กังวาลในสายลม
เขียนโดย Kirinthorn7
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.18 น.
แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 23.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) นิทาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนอกเหนือจากการสงสัยใคร่รู้ตามประสาเด็กแล้ว ชาลีชอบฟังเทปนิทานอิสปสองเรื่องก่อนนอน ต้องเป็นสองเรื่องเพราะแต่ละเรื่องอยู่ในด้านหน้ากับด้านหลังของเทป มันทำให้เขารู้สึกเหมือนล่องลอยจากความจำเจจำกัดของชีวิตประจำวัน แต่ละคืนเขาจะจินตนาการตัวเองเป็นสัตว์หรือผู้คนในนิทาน กระต่ายที่นอนไม่พอ เด็กเลี้ยงแกะที่ขี้เหงา ราชสีห์ที่ไม่เกรงกลัวใคร ฯลฯ เมื่อเห็นลูกชายชอบพ่อจึงซื้อมาสะสมเพิ่มจนไม่มีที่เก็บในห้องนอน ต้องรวบรวมใส่กล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ในห้องเก็บของ เมื่อถึงเวลานอนพ่อจะสุ่มหยิบหนึ่งม้วนออกมาเปิดใส่เครื่องเล่นให้ลูกชายฟัง ปล่อยให้กลไกกรอเสียงเล่านุ่มนวลไปเรื่อยขณะที่เขาใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง
วันหนึ่งซึ่งพ่อออกไปทำงานตามปกติ ชาลีรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเดินเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อตามหานิทานดีๆสักเรื่อง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเดินเข้าไปในห้องเก็บของ สภาพของห้องถูกปัดกวาดอย่างดีจนสะอาดสะอ้านเหมือนกับส่วนอื่นของบ้าน สองด้านของผนังมีชั้นเหล็กมหึมาวางกั้นอยู่ ถูกจัดวางไปด้วยสิ่งของต่างๆซึ่งมีความทรงจำประทับอยู่ ชาลีสูงจะเอื้อมถึงแค่ชั้นที่สามแบบฉิวเฉียด สายตามองไปยังกล่องใส่เทปสีแดงซึ่งส่งสีสะดุดตาแม้จะแอบซ่อนอยู่ในความขุ่นมัวของกล่อง
ยายม้วนยังคงรีดผ้าดูละครตามประสาของแก เธอตะโกนเชียร์เหตุการณ์ในโทรทัศน์ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของบ้าน ชาลีมองไปรอบตัวเห็นบันไดไม้พับวางพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ชาลีใช้ความคิดกับมันอยู่พักหนึ่งจนสามารถกางมันออกตั้งได้ แต่ละก้าวไม่ได้ยากเย็นสำหรับสรีระของชาลี แต่ความห่างจากพื้นอันไม่คุ้นชินทำให้ใจของเขาสั่นและส่งผลให้มือและเท้าก็เช่นกัน เขาก้าวขึ้นไปยืนชั้นบนสุดของบันไดเพื่อง้างฝาพลาสติกสีฟ้าเผยออก เปิดให้เห็นกล่องแก้ววางเรียงรายเป็นระเบียบ ภายในมีปกกระดาษสีที่มีรูปบรรยายเหตุการณ์ในเรื่องและชื่อเรื่องในตัวอักษรสวยงาม เขากวาดสายตามองหาเทปที่ถูกใจเขาที่สุดในเวลานี้
เสียงผิวปากเรียกความสนใจของชาลี เขาตวัดศีรษะไปยังต้นเสียงในทันที สองมือจับขอบกล่องพลาสติกแน่น แสงอาทิตย์สาดส่องทำให้ชาลีต้องยกมือขึ้นมาป้องปัด ภายใต้ความสว่างนั้นคือนกกระจอกสีน้ำตาลซึ่งร้องเพลงอยู่บนกิ่งไม้ มันดูเหมือนจะรู้ตัวว่าชาลีกำลังสนใจและจ้องมองกลับมา สายลมพัดปลิวมาภายใน เจ้านกหยุดนิ่งเพื่อแข่งจ้องตากับชาลี ทั้งสองยิ้ม ชาลีผิวปากและเจ้านกน้อยก็ขานกลับ มันบินเข้ามาเกาะลงบนไหล่ของเด็กชาย สายตาหันมองไปทั่วห้องอย่างสนใจใครรู้จนกระทั่งจับจดไปยังกล่องไม้กล่องหนึ่ง กระโดดขึ้นไปเกาะบนฝาและเดินพล่านส่งเสียงกระทบกับไม้
น้ำหนักอึ้งของกล่องปรากฎชัดเจนเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของชาลี เขาล้มตัวลงบนพื้นก่อนจะทันได้คิด บันไดก้มลงพาดลงบนชั้นฝั่งตรงข้าม ชาลีไม่รู้สึกแขนซ้ายของตัวเอง สลักกุญแจสีทองซึ่งเคยเก็บความทรงจำเอาไว้หลุดออก ส่งสิ่งของซึ่งบรรจุภายในให้กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ชาลีไม่มีแรงพอจะดันร่างกายขึ้น เขาผ่อนคลายตัวเองและจ้องมองความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ กรอบรูปแม่คู่กับพ่อแตกละเอียด
ชาลีตื่นขึ้นมาในห้องซึ่งบรรยากาศไม่เหมือนกับบ้านของเขา เครื่องปรับอากาศส่งไอเย็นลงบนขาของเขาอย่างเงียบเชียบ ทั้งห้องสีขาวโพลนตัดกับหน้าต่างซึ่งเปิดให้เห็นความมืดมิดภายนอก ชาลีมองไปยังแขนซ้ายของตัวเองและพบว่ามันถูกเข้าเฝือกหนาจนถึงไหล่ เขาพยายามลุกจากเตียงใหญ่แต่รั้วเหล็กกั้นไว้ พ่อซึ่งนอนอยู่บนโซฟาหนังสีเลือดหมูตื่นขึ้น ส่งยิ้มอ่อนแรงมาให้เขา ‘ตื่นแล้วเหรอ’
‘พ่อไม่รักแม่แล้วเหรอ’ ชาลีถาม พ่อมองหน้าชาลี ‘ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน’ ‘พ่อไม่พูดเรื่องแม่แล้ว’ พ่อส่ายหน้า ‘พูดถึงแล้วได้อะไร’ ‘ชาลีอยากรู้’ ‘งั้นเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง’ พ่อเล่าว่าเจอแม่ได้อย่างไร แม่เป็นคนอย่างไร สิ่งที่ทำให้เขาหลงรัก เหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยกัน จนถึงวันที่ชาลีเกิดมา ความรู้สึกในวันนั้น และเศษซากที่ยังหลงเหลือของแม่ที่ยังติดตามมา ‘ชาลีขอโทษ’ ‘ขอโทษเรื่องอะไร’ ‘ที่พังของแม่หมดเลย’ ‘ไม่เห็นเป็นอะไรเลย’ พ่อลูบศีรษะชาลี ยังรู้สึกปวดจากแรงกระแทก ‘แล้วเวลาพ่อคิดถึงแม่จะทำยังไง’ ‘ถ้าความทรงจำมันพังไปกับสิ่งของแบบที่ลูกคิดก็คงดี’ ชาลีพยายามปีนลงไป พ่อประคองเขาลงมานั่งด้วยกันบนโซฟา ทั้งสองไม่พูดเป็นเวลานานในความเงียบ ‘ไม่มีวันไหนที่พ่อไม่คิดถึงแม่’ พ่อพูดขึ้น ‘แต่พ่อก็ต้องคิดถึงชาลีด้วย คิดถึงตัวเองด้วย คิดถึงทุกคนด้วย ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ภาพหายไปใบหนึ่งไม่ได้แปลว่าทั้งอัลบั้มจะไม่มีความหมาย’ ชาลีได้แต่ใช้นิ้วขวาละเลียดลงบนความกระด้างของเฝือก เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พ่ออธิบายนัก เช็ดน้ำตาลงบนเสื้อเชิ้ตของพ่อจนยับยู่ยี่ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยปราศจากเทป
หลายสัปดาห์ต่อมาอาแก่มาเยี่ยมพวกเขาอย่างที่ทำเป็นประจำทุกหลายเดือน ชาลีมักจะชอบคลุกคลีกับอาแก่ถึงแม้เขามักจะมีกลิ่นประหลาดติดตัว อาแก่ผมขาวหงอกเต็มหัวสมชื่อไม่เหมือนกับพ่อซึ่งอายุเท่ากัน ชอบเย้าแหย่ชาลีด้วยน้ำเสียงตลกขบขันและเล่นกับชาลีโดยไม่หวงเนื้อหวงตัว พ่อมักจะนั่งมองด้วยรอยยิ้มอยู่ห่างๆเวลาทั้งคู่สนุก พวกเขาปิ้งย่างเนื้อในกระทะไฟฟ้ากินด้วยกันที่สวนหน้าบ้าน มันเป็นหนึ่งในไม่กี่โอกาสที่พ่อดื่มเหล้า ถึงอย่างนั้นเวลาพ่อเมาไม่มีความต่างอะไรจากตอนไม่เมาแม้แต่น้อย อาแก่ลองให้ชาลีดื่ม ชาลีหันมามองพ่อซึ่งทำหน้าพยักพเยิดเป็นเชิงยอม มือขวารับแก้วมาจากอาแก่ สีเหลืองของมันสั่นไหวไปตามลมหายใจของชาลี เขากระเดือกมันเข้าไปอึกใหญ่ ‘หน้าแดงเลย’ อาแก่ทัก ทำให้ชาลีหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
กิจกรรมที่ขาดไม่ได้เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองพบกันคือการดวลหมากรุก เมื่อเมาแล้วอาแก่เล่นได้บ้าคลั่งกว่ายามปกติ โจมตีคิงอีกฝั่งอย่างไม่สนเหตุผลในขณะที่พ่อพยายามเล่นคุมเชิงตามสไตล์ปกติ ชาลีชอบดูอาแก่เล่น เขาดูจะไม่สนว่าผลลัพธ์จะชนะหรือเปล่า สนแค่อยากให้เกมที่กำลังเล่นอยู่สนุก ทั้งคู่ยื้อไปจนท้ายเกมที่อาแก่เหลือเบี้ยน้อยกว่าเพราะสังเวยิ้งหนักมือไปหน่อย จับมือยอมแพ้พ่อแต่โดยดี ‘ตั้งใจเล่นหน่อยสิคุณ’ พ่อแซวอาแก่ซึ่งดูจะไม่ใส่ใจ ‘เดี๋ยวคุณแพ้ต่อหน้าลูกก็ไม่ชวนผมมาเยี่ยมอีกสิ’ ทั้งคู่หัวเราะ ชาลีที่กำลังมองดูหัวเราะตาม
ชาลีรู้ว่าถึงเวลาต้องนอนเมื่อพ่อเดินหายเข้าไปในบ้านและกลับออกมาพร้อมเทปนิทานอีสปในมือ ‘ชอบฟังนิทานเหรอลูก’ ชาลีพยักหน้า อาแก่ยิ้มพลางเคลียร์พื้นที่บนโต๊ะอาหาร ‘ถ้าอย่างนั้นอาจะเล่านิทานให้ฟัง แต่นิทานเรื่องนี้ไม่เหมือนกับนิทานที่หนูเคยฟังนะ’ ‘ยังไงครับอา’ ‘มันเป็นเรื่องราวของอนาคตชีวิตหนูไง’
‘ไม่เอาน่า แก่’ พ่อพูดขัดขึ้น ‘ถึงเวลานอนแล้ว ใช่ไหมชาลี’
‘ผมอยากฟังครับ’ ชาลีพูด อาแก่หันมามองพ่อเป็นเชิงขออนุญาต ผู้ใหญ่จ้องมองกันเป็นเวลานานจนพ่อยอมแพ้และกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมของตัวเอง อาแก่ถูมือทั้งสองก่อนจะล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายหลังคู่ใจ กลิ่นสมุนไพรที่ชาลีไม่รู้จักหอมตลบอบอวน สิ่งที่เขาหยิบออกมาคือถุงผ้าสีสันแปลกตาที่มีเชือกมัดปาก เขาดึงมันเปิดออก เผยให้เห็นกองไพ่ซึ่งมีด้านหลังเป็นรูปดอกไม้สีขาว อาแก่อุ้มชาลีนั่งลงบนตัก ‘รู้ไหมว่าคืออะไร’ ชาลีส่ายหน้า
‘มันเป็นกุญแจของจักรวาล’ อาแก่บอก ‘ช่องทางในการสื่อสารกับสิ่งที่อยู่เหนือเรา’
ชาลีหันไปยังพ่อซึ่งส่ายหน้ากับตัวเอง กอดอกก้มหน้า กระดิกเท้าไปพลาง
‘สิ่งที่อยู่เหนือเราคืออะไรครับ’ ชาลีพูดขึ้นขณะอาแก่กางผ้าสีม่วงซึ่งมีสัญลักษณ์ลึกลับจารึกอยู่ทั่ว อาแก่ตอบอย่างทันที ‘พระเจ้า องค์ไหนก็ได้ที่เรารู้สึกถึง หรืออำนาจที่สร้างเราทุกคน หรือเซิฟเวอร์ที่โปรแกรมของเรารันอยู่ อะรก็ตามที่ชาลีเชื่อแล้วสบายใจ’ เขายื่นกองไพ่ใส่มือชาลี เด็กชายมองพ่ออย่างงุนงงว่าต้องทำอะไรกับมัน พ่อทำมือเป็นท่าสับไพ่ และชาลีทำตามอย่างทุลักทุเล เมื่อเสร็จแล้วอาแก่หยิบกองไพ่ลงไปกวาดกับผืนผ้าเป็นรูปครึ่งวงกลมสวยงาม
‘ใช้มือซ้ายเลือกไพ่ทีละใบ’ อาแก่สั่ง ‘นึกถึงสิ่งที่กำลังรอหนูอยู่ในอนาคต’
‘ไกลแค่ไหนครับ’ ชาลีถาม อาแก่ยิ้ม ‘เท่าที่ต้องการเลย’
ชาลียื่นมือหยิบมืออย่างเชื่องช้าเพราะยังเจ็บแปลบ หลับตานึกถึงอนาคตของตัวเอง ภายในนั้นมีภาพมากมายซึ่งชาลีจดจำมาจากโทรทัศน์ สลับปนเปกันไปไม่ได้ใจความ อาแก่ค่อยๆบรรจงวางหกใบแรกคว่ำเป็นรูปไม้กางเขน และอีกสี่ตั้งเป็นเสาด้านขวา อาแก่ถูมืออย่างตื่นเต้นอีกครั้ง ‘พร้อมหรือยังชาลี’ ชาลีพยักหน้า พ่อกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก ‘ครับ’ ชาลีตอบ อาแก่ดึงมือซ้ายของชาลีลงเปิดไพ่ใบแรกซึ่งอยู่ใจกลางไม้กางเขน
‘เพจออฟสวอร์ด’ อาแก่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปชวนจั๊กจี้ ‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนูน้อยชาลีอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กับคุณพ่อผู้น่ารักของเขา หนูน้อยชาลีเป็นเด็กขี้สงสัย กระตือรือร้น ช่างรู้ช่างถาม มากเสียจนพ่อของเขากุมขมับในบางกรณี ชาลีมีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้โลกกว้างด้วยสายตาของเขาเอง...’ ชาลีรู้สึกสนุกกับการเล่าเรื่องของอาแก่ หันไปมองพ่อซึ่งหยิบขวดแก้วขึ้นมาเทผสมกับโซดา สายตามองไปยังโคมไฟหน้ารั้วบ้านอย่างไม่สนใจ
‘ใบที่สอง’ อาแก่หยิบมือชาลีเปิดไพ่ใบที่วางขวางไพ่ใบแรก ‘เดอะไฮพรีทเทส’ อาแก่นั่งนึกเรื่องราวในหัว ‘...ทว่าชาลีน้อยติดอยู่ในวิหารซึ่งในนั้นเขามีหน้าที่ศึกษาคัมภีร์อย่างถ่องแท้ ทว่าจิตใจของชาลียังพะวงไปถึงพระจันทร์เต็มดวง...’ ชาลีหันไปมองท้องฟ้าซึ่งมีพระจันทร์เต็มดวงอย่างตื่นเต้น ‘...สัญชาตญาณบอกเขาว่าคำตอบของทุกสิ่งไม่ได้รอคอยเขาอยู่ในสิ่งที่เป็นคำสอน หากแต่ซ่อนเร้นอยู่ในความลี้ลับเหนือความเข้าใจของผู้คนต่างหาก...’
‘ใบที่สาม เดอะเอ็มเพอเรอร์กลับหัว’ อาแก่ชะงักไปพักหนึ่ง ชาลีรออย่างตื่นเต้นให้เขาเล่าต่อ ‘...วัยเด็กของชาลีตกอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูอันหวงแหนจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดในบางเวลา แต่ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเอาใจใส่...’ อาแก่กระแอม ‘ใบที่สี่ เดอะไฮโรแฟน’ ชาลีมองใบหน้าสงบนิ่งของนักบวชในภาพวาด ‘...เส้นทางแห่งจิตวิญญาณรอชาลีอยู่ในภายภาคหน้า ผู้คนเข้าหาเขาจากสติปัญญา ความพึ่งพาได้ และสัญชาตญาณลึกลับซึ่งเป็นบุคลิกของเขา...’
‘ใบที่ห้า ไนท์ออฟเพนทาเคิลกลับหัว’ อาแก่เล่าต่อ ‘...ชาลีจะเติบโตขึ้นเป็นบุรุษซึ่งที่มุ่งมั่นจะพิชิตทุกภารกิจเพื่อลาภยศสรรเสริญจากประชาชนและพระราชา ทว่าในการเดินทางนั้น ชาลีพบอุปสรรคเป็นความไม่พอใจในเส้นทางสายนั้นจากตัวเขาเอง ด้วยความที่เขายังคงถวิลหาถึงนิมิตซึ่งพระจันทร์ได้สัญญาไว้...’
‘จะให้ผมเล่าต่อไหม’ อาแก่หันไปถามพ่อซึ่งตอนนี้นั่งก้มหน้านิ่งมองแก้วเหล้า ‘หยุดทำไมล่ะ ฟังอยู่’ พ่อตอบ สายตายังคงนิ่งเฉย ‘ใบที่หก เดอะเฮอร์มิต’ ชาลีมองไปยังผู้เฒ่าซึ่งถือตะเกียง นั่นคือเขาในอนาคตหรือ? ‘...ภายในของชาลีต้องการความสงบ เขาไม่ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศ หรือเงินทอง ชาลีตามหาที่ซึ่งปราศจากความวุ่นวาย ที่ซึ่งมีเพียงตะเกียงและไม้เท้าคู่ใจของเขานำทางไปยังที่ที่ใจและสมองของเขามุ่งหมาย...’
‘ใบที่เจ็ด เดอะสเตรงจส์กลับหัว’ ภาพหญิงสาวสวมกอดสิงโตอย่างรักใคร่ทำให้ชาลีแปลกใจ ‘...ในส่วนลึกแล้ว ชาลีกังขาในความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวเองที่จะเอาชนะอุปสรรคในชีวิตได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาจะผ่านพ้นมันไปเพราะเขาเป็นหนูน้อยที่เก่งที่สุดในโลก...’ อาแก่หยิกแก้มเด็กชายจนเขาอดหัวเราะไม่ได้ ‘ใบที่แปด จัสติสกลับหัว’ อาแก่เกาหน้าผาก ‘...และถึงแม้ในบางครั้งโลกทั้งใบอาจไม่ให้ความยุติธรรมกับชาลี แต่ชาลีไม่ใส่ใจเพราะเขาสามารถมอบมันให้กับตัวเองได้ ความมุ่งมั่นและความสามารถจะพาตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ในความยากลำบากนั้น ชาลีจะได้รู้สึกถึงความภาคภูมิใจในการเอาชนะตัวเองและอุปสรรค...’
‘ใบที่เก้า เดอะเอ็มเพรส’ อาแก่พูดต่ออย่างใจเย็น ‘...ความหวังและความกลัวที่ผลักดันการผจญภัยครั้งนี้คือไออุ่นจากหญิงสาวผู้ซึ่งอบอุ่น เอื้อเฟื้อ และสง่างาม เธอคนนี้เป็นดั่งทุกสิ่งในชีวิตเขา ไม่ว่าจะ...’ เสียงแตกกระทบกับโต๊ะดังขึ้นเรียกร้องความสนใจของทั้งสอง ไม่มีเหล้าให้พ่อดื่มอีกต่อไป ‘กลับไปได้แล้ว’ พ่อพูดก่อนจะลุกขึ้นออกจากโต๊ะ ทิ้งเทปนิทานอีสปซึ่งเปรอะไปด้วยเหล้าและเศษแก้ว อาแก่ลูบศีรษะชาลีก่อนจะลุกขึ้นเก็บสัมภาระ ชาลีมองไพ่ใบสุดท้ายซึ่งมีแก้วแปดใบที่เรียงตัวกันเหมือนมีใบหนึ่งหายไป และผู้ชายซึ่งเดินหันหลังไปจากมันไปสู่ภูเขาเบื้องหลังในรูป ชาลีสงสัยว่าชายคนนั้นรู้สึกอย่างไรกับแก้วใบที่หายไป ผิดหวัง สับสน หรือเสียใจ อาแก่หยิบมันรวมกันในสำรับก่อนที่ชาลีจะได้คำตอบ เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงหันหลังเดินออกจากรั้วบ้านไปตามแสงนีออนของเสาไฟฟ้า ทั้งสองไม่ได้พบเจอกันอีกเลยเป็นเวลานาน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ