โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) วันเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอาเธอร์ติดโคลงประทุนเข้ากับตัวเกวียนอย่างแน่นหนา ฟิโลโซเฟอร์ช่วยเขาตรึงผ้าอาบน้ำมันบนหลังคาเกวียนเพื่อกันแดดกันฝน ของใช้บางอย่างเริ่มทยอยขึ้นไปอยู่บนนั้น
คาโลไรน์จัดเรียงเสบียงสำหรับการเดินทางไว้ด้านในด้วยความระมัดระวัง แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับการขนของเล่นของคาโอเรียออกไป เด็กหญิงพยายามขนสมบัติทุกชิ้นของนางไปด้วย อาเธอร์ต้องให้คำรับรองว่าจะหาให้ใหม่หลังจากไปถึงโอรีเวียแล้วนางจึงยอมหยุด แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมหยิบหินวิเศษของพ่อมดใส่กระเป๋าไปด้วย ก่อนตะวันตกดินเกวียนเล่มนั้นก็อยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง
อาเธอร์จูงแม่วัวสีแดงไปมอบให้กับมารดาของคาโลไรน์ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขานัก วัวตัวนี่เขาได้รับเป็นของขวัญในวันแต่งงานตอนนั้นมันยังไม่หย่านมเสียด้วยซ้ำเขาจึงรักมันมากแต่การจะพาวัวตัวใหญ่เดินทางไปด้วยก็ออกจะยุ่งยากเกินไป เขาจึงตัดสินใจมอบมันให้แก่มารดาของคาโลไรน์และหวังว่ามันจะมีประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
ในเย็นวันนั้นคาโลไรน์ทำอาหารอย่างสุดฝีมือ ไก่งวงอบยัดไส้มันฝรั่งแถมท้ายด้วยผลไม้เชื่อมอีกคนละชาม นางให้เหตุผลว่าต้องมีการฉลองสำหรับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อเป็นการอวยพรว่าต่อจากไปนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น แต่คืนนี้เป็นการฉลองที่เศร้าหมองเพราะไม่มีใครมาร่วมรับประทาน ท่ามกลางอาหารแสนอร่อยมีเพียงพวกเขาสี่คน
ฟิโลโซเฟอร์ถือธนูไม่ยอมวาง จนบิดาของเขาเตือนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่เดินทางทั้งที่ยังมืดอยู่ ขอให้เอาธนูไปเก็บเสียแล้วก็รีบเข้านอน
แม้คนอื่นจะเข้านอนจนหมดแล้วแต่อาเธอร์ก็ยังคงนั่งอยู่หน้าตะเกียง เขากำลังสำรวจดาบประจำกายของเขามันเป็นอาวุธชั้นดีที่เคยติดตามเขาไปทุกที่ร่วมรบกันมาแล้วทุกสงคราม ดาบเล่มนี้เป็นสมบัติที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนมันมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน บิดาของเขามอบให้เขาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ในโอรีเวีย เขาจะรู้สึกฮึกเหิมและกระหายชัยชนะเสมอที่ได้ถือดาบเล่มนี้ในมือ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่ซีนาร์ยเขาก็ไม่ได้ชักมันออกจากฝักอีกเลย
คาโอเรียยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืดนางนอนไม่หลับบางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนนางอยู่ บางครั้งเหมือนได้ยินเสียงคร่ำครวญดังแว่วมาจากที่ไกลๆ บางครั้งเหมือนมีเกวียนบรรทุกของหนักวิ่งผ่านหน้าบ้าน นางนอนกระสับกระส่ายอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว ในห้วงของการหลับใหลพื้นเตียงดูเหมือนจะสั่นสะเทือน เด็กหญิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านแต่อย่างใดหากแต่อยู่ในเกวียนที่กำลังวิ่งฝ่าความมืดไปเพียงลำพัง นางลุกนั่งอย่างมึนงงเกวียนเล่มนี้มิได้ติดประทุนอย่างเมื่อวาน หากแต่เป็นเกวียนเปล่าๆ หลังคาเปิดโล่งจนมองเห็นดวงดาวระยิบระยับที่แต่งแต้มบนท้องฟ้าที่มืดดำ เสียงฝีเท้าของม้าดังหนักๆ อยู่หน้าเกวียน นางมองเห็นม้าตัวใหญ่แต่ผิวหนังเปื่อยยุ่ยกำลังวิ่งพาเกวียนไปโดยไร้คนบังคับ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่ม้าคู่ชีพของบิดา
“ โอ! ท่านแม่ท่านอยู่ไหนน่ะ ”
คาโอเรียเริ่มร้องไห้ม้าสองตัวยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า มุ่งสู่เทือกเขาที่เห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางและบิดเบี้ยวมันคือเทือกเขาเงาอสูรนั่นเอง เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัวกับภาพที่เห็นนางจะไปที่นั่นตามลำพังได้อย่างไรกัน คาโอเรียตะกายข้ามเกวียนไปนั่งประจำที่คนขับ นางพยายามดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งด้วยมืออันสั่นเทาแต่ม้ากลับทะยานขึ้น พวกมันกางปีกออกกลายร่างเป็นนกดำขนาดใหญ่แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมนางได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆ นกดำยักษ์หายวับไปทันที เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ ร่วงลงมาช้าๆ สองมือไขว่คว้าหาที่ยึด มีมือข้าหนึ่งยื่นมาจับนางไว้
“ ตื่นได้แล้วแม่ตัวยุ่ง ”
ฟิโลโซเฟอร์ปลุกด้วยเสียงอันดัง
เขาออกแรงฉุดน้องสาวขึ้นมาจากเตียงทั้งที่ฟ้ายังไม่สาง
“ อย่าขี้เซานักสินี่กะจะตื่นอีกทีตอนถึงโอรีเวียแล้วหรือไง ”
“ อย่าแกล้งน้องสิลูก ”
คาโลไรน์ร้องเตือนมาจากครัว
คาโอเรียนั่งทำตาปริบๆ เมื่อรับรู้ว่ามิได้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในความมืดมิดนางก็โผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น
เด็กชายแสดงอาการประหลาดใจอย่างเปิดเผย
“ เฮ้! นั่นอารมณ์ไหนของเจ้าน่ะอย่าเพิ่งงอแงตอนนี้นะ ”
“ ข้าฝันร้าย ฝันร้ายก่อนเดินทางมันเป็นลางไม่ดีพี่ก็รู้ ข้ากลัวจัง ”
“ โธ่เอ๋ยนึกว่าเรื่องอะไร คาโอเรียเจ้าตั้งสตินะแล้วมองไปรอบๆ เจ้าไม่ได้ฝันร้าย แต่หายนะมันเกิดขึ้นจริงทั้งหมดนี่คือความจริงแท้และเจ้าไม่ได้ฝันไป ”
“ ข้าฝันว่าข้ากำลังเดินทางด้วยม้าของยมทูต ”
ฟิโลโซเฟอร์เอามือรีบปิดปากน้องสาว
“ อย่าพูดให้ท่านแม่ได้ยินตกลงไหม ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เจ้าก็เห็นนี่ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ที่ข้าพูดไม่ใช่ว่าข้าอยากไปโอรีเวียแต่เราจำเป็นต้องไปจริงๆ และพวกเราทุกคนต่างก็มีฝันร้ายเพราะภาพติดตาเหล่านั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลยมันไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ”
“ แต่ข้ากลัวนี่ ”
นางว่าพลางกอดหมอนแนบอก
“ ข้าจะปกป้องเจ้าเองถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ ”
ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากเส้นขอบฟ้าเห็นเพียงแสงสีแดงตัดผ่านท้องฟ้าทางทิศตะวันออก คาโลไรน์จับบุตรสาวมาแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด มันเป็นผ้าฝ้ายสีม่วงเนื้อดีตัดเย็บเข้ารูปกระโปรงบานพลิ้วติดลูกไม้ที่ปกเสื้อและรอบเอว ผ้าลูกไม้นี้แคโลไรน์ถักขึ้นมาเองกับมือแม้ตามท้องตลาดจะมีขายแต่ราคาแพงมาก
ส่วนตัวแคโลไรน์เองก็เลือกชุดที่ใหม่ที่สุด เนื้อผ้าแคชเมียร์สีน้ำเงินเข้มติดกระดุมลูกปัดสีเดียวกับลูกแบลกเบอร์รี่เรียงเป็นแถวยาวผ่ากลางหลัง เสื้อแขนยาวรัดตึงเน้นสัดส่วน ผมของนางเป็นสีทองแต่ซีดจางกว่าบุตรสาวนางขมวดผมพันขึ้นไปแล้วคาดทับด้วยผ้าลูกไม้สีดำ
อาเธอร์เดินกลับเข้ามาในห้องเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการตรวจความเรียบร้อยของม้า พอเห็นคนทั้งสองเขาก็ชะงักค้างแคโลไรน์ดูสดใสขึ้นมาก หลังจากสองสามวันมานี้ที่นางเอาแต่นั่งเหม่อปล่อยให้ผมเผ้ารุงรังแต่กระนั้นอาเธอร์ก็ยังเห็นว่านางงดงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน
“ อาเธอร์คะ ข้ามีช็อคโกแลตร้อนกับบิสกิตสองสามชิ้น ท่านทานไปก่อนก็แล้วกัน ”
นางชี้ไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะหันกลับมาสาละวนกับเสื้อผ้าที่ยังไม่เข้าที่ดี
“ ฟิโลโซเฟอร์ล่ะ ”
เขาถามพลางเดินไปที่โต๊ะอย่างว่าง่าย
“ เมื่อกี้ยังจัดของอยู่บนเตียงอยู่เลยไปไหนเสียล่ะ ”
“ ช่างเถอะเขาคงไม่ไปไหนไกลกว่าโรงนาหรอก ”
อาเธอร์พูดเขาเริ่มจัดการกับอาหารในส่วนของตัวเองเงียบๆ
คาโลไรน์ผูกเชือกยึดหมวกที่ใต้คางให้กับคาโอเรียอย่างแน่นหนาก่อนจะส่งนางขึ้นบนเกวียน ส่วนฟิโลโซเฟอร์ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวบ้าน ในขณะทีอาเธอร์ตรวจสอบความเรียบร้อยของบานประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย เขาดึงม่านสีฟ้าลงมาปิดกระจกเพื่อว่าหากมีคนภายนอกผ่านมา จะได้มองไม่เห็นความเป็นไปของบ้านหลังนี้
“ เราจะไปกันแล้วนะ ”
เขาหันไปเรียกบุตรชาย
คาโลไรน์ยังคงยืนอ้อยอิงอยู่กับที่สายตาของนางจับจ้องไปทางท้ายเนิน
“ พวกเขาคงมาส่งเราไม่ได้ทุกต่างมีภาระต้องทำ อีกอย่างหนึ่งข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่อยากเห็นการจากไปของเรามากนักหรอก ”
อาเธอร์รู้ดีว่านางกำลังมองหาญาติพี่น้องของนาง เมื่อเห็นคาโลไรน์ขึ้นไปนั่งประจำที่ด้านหน้าเกวียนเขาจึงหันไปร้องเตือนฟิโลโซเฟอร์อีกครั้ง เด็กชายรีบปีนขึ้นไปประจำที่ข้างน้องสาวอย่างกระตือรือร้น อาเธอร์ปิดประตูลงกลอนแน่นหนาเขาซ่อนลูกกุญแจไว้ใต้หินก้อนใหญ่ก่อนจะจากมา
ขณะนี้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้วแต่ยังทอแสงสีแดงลงบนก้นเมฆสีดำคล้ำ
คาโลไรน์ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรองรับเอาแสงอาทิตย์
“ ขอเทพแห่งดวงตะวันจงปกป้องเราไปจนสุดทาง ”
นางกล่าวเสียงดังพอได้ยินกันทุกคน
“ แล้วตอนกลางคืนล่ะท่านเทพแห่งแสงอาทิตย์จะว่างมาคุ้มครองเราหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงซุกซน
“ นี่แหนะมันใช่เวลามาพูดอย่างนี้หรือ ”
นางตำหนิเสียงเข้ม
เด็กชายจึงเงียบเสียงไปและนั่งลงอย่างสงบ
อาเธอร์เพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วกระตุกเชือกให้ม้าออกเดิน
เมื่อเกวียนเคลื่อนตัวออกไปบ้านดอกเห็ดก็ถอยห่างออกไปด้านหลัง และดูเหมือนว่าจะหดเล็กลงเรื่อยๆ แสงแดดจับกรอบหน้าต่างทอประกายวาววับ เหมือนบ้านหลังนี้กำลังมองดูนายที่กำลังจากไปทิ้งมันไว้โดดเดี่ยวกลางทุ่งโล่ง มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายของมันจะจากไปนานแค่ไหนจะกลับมาเมื่อไหร่หรืออาจจะไม่มีวันได้หวนกลับมาอีกเลย
คาโลไรน์อยู่เคียงข้างอาเธอร์นางพยายามนั่งอย่างสงบ ไม่ยอมหันกลับไปมองบ้านหลังน้อยนั้นอีก นางรู้สึกหดหู่และเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
เบตตี้กับเบตเตอร์ม้าแกลบคู่ชีพของพวกเขาพาเกวียนมุ่งหน้าสู่กัลป์ทีลอท เมืองเล็กๆ แถบชายป่าซีดาร์ ล้อเกวียนบดลงไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยซากแห้งกรังของหนอนสีดำ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ถูกพวกมันขยี้จนแทบไม่เหลืออะไร
“ นี่เราต้องไปจริงๆ หรือ ”
คาโอเรียถาม
นางรู้สึกเศร้าเมื่อคิดไปถึงว่าวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังเดิมอีกแล้ว
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบเขาจ้องมองหลังคาบ้านที่กำลังจะลับจากสายตา ทุ่งหญ้าแถบนี้เคยสูงท่วมไหล่ของเขามีกระต่ายป่ามากมายแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า เด็กชายนึกถึงวันเวลาที่เขาเคยไล่จับกระต่ายพวกนั้นอะไรบางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดไปว่า พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนั่นทำให้เขาใจหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าอยากไปโอรีเวีย แต่ที่นี่คือบ้านของเขา ตอนนี้ทั้งทุ่งไม่มีหญ้าเหลืออยู่กระต่ายป่าก็ไม่มีให้เห็นเช่นกัน พวกมันหนีไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันกันแน่
เจ้ากระต่ายลูกระโดดขึ้นมาบนตักของเขา ดวงตาสีส้มอบอุ่นจ้องมองดูเขาด้วยความรัก เด็กชายจึงวางมือลงบนหัวของมันอย่างอ่อนโยน
“ ความจริงเจ้านี่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ”
เขาพูดขึ้น
“ ถ้าเกิดวันไหนต้องอดอยากขึ้นมามันคงช่วยประทังชีวิตไปได้สักมื้อล่ะน่า ”
คาโอเรียรีบกระชากมันไปจากมือของเขาโดยเร็วนั่นทำให้เด็กชายหัวเราะชอบใจ
อาเธอร์ขับเกวียนมาตามทาง เขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่บนเนินสูง เด็กคนนั้นจ้องมองมาที่เกวียนของเขาในมือข้างหนึ่งถือมีดเล่มเล็ก ครู่ต่อมาเด็กคนนั้นได้วิ่งลงจากเนินพุ่งตรงมาที่ถนน อาเธอร์ที่ระวังอยู่แล้วจึงบังคับม้าให้หยุด ม้าทั้งสองทะยานขึ้นก่อนกระแทกเท้าลงห่างจากที่เด็กชายยืนอยู่เพียงก้าวเดียว
“ โว้! เจ้าหนูทำแบบนี้ไม่ได้นะมันอันตราย ”
อาเธอร์ทำเสียงดุ
“ จริงทีเดียว คราวหน้าคราวหลังอย่าได้เที่ยวขวางหน้าม้าตัวที่กำลังวิ่งอีกล่ะ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเหตุใดจึงวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้ ”
คาโลไรน์ถาม
“ ข้าจำม้าสองตัวกับเกวียนเล่มนี้ได้แม้มองจากที่ไกลๆ ”
เด็กชายตอบพลางหอบหายใจ เขาเอามือกดซี่โคลงพลางนิ่วหน้าเพราะเหนื่อยจากความเร่งรีบ
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าอยู่บนนั้นใช่หรือไม่ นี่เจ้าคิดจะจากไปโดยไม่ล่ำลาข้าเลยหรือ ”
เขาพูดด้วยเสียงอันดัง
ฟิโลโซเฟอร์กระโดดลงมาจากด้านท้ายของเกวียนตามด้วยคาโอเรีย
เด็กชายทั้งสองต่างโผเข้ากอดกัน
“ คงจะจริงอย่างที่ข้าหวาดกลัวสินะ เจ้ากำลังจะทิ้งเมืองนี้ไปเหมือนคนพวกนั้น ”
เขาต่อว่าเมื่อคลายมือจากกันแล้ว
“ เรากำลังจะไปเยี่ยมญาติต่างหากล่ะ ในเวลานี้อาจฟังดูประหลาดแต่ความจริงคือทั้งฟิโลโซเฟอร์และคาโอเรียยังไม่เคยเห็นบ้านเกิดของบิดา นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา ”
คาโลไรน์พูดเสียงอ่อนโยน
“ หมายความว่าพวกเจ้าจะกลับมา แต่เมื่อไหร่กันล่ะ ”
น้ำเสียงของเด็กชายคนนั้นบอกถึงความไม่เชื่อใจ เขาได้เห็นความเป็นไปของเมืองนี้และเขารู้ว่านั่นคือการอพยพ ผู้คนมากมายที่เขารู้จักพร้อมกับเกวียนบรรทุกของเต็มลำ คนพวกนั้นต่างเดินทางขึ้นเหนือ
“ ข้าเองก็หวังว่าจะไปไม่นานน่ะโรเซน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ เอาเถอะข้าไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องเจ้าจะกลับมาหรือไม่ แต่ช่วยบอกหน่อยจุดหมายของเจ้าคือที่ใด ”
โรเซนถาม
“ โอรีเวีย ”
เด็กชายคนนั้นผงะทำตาโต
“ โห ว้าวโอรีเวียข้าเคยได้ยินชื่อมันเป็นเมืองที่สุดยอด เจ้าไปที่นั่นก็ดีแล้วข้าเองก็... สักวันข้าก็จะไปที่นั่นถ้าหากพวกเจ้าไม่กลับมา ”
“ แล้วครอบครัวของเจ้าหล่ะไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นสักพักหรือ ”
อาเธอร์ถามขึ้นบ้าง
“ ตัวข้าคนเดียวสามารถพาท่านแม่ไปได้ แต่เราทิ้งท่านพ่อที่ป่วยหนักไม่ได้ แม้ท่านพ่อจะย้ำเตือนให้พวกเราหนีไปให้ไกล แต่ข้ากับท่านแม่ทำไม่ลงจริงๆ ”
โรเซนตอบเสียงเศร้า
“ ไม่เป็นไรหรอกเมืองซีนาร์ยจะต้องปรอดภัยสภาแห่งโอรีเวียรู้เรื่องนี้แล้ว ”
อาเธอร์ปลอบ
“ เมื่อครู่ข้านั่งทำสิ่งนี้อยู่บนเนินข้ามั่นใจใจว่าถ้าพวกเจ้าจะไปต้องผ่านมาทางนี้ ”
เขายื่นตุ๊กตาไม้แกะสลักออกมา
“ นี่ให้ข้าหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามสีหน้าประหลาดใจเพราะดูมันไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย เด็กผู้ชายกับตุ๊กตาไม้
“ ของคาโอเรียต่างหากข้าเห็นนางอยากได้ ตั้งใจทำให้นางตั้งนานแล้วแต่ดูเหมือนข้ามีเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน และข้าอยากจะบอกว่าวันนี้เจ้างดงามมากคาโอเรีย ”
ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงเบาหวิว
“ เจ้าทำนี่ด้วยตัวเองหรือ ”
เด็กหญิงถามสายตาจับจ้องที่ตุ๊กตาไม้มันถูกและขึ้นอย่างหยาบๆ และเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว
“ ข้านั่งทำตั้งแต่เย็นวานแล้วมันก็ยังไม่เสร็จเสียที แต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วเจ้าก็รับไปเถอะ ”
คาโอเรียถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ ข้าจะยังไม่รับจนกว่ามันจะเสร็จสมบูรณ์ ”
“ จริง เจ้ามีเวลาถมเถน่าข้าบอกแล้วว่าข้าจะกลับมา และเจ้าจะรออยู่ที่นี่เชื่อใจกันหน่อย ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกมือข้างหนึ่งวางบนไหล่เพื่อนชาย
“ ใช่เราจะต้องพบกันอีก ข้าแค่ไปเที่ยวและจะมีของฝากมาให้เจ้าด้วย ตอบแทนตุ๊กตาตัวนี้อย่างไรล่ะ อ้อ! ข้าลืมบอกไปขลุ่ยไม้ที่เจ้าทำให้ ข้านำติดตัวไปด้วยแต่ยังเป่าไม่เป็นเลยเจ้าต้องเป็นอาจารย์ให้ข้าด้วยล่ะ ”
เด็กชายคนนั้นกำตุ๊กตาแน่นในมือข้างหนึ่ง
“ พวกเจ้าจะกลับมา ”
เขามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหดหู่
“ ใช่ พวกเจ้าคงได้กลับมาจริงๆ”
โรเซนพึมพำด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่สิ้นหวัง
“ ขอโทษด้วยนะโรเซนแต่พวกเราต้องไปกันแล้วทางข้างหน้ายาวไกลเหลือเกิน ”
คาโลไรน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ ครับ ”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่กลับดึงแขนฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ
“ ดูแลตัวเองด้วย ”
โรเซนกระซิบ
“ แน่นอนเจ้าเองก็เช่นกัน ”
“ ฝากดูแลนางด้วย ”
เขาลดเสียงลงอีกหางตาชำเลืองมองเด็กหญิงผมทองที่ปีนกลับขึ้นไปบนเกวียน
“ อ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางมองตามสายตาของเพื่อนมึนๆ งงๆ แต่แล้วก็เหมือนจะเข้าใจ
“ ไม่ต้องห่วงนางเป็นธุระของข้าอยู่แล้ว ”
เขาแยกเขี้ยวตอบ
เด็กชายคนนั้นใช้กำปั้นทุบไหล่ของฟิโลโซเฟอร์หนักๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ
“ ถ้าอย่างนั้นข้าไปนะ ”
โรเซนไม่ตอบเขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง
เด็กชายตัวน้อยจึงเดินจากมาและปีนขึ้นบนเกวียน
“ ขอให้เทพแห่งแสงตะวันคุ้มครองพวกเจ้าไปจนสุดทาง ”
เพื่อนคนนั้นพูดมาพอได้ยินใบหน้าเศร้าหมองยังคงก้มดูพื้น
ฟิโลโซเฟอร์อ้าปากเหมือนจะพูดคำล้อเลียนแต่แล้วก็หุบปากลงรอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า
“ ขอบใจ ”
เขาพึมพำเบาๆ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเดินทางอย่างสนุกสนานแล้วแต่ดูท่าคงฝืนไม่ไหว โรเซนเป็นเพื่อนที่เขาคุ้นเคยที่สุดในซีนาร์ย เป็นคู่มือซ้อมดาบที่ดีมาก พวกเขาเคยสัญญากันว่าวันหนึ่งจะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน แต่วันนี้คนหนึ่งต้องเดินทางไกลไม่รู้อนาคต อีกคนยังอยู่ที่นี่อย่างไร้ชะตากรรม
เกวียนยังมุ่งตรงไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปไม่ทำไห้ภูมิทัศเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่สภาพที่ตายซากความเสียหายนั้นกินบริเวณกว้าง พวกเขาหยุดพักเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อรับประทานอาหารเท่านั้น บรรยากาศรอบกายนิ่งสนิทราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวยกเว้นขบวนเกวียนของพวกเขา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จอาเธอร์ก็เร่งออกเดินทางทันที เขาไม่อยากติดอยู่ในสถานที่แบบนี้นานนักหรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปไกลที่สุด ตลอดระยะเวลาการเดินทางพวกเขาแทบไม่พูดคุยกันเลย บางครั้งพวกเขาก็นึกสงสัยว่าทั่วทุกแห่งอาจจะมีสภาพเหมือนซีนาร์ยคือเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
เกวียนลำน้อยมุ่งหน้าไปตามทุ่งร้างอันว่างเปล่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมากแล้ว พวกเขาพ้นแนวชายแดนของซีนาร์ยมาได้สักระยะภูมิประเทศเริ่มจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความเสียหายของพื้นดินที่พอมองเห็นได้ก็น้อยลงเหลือเพียงร่องรอยปลายเล็บมัจจุราชเท่านั้น
และแล้วการเดินทางของพวกเขาก็ได้มาถึงจุดปลายแห่งแสงสว่าง ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีการกัดแทะของหนอนปีศาจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นเพียงรอยดำเล็กๆ ตามขอบใบพอให้มองเห็น ม้าทั้งสองวิ่งฝ่าเข้าไปในดงหญ้าอย่างร่าเริงกลิ่นหญ้าสดหอมอ่อนๆ โชยมาแตะจมูก
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้คาโอเรียดูดอกไม้สีเหลืองสดสวยที่ผุดขึ้นกลางกอหญ้า ผีเสื้อหลากสีบินเรี่ยไปตามพื้นอย่างไม่รีบร้อนพวกเขาหยุดกลางทุ่งหญ้าเพื่อให้ม้าที่เหน็ดเหนื่อยได้พักเล็มหญ้าสดกันตามใจชอบ อาเธอร์ถอนหญ้าออกเป็นวงกลมเพื่อให้ได้พื้นที่ในการก่อไฟ แคโลไรน์ต้มถั่วเขียวจนเปื่อยแล้วปรุงรสด้วยเนื้อเค็มและน้ำส้ม พวกเขารับประทานอาหารร่วมกันในหม้อเล็กๆ เพื่อจะได้ประหยัดน้ำในการล้าง
อาเธอร์มองสำรวจภูมิประเทศรอบกาย เขากำลังคิดหาเส้นทางที่จะมุ่งตรงสู่ตัวเมืองกัลป์ทีลอทได้เร็วที่สุด ตั้งใจว่าถึงอย่างไรคืนนี้ต้องเข้าไปพักแรมในเมืองให้ได้ แม้ฟิโลโซเฟอร์อยากค้างแรมเสียที่นี่เพราะนานๆ ทีจะได้ออกมานอนกลางแจ้งแต่อาเธอร์ไม่เห็นด้วย เขาเคยได้ยินมาว่าถิ่นนี้ยังมีหมาป่าหลงเหลืออยู่เขาจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของเขานอนอยู่ที่โล่งแจ้งในขณะที่มีสัตว์ร้ายเพ่นพ่านอยู่เป็นแน่
พวกเขาเก็บของขึ้นเกวียนและพร้อมออกเดินทางในเวลาต่อมา เกวียนเล่มน้อยฝ่าไปตามพงหญ้าที่สูงชันคาโอเรียยื่นคอออกไปมองหญ้าที่ล้มตัวลงตามทางเกวียนก่อนจะดีดตัวขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศรอบกายทำให้จิตใจที่เคยหดหู่กลับมาสดใสดังเดิม แม้อากาศยามนี้จะเย็นยะเยือกแต่นั่นเป็นเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว นางยืดตัวอยู่อย่างนั้นจนพี่ชายของนางต้องลากกลับเข้าไปข้างใน
“ นั่งดีๆ สิถ้าเกิดหลับแล้วหล่นลงไปจะเป็นอย่างไร ”
เด็กชายบ่นอย่างมีอารมณ์
เกวียนยังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ความอึมครึมเริ่มโอบล้อมเข้ามาจากทุกด้าน ในขณะที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง อาเธอร์กำลังนึกสงสัยว่าเขาต้องขับเกวียนฝ่าพงหญ้าไปอีกนานเท่าใด ถนนสายเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขารีบเลี้ยวไปตามถนนสายนั้นทันที
“ ตราบใดที่เราอยู่บนถนน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางไปไหนเลย เพราะถนนจะพาเราไปสู่จุดหมายของมัน ”
อาเธอร์พูดขึ้นนั่นเป็นบทเพลงส่วนหนึ่งของพวกนักเดินทาง
“ แต่จุดหมายของมันจะเป็นที่ๆ เราปรารถนาจะไปหรือเปล่าล่ะ ”
คาโลไรน์กระทุ้งเบาๆ นางไม่ชอบที่ต้องเดินทางไปในที่แปลกใหม่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย การที่ต้องเดินทางโดยไร้ซึ่งจุดหมายและไม่รู้ชะตากรรม เป็นโชคชะตาที่น่าหวาดกลัวสำหรับสตรีนางหนึ่ง ตามทุ่งหญ้าเริ่มมีต้นปาล์ม ผุดขึ้นมาให้เห็นบ้างประปราย มันค่อยๆ เลื่อนผ่านพวกเขาไปในขณะที่เกวียนโขยกเขยกไปข้างหน้า ท้องฟ้าสีเข้มขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะจมลงในท้องทุ่งอันไกลโพ้น นกสีดำกลุ่มใหญ่บินตัดผ่านดวงอาทิตย์ไปพลางส่งเสียงร้องแกรกกรากฟิโลโซเฟอร์ได้แต่เฝ้ามองตามด้วยความสนใจ นกพวกนั้นกำลังบินกลับรังนอนในยามอาทิตย์อัสดง แต่เขากลับยังเคว้งคว้างกลางทุ่งหญ้าที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง
คาโลไรน์จัดเรียงเสบียงสำหรับการเดินทางไว้ด้านในด้วยความระมัดระวัง แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับการขนของเล่นของคาโอเรียออกไป เด็กหญิงพยายามขนสมบัติทุกชิ้นของนางไปด้วย อาเธอร์ต้องให้คำรับรองว่าจะหาให้ใหม่หลังจากไปถึงโอรีเวียแล้วนางจึงยอมหยุด แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมหยิบหินวิเศษของพ่อมดใส่กระเป๋าไปด้วย ก่อนตะวันตกดินเกวียนเล่มนั้นก็อยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง
อาเธอร์จูงแม่วัวสีแดงไปมอบให้กับมารดาของคาโลไรน์ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขานัก วัวตัวนี่เขาได้รับเป็นของขวัญในวันแต่งงานตอนนั้นมันยังไม่หย่านมเสียด้วยซ้ำเขาจึงรักมันมากแต่การจะพาวัวตัวใหญ่เดินทางไปด้วยก็ออกจะยุ่งยากเกินไป เขาจึงตัดสินใจมอบมันให้แก่มารดาของคาโลไรน์และหวังว่ามันจะมีประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
ในเย็นวันนั้นคาโลไรน์ทำอาหารอย่างสุดฝีมือ ไก่งวงอบยัดไส้มันฝรั่งแถมท้ายด้วยผลไม้เชื่อมอีกคนละชาม นางให้เหตุผลว่าต้องมีการฉลองสำหรับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อเป็นการอวยพรว่าต่อจากไปนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น แต่คืนนี้เป็นการฉลองที่เศร้าหมองเพราะไม่มีใครมาร่วมรับประทาน ท่ามกลางอาหารแสนอร่อยมีเพียงพวกเขาสี่คน
ฟิโลโซเฟอร์ถือธนูไม่ยอมวาง จนบิดาของเขาเตือนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่เดินทางทั้งที่ยังมืดอยู่ ขอให้เอาธนูไปเก็บเสียแล้วก็รีบเข้านอน
แม้คนอื่นจะเข้านอนจนหมดแล้วแต่อาเธอร์ก็ยังคงนั่งอยู่หน้าตะเกียง เขากำลังสำรวจดาบประจำกายของเขามันเป็นอาวุธชั้นดีที่เคยติดตามเขาไปทุกที่ร่วมรบกันมาแล้วทุกสงคราม ดาบเล่มนี้เป็นสมบัติที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนมันมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน บิดาของเขามอบให้เขาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ในโอรีเวีย เขาจะรู้สึกฮึกเหิมและกระหายชัยชนะเสมอที่ได้ถือดาบเล่มนี้ในมือ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่ซีนาร์ยเขาก็ไม่ได้ชักมันออกจากฝักอีกเลย
คาโอเรียยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืดนางนอนไม่หลับบางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนนางอยู่ บางครั้งเหมือนได้ยินเสียงคร่ำครวญดังแว่วมาจากที่ไกลๆ บางครั้งเหมือนมีเกวียนบรรทุกของหนักวิ่งผ่านหน้าบ้าน นางนอนกระสับกระส่ายอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว ในห้วงของการหลับใหลพื้นเตียงดูเหมือนจะสั่นสะเทือน เด็กหญิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านแต่อย่างใดหากแต่อยู่ในเกวียนที่กำลังวิ่งฝ่าความมืดไปเพียงลำพัง นางลุกนั่งอย่างมึนงงเกวียนเล่มนี้มิได้ติดประทุนอย่างเมื่อวาน หากแต่เป็นเกวียนเปล่าๆ หลังคาเปิดโล่งจนมองเห็นดวงดาวระยิบระยับที่แต่งแต้มบนท้องฟ้าที่มืดดำ เสียงฝีเท้าของม้าดังหนักๆ อยู่หน้าเกวียน นางมองเห็นม้าตัวใหญ่แต่ผิวหนังเปื่อยยุ่ยกำลังวิ่งพาเกวียนไปโดยไร้คนบังคับ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่ม้าคู่ชีพของบิดา
“ โอ! ท่านแม่ท่านอยู่ไหนน่ะ ”
คาโอเรียเริ่มร้องไห้ม้าสองตัวยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า มุ่งสู่เทือกเขาที่เห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางและบิดเบี้ยวมันคือเทือกเขาเงาอสูรนั่นเอง เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัวกับภาพที่เห็นนางจะไปที่นั่นตามลำพังได้อย่างไรกัน คาโอเรียตะกายข้ามเกวียนไปนั่งประจำที่คนขับ นางพยายามดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งด้วยมืออันสั่นเทาแต่ม้ากลับทะยานขึ้น พวกมันกางปีกออกกลายร่างเป็นนกดำขนาดใหญ่แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมนางได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆ นกดำยักษ์หายวับไปทันที เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ ร่วงลงมาช้าๆ สองมือไขว่คว้าหาที่ยึด มีมือข้าหนึ่งยื่นมาจับนางไว้
“ ตื่นได้แล้วแม่ตัวยุ่ง ”
ฟิโลโซเฟอร์ปลุกด้วยเสียงอันดัง
เขาออกแรงฉุดน้องสาวขึ้นมาจากเตียงทั้งที่ฟ้ายังไม่สาง
“ อย่าขี้เซานักสินี่กะจะตื่นอีกทีตอนถึงโอรีเวียแล้วหรือไง ”
“ อย่าแกล้งน้องสิลูก ”
คาโลไรน์ร้องเตือนมาจากครัว
คาโอเรียนั่งทำตาปริบๆ เมื่อรับรู้ว่ามิได้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในความมืดมิดนางก็โผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น
เด็กชายแสดงอาการประหลาดใจอย่างเปิดเผย
“ เฮ้! นั่นอารมณ์ไหนของเจ้าน่ะอย่าเพิ่งงอแงตอนนี้นะ ”
“ ข้าฝันร้าย ฝันร้ายก่อนเดินทางมันเป็นลางไม่ดีพี่ก็รู้ ข้ากลัวจัง ”
“ โธ่เอ๋ยนึกว่าเรื่องอะไร คาโอเรียเจ้าตั้งสตินะแล้วมองไปรอบๆ เจ้าไม่ได้ฝันร้าย แต่หายนะมันเกิดขึ้นจริงทั้งหมดนี่คือความจริงแท้และเจ้าไม่ได้ฝันไป ”
“ ข้าฝันว่าข้ากำลังเดินทางด้วยม้าของยมทูต ”
ฟิโลโซเฟอร์เอามือรีบปิดปากน้องสาว
“ อย่าพูดให้ท่านแม่ได้ยินตกลงไหม ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เจ้าก็เห็นนี่ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ที่ข้าพูดไม่ใช่ว่าข้าอยากไปโอรีเวียแต่เราจำเป็นต้องไปจริงๆ และพวกเราทุกคนต่างก็มีฝันร้ายเพราะภาพติดตาเหล่านั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลยมันไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ”
“ แต่ข้ากลัวนี่ ”
นางว่าพลางกอดหมอนแนบอก
“ ข้าจะปกป้องเจ้าเองถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ ”
ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากเส้นขอบฟ้าเห็นเพียงแสงสีแดงตัดผ่านท้องฟ้าทางทิศตะวันออก คาโลไรน์จับบุตรสาวมาแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด มันเป็นผ้าฝ้ายสีม่วงเนื้อดีตัดเย็บเข้ารูปกระโปรงบานพลิ้วติดลูกไม้ที่ปกเสื้อและรอบเอว ผ้าลูกไม้นี้แคโลไรน์ถักขึ้นมาเองกับมือแม้ตามท้องตลาดจะมีขายแต่ราคาแพงมาก
ส่วนตัวแคโลไรน์เองก็เลือกชุดที่ใหม่ที่สุด เนื้อผ้าแคชเมียร์สีน้ำเงินเข้มติดกระดุมลูกปัดสีเดียวกับลูกแบลกเบอร์รี่เรียงเป็นแถวยาวผ่ากลางหลัง เสื้อแขนยาวรัดตึงเน้นสัดส่วน ผมของนางเป็นสีทองแต่ซีดจางกว่าบุตรสาวนางขมวดผมพันขึ้นไปแล้วคาดทับด้วยผ้าลูกไม้สีดำ
อาเธอร์เดินกลับเข้ามาในห้องเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการตรวจความเรียบร้อยของม้า พอเห็นคนทั้งสองเขาก็ชะงักค้างแคโลไรน์ดูสดใสขึ้นมาก หลังจากสองสามวันมานี้ที่นางเอาแต่นั่งเหม่อปล่อยให้ผมเผ้ารุงรังแต่กระนั้นอาเธอร์ก็ยังเห็นว่านางงดงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน
“ อาเธอร์คะ ข้ามีช็อคโกแลตร้อนกับบิสกิตสองสามชิ้น ท่านทานไปก่อนก็แล้วกัน ”
นางชี้ไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะหันกลับมาสาละวนกับเสื้อผ้าที่ยังไม่เข้าที่ดี
“ ฟิโลโซเฟอร์ล่ะ ”
เขาถามพลางเดินไปที่โต๊ะอย่างว่าง่าย
“ เมื่อกี้ยังจัดของอยู่บนเตียงอยู่เลยไปไหนเสียล่ะ ”
“ ช่างเถอะเขาคงไม่ไปไหนไกลกว่าโรงนาหรอก ”
อาเธอร์พูดเขาเริ่มจัดการกับอาหารในส่วนของตัวเองเงียบๆ
คาโลไรน์ผูกเชือกยึดหมวกที่ใต้คางให้กับคาโอเรียอย่างแน่นหนาก่อนจะส่งนางขึ้นบนเกวียน ส่วนฟิโลโซเฟอร์ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวบ้าน ในขณะทีอาเธอร์ตรวจสอบความเรียบร้อยของบานประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย เขาดึงม่านสีฟ้าลงมาปิดกระจกเพื่อว่าหากมีคนภายนอกผ่านมา จะได้มองไม่เห็นความเป็นไปของบ้านหลังนี้
“ เราจะไปกันแล้วนะ ”
เขาหันไปเรียกบุตรชาย
คาโลไรน์ยังคงยืนอ้อยอิงอยู่กับที่สายตาของนางจับจ้องไปทางท้ายเนิน
“ พวกเขาคงมาส่งเราไม่ได้ทุกต่างมีภาระต้องทำ อีกอย่างหนึ่งข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่อยากเห็นการจากไปของเรามากนักหรอก ”
อาเธอร์รู้ดีว่านางกำลังมองหาญาติพี่น้องของนาง เมื่อเห็นคาโลไรน์ขึ้นไปนั่งประจำที่ด้านหน้าเกวียนเขาจึงหันไปร้องเตือนฟิโลโซเฟอร์อีกครั้ง เด็กชายรีบปีนขึ้นไปประจำที่ข้างน้องสาวอย่างกระตือรือร้น อาเธอร์ปิดประตูลงกลอนแน่นหนาเขาซ่อนลูกกุญแจไว้ใต้หินก้อนใหญ่ก่อนจะจากมา
ขณะนี้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้วแต่ยังทอแสงสีแดงลงบนก้นเมฆสีดำคล้ำ
คาโลไรน์ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรองรับเอาแสงอาทิตย์
“ ขอเทพแห่งดวงตะวันจงปกป้องเราไปจนสุดทาง ”
นางกล่าวเสียงดังพอได้ยินกันทุกคน
“ แล้วตอนกลางคืนล่ะท่านเทพแห่งแสงอาทิตย์จะว่างมาคุ้มครองเราหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงซุกซน
“ นี่แหนะมันใช่เวลามาพูดอย่างนี้หรือ ”
นางตำหนิเสียงเข้ม
เด็กชายจึงเงียบเสียงไปและนั่งลงอย่างสงบ
อาเธอร์เพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วกระตุกเชือกให้ม้าออกเดิน
เมื่อเกวียนเคลื่อนตัวออกไปบ้านดอกเห็ดก็ถอยห่างออกไปด้านหลัง และดูเหมือนว่าจะหดเล็กลงเรื่อยๆ แสงแดดจับกรอบหน้าต่างทอประกายวาววับ เหมือนบ้านหลังนี้กำลังมองดูนายที่กำลังจากไปทิ้งมันไว้โดดเดี่ยวกลางทุ่งโล่ง มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายของมันจะจากไปนานแค่ไหนจะกลับมาเมื่อไหร่หรืออาจจะไม่มีวันได้หวนกลับมาอีกเลย
คาโลไรน์อยู่เคียงข้างอาเธอร์นางพยายามนั่งอย่างสงบ ไม่ยอมหันกลับไปมองบ้านหลังน้อยนั้นอีก นางรู้สึกหดหู่และเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
เบตตี้กับเบตเตอร์ม้าแกลบคู่ชีพของพวกเขาพาเกวียนมุ่งหน้าสู่กัลป์ทีลอท เมืองเล็กๆ แถบชายป่าซีดาร์ ล้อเกวียนบดลงไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยซากแห้งกรังของหนอนสีดำ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ถูกพวกมันขยี้จนแทบไม่เหลืออะไร
“ นี่เราต้องไปจริงๆ หรือ ”
คาโอเรียถาม
นางรู้สึกเศร้าเมื่อคิดไปถึงว่าวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังเดิมอีกแล้ว
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบเขาจ้องมองหลังคาบ้านที่กำลังจะลับจากสายตา ทุ่งหญ้าแถบนี้เคยสูงท่วมไหล่ของเขามีกระต่ายป่ามากมายแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า เด็กชายนึกถึงวันเวลาที่เขาเคยไล่จับกระต่ายพวกนั้นอะไรบางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดไปว่า พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนั่นทำให้เขาใจหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าอยากไปโอรีเวีย แต่ที่นี่คือบ้านของเขา ตอนนี้ทั้งทุ่งไม่มีหญ้าเหลืออยู่กระต่ายป่าก็ไม่มีให้เห็นเช่นกัน พวกมันหนีไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันกันแน่
เจ้ากระต่ายลูกระโดดขึ้นมาบนตักของเขา ดวงตาสีส้มอบอุ่นจ้องมองดูเขาด้วยความรัก เด็กชายจึงวางมือลงบนหัวของมันอย่างอ่อนโยน
“ ความจริงเจ้านี่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ”
เขาพูดขึ้น
“ ถ้าเกิดวันไหนต้องอดอยากขึ้นมามันคงช่วยประทังชีวิตไปได้สักมื้อล่ะน่า ”
คาโอเรียรีบกระชากมันไปจากมือของเขาโดยเร็วนั่นทำให้เด็กชายหัวเราะชอบใจ
อาเธอร์ขับเกวียนมาตามทาง เขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่บนเนินสูง เด็กคนนั้นจ้องมองมาที่เกวียนของเขาในมือข้างหนึ่งถือมีดเล่มเล็ก ครู่ต่อมาเด็กคนนั้นได้วิ่งลงจากเนินพุ่งตรงมาที่ถนน อาเธอร์ที่ระวังอยู่แล้วจึงบังคับม้าให้หยุด ม้าทั้งสองทะยานขึ้นก่อนกระแทกเท้าลงห่างจากที่เด็กชายยืนอยู่เพียงก้าวเดียว
“ โว้! เจ้าหนูทำแบบนี้ไม่ได้นะมันอันตราย ”
อาเธอร์ทำเสียงดุ
“ จริงทีเดียว คราวหน้าคราวหลังอย่าได้เที่ยวขวางหน้าม้าตัวที่กำลังวิ่งอีกล่ะ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเหตุใดจึงวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้ ”
คาโลไรน์ถาม
“ ข้าจำม้าสองตัวกับเกวียนเล่มนี้ได้แม้มองจากที่ไกลๆ ”
เด็กชายตอบพลางหอบหายใจ เขาเอามือกดซี่โคลงพลางนิ่วหน้าเพราะเหนื่อยจากความเร่งรีบ
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าอยู่บนนั้นใช่หรือไม่ นี่เจ้าคิดจะจากไปโดยไม่ล่ำลาข้าเลยหรือ ”
เขาพูดด้วยเสียงอันดัง
ฟิโลโซเฟอร์กระโดดลงมาจากด้านท้ายของเกวียนตามด้วยคาโอเรีย
เด็กชายทั้งสองต่างโผเข้ากอดกัน
“ คงจะจริงอย่างที่ข้าหวาดกลัวสินะ เจ้ากำลังจะทิ้งเมืองนี้ไปเหมือนคนพวกนั้น ”
เขาต่อว่าเมื่อคลายมือจากกันแล้ว
“ เรากำลังจะไปเยี่ยมญาติต่างหากล่ะ ในเวลานี้อาจฟังดูประหลาดแต่ความจริงคือทั้งฟิโลโซเฟอร์และคาโอเรียยังไม่เคยเห็นบ้านเกิดของบิดา นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา ”
คาโลไรน์พูดเสียงอ่อนโยน
“ หมายความว่าพวกเจ้าจะกลับมา แต่เมื่อไหร่กันล่ะ ”
น้ำเสียงของเด็กชายคนนั้นบอกถึงความไม่เชื่อใจ เขาได้เห็นความเป็นไปของเมืองนี้และเขารู้ว่านั่นคือการอพยพ ผู้คนมากมายที่เขารู้จักพร้อมกับเกวียนบรรทุกของเต็มลำ คนพวกนั้นต่างเดินทางขึ้นเหนือ
“ ข้าเองก็หวังว่าจะไปไม่นานน่ะโรเซน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ เอาเถอะข้าไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องเจ้าจะกลับมาหรือไม่ แต่ช่วยบอกหน่อยจุดหมายของเจ้าคือที่ใด ”
โรเซนถาม
“ โอรีเวีย ”
เด็กชายคนนั้นผงะทำตาโต
“ โห ว้าวโอรีเวียข้าเคยได้ยินชื่อมันเป็นเมืองที่สุดยอด เจ้าไปที่นั่นก็ดีแล้วข้าเองก็... สักวันข้าก็จะไปที่นั่นถ้าหากพวกเจ้าไม่กลับมา ”
“ แล้วครอบครัวของเจ้าหล่ะไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นสักพักหรือ ”
อาเธอร์ถามขึ้นบ้าง
“ ตัวข้าคนเดียวสามารถพาท่านแม่ไปได้ แต่เราทิ้งท่านพ่อที่ป่วยหนักไม่ได้ แม้ท่านพ่อจะย้ำเตือนให้พวกเราหนีไปให้ไกล แต่ข้ากับท่านแม่ทำไม่ลงจริงๆ ”
โรเซนตอบเสียงเศร้า
“ ไม่เป็นไรหรอกเมืองซีนาร์ยจะต้องปรอดภัยสภาแห่งโอรีเวียรู้เรื่องนี้แล้ว ”
อาเธอร์ปลอบ
“ เมื่อครู่ข้านั่งทำสิ่งนี้อยู่บนเนินข้ามั่นใจใจว่าถ้าพวกเจ้าจะไปต้องผ่านมาทางนี้ ”
เขายื่นตุ๊กตาไม้แกะสลักออกมา
“ นี่ให้ข้าหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามสีหน้าประหลาดใจเพราะดูมันไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย เด็กผู้ชายกับตุ๊กตาไม้
“ ของคาโอเรียต่างหากข้าเห็นนางอยากได้ ตั้งใจทำให้นางตั้งนานแล้วแต่ดูเหมือนข้ามีเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน และข้าอยากจะบอกว่าวันนี้เจ้างดงามมากคาโอเรีย ”
ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงเบาหวิว
“ เจ้าทำนี่ด้วยตัวเองหรือ ”
เด็กหญิงถามสายตาจับจ้องที่ตุ๊กตาไม้มันถูกและขึ้นอย่างหยาบๆ และเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว
“ ข้านั่งทำตั้งแต่เย็นวานแล้วมันก็ยังไม่เสร็จเสียที แต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วเจ้าก็รับไปเถอะ ”
คาโอเรียถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ ข้าจะยังไม่รับจนกว่ามันจะเสร็จสมบูรณ์ ”
“ จริง เจ้ามีเวลาถมเถน่าข้าบอกแล้วว่าข้าจะกลับมา และเจ้าจะรออยู่ที่นี่เชื่อใจกันหน่อย ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกมือข้างหนึ่งวางบนไหล่เพื่อนชาย
“ ใช่เราจะต้องพบกันอีก ข้าแค่ไปเที่ยวและจะมีของฝากมาให้เจ้าด้วย ตอบแทนตุ๊กตาตัวนี้อย่างไรล่ะ อ้อ! ข้าลืมบอกไปขลุ่ยไม้ที่เจ้าทำให้ ข้านำติดตัวไปด้วยแต่ยังเป่าไม่เป็นเลยเจ้าต้องเป็นอาจารย์ให้ข้าด้วยล่ะ ”
เด็กชายคนนั้นกำตุ๊กตาแน่นในมือข้างหนึ่ง
“ พวกเจ้าจะกลับมา ”
เขามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหดหู่
“ ใช่ พวกเจ้าคงได้กลับมาจริงๆ”
โรเซนพึมพำด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่สิ้นหวัง
“ ขอโทษด้วยนะโรเซนแต่พวกเราต้องไปกันแล้วทางข้างหน้ายาวไกลเหลือเกิน ”
คาโลไรน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ ครับ ”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่กลับดึงแขนฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ
“ ดูแลตัวเองด้วย ”
โรเซนกระซิบ
“ แน่นอนเจ้าเองก็เช่นกัน ”
“ ฝากดูแลนางด้วย ”
เขาลดเสียงลงอีกหางตาชำเลืองมองเด็กหญิงผมทองที่ปีนกลับขึ้นไปบนเกวียน
“ อ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางมองตามสายตาของเพื่อนมึนๆ งงๆ แต่แล้วก็เหมือนจะเข้าใจ
“ ไม่ต้องห่วงนางเป็นธุระของข้าอยู่แล้ว ”
เขาแยกเขี้ยวตอบ
เด็กชายคนนั้นใช้กำปั้นทุบไหล่ของฟิโลโซเฟอร์หนักๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ
“ ถ้าอย่างนั้นข้าไปนะ ”
โรเซนไม่ตอบเขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง
เด็กชายตัวน้อยจึงเดินจากมาและปีนขึ้นบนเกวียน
“ ขอให้เทพแห่งแสงตะวันคุ้มครองพวกเจ้าไปจนสุดทาง ”
เพื่อนคนนั้นพูดมาพอได้ยินใบหน้าเศร้าหมองยังคงก้มดูพื้น
ฟิโลโซเฟอร์อ้าปากเหมือนจะพูดคำล้อเลียนแต่แล้วก็หุบปากลงรอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า
“ ขอบใจ ”
เขาพึมพำเบาๆ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเดินทางอย่างสนุกสนานแล้วแต่ดูท่าคงฝืนไม่ไหว โรเซนเป็นเพื่อนที่เขาคุ้นเคยที่สุดในซีนาร์ย เป็นคู่มือซ้อมดาบที่ดีมาก พวกเขาเคยสัญญากันว่าวันหนึ่งจะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน แต่วันนี้คนหนึ่งต้องเดินทางไกลไม่รู้อนาคต อีกคนยังอยู่ที่นี่อย่างไร้ชะตากรรม
เกวียนยังมุ่งตรงไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปไม่ทำไห้ภูมิทัศเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่สภาพที่ตายซากความเสียหายนั้นกินบริเวณกว้าง พวกเขาหยุดพักเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อรับประทานอาหารเท่านั้น บรรยากาศรอบกายนิ่งสนิทราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวยกเว้นขบวนเกวียนของพวกเขา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จอาเธอร์ก็เร่งออกเดินทางทันที เขาไม่อยากติดอยู่ในสถานที่แบบนี้นานนักหรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปไกลที่สุด ตลอดระยะเวลาการเดินทางพวกเขาแทบไม่พูดคุยกันเลย บางครั้งพวกเขาก็นึกสงสัยว่าทั่วทุกแห่งอาจจะมีสภาพเหมือนซีนาร์ยคือเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
เกวียนลำน้อยมุ่งหน้าไปตามทุ่งร้างอันว่างเปล่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมากแล้ว พวกเขาพ้นแนวชายแดนของซีนาร์ยมาได้สักระยะภูมิประเทศเริ่มจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความเสียหายของพื้นดินที่พอมองเห็นได้ก็น้อยลงเหลือเพียงร่องรอยปลายเล็บมัจจุราชเท่านั้น
และแล้วการเดินทางของพวกเขาก็ได้มาถึงจุดปลายแห่งแสงสว่าง ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีการกัดแทะของหนอนปีศาจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นเพียงรอยดำเล็กๆ ตามขอบใบพอให้มองเห็น ม้าทั้งสองวิ่งฝ่าเข้าไปในดงหญ้าอย่างร่าเริงกลิ่นหญ้าสดหอมอ่อนๆ โชยมาแตะจมูก
ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้คาโอเรียดูดอกไม้สีเหลืองสดสวยที่ผุดขึ้นกลางกอหญ้า ผีเสื้อหลากสีบินเรี่ยไปตามพื้นอย่างไม่รีบร้อนพวกเขาหยุดกลางทุ่งหญ้าเพื่อให้ม้าที่เหน็ดเหนื่อยได้พักเล็มหญ้าสดกันตามใจชอบ อาเธอร์ถอนหญ้าออกเป็นวงกลมเพื่อให้ได้พื้นที่ในการก่อไฟ แคโลไรน์ต้มถั่วเขียวจนเปื่อยแล้วปรุงรสด้วยเนื้อเค็มและน้ำส้ม พวกเขารับประทานอาหารร่วมกันในหม้อเล็กๆ เพื่อจะได้ประหยัดน้ำในการล้าง
อาเธอร์มองสำรวจภูมิประเทศรอบกาย เขากำลังคิดหาเส้นทางที่จะมุ่งตรงสู่ตัวเมืองกัลป์ทีลอทได้เร็วที่สุด ตั้งใจว่าถึงอย่างไรคืนนี้ต้องเข้าไปพักแรมในเมืองให้ได้ แม้ฟิโลโซเฟอร์อยากค้างแรมเสียที่นี่เพราะนานๆ ทีจะได้ออกมานอนกลางแจ้งแต่อาเธอร์ไม่เห็นด้วย เขาเคยได้ยินมาว่าถิ่นนี้ยังมีหมาป่าหลงเหลืออยู่เขาจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของเขานอนอยู่ที่โล่งแจ้งในขณะที่มีสัตว์ร้ายเพ่นพ่านอยู่เป็นแน่
พวกเขาเก็บของขึ้นเกวียนและพร้อมออกเดินทางในเวลาต่อมา เกวียนเล่มน้อยฝ่าไปตามพงหญ้าที่สูงชันคาโอเรียยื่นคอออกไปมองหญ้าที่ล้มตัวลงตามทางเกวียนก่อนจะดีดตัวขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศรอบกายทำให้จิตใจที่เคยหดหู่กลับมาสดใสดังเดิม แม้อากาศยามนี้จะเย็นยะเยือกแต่นั่นเป็นเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว นางยืดตัวอยู่อย่างนั้นจนพี่ชายของนางต้องลากกลับเข้าไปข้างใน
“ นั่งดีๆ สิถ้าเกิดหลับแล้วหล่นลงไปจะเป็นอย่างไร ”
เด็กชายบ่นอย่างมีอารมณ์
เกวียนยังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ความอึมครึมเริ่มโอบล้อมเข้ามาจากทุกด้าน ในขณะที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง อาเธอร์กำลังนึกสงสัยว่าเขาต้องขับเกวียนฝ่าพงหญ้าไปอีกนานเท่าใด ถนนสายเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขารีบเลี้ยวไปตามถนนสายนั้นทันที
“ ตราบใดที่เราอยู่บนถนน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางไปไหนเลย เพราะถนนจะพาเราไปสู่จุดหมายของมัน ”
อาเธอร์พูดขึ้นนั่นเป็นบทเพลงส่วนหนึ่งของพวกนักเดินทาง
“ แต่จุดหมายของมันจะเป็นที่ๆ เราปรารถนาจะไปหรือเปล่าล่ะ ”
คาโลไรน์กระทุ้งเบาๆ นางไม่ชอบที่ต้องเดินทางไปในที่แปลกใหม่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย การที่ต้องเดินทางโดยไร้ซึ่งจุดหมายและไม่รู้ชะตากรรม เป็นโชคชะตาที่น่าหวาดกลัวสำหรับสตรีนางหนึ่ง ตามทุ่งหญ้าเริ่มมีต้นปาล์ม ผุดขึ้นมาให้เห็นบ้างประปราย มันค่อยๆ เลื่อนผ่านพวกเขาไปในขณะที่เกวียนโขยกเขยกไปข้างหน้า ท้องฟ้าสีเข้มขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะจมลงในท้องทุ่งอันไกลโพ้น นกสีดำกลุ่มใหญ่บินตัดผ่านดวงอาทิตย์ไปพลางส่งเสียงร้องแกรกกรากฟิโลโซเฟอร์ได้แต่เฝ้ามองตามด้วยความสนใจ นกพวกนั้นกำลังบินกลับรังนอนในยามอาทิตย์อัสดง แต่เขากลับยังเคว้งคว้างกลางทุ่งหญ้าที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ