โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ข่าวร้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอาเธอร์ยังคงใจลอยอยู่จนไม่ทันสังเกตเห็นม้าตัวหนึ่งเดินใกล้เข้ามา เสียงกีบเท้ากระทบพื้นดังกุบกับๆ อย่างแผ่วเบา ชายชราที่นั่งมาบนหลังม้านั้นอยู่ในสภาพเปียกโชกเสื้อคลุมสีดำลู่แนบลำตัวของเขา หมวกปลายแหลมตกลงมาปิดบังใบหน้ามากกว่าครึ่ง แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะใส่ใจดึงกลับขึ้นไปให้เรียบร้อย อาเธอร์นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งม้าตัวใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาประชิด
“ ท่านดีมีน! นั่นท่านหรือ เป็นท่านใช่หรือเปล่า ”
อาเธอร์อุทานขึ้น
พ่อมดทิ้งตัวลงมาอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง
เขายืนโซเซอย่างน่ากลัวจนอาเธอร์ต้องปราดเข้าไปประคอง
“ ไม่เป็นไรหรอกข้าไม่ได้รับศึกหนักอย่างนี้มานานแล้วอย่าตกใจไปเดี๋ยวคงดีขึ้น ”
คาโลไรน์จัดที่นั่งข้างเตาผิงไว้ให้นางกังวลว่าพ่อมดอาจจะหนาวเกินไป
ชาร้อนถูกนำมาตั้งวางอย่างรวดเร็ว
ฟิโลโซเฟอร์ไปหยิบผ้าห่มส่วนตัวมาส่งให้พ่อมดดีมีนโดยไม่ต้องมีใครบอก
“ ตัวท่านเปียกและอากาศก็หนาวเหน็บข้าจะหาผ้ามาเปลี่ยนให้ ”
คาโลไรน์เสนอ
“ อย่าลำบากเลยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สัตว์ร้ายพวกนั้นดูท่าจะเกินกำลังข้าจริงๆ โชคดีที่มันไม่ผ่านมาทางนี้เพราะข้าคงไล่ตามไม่ทันถ้าเป็นเช่นนั้นโอ้! ข้าไม่อยากนึกภาพต่อเลย ”
“ ไม่ได้มาทางนี้ ท่านหมายถึงอะไรกัน ยังมีตัวอะไรร้ายกาจกว่าฝูงนกดำที่ออกมาเพ่นพ่านแถวนี้หรือ ”
คาโลไรน์ถามเสียงหวั่น
“ ตอนข้าไปถึงอันดอรีสที่นั่นกำลังตกที่นั่งลำบากเจ้าผู้ครองนครก็ไม่อยู่ ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกองทหารเมื่อขาดกษัตริย์ชี้นำก็ระส่ำระสาย ฝูงมังกรดำบุกที่นั่น อันที่จริงมันเคยฉกชาวเมืองไปเป็นอาหารบ่อยๆ แต่คราวนี้มันตั้งใจถล่มเมืองเลยทีเดียว ตอนข้าไปถึงเมืองนั่นก็เห็นกองทัพมังกรบินอยู่เต็มท้องฟ้าแล้วพวกทหารพยายามยิงธนูสกัดไม่ให้มันโฉบลงมา แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยเพราะไม่อาจขับไห้มันออกจากเมือง ธนูหัวเหล็กธรรมดาเจาะเกล็ดมังกรไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้นานกองทหารจะยิ่งเสียขวัญ ข้าจึงสั่งไห้ทหารเผาน้ำมันดิบเป็นม่านบังตาแล้วระดมพลยิงลูกไฟเพื่อผลักดันไห้พวกมันถอยร่นไป แต่แทนที่จะจากไปอย่างสงบพวกมันกลับบินโฉบเข้าไปในป่าดรายแอต หรือที่พวกเจ้าเรียกกันว่าดงมรณะ ปลุกเอานกดำขึ้นมาก่อนที่พวกมันจะบินกลับไปยังเทือกเขาเงาปีศาจที่ๆ เป็นรังของพวกมัน ข้าเห็นแล้วว่าฝูงนกดำมุ่งตรงมาทางนี้แต่ข้าก็ยังมาไม่ทันข้าไม่อาจป้องกันอะไรให้พวกเจ้าได้เลย ”
“ ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย ข้ารู้ว่าท่านทำดีที่สุดแล้ว นี่ถ้าไม่มีท่านป่านนี้ซีนาร์ยคงจะยังอยู่ในดงของสัตว์อุบาตพวกนั้น ”
อาเธอร์พูด
พ่อมดเงยหน้าขึ้นดวงตาของเขามีแวววิตกกังวล
“ อาเธอร์ข้าเกรงว่าเมืองซีนาร์ยจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ชัยชนะของเหล่าภาคีเหนือเมืองคาเลนั้นดูเหมือนเป็นชัยชนะที่น่าเคลือบแคลง ยังมีอำนาจมืดหลงเหลืออยู่อำนาจที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล เมื่อใดที่ความแค้นประทุถึงขีดสุดพวกเจ้าคงไม่โชคดีแน่ หายนะครั้งนี้เป็นแค่การเตือนเท่านั้นสักวันหนึ่งคงต้องรับศึกหนัก หากว่าสภายังคงเพิกเฉยอยู่เช่นนี้ ข้าเคยเสนอให้สภาส่งใครสักคนมาตรวจสอบเหตุวิปริตในดินแดนแถบนี้แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเจ้าคงต้องดูแลตัวเอง ”
“ ท่านจะบอกว่าเมืองชีนาร์ยไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ในฐานะที่เราเป็นตะเข็บชายแดนอย่างนั้นหรือ ”
คาโลไรน์ตกใจ
“ ข้าเสียใจที่ต้องพูดอย่างนั้น ”
“ เหลวไหลน่า โอรีเวียมีหน้าที่ดูแลเมืองทั้งหมดในภาคีมิใช่หรือสภาคิดอะไรอยู่ ”
อาเธอร์ว่า
“ มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นในสภาข้ารู้สึกเช่นนั้น แม้ยังไม่ปรากฏแน่ชัดแต่ผลกระทบเกิดขึ้นแล้วที่ด้านนอก ความจริงคือเมืองซีนาร์ยไม่เคยส่งคนไปร่วมรบในสงคราม นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ชาวเมืองแห่งนี้ถูกมองผ่าน ในกาลก่อนทุกเมืองได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมแต่บัดนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ”
พ่อมดว่า
“ เมืองคาเลก็ถูกทำลายล้างไปแล้ว อำนาจมืดย่อมสูญสิ้นข้าได้ยินมาเช่นนี้ตลอดตั้งแต่ยังเป็นนักรบให้กับโอรีเวีย เมื่อสงครามจบหากเรารบชนะทุกอย่างจะยุติโลกจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ตอนนี้เราก็ชนะแล้วทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่คืออะไร หรือแท้จริงคือลวงตาผู้ชนะหาใช่โอรีเวียไม่ ”
อาเธอร์พูดสิ่งที่ค้างคาในใจ
คำตอบของพ่อมดเฒ่าชวนให้เขาสงสัย ในเมื่อการล่มสลายของเมืองคาเลนั้นเป็นเรื่องจริงที่ปรากฏชัดในหน้าประวัติศาสตร์ แม้เวลาจะผ่านมาเป็นสิบปีผู้คนก็ยังเล่าขานกันไม่จบไม่สิ้น ถึงเมืองเล็กๆ ที่ลึกลับและโดดเดี่ยวในป่าลึกอย่างคาเลสามารถต้านทานกองทัพอันเกรียงไกรของภาคีแห่งโอรีเวียอยู่ได้นานนับปี แม้สุดท้ายจะถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น ชาวเมืองที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นไม่มีใครเหลือรอดพวกเขาต่อสู้จนถึงที่สุด นั่นเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของสภานับตั้งแต่ก่อตั้งโอรีเวียขึ้นมา
“ ข้าไม่รู้และข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าการเปิดศึกกับเมืองคาเลจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อก่อนเราเคยอยู่อย่างสงบ แน่นอนมีการรบพุ่งบ้าง แต่หลังจากเราประกาศสงครามกับเมืองคาเล ทั่วทั้งแผ่นดินก็ไม่เคยอยู่อย่างสงบเลย ยิ่งพอเราได้ชัยชนะที่มาพร้อมกับคำสาปซึ่งยังไม่มีใครลบล้างได้นั่นคงไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นหายนะครั้งใหญ่ บางทีข้าก็คิดว่าสงครามครั้งนั้นไม่ควรเกิด บางทีสภาอาจทำอะไรผิดพลาดพวกเขามักมองข้ามเรื่องเล็กน้อยเสมอ ”
พ่อมดยกน้ำชาที่ทิ้งไว้จนเย็นชืดขึ้นจิบ
อาเธอร์นิ่วหน้าเขายกมือประสานกันอย่างใช้ความคิด
“ เป็นไปได้ไหมสงครามครั้งนั้นอาจมีคนอยู่เบื้องหลังและเรากำลังถูกจูงจมูกอย่างคนโง่ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นบ้างนางปรายตามองบุตรทั้งสองด้วยความกังวล
“ แต่ข้าไม่เห็นว่าจะมีใครได้ผลประโยชน์จากสงครามครั้งนั้น หลังจากสงครามจบลงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมีแต่เรื่องร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ากลัวเหลือเกินไม่รู้ว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ”
“ กษัตริย์แห่งอันดอรีสหายตัวไปอย่างนั้นหรือเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ”
อาเธอร์นึกขึ้นได้
“ ไม่ได้หายไปแบบนั้นหรอกแต่พระองค์เสด็จไปที่ไหนสักแห่งที่เป็นความลับ ข้าเองก็ไม่มีเวลาสืบเรื่องนี้แต่ข้าได้ยินชาวเมืองเล่ากันว่าพระองค์กำลังออกตามหาของวิเศษเจ็ดสิ่งที่สูญหายไป เพื่อที่จะอาศัยพลังของมันล้างคำสาปที่กำลังคุกคามประชาชนอยู่ในตอนนี้ ”
พ่อมดตอบ
“ เรื่องคำสาปนั่นก็หนักหนาอยู่ แต่การที่กษัตริย์แห่งอันดอรีสต้องออกเดินทางเพียงลำพัง ตามหาของวิเศษที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ฟังดูแล้วสิ้นหวังพิกล ”
อาเธอถึงกับเอามือลูบหน้าผากตัวเอง
“ อำนาจของคำสาปแผ่ขยายไปทั่วทุกหย่อมหญ้ารุนแรงและร้ายกาจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นสาเหตุให้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตลงและไม่มีเด็กเกิดใหม่อีกเลยนับจากคำสาปได้ถูกเอ่ยขึ้น แม้เหล่านักเวทจะร่วมมือกันก็ไม่อาจทำลายล้างคำสาปนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้เกิดคำเล่าลืออย่างหนึ่ง คำสาปนี้ร่ายขึ้นโดยอาศัยพลังอำนาจของหนึ่งในของวิเศษในตำนานทั้งเจ็ด ”
พ่อมดเฒ่าเล่าความคิดเห็นของตัวเอง
“ กษัตริย์แห่งอันดอรีสเชื่อตามนั้น แล้วก็ออกตามหาของวิเศษที่เหลือเพื่อล้างคำสาป ”
อาเธอร์ว่าพลางยกชาขึ้นดื่มทีเดียวหมดถ้วย
แล้วยกกาเติมให้ตัวเอง
“ นั่นมันความหวังแบบลมๆ แล้งๆ โดยแท้เลยทีเดียว ”
“ ของวิเศษทั้งเจ็ดช่วยถอนคำสาปได้จริงหรือเปล่า แล้วมันคืออะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความสนใจ
เขากำลังเติมฟืนในเตาผิงคำพูดของผู้ใหญ่เมื่อครู่สะกิดความสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะถามแทรกขึ้น
ผู้เป็นบิดามองดูบุตรชายอย่างไตร่ตรอง
“ ของที่ว่านั้นเป็นเรื่องเล่าในตำนานซาเหวจหลอด ส่วนจะมีอยู่จริงหรือไม่ยังก็ไม่มีใครรู้แน่ อย่าว่าแต่กษัตริย์แห่งอันดอรีสเลยที่ออกตามหามัน ก่อนหน้านั้นก็มีใครต่อใครออกตามหากันมาแล้วแต่สุดท้ายก็พบแต่ความว่างเปล่า ว่ากันว่าความหมายที่แท้จริงของสิ่งวิเศษทั้งเจ็ดคือความหวัง แม้ว่าจะสิ้นหนทางเพียงใดก็ขอให้มีความหวัง คนเราจะมีพลังดิ้นรนสู้ต่อไปไม่สิ้นสุดหากยังมีความหวังอยู่ในใจ ”
อาเธอร์อธิบายถึงตำราบางเล่มที่กล่าวถึงที่มาของสิ่งวิเศษทั้งเจ็ด
“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางทำลายคำสาปได้เลยน่ะสิ ”
เด็กชายทำหน้าเศร้า
พ่อมดยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบทั้งที่ไม่มีชาเหลืออยู่แล้ว
อาเธอร์รีบรินน้ำชาเติมให้
“ มี ยังมีอยู่ทางหนึ่งเป็นช่องที่จอมมารยอมเปิดโอกาสให้คำสาปลบล้างไป แต่เงื่อนไขที่ว่านั่นเป็นไปได้ยากมากและคงไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะหากมันเกิดขึ้นนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งใหญ่ของโอรีเวียเลยก็ว่าได้ คงไม่มีใครอยากแลกเมืองโอรีเวียกับคำสาปเพราะนั่นหมายถึงศูนย์กลางความมั่นคงถูกทำลาย ”
“ อะไรคือเงื่อนไขที่เขาต้องการ ”
นี่เป็นคำถามของอาเธอร์
พ่อมดเงียบไปเขากำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง
“ ยังไม่ใช่ตอนนี้เป็นเพราะข้าไว้ใจพวกเจ้าจึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาที่นี่ ทางสภาไม่ต้องการให้เรื่องเกี่ยวกับคำสาปแพร่งพรายออกไปเพราะว่าจะมีผลกระทบต่อสภาอย่างมาก ถึงอย่างไรสภาก็ต้องหาทางจัดการกับปัญหาจนได้พวกเจ้าอย่ากังวลกับเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของตัวเองเลย ทางที่ดีพวกเจ้าควรจะคิดกันได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป วันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกและข้าคงไม่ได้อยู่ช่วยพวกเจ้าตลอดไปมีเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกินที่ต้องสะสาง ”
เขาลุกขึ้นและเริ่มจัดเสื้อให้เข้าที่
เชือกถักสีขาวตกห้อยจากทางด้านหลังเขารวบกลับมาผูกไว้เช่นเดิม
“ ท่านจะไปแล้วหรือ คาโลไรน์กำลังเตรียมอาหารให้ท่าน ”
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านท้วงขึ้น
“ ข้ายังต้องเดินทางอีกไกล ไหนจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ทางสภาทราบ ไหนจะงานที่ทางสภามอบหมายเวลามีไม่มากแล้ว ”
พ่อมดคว้าไม้เท้าขึ้นมาสำรวจความเรียบร้อย
“ ข้าดีใจที่ลูกชายของเจ้าแข็งแกร่งอย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเจ้าจะได้ไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกในไม่ช้านี้จงจำไว้ว่าโอรีเวียยังต้อนรับพวกเจ้าเสมอ ข้าต้องไปล่ะไม่ต้องส่งหรอก ”
ว่าแล้วเขาก็โฉบออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ครอบครัวของอาเธอร์นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
“ ท่านดีมีนหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ หรือท่านบอกว่าซีนาร์ยจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม ”
แคโลไรน์ถามเสียงแผ่วนางรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวล
ไม่ใช่ว่านางห่วงตัวเองแต่นางเป็นห่วงบุตรทั้งสอง
หากว่าต่อไปต้องเจอกับมรสุมร้ายนางก็อยากหาวิธีให้ลูกๆ ปลอดภัย
อาเธอร์ซุกหน้าลงบนฝ่ามือชายหนุ่มมีหลายสิ่งที่ต้องคิดต้องตัดสินใจ
แต่เขายังไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
“ คาโลไรน์เจ้าจะว่าอย่างไรถ้าเราต้องย้ายไปจากเมืองนี้ ”
ในที่สุดอาเธอร์ก็เอ่ยออกมา
คำถามนี้มันได้ทิ่มแทงตัวเขาเองเพราะเขานั้นไม่อยากกลับไปที่เดิม
ที่ที่เขาหันหลังให้อย่างขื่นขม
“ เราต้องไปหรือคะแล้วเราจะไปอยู่ไหนกันบ้านของเราก็อยู่ที่นี่ แล้วลูกของเราล่ะพวกเขาจะไม่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนหรือ อีกอย่างเราแน่ใจได้อย่างไรว่าที่ๆ เราไปจะไม่เจออะไรแบบนี้ ”
คาโลไรน์รู้สึกตระหนกตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยไปไหนไกลเกินเขตชายแดน
และนางไม่นึกว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่นนอกจากดินแดนอันสงบสุขของซีนาร์ย
“ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าตัวข้าเพียงลำพังคงไม่อาจปกป้องพวกเราทุกคนได้ เป็นเพราะดินแดนของเราอยู่ใกล้กับเขตต้องสาป จึงเชื่อได้ว่าเราตกอยู่ในอันดับต้นๆ ที่จะได้รับผลกระทบหากเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น อีกอย่างโรคประหลาดไร้ทางรักษาที่เกิดเฉพาะกับเด็กๆ นั่นอีก มันเริ่มต้นจากที่ไหนเจ้าก็รู้ดีแล้วอย่างนี้เราจะยอมให้ลูกๆ ของเราเสี่ยงอยู่ต่อ หรือเข้าไปหลบอยู่ในโอรีเวียรอจนกว่าเหตุการณ์ปรกติจึงค่อยกลับมา ”
คาโลไรน์บิดชายผ้าในมืออย่างว้าวุ่นใจ
ด้วยนางเป็นสตรีตามแบบอย่างซีนาร์ยคือรักสงบเรียบง่ายและไม่นิยมการผจญภัย
นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก
“ เมืองโอรีเวียอย่างนั้นหรือไกลเหลือเกิน พ่อแม่ของข้าคงไม่ไปด้วยพวกเขาเองก็แก่ชรามากแล้ว ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าที่นั่นปลอดภัยที่สุด ข้าเองไม่เคยไปเพียงแต่ได้ยินคำล่ำลือเท่านั้น ”
“ เจ้าห่วงใยครอบครัวทางนี้ข้าเข้าใจ แต่เวลาแห่งการตัดสินใจกำลังสั้นลงทุกทีและนั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ข้าพอจะคิดได้ในตอนนี้ เมืองโอรีเวียน่ะเป็นเมืองของนักเวท สร้างโดยพ่อมดเก่าแก่ยุคโบราณเหตุร้ายที่เกิดด้านนอกไม่เคยย่างกรายข้ามกำแพงเมืองเข้าไปได้ เพราะกำแพงเมืองคือเขตอาคมที่แรงกล้าอีกทั้งยังมีนักเวทมากมายอาศัยอยู่ หากเกิดเรื่องขึ้นปัญหาจะได้รับการแก้ไขอย่างเฉียบขาดและทันท่วงที นี่คือสิ่งที่ข้ารู้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นหรือจนกระทั่งบัดนี้ คาโลไรน์ถ้ามีแค่เราสองคนข้าก็พร้อมจะยืนหยัดอยู่ที่นี่ตามความต้องการของเจ้าแต่อย่าลืมลูกของเราสิ พวกเขาต้องได้รับการปกป้องที่ดีกว่านี้ซีนาร์ยไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ”
อาเธอร์ย้ำเตือนนางจึงพยักหน้าช้าๆ อย่างยอมจำนน
“ แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่คะ ”
“ เร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดีฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาแล้ว โอรีเวียอยู่ไกลจากที่นี่มากข้าอยากให้แน่ใจว่าเราจะเดินทางไปถึงเมืองนั่นก่อนที่หิมะลูกแรกจะมา ยิ่งตอนนี้มีเรื่องวิปริตเกิดขึ้นมากมายคงไม่ใช่เรื่องดีหากต้องเผชิญหน้ากับพายุในระหว่างทาง ”
“ ถ้าเช่นนั้นเราควรพร้อมออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เพราะหากรอช้าต่อไปเสบียงที่ยังพอมีอยู่บ้างก็จะหมด ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าไม่อยากคาดหวังว่าเราจะหาอาหารได้ในระหว่างทาง ”
คาโลไรน์ออกความเห็นอย่างเป็นการเป็นงาน
“ โอรีเวียเป็นเมืองใหญ่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งมีโรงเรียนที่เพียบพร้อมที่สุด บรรดาผู้มีอำนาจจากอาณาจักรต่างๆ ล้วนแต่ส่งลูกหลานมาศึกษาหาความรู้ที่นี่ เด็กๆ ของเราก็จะมีโอกาสได้เล่าเรียนกับอาจารย์ที่เปี่ยมความรู้ความสามารถมีเพื่อนต่างถิ่นเพิ่มขึ้นมากมายโลกของพวกเขาจะกว้างขวางขึ้นอีก ถุงทองของพ่อข้าคงช่วยให้เราอยู่ในเมืองนั้นได้อย่างสบายจนพ้นฤดูหนาวหลังจากนั้นเราจะทำฟาร์มกันอีกครั้ง ทุกอย่างที่เราเคยทำในซีนาร์ยจะเกิดขึ้นอีกแม้ในต่างบ้านต่างแดน เมืองโอรีเวียนั้นอาจจะแออัดไปในความรู้สึกของเจ้าเราคงต้องอดทนบ้างนะคาโลไรน์ถึงอย่างไรที่นั่นก็ต้องมีที่ทางสำหรับเราแน่ ”
“ ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอกขอเพียงลูกของเราปรอดภัยข้าทนได้ทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งการเดินทางครั้งนี้เราจะได้ไปคารวะหลุมศพพ่อของท่านด้วย นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีอาจจะเร็วว่าที่ตั้งใจไว้แต่ก็ไม่เสียหายมิใช่หรือ มาเถอะคาโอเรียมาช่วยกันเก็บข้าวของ หากว่าพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางเราก็ต้องเตรียมตัวเสียแต่เดียวนี้ ”
โลไรน์ลุกขึ้น
อาเธอร์จึงลุกขึ้นบ้าง
“ เราจะไม่ย้ายบ้านคาโลไรน์ จงขนไปเฉพาะของที่จำเป็นจริงๆ เอาล่ะเด็กๆ มาช่วยกันเก็บข้าวของเร็วเข้า พ่อต้องไปแจ้งข่าวนี้ให้ตากับยายของพวกเจ้าได้รู้ บางทีพวกเขาอาจต้องการร่วมเดินทางไปกับพวกเรา ”
ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับลูกๆ ของเขาทั้งสองคน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ