาดสูงกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอเพื่อนร่วมวัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พ่อตัดสินใจให้ชาลีเรียนรู้ด้วยตัวเองจากที่บ้านแทนการเข้าโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จ้างอาจารย์มาสอนในแต่ละห้าวันทำงานในวิชาต่างๆที่เขาเห็นว่าจำเป็นสำหรับการเติบโตมาเป็นบุคลากรมีคุณภาพ แน่นอนว่ารวมถึงหมากรุกสากล พ่อมองว่าหมากรุกสากลให้กุศโลบายของชาลีแก่ชาลีเกี่ยวกับความจำเป็นในการมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าพึ่งพาโชคชะตาและสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และแอบหวังเล็กน้อยว่าลูกชายจะช่วยสานต่อความฝันที่จะเป็นแชมป์โลกหมากรุกในวันที่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะเริ่ม ชาลีรับความรู้ที่อาจารย์แต่ละคนสอนอย่างตั้งใจ เขาถามคำถามแบบเดียวกับที่ถามกับพ่อ และพบว่าไม่ใช่ทุกคนใจเย็นจะตอบคำถามไม่สิ้นสุดของเขาเหมือนพ่อ ในที่สุดเขาก็เรียนรู้ที่จะสงบคำพูดและรับฟังทุกคำสอนและเก็บมาถามพ่อทีหลัง
ชาลีไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านด้วยตัวเอง เส้นขอบโลกของเขาคือรั้วบ้านซึ่งห้อมล้อมสวนขนาดย่อมและสระว่ายน้ำไว้ เขาชอบที่จะใช้เวลาภายนอกกำแพงบ้านมากกว่าหากอากาศไม่ร้อนเกินไป อ่านหนังสือที่พ่อซื้อให้และมองรถยนต์ยี่ห้อหลากหลายขับผ่านซอกซอย หมู่บ้านมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา พ่อมักจะชวนพวกเด็กมาเล่นน้ำเป็นเพื่อนชาลี การมีเพื่อนชั่วครั้งคราวช่วยให้ชาลีรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขามักจะเงียบเพื่อฟังเพื่อนบ้านวัยเดียวกันเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอในโรงเรียน ตลกบ้าง ตื่นเต้นบ้าง แต่ไม่เคยทะลึ่งตึงตังเกินไปเพราะพ่อนั่งติดตามข่าวสารอินเตอร์เน็ตอยู่ข้างเคียง ชาลีไม่มีอะไรเล่าให้เพื่อนฟัง ในเวลาไม่นานก็เพื่อนมาเยี่ยมถี่น้อยลง จนห่างหายกันไปในที่สุด
พ่อมักจะพาชาลีไปเที่ยวต่างจังหวัดปีละสามหน ชลบุรีในช่วงสงกรานต์ เพื่อนพ่อมักจะนัดรวมกลุ่มกันไปกินลมชมวิวตามชายหาด พ่อมีบ้านพักตากอากาศซึ่งเป็นแหล่งพักพิงของกลุ่มเพื่อนเพื่อร้องรำทำเพลงหลังจากขับรถตะลอนทั่วจังหวัด หนองคายในช่วงมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่พ่อเริ่มว่างหลังจากปิดเทอมมหาวิทยาลัย นั่นครอบครัวของพ่อมีธุรกิจเกษตรขนาดใหญ่ ปลูกข้าวปลูกผลไม้ขาย ชาลีชอบเดินตามไร่สวนซึ่งอากาศสบายกำลังดีในช่วงนั้น และน่านในช่วงปีใหม่ พาชาลีไปรู้จักครอบครัวของแม่ บ้านของครอบครัวแม่เคยเป็นบ้านไม้ซอมซ่อ แต่พ่อช่วยลงเงินบำรุงปรับแต่งจนดูทันสมัยน่าอยู่ ซื้อที่ดินข้างเคียงเพิ่มจนพอมีที่ให้ยืดแข้งยืดขายามเช้า อากาศหนาวทำให้ชาลีขดตัวอ่านหนังสือและดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน ฟังคุณตาดีดกีต้าร์โฟล์กข้างเตาผิง ชาลีใช้เวลาว่างในหลายโอกาสหัดทีละน้อยจนดีดคอร์ดสิ้นคิดเป็นเพลงได้ แต่ตั้งสายด้วยตัวเองไม่ได้สักที ตาหัวเราะ ‘หูเพี้ยนทั้งพ่อทั้งลูก เด็กก็เพี้ยนต่ำ พ่อก็เพี้ยนสูง’
วันหนึ่งที่ชาลีเปิดประตูออกไปเดินเล่นในสวนเป็นสิ่งแรกในการเริ่มต้นกิจวัตร เขาได้ยินเสียงร้องครืดคราดแหลมแสบหู เมื่อเดินตามหาแหล่งที่มาก็พบแมวตัวหนึ่งนอนอาบเลือดอยู่บนแปลงดอกไม้ของแม่ เสียงของมันไม่ค่อยลงแม้แต่น้อยเมื่อชาลีจะชะโงกเข้าไปใกล้ ของเหลวสีแดงไหลออกจากรูที่ช่องท้อง น้ำตาไหลออกจากดวงตาของชาลีโดยที่ไม่รู้ตัว เขาอุ้มมันขึ้นโดยไม่สนว่าจะเปื้อนชุดนอนตัวเก่งจนซักไม่ออก เสียงออดดังขึ้น ชาลีไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรเพราะพ่อกับยายม้วนจะเป็นคนต้อนรับแขกเสมอ เขาอุ้มแมวเดินออกไปยังรั้วบ้าน
คนที่รอเขาอยู่คือเด็กชายอายุพอๆกับชาลี สูงเก้งก้างเลยศีรษะของชาลีประมาณสามนิ้ว สวมเสื้อกันฝนทั้งที่ฝนไม่ตกมาร่วมเดือน ถึงอย่างนั้นร่องรอยเปียกน้ำก็เห็นได้ชัดเจนตามเสื้อ ชาลีมองเขาผ่านซอกของรั้วเหล็กหนา แมวซึ่งเคยส่งเสียงดังกลับเงียบทันทีเมื่อชาลีเดินมายังประตู ชาลีหลบการมองเห็นของผู้มาเยือนด้วยความเหนียมอาย เขารับรู้ถึงการมาถึงของชาลีจากเงาที่ผลุบโผล่หลังรั้ว ‘ขอโทษนะครับ’ เด็กแปลกหน้าบอก ส่งยิ้มแห้งกับแววตาหยี ‘พอดีผมเล่นกับแมวแล้วมันวิ่งหนีออกมา ผมคิดว่ามันวิ่งเข้ามาในบ้านคุณ พอจะเห็นมันบ้างไหมครับ’
แมวซุกใบหน้าของมันลงบนอกของผู้อุ้ม ชาลีใช้สายตาเหลือบมองสำรวจรายละเอียดของเด็กชาย มีดซึ่งมีร่องรอยของการใช้งานซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เลือดซึ่งติดอยู่บนมันไหลกองเป็นแอ่งเกิดเป็นรูปเส้นตรงสีดำเห็นได้ชัด ‘มันเป็นแมวนายเหรอ’ ชาลีถาม เด็กชายส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา ‘เปล่า เจอหลงมาแถวนี้ มันคงอดโซหลายวันเลยจับง่าย’ เขายิ้มอ่อน ‘ชื่อชาลีใช่ไหม’ ชาลีผละใบหน้าออกจากการมองเห็นเมื่อได้ยินประโยคนั้น ‘อย่ามีปัญหากับเราเลย’
พ่อตื่นขึ้นและมองเหตุการณ์ผ่านหน้าต่างภายในบ้าน ชาลีหันมามองพ่ออยู่นาน พ่อส่ายหน้าในเชิงที่ชาลีไม่สามารถตีความได้ ชาลีเหลือบตากลับไปมองเด็กชายอย่างระวังที่สุด ดวงตาของเด็กชายจ้องกลับมาในระยะประชิดไม่กี่เซนติเมตร ชาลีผงะออกมาโดยไม่ให้มีเสียง พาตัวเองและสิ่งเกือบไม่มีชีวิตในสองมือเดินเข้าไปในบ้าน เลือดหยดลงบนพรมและพื้นบ้าน พ่อรีบยกกะละมังมารองร่างของมัน เสียงครวญครางเริ่มกลับมาอีกครั้ง ชาลีใช้ผ้าก็อชปิดแผลมันอย่างที่พ่อเคยสอน แม้จะเละเทะแต่ก็ดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย พ่อสั่งให้ชาลีไปเปลี่ยนชุดและกินข้าว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแมว
ความคิดปกคลุมสมองของชาลีเหมือนหมอกควันขณะที่สายน้ำไหลจากฝักบัวปะทะศีรษะลงไปยังร่างกาย มื้อเช้าเป็นอาหารแช่แข็งอุ่นไมโครเวฟ ปกติพ่อมักจะปรุงอาหารสดแต่นี่เป็นวันที่สุดวิสัย ชาลีคิดถึงรอยยิ้มของเด็กชาย ความเย็นไหลจากไหล่ของเขาไปจนถึงข้อเท้า ความคิดที่ว่าเขาได้ช่วยเหลือแมวตัวนั้นไว้ทำให้ชาลีอบอุ่นในหัวใจ ความกล้าหาญของเขาทำให้มันมีโอกาสใช้ชีวิตต่อไป เขารู้สึกผูกพันกับมันอย่างไม่มีเหตุผล เขาคิดว่าจะให้อาหารมันทุกเช้าเป็นอย่างแรกเมื่อตื่นขึ้น ตั้งชื่อมันว่า ‘สีเทา’ ตามขนของมัน หรือ ‘สกัลดักเกอรี่’ ตามชื่อตัวละครเอกจากนิยายเรื่องโปรด หรือ ‘เหมียว’ เพราะเป็นเสียงร้องของแมวและมันร้องไม่หยุด
ชาลีเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งพ่อกำลังดูแลแมวอยู่ มันยังคงร้องโหยหวนระงมไปจนถึงห้องทานอาหาร ดังขึ้นเมื่อชาลีเดินเข้าใกล้จนหยุดอยู่ที่บานประตู มือของพ่อซึ่งถือเข็มฉีดยาเจาะส่วนแหลมลงไปยังผิวหนังของมันและดันจนสุดหลอด แมวเริ่มร้องไม่เป็นจังหวะขึ้นในไม่ช้า ดังที่สุดเท่าที่ปอดของมันจะอนุญาตได้ มันเป็นเสียงที่แย่ที่สุดเท่าที่ชาลีเคยได้ยินในชีวิต ดิ้นทุรนทุรายตวัดขาและร่างกายอย่างไม่มีประเด็นไปทั่วทุกทิศในกะละมัง ชาลีอยากเอานิ้วอุดหูแต่ร่างกายไม่ทำงานตามที่คิด พ่อคอยยืนห่างจากสัตว์ ก้มลงมองเขม็งโดยไม่มีปฏิกิริยาบนสีหน้าจนกระทั่งทุกอย่างเงียบลง พ่อใช้ถุงดำที่วางไว้ข้างกะละมังบรรจุร่างของแมวและมัดปากถุงอย่างคล่องแคล่ว หันมามองชาลีก่อนจะกลับไปจัดการกิจวัตรของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน
การดูแลชาลีเป็นไปอย่างที่พ่อเชื่อว่าดีที่สุดแบบที่ตัวพ่อเองอยากได้รับหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาเลือกที่จะไม่สอนภาษาที่สองให้กับลูกชายในทันทีอย่างที่เป็นหลักยึดถือของพ่อแม่ยุคใหม่ แต่ให้ความสนใจไปยังการคิดวิเคราะห์เป็นตรรกะ ‘ทำไมต้องกินข้าว?’ ‘ทำไมข้างนอกมืด?’ ‘ทำไมแก้วตกลงมาแตก?’ ฯลฯ เริ่มแรกการหาสมดุลระหว่างการอธิบายความเป็นจริงกับการอธิบายให้เด็กเชื่อมโยงได้ทำให้พ่อปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพยายามพูดทุกอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าให้คำตอบที่ลูกชายพึงพอใจ แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่มีภาษาที่ตรงกัน เด็กชายเริ่มถามคำถามในแบบที่พ่อต้องการให้เขาถาม และพ่อก็เริ่มตอบคำถามในแบบที่เด็กชายอยากให้เขาตอบ
ยายม้วนอาศัยอยู่กับลูกสาวซึ่งทำงานเป็นพนักงานขายรถอยู่ในละแวก เป็นคนอ่อนโยนแต่ก็หัวอ่อน บอกกล่าวอะไรก็ตั้งใจทำอย่างปราศจากคำถามและทำออกมาได้ดั่งใจ หากตรงไหนไม่ถูกใจก็ปรับตัวได้ตามสั่งทันที บางครั้งพ่อนึกอิจฉายายม้วนซึ่งดูจะมีความสุขกับชีวิตได้กับการนั่งดูละครน้ำเน่าระหว่างทำงานบ้านและเลี้ยงดูชาลี เสร็จเวลาจ้างก็กลับบ้านไปทำอาหารกินกับลูกสาว เธอดำเนินกิจวัตรแบบนี้ตั้งแต่เขารู้จักเธอผ่านการแนะนำโดยภรรยา และกิจวัตรของเธอน่าจะดำเนินมายาวนานตั้งแต่จำความได้
ความตระหนักถึงการมีอยู่ตัวของชาลีเองเริ่มต้นในช่วงเวลาที่เขานั่งดูละครกับยายม้วน มันเป็นช่วงเวลาที่ประหลาดเพราะก่อนหน้านี้เขาแค่ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง หิวก็ร้อง เจ็บก็ร้อง เหงาก็ร้อง ทันใดนั้นชาลีรู้ว่าเขากำลังดูครอบครัวหนึ่งอยู่ในจอโทรทัศน์ ครอบครัวแบบเดียวกับเขา ผู้ใหญ่ไว้หนวดดูน่าเกรงขามเป็นพ่อ เด็กชายวัยรุ่นผมเกรียนเป็นชาลี แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่บนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารคือใคร ‘แม่ไง’ ยายม้วนตอบ ‘รู้จักแม่ไหม’ ชาลีส่ายหัว ‘แม่เป็นคนคลอดหนูไง’ ยายม้วนตอบ ชาลีนั่งคิดพลางมองครอบครัวในโทรทัศน์นั่งคุยกันอย่างมีความสุข ‘ยายม้วนเป็นแม่ไหม’ ชาลีถาม ยายม้วนหัวเราะ ‘ไม่ใช่ ยายม้วนเป็นพี่เลี้ยง’
เมื่อพ่อเคาะประตูยายม้วนก็เก็บกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นสะพายบนไหล่ วางชาลีที่นั่งบนตักลงบนโซฟา ลูบผมสั้นของชาลีเป็นเชิงบอกลาก่อนจะดึงโซ่คล้องประตูเปิดให้พ่อเข้ามา ทั้งสองยกมือไหว้ลากันขณะที่ชาลีจ้องมองจอโทรทัศน์ ‘ชาลีมีแม่ไหม’ พ่อซึ่งกำลังถอดรองเท้าหนังหนักอึ้งหันมามอง ทั้งสองจ้องตากัน ‘มี’ เขาวางรองเท้าลงและเปิดตู้เย็นเพื่อกรอกน้ำลงในแก้ว ‘แม่อยู่ไหน’ ชาลีถาม พ่อคิดอยู่นานก่อนจะนั่งลงข้างชาลีและตอบ ‘อยู่วัด’
‘วัดคือที่ไหน’ ชาลีถาม พ่อยิ้มมุมปาก ‘ที่ที่แม่ชอบ’ ‘แม่ไม่ชอบที่บ้านเหรอ’ ‘มันไม่เหมือนกัน’ ‘แม่ชอบที่บ้านไหม’ ‘ชอบสิ’ ‘แล้วทำไมแม่ไม่อยู่บ้าน’ พ่อนิ่งไปพักหนึ่ง ‘แม่เลือกไม่ได้’ ‘ทำไมแม่เลือกไม่ได้’ ‘เพราะแม่เสียแล้ว’ ‘เสียคืออะไร’ ‘เสียคือตาย’ ‘ตายคืออะไร’ ‘ตายคือไม่ได้อยู่กับเราแล้ว’ ‘ทำไมแม่ถึงตาย’
พ่อใช้รีโมตปิดโทรทัศน์ เลิกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะใช้มือทั้งสองรองใบหน้า ชาลีจ้องมองพ่อด้วยสายตาใคร่รู้ ‘ทำไมแม่ถึงตาย’ ชาลีถามย้ำเพราะคิดว่าพ่อไม่ได้ยิน ‘เพราะคลอดชาลี’ ‘คลอดคืออะไร’ ‘คลอดคือทำให้เกิดมา’ ‘ชาลีทำให้แม่ตายเหรอ’ พ่อไม่ตอบ ชาลียังคงจ้องมองใบหน้าพ่อ ในวินาทีนั้นเขารู้สึกไม่อยากเป็นคนแบบที่เขาเป็นมาตลอดกว่าสามสิบปีอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นนิสัยก็ยากจะฝืน ‘ใช่’ ชาลีถามต่ออย่างรวดเร็ว ‘งั้นถ้าชาลีไม่เกิดแล้ว แม่จะกลับมาอยู่บ้านไหม’ พ่อถอนหายใจ ‘อย่าพูดแบบนั้น แม่อยากให้ชาลีเกิดมา’ ‘แต่ชาลีอยากเจอแม่’ ‘แล้วถ้าชาลีไม่เกิดจะเจอแม่ได้ยังไง’ ‘ไม่ได้เหรอ’ พ่อพยายามหัวเราะ แต่สีหน้าขัดแย้งกับเจตนา ‘ในชีวิตหนึ่ง คนเราต้องเสียสละให้กับหลายสิ่งในเวลาที่เราคาดไม่ถึง’ พ่อพูด ‘อย่างที่แม่ทำ อย่างที่พ่อทำ เพื่อชาลีไง’ พ่อมองไปยังชาลี ชาลีส่ายหน้าแผ่วเบา ยิ้มแหยเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ พ่อยิ้ม ลูบเส้นผมซึ่งยาวกว่าเมื่อวานของชาลีแผ่วเบา ‘เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจเอง’
‘พ่อขอตัวไปล้างหน้าก่อน กินข้าวอิ่มแล้วใช่ไหม เอาอะไรอีกไหม’ ชาลีพยักหน้าและส่ายหน้าเป็นลำดับ พ่อหายเข้าไปในห้องน้ำขณะที่ชาลีนั่งมองจอโทรทัศน์ว่างเปล่า รอคอยให้พ่อกลับมาเปิด เมื่อเวลาผ่านไปนานจนรอไม่ไหว ชาลีเดินไปยังประตูห้องน้ำ ‘พ่อ’ ชาลีขาน ‘อะไรเหรอ’ ‘ถ้าพ่อไปวัด ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าชาลีรักแม่เท่าพ่อเลย’ ความเงียบเปิดช่องว่างให้เสียงฝักบัวเป็นที่สังเกตได้ ‘ได้ จะบอกพันครั้งเลย’ ‘พ่อเสร็จหรือยัง ชาลีอยากดูทีวี’ พ่อยิ้มหัวเราะ เดินออกมาในผ้าขนหนูเพื่อสอนวิธีกดรีโมตให้ลูกชาย ชี้ให้ลูกชายดูกระบวนการ ‘ถ้าจะดู กดปุ่มสีแดง ถ้าจะไม่ดู กดปุ่มสีแดงเหมือนกัน ลองดู’ ชาลีใช้แรงทั้งหมดที่มีประทับนิ้วโป้งลงไปบนปุ่มสีแดง ทันใดนั้นจอที่เคยมืดมิดก็กลับมาสว่าง ตอนนี้ฉายรายการเกมโชว์ ชาลียิ้มดีใจ ‘ขอบคุณครับ’ ชาลีบอกก่อนจะทุ่มเทความสนใจไปกับการเล่นสนุก พ่อเดินกลับเข้าอาบน้ำจนกระทั่งชาลีผล็อยหลับลงไปบนโซฟา
นับจากวันนั้น คำถามของชาลีก็ยากต่อการตอบของพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขามองมันเป็นความท้าทายมากกว่าความน่าเบื่อหน่าย ‘สองคนนั้นทำอะไรกันบนเตียง?’ ‘ไก่ที่เรากินมาจากไหน?’ ‘ทำไมเครื่องบินถึงชนตึก?’ ฯลฯ พ่อตอบคำถามทั้งหมดของชาลีในแบบที่ไม่ปิดบังและอ้อมค้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชาลีมักจะเข้าใจคำตอบไม่ครบทุกส่วน แต่ก็สัมผัสได้ถึงภาพจำลองของโลกในมุมมองของพ่อที่สร้างขึ้นจากการถามตอบนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะที่ชาลีแทบไม่ได้ออกจากบ้านและพบเจอผู้คนทั้งในวัยเดียวกันและต่างวัย ชาลีเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆตามระบบของการอธิบายของพ่อ คือสิ่งหนึ่งนำไปสู่สิ่งหนึ่ง และไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจนั้นหากเราคิดถึงความเป็นจริงของมันมากพอ นั่นทำให้ชาลีกลายเป็นเด็กที่มีความฉลาดสูงกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอเพื่อนร่วมวัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พ่อตัดสินใจให้ชาลีเรียนรู้ด้วยตัวเองจากที่บ้านแทนการเข้าโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จ้างอาจารย์มาสอนในแต่ละห้าวันทำงานในวิชาต่างๆที่เขาเห็นว่าจำเป็นสำหรับการเติบโตมาเป็นบุคลากรมีคุณภาพ แน่นอนว่ารวมถึงหมากรุกสากล พ่อมองว่าหมากรุกสากลให้กุศโลบายของชาลีแก่ชาลีเกี่ยวกับความจำเป็นในการมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าพึ่งพาโชคชะตาและสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และแอบหวังเล็กน้อยว่าลูกชายจะช่วยสานต่อความฝันที่จะเป็นแชมป์โลกหมากรุกในวันที่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะเริ่ม ชาลีรับความรู้ที่อาจารย์แต่ละคนสอนอย่างตั้งใจ เขาถามคำถามแบบเดียวกับที่ถามกับพ่อ และพบว่าไม่ใช่ทุกคนใจเย็นจะตอบคำถามไม่สิ้นสุดของเขาเหมือนพ่อ ในที่สุดเขาก็เรียนรู้ที่จะสงบคำพูดและรับฟังทุกคำสอนและเก็บมาถามพ่อทีหลัง
ชาลีไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านด้วยตัวเอง เส้นขอบโลกของเขาคือรั้วบ้านซึ่งห้อมล้อมสวนขนาดย่อมและสระว่ายน้ำไว้ เขาชอบที่จะใช้เวลาภายนอกกำแพงบ้านมากกว่าหากอากาศไม่ร้อนเกินไป อ่านหนังสือที่พ่อซื้อให้และมองรถยนต์ยี่ห้อหลากหลายขับผ่านซอกซอย หมู่บ้านมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา พ่อมักจะชวนพวกเด็กมาเล่นน้ำเป็นเพื่อนชาลี การมีเพื่อนชั่วครั้งคราวช่วยให้ชาลีรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขามักจะเงียบเพื่อฟังเพื่อนบ้านวัยเดียวกันเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอในโรงเรียน ตลกบ้าง ตื่นเต้นบ้าง แต่ไม่เคยทะลึ่งตึงตังเกินไปเพราะพ่อนั่งติดตามข่าวสารอินเตอร์เน็ตอยู่ข้างเคียง ชาลีไม่มีอะไรเล่าให้เพื่อนฟัง ในเวลาไม่นานก็เพื่อนมาเยี่ยมถี่น้อยลง จนห่างหายกันไปในที่สุด
พ่อมักจะพาชาลีไปเที่ยวต่างจังหวัดปีละสามหน ชลบุรีในช่วงสงกรานต์ เพื่อนพ่อมักจะนัดรวมกลุ่มกันไปกินลมชมวิวตามชายหาด พ่อมีบ้านพักตากอากาศซึ่งเป็นแหล่งพักพิงของกลุ่มเพื่อนเพื่อร้องรำทำเพลงหลังจากขับรถตะลอนทั่วจังหวัด หนองคายในช่วงมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่พ่อเริ่มว่างหลังจากปิดเทอมมหาวิทยาลัย นั่นครอบครัวของพ่อมีธุรกิจเกษตรขนาดใหญ่ ปลูกข้าวปลูกผลไม้ขาย ชาลีชอบเดินตามไร่สวนซึ่งอากาศสบายกำลังดีในช่วงนั้น และน่านในช่วงปีใหม่ พาชาลีไปรู้จักครอบครัวของแม่ บ้านของครอบครัวแม่เคยเป็นบ้านไม้ซอมซ่อ แต่พ่อช่วยลงเงินบำรุงปรับแต่งจนดูทันสมัยน่าอยู่ ซื้อที่ดินข้างเคียงเพิ่มจนพอมีที่ให้ยืดแข้งยืดขายามเช้า อากาศหนาวทำให้ชาลีขดตัวอ่านหนังสือและดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน ฟังคุณตาดีดกีต้าร์โฟล์กข้างเตาผิง ชาลีใช้เวลาว่างในหลายโอกาสหัดทีละน้อยจนดีดคอร์ดสิ้นคิดเป็นเพลงได้ แต่ตั้งสายด้วยตัวเองไม่ได้สักที ตาหัวเราะ ‘หูเพี้ยนทั้งพ่อทั้งลูก เด็กก็เพี้ยนต่ำ พ่อก็เพี้ยนสูง’
วันหนึ่งที่ชาลีเปิดประตูออกไปเดินเล่นในสวนเป็นสิ่งแรกในการเริ่มต้นกิจวัตร เขาได้ยินเสียงร้องครืดคราดแหลมแสบหู เมื่อเดินตามหาแหล่งที่มาก็พบแมวตัวหนึ่งนอนอาบเลือดอยู่บนแปลงดอกไม้ของแม่ เสียงของมันไม่ค่อยลงแม้แต่น้อยเมื่อชาลีจะชะโงกเข้าไปใกล้ ของเหลวสีแดงไหลออกจากรูที่ช่องท้อง น้ำตาไหลออกจากดวงตาของชาลีโดยที่ไม่รู้ตัว เขาอุ้มมันขึ้นโดยไม่สนว่าจะเปื้อนชุดนอนตัวเก่งจนซักไม่ออก เสียงออดดังขึ้น ชาลีไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรเพราะพ่อกับยายม้วนจะเป็นคนต้อนรับแขกเสมอ เขาอุ้มแมวเดินออกไปยังรั้วบ้าน
คนที่รอเขาอยู่คือเด็กชายอายุพอๆกับชาลี สูงเก้งก้างเลยศีรษะของชาลีประมาณสามนิ้ว สวมเสื้อกันฝนทั้งที่ฝนไม่ตกมาร่วมเดือน ถึงอย่างนั้นร่องรอยเปียกน้ำก็เห็นได้ชัดเจนตามเสื้อ ชาลีมองเขาผ่านซอกของรั้วเหล็กหนา แมวซึ่งเคยส่งเสียงดังกลับเงียบทันทีเมื่อชาลีเดินมายังประตู ชาลีหลบการมองเห็นของผู้มาเยือนด้วยความเหนียมอาย เขารับรู้ถึงการมาถึงของชาลีจากเงาที่ผลุบโผล่หลังรั้ว ‘ขอโทษนะครับ’ เด็กแปลกหน้าบอก ส่งยิ้มแห้งกับแววตาหยี ‘พอดีผมเล่นกับแมวแล้วมันวิ่งหนีออกมา ผมคิดว่ามันวิ่งเข้ามาในบ้านคุณ พอจะเห็นมันบ้างไหมครับ’
แมวซุกใบหน้าของมันลงบนอกของผู้อุ้ม ชาลีใช้สายตาเหลือบมองสำรวจรายละเอียดของเด็กชาย มีดซึ่งมีร่องรอยของการใช้งานซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เลือดซึ่งติดอยู่บนมันไหลกองเป็นแอ่งเกิดเป็นรูปเส้นตรงสีดำเห็นได้ชัด ‘มันเป็นแมวนายเหรอ’ ชาลีถาม เด็กชายส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา ‘เปล่า เจอหลงมาแถวนี้ มันคงอดโซหลายวันเลยจับง่าย’ เขายิ้มอ่อน ‘ชื่อชาลีใช่ไหม’ ชาลีผละใบหน้าออกจากการมองเห็นเมื่อได้ยินประโยคนั้น ‘อย่ามีปัญหากับเราเลย’
พ่อตื่นขึ้นและมองเหตุการณ์ผ่านหน้าต่างภายในบ้าน ชาลีหันมามองพ่ออยู่นาน พ่อส่ายหน้าในเชิงที่ชาลีไม่สามารถตีความได้ ชาลีเหลือบตากลับไปมองเด็กชายอย่างระวังที่สุด ดวงตาของเด็กชายจ้องกลับมาในระยะประชิดไม่กี่เซนติเมตร ชาลีผงะออกมาโดยไม่ให้มีเสียง พาตัวเองและสิ่งเกือบไม่มีชีวิตในสองมือเดินเข้าไปในบ้าน เลือดหยดลงบนพรมและพื้นบ้าน พ่อรีบยกกะละมังมารองร่างของมัน เสียงครวญครางเริ่มกลับมาอีกครั้ง ชาลีใช้ผ้าก็อชปิดแผลมันอย่างที่พ่อเคยสอน แม้จะเละเทะแต่ก็ดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย พ่อสั่งให้ชาลีไปเปลี่ยนชุดและกินข้าว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแมว
ความคิดปกคลุมสมองของชาลีเหมือนหมอกควันขณะที่สายน้ำไหลจากฝักบัวปะทะศีรษะลงไปยังร่างกาย มื้อเช้าเป็นอาหารแช่แข็งอุ่นไมโครเวฟ ปกติพ่อมักจะปรุงอาหารสดแต่นี่เป็นวันที่สุดวิสัย ชาลีคิดถึงรอยยิ้มของเด็กชาย ความเย็นไหลจากไหล่ของเขาไปจนถึงข้อเท้า ความคิดที่ว่าเขาได้ช่วยเหลือแมวตัวนั้นไว้ทำให้ชาลีอบอุ่นในหัวใจ ความกล้าหาญของเขาทำให้มันมีโอกาสใช้ชีวิตต่อไป เขารู้สึกผูกพันกับมันอย่างไม่มีเหตุผล เขาคิดว่าจะให้อาหารมันทุกเช้าเป็นอย่างแรกเมื่อตื่นขึ้น ตั้งชื่อมันว่า ‘สีเทา’ ตามขนของมัน หรือ ‘สกัลดักเกอรี่’ ตามชื่อตัวละครเอกจากนิยายเรื่องโปรด หรือ ‘เหมียว’ เพราะเป็นเสียงร้องของแมวและมันร้องไม่หยุด
ชาลีเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งพ่อกำลังดูแลแมวอยู่ มันยังคงร้องโหยหวนระงมไปจนถึงห้องทานอาหาร ดังขึ้นเมื่อชาลีเดินเข้าใกล้จนหยุดอยู่ที่บานประตู มือของพ่อซึ่งถือเข็มฉีดยาเจาะส่วนแหลมลงไปยังผิวหนังของมันและดันจนสุดหลอด แมวเริ่มร้องไม่เป็นจังหวะขึ้นในไม่ช้า ดังที่สุดเท่าที่ปอดของมันจะอนุญาตได้ มันเป็นเสียงที่แย่ที่สุดเท่าที่ชาลีเคยได้ยินในชีวิต ดิ้นทุรนทุรายตวัดขาและร่างกายอย่างไม่มีประเด็นไปทั่วทุกทิศในกะละมัง ชาลีอยากเอานิ้วอุดหูแต่ร่างกายไม่ทำงานตามที่คิด พ่อคอยยืนห่างจากสัตว์ ก้มลงมองเขม็งโดยไม่มีปฏิกิริยาบนสีหน้าจนกระทั่งทุกอย่างเงียบลง พ่อใช้ถุงดำที่วางไว้ข้างกะละมังบรรจุร่างของแมวและมัดปากถุงอย่างคล่องแคล่ว หันมามองชาลีก่อนจะกลับไปจัดการกิจวัตรของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ