โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

97) สาปลมหนาว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กลางดึกของคืนหนึ่งมีหิมะร่วงลงมาเบาๆ ทำให้อากาศวันนี้เย็นเฉียบ   ฟิโลโซเฟอร์ตื่นแต่เช้า   เขาตักน้ำต้มอุ่นๆ ขึ้นล้างหน้าท้องฟ้าสีสลัวๆ ส่งแสงม่นมัวผ่านกระจกหน้าต่าง   บนโต๊ะอาหารคาโอเรียนั่งอยู่เพียงลำพัง   นางกำลังผสมข้าวโอ๊ตของตัวเอง   ไฟจากเตาผิงให้ความอบอุ่นเพียงน้อยนิด

 

“ เช้านี้อากาศเย็นจังเลย ”

 

อาเธอร์พูด

หนุ่มใหญ่พึ่งกลับจากโลงนา

ว่าแล้วก็กระทืบเท้าเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน

 

“ เป็นไงนางฟ้าตัวน้อย ”

 

เขาว่าพลางโอบไหล่คาโอเรียเข้ามาจูบที่แก้มเบาๆ

ผมของเด็กหญิงเป็นสีทองถักเปียอย่างเรียบร้อย

ผูกปลายด้วยโบว์สีน้ำเงิน

 

“ นี่ก็ฤดูหนาวอากาศเย็นก็ไม่เห็นจะแปลก ”

 

คาโลไรน์พูดมาพอได้ยิน

นางยังคงสาละวนกับการเตรียมอาหารเช้า

 

“ ก็มันเย็นแปลกๆ นี่นา   ข้าว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ”

 

“ อย่างเช่นอะไรล่ะคะ ”

 

คาโลไรน์ถามผ่านๆ แบบไม่ใส่ใจนัก

นางมีงานมากมายให้ต้องคิดคำนวณ

 

“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน   เอาละเด็กๆ รีบกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายนะ ”

 

อาเธอร์ตอบ

เขาเองก็มีงานวุ่นวายเหมือนกัน

 

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบ   เด็กทั้งสองก็คว้ากระป๋องใส่อาหารและกระเป๋าหนังสือ   ออกเดินผ่านทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยละอองหิมะ   ฟิโลโซเฟอร์เดินจูงมือน้องสาวไปจนถึงถนนที่ทอดไปสู่ตัวเมือง   ไม่นานก็มีรถม้าโดยสารวิ่งผ่านมา   เด็กชายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่อยครั้งท้องฟ้ายังอึมครึมแต่ไม่มีท่าทีว่าจะมีฝนหรือหิมะตก   ชายหัวล้านผู้มาพร้อมกับม้าฝูงใหญ่เขาเรียกเด็กทั้งสองขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างๆ เขา   ทำให้เด็กทั้งสองมองเห็นทิวทัศได้ชัดเจน   พวกเขาร่วมทางกันบ่อยจนคุ้นเคยกันแล้ว 

 

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่นอกเมือง   เด็กชายชาวซีนาร์ยและน้องสาวต้องอาศัยรถม้าโดยสารไปกลับโรงเรียน   แต่ไม่ใช่มีเพียงเขาคนเดียว   เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนที่อยู่ในหมู่บ้านแต่ยังต้องไปเรียนในเมือง   บางคนตัวโตหน่อยก็จะขี่ม้าไปเอง   บางทีถ้าเขาโตกว่านี้อาจจะขี่ม้าเข้าไปในเมืองเองก็ได้  

 

เมื่อรถม้าพาเขาผ่านกำแพงเมือง   ทันใดนั้นเหมือนมีเมฆสีดำคลุมลงมาทับทั้งเมืองไว้   อากาศที่เย็นอยู่กลับเย็นลงไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดสลัวเด็กๆ ในโรงเรียนต่างเข้าไปออกันหน้าเตาผิง   การเรียนการสอนแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย   อาจารย์จัดให้เด็กผู้หญิงได้อยู่ใกล้เตาไฟมากที่สุด 

 

ฟีไรล่าหาเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวหนามาใส่   ด้านในปุด้วยสำลีสีขาวหนานุ่ม   ทุกคนอยู่ในอาการหนาวเหน็บ   มีเพียงดารีลที่ยังยืนนิ่งหลบมุมอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจเตาผิงแม้แต่น้อย   สายตาเครียดขรึมของเขาจับจ้องผ่านกระจกหน้าต่างออกไปสู่ท้องฟ้าที่ดำมืด   ไม่นำพาแม้ฟิโลโซเฟอร์จะส่งสัญญาณทักทาย   และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ   พ่อมดน้อยถือคทามาด้วย   ซึ่งโดยปรกติแล้ว   หากไม่ได้ออกไปนอกเมือง   หรือหากไม่มีธุระสำคัญอื่นใด   เขามักจะเดินตัวเปล่า

 

“ นี่ถ้าเป็นแถวไอโอเนีย   ข้าคงคิดว่าพายุกำลังตั้งเค้าเลยเชียว ”

 

ฟีไรล่าบอก

 

“ ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าโอรีเวียไม่เคยเจอพายุหิมะ   แต่ว่าทำไมวันนี้อากาศหนาวเย็นน่ากลัวมาก ”

 

เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น   ฟิโลโวเฟอร์นั่งขยี้จมูกจนเป็นสีแดง   หูของเขาก็เย็นเชียบ   ที่ซีนาร์ยเข้าเคยได้ยินเรื่องราวของนักเดินทางที่หลงทางในพายุหิมะและส่วนใหญ่คนเหล่านั้นจะพบว่ากลายเป็นศพไปแล้ว   แต่เขาเชื่อว่าต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นที่นี่ทุกคนบอกเขาอย่างนี้เสมอ   อาจารย์ในวิชาประวัติศาสตร์สั่งให้ทุกคนนำหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา  

 

เมื่อเห็นว่าการเรียนการสอนวันนี้คงเป็นไปไม่ได้   จึงมีประกาศก็สั่งให้พักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งวัน   เว้นแต่ถ้าอากาศจะไม่ดีขึ้น   ก็ให้หยุดการเรียนการสอนไปเรื่อยๆ   

 

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืนรอน้องสาวที่หน้าประตูปราสาท

ไม่กี่อึดใจคาโอเรียก็วิ่งลงมาหา

 

“ หนาวจะแย่ ”

 

เด็กหญิงผมทองบ่น

 

เขาจัดเสื้อคลุมของน้องสาวให้กระชับ

แล้วดึงหมวกผ้าขึ้นคลุมผมให้นาง

 

“ ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเลยดีไหม   ถ้ารอต่อไปข้าเกรงว่าอากาศจะแย่ลงไปอีก ”

 

คาโอเรียพยักหน้าเห็นด้วยแต่สายตายังมีความกังวล

เขาจึงรวบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า

มือข้างหนึ่งก็จูงน้องสาวเดินออกไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเพื่อนๆ

เขาคิดถึงแต่เพียงความอบอุ่นและอาหารอร่อยๆ ที่บ้าน 

 

เด็กทั้งสองเดินออกมาจากบริเวณโรงเรียนเพื่อพบกับท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนสัญจร

ซึ่งมันดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับเมืองที่คับคั่งแห่งนี้ 

ทั้งที่ตามท้องถนนจะต้องพลุกพล่านไปด้วยผู้คน

แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง

 

พวกเขาลงความเห็นว่าหากต้องรอรถม้าเห็นทีจะต้องได้นอนค้างในเมืองเป็นแน่ 

ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินไปตามถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน

ผ่านตึกรามบ้านช่องที่ปิดประตูแน่นหนาเพื่อหลบหนีอากาศสุดวิปริต 

 

สองพี่น้องเร่งฝีเท้าขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ

โชคดีที่พบเข้ากับคนในหมู่บ้านนอกกำแพงคนหนึ่ง

เขาเป็นชายหนุ่มร่างกำยำแต่เนื้อตัวสกปรก

 

คนผู้นั้นอาสาไปส่งเด็กทั้งสอง

แต่ฟิโลโซเฟอร์ให้ส่งแค่หน้าหมู่บ้านนอกกำแพง

เพราะเกวียนเล่มนั้นบรรทุกของเกินพิกัดแล้ว

 

เขาจึงไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้

พอพวกเขาทั้งหมดก้าวพ้นประตูเมืองแห่งโอรีเวีย

ก็ถูกสายลมพัดกระแทกเข้าอย่างรุนแรง

 

ทั้งที่ตอนที่อยู่ในเมืองแทบจะไม่รู้สึกถึงมัน

อาจเป็นเพราะมีกำแพงสูงรอบด้านรวมทั้งตึกมากมายบดบังทิศทางลม

หนุ่มคนนั้นชักชวนเด็กทั้งสองให้เข้าไปหลบลมในหมู่บ้านก่อน

 

แต่ฟิโลโซเฟอร์อยากกลับบ้านทันที

เพราะหากรอช้าไปกว่านี้แล้วมีหิมะตกหนัก

ก็จะเดินทางลำบาก

 

และพ่อแม่ของพวกเขาจะต้องเป็นห่วง

ที่ลูกๆ ยังกลับไม่ถึงบ้าน

 

 เด็กชายกำมือน้องสาวให้กระชับขึ้นแล้วออกเดินอีกครั้ง

เหมือนทั้งโลกตกอยู่ในความว่างเปล่า

มีเพียงเด็กสองคนเดินอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างที่หนาวเหน็บ 

ความมืดคลุมลงมาพร้อมกับหิมะที่เริ่มโปรยปราย 

 

ฟิโลโซเฟอร์ดึงหมวกฮู้ดของตังเองลงปิดหน้า

เขารู้สึกถึงสายลมที่เริ่มบาดแก้ม

รอบกายมีแต่ความมืดแสงสว่างหายไปตอนไหนแทบไม่รู้ตัว 

เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติเกิดขึ้นแต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

 

ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังอยู่รอบกาย

สองพี่น้องจากแดนซีนาร์ยก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

มันคือเสียงที่เป็นดังฝันร้ายในโลกแห่งความจริง

เคอร์คารอล

 

คาโอเรียสะดุ้งสุดตัว

ผวาเข้ากอดแขนพี่ชายเอาไว้แน่น

ในใจก็คิดไปถึงมังกรดำว่ามันกำลังโฉบผ่านเหนือหัว

 

เด็กชายตัวน้อยยืนแข็งทื่อเขาจำที่ดารีลเคยบอกเอาไว้ได้  

เสียงมายามันดังก้องแค่ในหัวแต่นี่เขาได้ยินเต็มสองหู

นั่นหมายความว่าปีศาจร้ายนั่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง

 

เมื่อตั้งใจฟังให้ดีก็ต้องใจหายวาบ

ทิศทางของเสียงมันมาจากปราสาทขาว

 

ตามปรกติแล้วเคอร์คารอลจะบินโฉบผ่านพลางส่งเสียงร้อง

แต่นี่มันคำรามลั่นสนั่นหวั่นไหว

และไม่ไปจากจุดเดิม

 

เจ้าปีศาจนั่นกำลังทำอะไรกันแน่

ฟิโลโซเฟอร์นึกภาพอย่างสยองขวัญ

 

เขาเป็นห่วงฟีไลร่า

แต่นางอยู่ในปราสาทที่แข็งแกร่ง

โลธอร์กับอีเลียสสองคนนั้นสามารถปกป้องนางได้อย่างแน่นอน

 

แล้วเขาก็คิดถึงดารีลขึ้นมา

ด้วยหัวใจอันหนาวเยือกแทบจับแข็ง

เจ้าบ้าคนนั้นไม่มีทางหลบอยู่ในปราสาทแน่

 

เด็กน้อยอยากกลับหลังหัน

แล้ววิ่งไปยังปราสาทขาวในทันที

 

แต่เขารู้ว่าตอนนี้คาโอเรียอยู่ในมือของเขา

น้องสาวเพียงคนเดียวที่เขาจำเป็นต้องส่งให้ถึงบ้านอย่างปรอดภัย

แม้จะเป็นห่วงดารีลใจแทบขาด

เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว

 

“ มาเถอะ ”

 

เขากระซิบบอกนาง

 

“ มันไม่ได้อยู่ที่นี่   เป้าหมายของมันไม่ใช่เรา   รีบกลับบ้านกันก่อนที่จะสายไปกว่านี้ ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา