โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

98) พวกเราจะต้องกลับไปด้วยกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สายลมแรงที่พุ่งเข้ามาประทะทำให้การเดินเท้าเป็นไปอย่างยากลำบาก   ความมืดที่ครอบคลุมกับกลุ่มหิมะที่หมุนคว้างนั้นตอกย้ำให้ยอมรับว่า   พวกเขากำลังฝ่าอยู่ท่ามกลางพายุ   ตอนนี้ฟิโลโซเฟอร์ต้องหาทางกลับบ้านในความมืดแล้ว   เขาไม่อาจมั่นใจในทิศทางได้เลย   ทั้งหมดที่ทำได้คือเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้   ด้วยสายลมที่พัดกระหน่ำมันสามารถพาพวกเขาออกนอกเส้นทางได้เสมอ   เด็กชายได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่หลงทาง   ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเดินท่องไปเรื่อยๆ ในความมืด   จนกว่าจะแข็งตาย

 

เด็กทั้งสองเดินเบียดกันไปทั้งๆ ที่ร่างกายเริ่มเหนื่อยอ่อน   คนเป็นพี่พยายามมองหาแสงไฟ   แต่สิ่งที่เขาพบมีแต่ความมืด   และเสียงสายลมครางหวีดหวิวอยู่รอบๆ ตัว

 

“ เร็วเข้าคาโอเรียอีกเดี๋ยวเราก็ถึงบ้านแล้ว ”

 

เขาพยายามปลอบน้องสาว

พวกเขายังมุ่งหน้าเดินต่อไปเสื้อผ้าที่ลู่ลงแนบตัว

เริ่มจับเป็นน้ำแข็งจมูกของเขาเย็นเฉียบ

 

“ ข้าหนาว ”

 

นางตอบมาด้วยเสียงอันสั่นระริก

 

“ มาเถอะน่า   อีกไม่ไกลแล้ว ”

 

เขาพึมพำเหมือนจะปลอบใจตัวเองไปด้วย   มือของเขาแทบจะไม่มีความรู้สึก   แต่เขารู้ว่าจะหยุดเดินไม่ได้เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาแข็งตาย   ฟิโลโซเฟอร์ไม่กล้ายอมรับความจริงที่ว่า   เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังเดินไปในทิศทางใด   ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่ไม่ยอมไปหลบพักในบ้านตึกที่ในเมือง   อยู่ในนั้นอาจจะหิวแต่คงไม่หนาวจนแทบแข็งตายอย่างนี้  พวกเขาเดินจนเหนื่อยหรืออาจจะเป็นเพราะความง่วง   จึงได้ยินเสียงสายลมกระซิบอยู่ข้างหูบางครั้งเสียงก็เงียบลง   บางครั้งเสียงร้องกรีดแหลมน่าสยองก็ดังแทรกเข้ามาจนเด็กชายสะดุ้งตื่น  

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ไหนขณะนี้กำลังฝันหรือตื่นอยู่   ลองกระตุกข้อมืออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคาโอเรียยังไม่ไปไหน   มันคงไม่ใช่พายุหิมะจริงๆ หรอก   ฟิโลโซเฟอร์พยายามบอกกับตัวเองมันก็แค่วันที่มีหิมะตกเท่านั้นเอง  

 

เขานึกไปถึงนิทานพื้นบ้านที่คาโอเรียเคยเล่าให้ฟัง   เจ้าหญิงแสนงามผู้สูญเสียคนรักยืนเศร้าโศกอยู่เพียงลำพังท่ามกลางหิมะขาวโพลน   รอให้ผู้คนที่พลัดหลงมาเข้าไปปลอบโยน   แล้วนางก็จะทำให้คนเหล่านั้นแข็งตาย   ก่อนจะจากไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ร่างกายของเขาชะงักกึกเหมือนมีใครฉุดกระชากไว้   วูบหนึ่งเขานึกถึงหญิงสาวในชุดขาวดุจหิมะยื่นกรงเล็บมาดึงตัวเขาไว้   พอตั้งสติได้เขาก็นึกถึงน้องสาว   เป็นเพราะนางนั่นเอง   เด็กหญิงได้หยุดเดินไปแล้ว

 

“ เดินต่อเถอะคาโอเรีย   อย่าเพิ่งหยุดเลย   เราใกล้จะถึงบ้านแล้ว ”

 

ฟิโลโซเพอร์กระตุกเตือนให้นางออกเดินต่อ

ซึ่งเด็กหญิงก็ทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก

 

“ ข้าเจ็บเท้าเราพักกันก่อนเถอะ ”

 

คาโอเรียอ้อนวอน

 

“ เราหยุดเดินไม่ได้เจ้าก็รู้   ทนอีกหน่อยน่าเจ้าไม่หิวหรือ   ท่านแม่ต้องทำซุบร้อนๆไว้รอพวกเราแน่เลย ”

 

“ เรามาไกลมากแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้านเสียที   นี่เรากำลังหลงทางหรือเปล่า ”

 

เด็กหญิงถามอย่างหวาดหวั่น

แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่เขาก็รู้ว่านางกำลังกลัวแค่ไหน

 

“ ไม่มีทางเราไม่หลงหรอก   มาเถอะน่าเดินต่อได้แล้ว ”

 

เขาตอบด้วยเสียงที่พยายามจะร่าเริง

แม้พวกเขาจะเร่งฝีเท้าขึ้นแต่ก็เหมือนมีอะไรมาถ่วงไว้

 

ขาแต่ละข้างหนักอึ้งราวกับลูกเหล็ก

พวกเขากัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ

 

 

คาโอเรียรู้แน่แล้วว่าพวกเขากำลังหลงทาง

แต่นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงในแบบที่เวลาตกใจจะต้องมานั่งฟูมฟาย

 

ดังนั้นนางจึงก้มหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ

ไม่ปริปากบ่นอะไร

 

จนในที่สุดคาโอเรียได้ทรุดกายลงกับพื้น

 

“ ไม่เอาน่าคาโอเรียเจ้าจะนั่งไม่ได้ ”

 

“ แต่ข้าเดินไม่ไหวแล้ว   ให้ข้ารออยู่ที่นี่   พี่ชายไปตามท่านพ่อมารับที ”

 

คาโอเรียบอก

 

“ ไม่ได้หรอก   เราต้องไปด้วยกัน   เจ้าก็รู้ว่าข้าปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวที่นี่ไม่ได้ ”

 

“ แต่ข้าไปต่อไม่ไหวแม้แต่ก้าวเดียว ”

 

นางประท้วงแล้วพูดต่อ

 

“ ไม่ต้องห่วงนะข้าจะขุดหิมะ   แล้วเข้าไปซ่อนอยู่ในนั้น   รอจนกว่าเจ้ากับท่านพ่อจะมารับ   ข้าน่ะแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืนจ้องน้องสาว

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องแบกเจ้าแล้ว ”

 

เด็กชายย่อตัวลงเพื่อให้น้องสาวแขนโอบรอบคอ

 

“พี่ชายแบกข้าไม่ไหวหรอก   ข้าไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ แล้วนะ ”

 

“ เงียบไปเลยน่า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

เขากัดฟันแบกนางขึ้นหลังจนได้แล้วออกเดินทีละก้าว

 

เมื่อเขาเป็นคนพานางมาเขาจะต้องเป็นคนพานางกลับ

ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นความผิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว 

 

เด็กชายเดินหน้าต่อไปอย่างไร้จุดหมาย

รู้เพียงแต่ว่าต้องเดินไปเรื่อยๆ เท่านั้น 

 

เมื่อใดที่รู้สึกว่ามือของคาโอเรียที่รัดอยู่รอบคอเริ่มคลายออกเขาก็เขย่านางแรงๆ

 

“ อย่าหลับไปเชียวนะเจ้าได้ยินข้าหรือเปล่า ”

 

“ ไม่หรอกข้ายังไม่หลับ ”

 

คาโอเรียตอบเสียงอู้อี้

 

ฟิโลโซเฟอร์จำเป็นต้องปลุกนางทุกครั้งที่คิดว่านางจะหลับ

แต่น้องสาวของเขาก็ตอบสนองเพียงน้อยนิดเท่านั้น

 

“ เจ้าจะหลับไม่ได้นะ ”

 

เด็กชายพูดอย่างร้อนใจ

เขาเองก็เหนื่อยทั้งหนัก

แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

เด็กทั้งสองมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ในความมืดที่หนาวเหน็บ

 

“ ฟิโลโซเฟอร์ ”

 

เด็กหญิงเรียกพี่ชายเบาๆ

 

“ อะไร   อย่าบอกนะว่ากำลังปวดฉี่ ”

 

เด็กน้อยยังมีอารมณ์แหย่น้องสาวเล่น

คาโอเรียอยากหัวเราะแต่ทำได้แค่ยิ้มบางๆ

เพราะนางก็เหนื่อยอ่อนจนสุดจะทนแล้ว

 

“ วางข้าลงเถอะ ”

 

“ หา   อะไรนี่เจ้าปวดฉี่จริงๆ หรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์หยุดเดินพลางนึกขำน้องสาวตัวแสบ

 

“ บ้าจริง ”

 

คนเป็นน้องบ่น

 

“ แต่ช่างเถอะ   เอาเป็นว่าวางข้าลงแล้วเจ้าก็ไปเสีย ”

 

“ ยังไง   ข้าไม่เข้าใจ ”

 

เด็กชายยืนงงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยน้องสาวลง

 

“ นี่ฟังนะ   ต้องมีคนหนึ่งกลับบ้านให้ได้   ถ้าเจ้ายังขืนแบกข้าต่อไปจะไม่มีใครไปถึง   ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องเสียใจมากที่พวกเราหายไปทั้งคู่   ดังนั้นจงไปเสียตั้งแต่ตอนนี้   ข้าจะไม่โทษเจ้าแม้แต่น้อย ”  

 

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับตะลึง

 

“ ทำแบบนั้นแล้ว   ข้าจะตอบคำถามทุกคนว่าอย่างไร   โรเซนฝากเจ้าไว้กับข้าหมอนั่นเอาข้าตายแน่ ”

 

“ จะไม่มีใครตำหนิเจ้าได้สำหรับเรื่องนี้   ข้ารับรองได้   ทุกคนต้องดีใจเมื่อเห็นหน้าเจ้า   แต่หากเจ้าไม่สามารถกลับไป   แบบนั้นสิที่ทุกคนจะเสียใจอย่างแท้จริง   นี่เป็นทางเลือกเดียวพี่ชายเป็นความหวังเดียวของข้าแล้ว   จงหาทางกลับบ้านให้ได้   อย่าให้ใครต้องเสียใจมากไปกว่านี้เลย ”

 

คาโอเรียบอก

 

“ เหลวไหล   โตป่านนี้แล้วยังเฟ้อเจ้อไม่เลิก   พวกผู้หญิงนี่นะน่าเบื่อชะมัด ” 

 

เด็กชายกระแทกเสียง

แล้วออกเดินย่ำต่อไปโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของนาง

 

เด็กหญิงตัวน้อยก้มหน้าลงบนบ่าของพี่ชาย

รู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด

 

“ อย่าเงียบคาโอเรีย   เล่านิทานให้ข้าฟังหน่อย ”  

 

ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงดุ

เขาไม่อยากให้คาโอเรียเผลอหลับไป

เพราะนั่นหมายถึงลมหายใจของนางก็จะหยุดลงด้วย

 

เด็กหญิงส่งเสียงพึมพำเบาๆ แล้วเงียบลงไปอีก

 

“ คาโอเรีย ”

 

คนเป็นพี่เริ่มเขย่านางอีก

 

“ คาโอเรียอย่าหลับไปนะ”

 

เด็กชายเริ่มตระหนก

 

“ ข้ารู้แล้ว ”

 

นางตอบมาเสียงแผ่วๆ

 

“ ข้าไม่หลับหรอกเราจะกลับบ้านด้วยกัน ”

 

นางพูดพลางยิ้มที่มุมปาก

 

ฟิโลโซเฟอร์ยังคงย่ำเท่าต่อไปเรื่อยๆ แม้จะเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ

 

“ หนาวหรือเปล่าคาโอเรีย ”

 

เด็กชายถามอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่านางปล่อยให้มือตกห้อยตกลงมา

 

“ อย่าหลับนะได้โปรด ”

 

เขาเขย่าตัวนางแรงๆ

แต่นางไม่ตอบสนองเขาแล้ว

 

“ นั่นไงคาโอเรีย   ข้าเห็นแสงไฟแล้ว   ที่นั่นต้องเป็นตะเกียงของท่านแม่แน่เลย ”

 

เขาพยายามหลอกล่ออย่างสิ้นหวัง

 

“ ไม่นะคาโอเรีย   เจ้าจะหลับไม่ได้   ได้ยินหรือเปล่า ”

 

เหมือนโลกหยุดหมุน

ทุกอย่างเงียบกริบดังถูกแช่ไว้อย่างนั้น

สายลมหวีดหวิวที่พัดกรีดอยู่รอบด้านไม่อาจสะเทือนถึงเขาได้อีก

 

สติรับรู้ทั้งปวงได้ดับสูญ

มีก้อนแข็งๆ พุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอทำให้หายใจลำบาก

หัวใจก็เจ็บแปลบจนสุดจะทน

 

เขาไม่อาจเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ได้

มันต้องเป็นความฝัน

ไม่มีทางเป็นเรื่องจริง

 

ฟิโลโซเฟอร์ช้อนร่างที่ปวกเปียกของนางไว้ 

แล้วเริ่มออกวิ่งแม้ต้องเหนื่อยแทบขาดใจเขาก็จะวิ่ง  

จนกว่าพายุร้ายนี้จะผ่านพ้นไป  

 

เขาไม่รับรู้ถึงร่างกายที่เหนื่อยอ่อนหรือสายลมที่บาดข้างแก้ม 

เด็กชายวิ่งฝ่าพายุอย่างคนหมดสิ้นหนทาง

 

แล้วเขาก็ล้มคว่ำลงเพราะชนเข้ากับอะไรบางอย่าง

ร่างเขาแทบจมลงในกองหิมะหนานุ่ม

ฟิโลโซเฟอร์ยื่นมือไขว่คว้าไปข้างหน้าเพื่อหาว่าตัวเองชนเข้ากับอะไร

 

เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็รู้แล้วว่านี่คือรัวไม้สีขาวตรงหน้าบ้านของเขานี่เอง 

เด็กชายตะกายลุกขึ้นความดีใจพลุ่งพล่าน

 

“ คาโอเรียลุกขึ้นเรามาถึงบ้านแล้ว   เจ้าจะหมดแรงสู้เอาแบบนี้ไม่ได้   ข้าไม่ยอมหรอก ”

 

เขาฉุดน้องสาวอย่างแรง

 

“ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้   นี่บ้านของเราไงล่ะ   พวกเรามาถึงแล้ว   เจ้าเด็กบ้าลืมตาขึ้นเดี๋ยวนี้ ”

 

เขากึ่งลากกึ่งพยุงนางขึ้นมา

 

“ ท่านพ่อท่านแม่พวกเราอยู่ข้างนอก ”

 

เขาตะโกนแข่งสายลมที่โหมอย่างรุนแรง

เมื่อลากน้องสาวไปสุดบันใดหินแล้วก็กระหน่ำทุบกำปั้นลงบนบานประตูโดยไม่กลัวว่ามืออาจจะแตก 

ประตูเปิดผางออกแทบจะทันที

 

“ ดูน้องด้วยฮะ ”

 

เด็กชายพูดได้เท่านั้นก็ทรุดลงหมดสติไป

จึงไม่มีโอกาสได้ยินเสียงแคโลไรน์ที่กรีดร้องลั่นบ้าน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา