โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.55K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
97) สาปลมหนาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกลางดึกของคืนหนึ่งมีหิมะร่วงลงมาเบาๆ ทำให้อากาศวันนี้เย็นเฉียบ ฟิโลโซเฟอร์ตื่นแต่เช้า เขาตักน้ำต้มอุ่นๆ ขึ้นล้างหน้าท้องฟ้าสีสลัวๆ ส่งแสงม่นมัวผ่านกระจกหน้าต่าง บนโต๊ะอาหารคาโอเรียนั่งอยู่เพียงลำพัง นางกำลังผสมข้าวโอ๊ตของตัวเอง ไฟจากเตาผิงให้ความอบอุ่นเพียงน้อยนิด
“ เช้านี้อากาศเย็นจังเลย ”
อาเธอร์พูด
หนุ่มใหญ่พึ่งกลับจากโลงนา
ว่าแล้วก็กระทืบเท้าเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน
“ เป็นไงนางฟ้าตัวน้อย ”
เขาว่าพลางโอบไหล่คาโอเรียเข้ามาจูบที่แก้มเบาๆ
ผมของเด็กหญิงเป็นสีทองถักเปียอย่างเรียบร้อย
ผูกปลายด้วยโบว์สีน้ำเงิน
“ นี่ก็ฤดูหนาวอากาศเย็นก็ไม่เห็นจะแปลก ”
คาโลไรน์พูดมาพอได้ยิน
นางยังคงสาละวนกับการเตรียมอาหารเช้า
“ ก็มันเย็นแปลกๆ นี่นา ข้าว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ”
“ อย่างเช่นอะไรล่ะคะ ”
คาโลไรน์ถามผ่านๆ แบบไม่ใส่ใจนัก
นางมีงานมากมายให้ต้องคิดคำนวณ
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาละเด็กๆ รีบกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายนะ ”
อาเธอร์ตอบ
เขาเองก็มีงานวุ่นวายเหมือนกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบ เด็กทั้งสองก็คว้ากระป๋องใส่อาหารและกระเป๋าหนังสือ ออกเดินผ่านทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยละอองหิมะ ฟิโลโซเฟอร์เดินจูงมือน้องสาวไปจนถึงถนนที่ทอดไปสู่ตัวเมือง ไม่นานก็มีรถม้าโดยสารวิ่งผ่านมา เด็กชายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่อยครั้งท้องฟ้ายังอึมครึมแต่ไม่มีท่าทีว่าจะมีฝนหรือหิมะตก ชายหัวล้านผู้มาพร้อมกับม้าฝูงใหญ่เขาเรียกเด็กทั้งสองขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างๆ เขา ทำให้เด็กทั้งสองมองเห็นทิวทัศได้ชัดเจน พวกเขาร่วมทางกันบ่อยจนคุ้นเคยกันแล้ว
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่นอกเมือง เด็กชายชาวซีนาร์ยและน้องสาวต้องอาศัยรถม้าโดยสารไปกลับโรงเรียน แต่ไม่ใช่มีเพียงเขาคนเดียว เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนที่อยู่ในหมู่บ้านแต่ยังต้องไปเรียนในเมือง บางคนตัวโตหน่อยก็จะขี่ม้าไปเอง บางทีถ้าเขาโตกว่านี้อาจจะขี่ม้าเข้าไปในเมืองเองก็ได้
เมื่อรถม้าพาเขาผ่านกำแพงเมือง ทันใดนั้นเหมือนมีเมฆสีดำคลุมลงมาทับทั้งเมืองไว้ อากาศที่เย็นอยู่กลับเย็นลงไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดสลัวเด็กๆ ในโรงเรียนต่างเข้าไปออกันหน้าเตาผิง การเรียนการสอนแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อาจารย์จัดให้เด็กผู้หญิงได้อยู่ใกล้เตาไฟมากที่สุด
ฟีไรล่าหาเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวหนามาใส่ ด้านในปุด้วยสำลีสีขาวหนานุ่ม ทุกคนอยู่ในอาการหนาวเหน็บ มีเพียงดารีลที่ยังยืนนิ่งหลบมุมอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจเตาผิงแม้แต่น้อย สายตาเครียดขรึมของเขาจับจ้องผ่านกระจกหน้าต่างออกไปสู่ท้องฟ้าที่ดำมืด ไม่นำพาแม้ฟิโลโซเฟอร์จะส่งสัญญาณทักทาย และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ พ่อมดน้อยถือคทามาด้วย ซึ่งโดยปรกติแล้ว หากไม่ได้ออกไปนอกเมือง หรือหากไม่มีธุระสำคัญอื่นใด เขามักจะเดินตัวเปล่า
“ นี่ถ้าเป็นแถวไอโอเนีย ข้าคงคิดว่าพายุกำลังตั้งเค้าเลยเชียว ”
ฟีไรล่าบอก
“ ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าโอรีเวียไม่เคยเจอพายุหิมะ แต่ว่าทำไมวันนี้อากาศหนาวเย็นน่ากลัวมาก ”
เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น ฟิโลโวเฟอร์นั่งขยี้จมูกจนเป็นสีแดง หูของเขาก็เย็นเชียบ ที่ซีนาร์ยเข้าเคยได้ยินเรื่องราวของนักเดินทางที่หลงทางในพายุหิมะและส่วนใหญ่คนเหล่านั้นจะพบว่ากลายเป็นศพไปแล้ว แต่เขาเชื่อว่าต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นที่นี่ทุกคนบอกเขาอย่างนี้เสมอ อาจารย์ในวิชาประวัติศาสตร์สั่งให้ทุกคนนำหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
เมื่อเห็นว่าการเรียนการสอนวันนี้คงเป็นไปไม่ได้ จึงมีประกาศก็สั่งให้พักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งวัน เว้นแต่ถ้าอากาศจะไม่ดีขึ้น ก็ให้หยุดการเรียนการสอนไปเรื่อยๆ
ฟิโลโซเฟอร์ยืนรอน้องสาวที่หน้าประตูปราสาท
ไม่กี่อึดใจคาโอเรียก็วิ่งลงมาหา
“ หนาวจะแย่ ”
เด็กหญิงผมทองบ่น
เขาจัดเสื้อคลุมของน้องสาวให้กระชับ
แล้วดึงหมวกผ้าขึ้นคลุมผมให้นาง
“ ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเลยดีไหม ถ้ารอต่อไปข้าเกรงว่าอากาศจะแย่ลงไปอีก ”
คาโอเรียพยักหน้าเห็นด้วยแต่สายตายังมีความกังวล
เขาจึงรวบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
มือข้างหนึ่งก็จูงน้องสาวเดินออกไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเพื่อนๆ
เขาคิดถึงแต่เพียงความอบอุ่นและอาหารอร่อยๆ ที่บ้าน
เด็กทั้งสองเดินออกมาจากบริเวณโรงเรียนเพื่อพบกับท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนสัญจร
ซึ่งมันดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับเมืองที่คับคั่งแห่งนี้
ทั้งที่ตามท้องถนนจะต้องพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง
พวกเขาลงความเห็นว่าหากต้องรอรถม้าเห็นทีจะต้องได้นอนค้างในเมืองเป็นแน่
ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินไปตามถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
ผ่านตึกรามบ้านช่องที่ปิดประตูแน่นหนาเพื่อหลบหนีอากาศสุดวิปริต
สองพี่น้องเร่งฝีเท้าขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
โชคดีที่พบเข้ากับคนในหมู่บ้านนอกกำแพงคนหนึ่ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างกำยำแต่เนื้อตัวสกปรก
คนผู้นั้นอาสาไปส่งเด็กทั้งสอง
แต่ฟิโลโซเฟอร์ให้ส่งแค่หน้าหมู่บ้านนอกกำแพง
เพราะเกวียนเล่มนั้นบรรทุกของเกินพิกัดแล้ว
เขาจึงไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้
พอพวกเขาทั้งหมดก้าวพ้นประตูเมืองแห่งโอรีเวีย
ก็ถูกสายลมพัดกระแทกเข้าอย่างรุนแรง
ทั้งที่ตอนที่อยู่ในเมืองแทบจะไม่รู้สึกถึงมัน
อาจเป็นเพราะมีกำแพงสูงรอบด้านรวมทั้งตึกมากมายบดบังทิศทางลม
หนุ่มคนนั้นชักชวนเด็กทั้งสองให้เข้าไปหลบลมในหมู่บ้านก่อน
แต่ฟิโลโซเฟอร์อยากกลับบ้านทันที
เพราะหากรอช้าไปกว่านี้แล้วมีหิมะตกหนัก
ก็จะเดินทางลำบาก
และพ่อแม่ของพวกเขาจะต้องเป็นห่วง
ที่ลูกๆ ยังกลับไม่ถึงบ้าน
เด็กชายกำมือน้องสาวให้กระชับขึ้นแล้วออกเดินอีกครั้ง
เหมือนทั้งโลกตกอยู่ในความว่างเปล่า
มีเพียงเด็กสองคนเดินอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างที่หนาวเหน็บ
ความมืดคลุมลงมาพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย
ฟิโลโซเฟอร์ดึงหมวกฮู้ดของตังเองลงปิดหน้า
เขารู้สึกถึงสายลมที่เริ่มบาดแก้ม
รอบกายมีแต่ความมืดแสงสว่างหายไปตอนไหนแทบไม่รู้ตัว
เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติเกิดขึ้นแต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังอยู่รอบกาย
สองพี่น้องจากแดนซีนาร์ยก็ได้ยินเสียงหนึ่ง
มันคือเสียงที่เป็นดังฝันร้ายในโลกแห่งความจริง
เคอร์คารอล
คาโอเรียสะดุ้งสุดตัว
ผวาเข้ากอดแขนพี่ชายเอาไว้แน่น
ในใจก็คิดไปถึงมังกรดำว่ามันกำลังโฉบผ่านเหนือหัว
เด็กชายตัวน้อยยืนแข็งทื่อเขาจำที่ดารีลเคยบอกเอาไว้ได้
เสียงมายามันดังก้องแค่ในหัวแต่นี่เขาได้ยินเต็มสองหู
นั่นหมายความว่าปีศาจร้ายนั่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เมื่อตั้งใจฟังให้ดีก็ต้องใจหายวาบ
ทิศทางของเสียงมันมาจากปราสาทขาว
ตามปรกติแล้วเคอร์คารอลจะบินโฉบผ่านพลางส่งเสียงร้อง
แต่นี่มันคำรามลั่นสนั่นหวั่นไหว
และไม่ไปจากจุดเดิม
เจ้าปีศาจนั่นกำลังทำอะไรกันแน่
ฟิโลโซเฟอร์นึกภาพอย่างสยองขวัญ
เขาเป็นห่วงฟีไลร่า
แต่นางอยู่ในปราสาทที่แข็งแกร่ง
โลธอร์กับอีเลียสสองคนนั้นสามารถปกป้องนางได้อย่างแน่นอน
แล้วเขาก็คิดถึงดารีลขึ้นมา
ด้วยหัวใจอันหนาวเยือกแทบจับแข็ง
เจ้าบ้าคนนั้นไม่มีทางหลบอยู่ในปราสาทแน่
เด็กน้อยอยากกลับหลังหัน
แล้ววิ่งไปยังปราสาทขาวในทันที
แต่เขารู้ว่าตอนนี้คาโอเรียอยู่ในมือของเขา
น้องสาวเพียงคนเดียวที่เขาจำเป็นต้องส่งให้ถึงบ้านอย่างปรอดภัย
แม้จะเป็นห่วงดารีลใจแทบขาด
เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
“ มาเถอะ ”
เขากระซิบบอกนาง
“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่ เป้าหมายของมันไม่ใช่เรา รีบกลับบ้านกันก่อนที่จะสายไปกว่านี้ ”
“ เช้านี้อากาศเย็นจังเลย ”
อาเธอร์พูด
หนุ่มใหญ่พึ่งกลับจากโลงนา
ว่าแล้วก็กระทืบเท้าเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน
“ เป็นไงนางฟ้าตัวน้อย ”
เขาว่าพลางโอบไหล่คาโอเรียเข้ามาจูบที่แก้มเบาๆ
ผมของเด็กหญิงเป็นสีทองถักเปียอย่างเรียบร้อย
ผูกปลายด้วยโบว์สีน้ำเงิน
“ นี่ก็ฤดูหนาวอากาศเย็นก็ไม่เห็นจะแปลก ”
คาโลไรน์พูดมาพอได้ยิน
นางยังคงสาละวนกับการเตรียมอาหารเช้า
“ ก็มันเย็นแปลกๆ นี่นา ข้าว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ”
“ อย่างเช่นอะไรล่ะคะ ”
คาโลไรน์ถามผ่านๆ แบบไม่ใส่ใจนัก
นางมีงานมากมายให้ต้องคิดคำนวณ
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาละเด็กๆ รีบกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายนะ ”
อาเธอร์ตอบ
เขาเองก็มีงานวุ่นวายเหมือนกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบ เด็กทั้งสองก็คว้ากระป๋องใส่อาหารและกระเป๋าหนังสือ ออกเดินผ่านทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยละอองหิมะ ฟิโลโซเฟอร์เดินจูงมือน้องสาวไปจนถึงถนนที่ทอดไปสู่ตัวเมือง ไม่นานก็มีรถม้าโดยสารวิ่งผ่านมา เด็กชายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่อยครั้งท้องฟ้ายังอึมครึมแต่ไม่มีท่าทีว่าจะมีฝนหรือหิมะตก ชายหัวล้านผู้มาพร้อมกับม้าฝูงใหญ่เขาเรียกเด็กทั้งสองขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างๆ เขา ทำให้เด็กทั้งสองมองเห็นทิวทัศได้ชัดเจน พวกเขาร่วมทางกันบ่อยจนคุ้นเคยกันแล้ว
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่นอกเมือง เด็กชายชาวซีนาร์ยและน้องสาวต้องอาศัยรถม้าโดยสารไปกลับโรงเรียน แต่ไม่ใช่มีเพียงเขาคนเดียว เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนที่อยู่ในหมู่บ้านแต่ยังต้องไปเรียนในเมือง บางคนตัวโตหน่อยก็จะขี่ม้าไปเอง บางทีถ้าเขาโตกว่านี้อาจจะขี่ม้าเข้าไปในเมืองเองก็ได้
เมื่อรถม้าพาเขาผ่านกำแพงเมือง ทันใดนั้นเหมือนมีเมฆสีดำคลุมลงมาทับทั้งเมืองไว้ อากาศที่เย็นอยู่กลับเย็นลงไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดสลัวเด็กๆ ในโรงเรียนต่างเข้าไปออกันหน้าเตาผิง การเรียนการสอนแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อาจารย์จัดให้เด็กผู้หญิงได้อยู่ใกล้เตาไฟมากที่สุด
ฟีไรล่าหาเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวหนามาใส่ ด้านในปุด้วยสำลีสีขาวหนานุ่ม ทุกคนอยู่ในอาการหนาวเหน็บ มีเพียงดารีลที่ยังยืนนิ่งหลบมุมอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจเตาผิงแม้แต่น้อย สายตาเครียดขรึมของเขาจับจ้องผ่านกระจกหน้าต่างออกไปสู่ท้องฟ้าที่ดำมืด ไม่นำพาแม้ฟิโลโซเฟอร์จะส่งสัญญาณทักทาย และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ พ่อมดน้อยถือคทามาด้วย ซึ่งโดยปรกติแล้ว หากไม่ได้ออกไปนอกเมือง หรือหากไม่มีธุระสำคัญอื่นใด เขามักจะเดินตัวเปล่า
“ นี่ถ้าเป็นแถวไอโอเนีย ข้าคงคิดว่าพายุกำลังตั้งเค้าเลยเชียว ”
ฟีไรล่าบอก
“ ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าโอรีเวียไม่เคยเจอพายุหิมะ แต่ว่าทำไมวันนี้อากาศหนาวเย็นน่ากลัวมาก ”
เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น ฟิโลโวเฟอร์นั่งขยี้จมูกจนเป็นสีแดง หูของเขาก็เย็นเชียบ ที่ซีนาร์ยเข้าเคยได้ยินเรื่องราวของนักเดินทางที่หลงทางในพายุหิมะและส่วนใหญ่คนเหล่านั้นจะพบว่ากลายเป็นศพไปแล้ว แต่เขาเชื่อว่าต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นที่นี่ทุกคนบอกเขาอย่างนี้เสมอ อาจารย์ในวิชาประวัติศาสตร์สั่งให้ทุกคนนำหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา
เมื่อเห็นว่าการเรียนการสอนวันนี้คงเป็นไปไม่ได้ จึงมีประกาศก็สั่งให้พักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งวัน เว้นแต่ถ้าอากาศจะไม่ดีขึ้น ก็ให้หยุดการเรียนการสอนไปเรื่อยๆ
ฟิโลโซเฟอร์ยืนรอน้องสาวที่หน้าประตูปราสาท
ไม่กี่อึดใจคาโอเรียก็วิ่งลงมาหา
“ หนาวจะแย่ ”
เด็กหญิงผมทองบ่น
เขาจัดเสื้อคลุมของน้องสาวให้กระชับ
แล้วดึงหมวกผ้าขึ้นคลุมผมให้นาง
“ ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเลยดีไหม ถ้ารอต่อไปข้าเกรงว่าอากาศจะแย่ลงไปอีก ”
คาโอเรียพยักหน้าเห็นด้วยแต่สายตายังมีความกังวล
เขาจึงรวบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
มือข้างหนึ่งก็จูงน้องสาวเดินออกไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเพื่อนๆ
เขาคิดถึงแต่เพียงความอบอุ่นและอาหารอร่อยๆ ที่บ้าน
เด็กทั้งสองเดินออกมาจากบริเวณโรงเรียนเพื่อพบกับท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนสัญจร
ซึ่งมันดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับเมืองที่คับคั่งแห่งนี้
ทั้งที่ตามท้องถนนจะต้องพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง
พวกเขาลงความเห็นว่าหากต้องรอรถม้าเห็นทีจะต้องได้นอนค้างในเมืองเป็นแน่
ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินไปตามถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
ผ่านตึกรามบ้านช่องที่ปิดประตูแน่นหนาเพื่อหลบหนีอากาศสุดวิปริต
สองพี่น้องเร่งฝีเท้าขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
โชคดีที่พบเข้ากับคนในหมู่บ้านนอกกำแพงคนหนึ่ง
เขาเป็นชายหนุ่มร่างกำยำแต่เนื้อตัวสกปรก
คนผู้นั้นอาสาไปส่งเด็กทั้งสอง
แต่ฟิโลโซเฟอร์ให้ส่งแค่หน้าหมู่บ้านนอกกำแพง
เพราะเกวียนเล่มนั้นบรรทุกของเกินพิกัดแล้ว
เขาจึงไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้
พอพวกเขาทั้งหมดก้าวพ้นประตูเมืองแห่งโอรีเวีย
ก็ถูกสายลมพัดกระแทกเข้าอย่างรุนแรง
ทั้งที่ตอนที่อยู่ในเมืองแทบจะไม่รู้สึกถึงมัน
อาจเป็นเพราะมีกำแพงสูงรอบด้านรวมทั้งตึกมากมายบดบังทิศทางลม
หนุ่มคนนั้นชักชวนเด็กทั้งสองให้เข้าไปหลบลมในหมู่บ้านก่อน
แต่ฟิโลโซเฟอร์อยากกลับบ้านทันที
เพราะหากรอช้าไปกว่านี้แล้วมีหิมะตกหนัก
ก็จะเดินทางลำบาก
และพ่อแม่ของพวกเขาจะต้องเป็นห่วง
ที่ลูกๆ ยังกลับไม่ถึงบ้าน
เด็กชายกำมือน้องสาวให้กระชับขึ้นแล้วออกเดินอีกครั้ง
เหมือนทั้งโลกตกอยู่ในความว่างเปล่า
มีเพียงเด็กสองคนเดินอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างที่หนาวเหน็บ
ความมืดคลุมลงมาพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย
ฟิโลโซเฟอร์ดึงหมวกฮู้ดของตังเองลงปิดหน้า
เขารู้สึกถึงสายลมที่เริ่มบาดแก้ม
รอบกายมีแต่ความมืดแสงสว่างหายไปตอนไหนแทบไม่รู้ตัว
เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติเกิดขึ้นแต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังอยู่รอบกาย
สองพี่น้องจากแดนซีนาร์ยก็ได้ยินเสียงหนึ่ง
มันคือเสียงที่เป็นดังฝันร้ายในโลกแห่งความจริง
เคอร์คารอล
คาโอเรียสะดุ้งสุดตัว
ผวาเข้ากอดแขนพี่ชายเอาไว้แน่น
ในใจก็คิดไปถึงมังกรดำว่ามันกำลังโฉบผ่านเหนือหัว
เด็กชายตัวน้อยยืนแข็งทื่อเขาจำที่ดารีลเคยบอกเอาไว้ได้
เสียงมายามันดังก้องแค่ในหัวแต่นี่เขาได้ยินเต็มสองหู
นั่นหมายความว่าปีศาจร้ายนั่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เมื่อตั้งใจฟังให้ดีก็ต้องใจหายวาบ
ทิศทางของเสียงมันมาจากปราสาทขาว
ตามปรกติแล้วเคอร์คารอลจะบินโฉบผ่านพลางส่งเสียงร้อง
แต่นี่มันคำรามลั่นสนั่นหวั่นไหว
และไม่ไปจากจุดเดิม
เจ้าปีศาจนั่นกำลังทำอะไรกันแน่
ฟิโลโซเฟอร์นึกภาพอย่างสยองขวัญ
เขาเป็นห่วงฟีไลร่า
แต่นางอยู่ในปราสาทที่แข็งแกร่ง
โลธอร์กับอีเลียสสองคนนั้นสามารถปกป้องนางได้อย่างแน่นอน
แล้วเขาก็คิดถึงดารีลขึ้นมา
ด้วยหัวใจอันหนาวเยือกแทบจับแข็ง
เจ้าบ้าคนนั้นไม่มีทางหลบอยู่ในปราสาทแน่
เด็กน้อยอยากกลับหลังหัน
แล้ววิ่งไปยังปราสาทขาวในทันที
แต่เขารู้ว่าตอนนี้คาโอเรียอยู่ในมือของเขา
น้องสาวเพียงคนเดียวที่เขาจำเป็นต้องส่งให้ถึงบ้านอย่างปรอดภัย
แม้จะเป็นห่วงดารีลใจแทบขาด
เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
“ มาเถอะ ”
เขากระซิบบอกนาง
“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่ เป้าหมายของมันไม่ใช่เรา รีบกลับบ้านกันก่อนที่จะสายไปกว่านี้ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ