โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) วันเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อาเธอร์ติดโคลงประทุนเข้ากับตัวเกวียนอย่างแน่นหนา   ฟิโลโซเฟอร์ช่วยเขาตรึงผ้าอาบน้ำมันบนหลังคาเกวียนเพื่อกันแดดกันฝน   ของใช้บางอย่างเริ่มทยอยขึ้นไปอยู่บนนั้น

 

คาโลไรน์จัดเรียงเสบียงสำหรับการเดินทางไว้ด้านในด้วยความระมัดระวัง   แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับการขนของเล่นของคาโอเรียออกไป   เด็กหญิงพยายามขนสมบัติทุกชิ้นของนางไปด้วย   อาเธอร์ต้องให้คำรับรองว่าจะหาให้ใหม่หลังจากไปถึงโอรีเวียแล้วนางจึงยอมหยุด   แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมหยิบหินวิเศษของพ่อมดใส่กระเป๋าไปด้วย   ก่อนตะวันตกดินเกวียนเล่มนั้นก็อยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง   

 

อาเธอร์จูงแม่วัวสีแดงไปมอบให้กับมารดาของคาโลไรน์ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขานัก   วัวตัวนี่เขาได้รับเป็นของขวัญในวันแต่งงานตอนนั้นมันยังไม่หย่านมเสียด้วยซ้ำเขาจึงรักมันมากแต่การจะพาวัวตัวใหญ่เดินทางไปด้วยก็ออกจะยุ่งยากเกินไป   เขาจึงตัดสินใจมอบมันให้แก่มารดาของคาโลไรน์และหวังว่ามันจะมีประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้

           

 

ในเย็นวันนั้นคาโลไรน์ทำอาหารอย่างสุดฝีมือ   ไก่งวงอบยัดไส้มันฝรั่งแถมท้ายด้วยผลไม้เชื่อมอีกคนละชาม   นางให้เหตุผลว่าต้องมีการฉลองสำหรับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อเป็นการอวยพรว่าต่อจากไปนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น   แต่คืนนี้เป็นการฉลองที่เศร้าหมองเพราะไม่มีใครมาร่วมรับประทาน   ท่ามกลางอาหารแสนอร่อยมีเพียงพวกเขาสี่คน  

 

ฟิโลโซเฟอร์ถือธนูไม่ยอมวาง   จนบิดาของเขาเตือนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่เดินทางทั้งที่ยังมืดอยู่   ขอให้เอาธนูไปเก็บเสียแล้วก็รีบเข้านอน

 

  

            แม้คนอื่นจะเข้านอนจนหมดแล้วแต่อาเธอร์ก็ยังคงนั่งอยู่หน้าตะเกียง   เขากำลังสำรวจดาบประจำกายของเขามันเป็นอาวุธชั้นดีที่เคยติดตามเขาไปทุกที่ร่วมรบกันมาแล้วทุกสงคราม   ดาบเล่มนี้เป็นสมบัติที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนมันมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน   บิดาของเขามอบให้เขาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ในโอรีเวีย   เขาจะรู้สึกฮึกเหิมและกระหายชัยชนะเสมอที่ได้ถือดาบเล่มนี้ในมือ   แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่ซีนาร์ยเขาก็ไม่ได้ชักมันออกจากฝักอีกเลย

 

 

            คาโอเรียยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืดนางนอนไม่หลับบางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนนางอยู่   บางครั้งเหมือนได้ยินเสียงคร่ำครวญดังแว่วมาจากที่ไกลๆ  บางครั้งเหมือนมีเกวียนบรรทุกของหนักวิ่งผ่านหน้าบ้าน   นางนอนกระสับกระส่ายอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว   ในห้วงของการหลับใหลพื้นเตียงดูเหมือนจะสั่นสะเทือน   เด็กหญิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านแต่อย่างใดหากแต่อยู่ในเกวียนที่กำลังวิ่งฝ่าความมืดไปเพียงลำพัง   นางลุกนั่งอย่างมึนงงเกวียนเล่มนี้มิได้ติดประทุนอย่างเมื่อวาน   หากแต่เป็นเกวียนเปล่าๆ หลังคาเปิดโล่งจนมองเห็นดวงดาวระยิบระยับที่แต่งแต้มบนท้องฟ้าที่มืดดำ   เสียงฝีเท้าของม้าดังหนักๆ อยู่หน้าเกวียน   นางมองเห็นม้าตัวใหญ่แต่ผิวหนังเปื่อยยุ่ยกำลังวิ่งพาเกวียนไปโดยไร้คนบังคับ   เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่ม้าคู่ชีพของบิดา

 

“ โอ! ท่านแม่ท่านอยู่ไหนน่ะ ”

 

คาโอเรียเริ่มร้องไห้ม้าสองตัวยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า   มุ่งสู่เทือกเขาที่เห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางและบิดเบี้ยวมันคือเทือกเขาเงาอสูรนั่นเอง   เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัวกับภาพที่เห็นนางจะไปที่นั่นตามลำพังได้อย่างไรกัน   คาโอเรียตะกายข้ามเกวียนไปนั่งประจำที่คนขับ   นางพยายามดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งด้วยมืออันสั่นเทาแต่ม้ากลับทะยานขึ้น   พวกมันกางปีกออกกลายร่างเป็นนกดำขนาดใหญ่แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป   ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมนางได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆ นกดำยักษ์หายวับไปทันที   เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ ร่วงลงมาช้าๆ สองมือไขว่คว้าหาที่ยึด   มีมือข้าหนึ่งยื่นมาจับนางไว้

 

“ ตื่นได้แล้วแม่ตัวยุ่ง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ปลุกด้วยเสียงอันดัง

เขาออกแรงฉุดน้องสาวขึ้นมาจากเตียงทั้งที่ฟ้ายังไม่สาง

 

“ อย่าขี้เซานักสินี่กะจะตื่นอีกทีตอนถึงโอรีเวียแล้วหรือไง ”

 

“ อย่าแกล้งน้องสิลูก ”

 

คาโลไรน์ร้องเตือนมาจากครัว

 

คาโอเรียนั่งทำตาปริบๆ เมื่อรับรู้ว่ามิได้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในความมืดมิดนางก็โผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น 

เด็กชายแสดงอาการประหลาดใจอย่างเปิดเผย

 

 “ เฮ้! นั่นอารมณ์ไหนของเจ้าน่ะอย่าเพิ่งงอแงตอนนี้นะ ”

 

“ ข้าฝันร้าย   ฝันร้ายก่อนเดินทางมันเป็นลางไม่ดีพี่ก็รู้   ข้ากลัวจัง ”

 

“ โธ่เอ๋ยนึกว่าเรื่องอะไร   คาโอเรียเจ้าตั้งสตินะแล้วมองไปรอบๆ เจ้าไม่ได้ฝันร้าย   แต่หายนะมันเกิดขึ้นจริงทั้งหมดนี่คือความจริงแท้และเจ้าไม่ได้ฝันไป ”

 

“ ข้าฝันว่าข้ากำลังเดินทางด้วยม้าของยมทูต ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เอามือรีบปิดปากน้องสาว

 

“ อย่าพูดให้ท่านแม่ได้ยินตกลงไหม   ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว   เจ้าก็เห็นนี่ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น   ที่ข้าพูดไม่ใช่ว่าข้าอยากไปโอรีเวียแต่เราจำเป็นต้องไปจริงๆ และพวกเราทุกคนต่างก็มีฝันร้ายเพราะภาพติดตาเหล่านั้น   เจ้าอย่ากังวลไปเลยมันไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ”

 

“ แต่ข้ากลัวนี่ ”

 

นางว่าพลางกอดหมอนแนบอก

 

“ ข้าจะปกป้องเจ้าเองถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้  ”

 

 

ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากเส้นขอบฟ้าเห็นเพียงแสงสีแดงตัดผ่านท้องฟ้าทางทิศตะวันออก   คาโลไรน์จับบุตรสาวมาแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด   มันเป็นผ้าฝ้ายสีม่วงเนื้อดีตัดเย็บเข้ารูปกระโปรงบานพลิ้วติดลูกไม้ที่ปกเสื้อและรอบเอว   ผ้าลูกไม้นี้แคโลไรน์ถักขึ้นมาเองกับมือแม้ตามท้องตลาดจะมีขายแต่ราคาแพงมาก   

 

ส่วนตัวแคโลไรน์เองก็เลือกชุดที่ใหม่ที่สุด   เนื้อผ้าแคชเมียร์สีน้ำเงินเข้มติดกระดุมลูกปัดสีเดียวกับลูกแบลกเบอร์รี่เรียงเป็นแถวยาวผ่ากลางหลัง   เสื้อแขนยาวรัดตึงเน้นสัดส่วน   ผมของนางเป็นสีทองแต่ซีดจางกว่าบุตรสาวนางขมวดผมพันขึ้นไปแล้วคาดทับด้วยผ้าลูกไม้สีดำ 

           

 

อาเธอร์เดินกลับเข้ามาในห้องเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการตรวจความเรียบร้อยของม้า   พอเห็นคนทั้งสองเขาก็ชะงักค้างแคโลไรน์ดูสดใสขึ้นมาก   หลังจากสองสามวันมานี้ที่นางเอาแต่นั่งเหม่อปล่อยให้ผมเผ้ารุงรังแต่กระนั้นอาเธอร์ก็ยังเห็นว่านางงดงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน

 

“ อาเธอร์คะ   ข้ามีช็อคโกแลตร้อนกับบิสกิตสองสามชิ้น   ท่านทานไปก่อนก็แล้วกัน ”

 

นางชี้ไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะหันกลับมาสาละวนกับเสื้อผ้าที่ยังไม่เข้าที่ดี

 

“ ฟิโลโซเฟอร์ล่ะ ”

 

เขาถามพลางเดินไปที่โต๊ะอย่างว่าง่าย

 

“ เมื่อกี้ยังจัดของอยู่บนเตียงอยู่เลยไปไหนเสียล่ะ ”

 

“ ช่างเถอะเขาคงไม่ไปไหนไกลกว่าโรงนาหรอก ”

 

อาเธอร์พูดเขาเริ่มจัดการกับอาหารในส่วนของตัวเองเงียบๆ

 

 

            คาโลไรน์ผูกเชือกยึดหมวกที่ใต้คางให้กับคาโอเรียอย่างแน่นหนาก่อนจะส่งนางขึ้นบนเกวียน   ส่วนฟิโลโซเฟอร์ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวบ้าน   ในขณะทีอาเธอร์ตรวจสอบความเรียบร้อยของบานประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย   เขาดึงม่านสีฟ้าลงมาปิดกระจกเพื่อว่าหากมีคนภายนอกผ่านมา   จะได้มองไม่เห็นความเป็นไปของบ้านหลังนี้

 

“ เราจะไปกันแล้วนะ ”

 

เขาหันไปเรียกบุตรชาย

 

คาโลไรน์ยังคงยืนอ้อยอิงอยู่กับที่สายตาของนางจับจ้องไปทางท้ายเนิน

 

“ พวกเขาคงมาส่งเราไม่ได้ทุกต่างมีภาระต้องทำ   อีกอย่างหนึ่งข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่อยากเห็นการจากไปของเรามากนักหรอก ”

 

อาเธอร์รู้ดีว่านางกำลังมองหาญาติพี่น้องของนาง   เมื่อเห็นคาโลไรน์ขึ้นไปนั่งประจำที่ด้านหน้าเกวียนเขาจึงหันไปร้องเตือนฟิโลโซเฟอร์อีกครั้ง   เด็กชายรีบปีนขึ้นไปประจำที่ข้างน้องสาวอย่างกระตือรือร้น   อาเธอร์ปิดประตูลงกลอนแน่นหนาเขาซ่อนลูกกุญแจไว้ใต้หินก้อนใหญ่ก่อนจะจากมา

 

ขณะนี้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้วแต่ยังทอแสงสีแดงลงบนก้นเมฆสีดำคล้ำ

คาโลไรน์ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรองรับเอาแสงอาทิตย์

 

“ ขอเทพแห่งดวงตะวันจงปกป้องเราไปจนสุดทาง ”

 

นางกล่าวเสียงดังพอได้ยินกันทุกคน

 

“ แล้วตอนกลางคืนล่ะท่านเทพแห่งแสงอาทิตย์จะว่างมาคุ้มครองเราหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงซุกซน

 

“ นี่แหนะมันใช่เวลามาพูดอย่างนี้หรือ ”

 

นางตำหนิเสียงเข้ม

เด็กชายจึงเงียบเสียงไปและนั่งลงอย่างสงบ

อาเธอร์เพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วกระตุกเชือกให้ม้าออกเดิน

 

 

เมื่อเกวียนเคลื่อนตัวออกไปบ้านดอกเห็ดก็ถอยห่างออกไปด้านหลัง   และดูเหมือนว่าจะหดเล็กลงเรื่อยๆ แสงแดดจับกรอบหน้าต่างทอประกายวาววับ   เหมือนบ้านหลังนี้กำลังมองดูนายที่กำลังจากไปทิ้งมันไว้โดดเดี่ยวกลางทุ่งโล่ง   มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายของมันจะจากไปนานแค่ไหนจะกลับมาเมื่อไหร่หรืออาจจะไม่มีวันได้หวนกลับมาอีกเลย   

 

คาโลไรน์อยู่เคียงข้างอาเธอร์นางพยายามนั่งอย่างสงบ   ไม่ยอมหันกลับไปมองบ้านหลังน้อยนั้นอีก   นางรู้สึกหดหู่และเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก   

 

เบตตี้กับเบตเตอร์ม้าแกลบคู่ชีพของพวกเขาพาเกวียนมุ่งหน้าสู่กัลป์ทีลอท   เมืองเล็กๆ แถบชายป่าซีดาร์   ล้อเกวียนบดลงไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยซากแห้งกรังของหนอนสีดำ   ทุ่งหญ้าแห่งนี้ถูกพวกมันขยี้จนแทบไม่เหลืออะไร

 

“ นี่เราต้องไปจริงๆ หรือ ”

 

คาโอเรียถาม

นางรู้สึกเศร้าเมื่อคิดไปถึงว่าวันพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังเดิมอีกแล้ว

 

ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบเขาจ้องมองหลังคาบ้านที่กำลังจะลับจากสายตา   ทุ่งหญ้าแถบนี้เคยสูงท่วมไหล่ของเขามีกระต่ายป่ามากมายแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า   เด็กชายนึกถึงวันเวลาที่เขาเคยไล่จับกระต่ายพวกนั้นอะไรบางอย่างกระตุ้นให้เขาคิดไปว่า   พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนั่นทำให้เขาใจหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ   ถึงแม้เขาจะเคยบอกว่าอยากไปโอรีเวีย   แต่ที่นี่คือบ้านของเขา   ตอนนี้ทั้งทุ่งไม่มีหญ้าเหลืออยู่กระต่ายป่าก็ไม่มีให้เห็นเช่นกัน   พวกมันหนีไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันกันแน่

 

เจ้ากระต่ายลูกระโดดขึ้นมาบนตักของเขา   ดวงตาสีส้มอบอุ่นจ้องมองดูเขาด้วยความรัก   เด็กชายจึงวางมือลงบนหัวของมันอย่างอ่อนโยน

 

“ ความจริงเจ้านี่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ”

 

เขาพูดขึ้น

 

“ ถ้าเกิดวันไหนต้องอดอยากขึ้นมามันคงช่วยประทังชีวิตไปได้สักมื้อล่ะน่า ”

 

คาโอเรียรีบกระชากมันไปจากมือของเขาโดยเร็วนั่นทำให้เด็กชายหัวเราะชอบใจ

 

 

            อาเธอร์ขับเกวียนมาตามทาง   เขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่บนเนินสูง   เด็กคนนั้นจ้องมองมาที่เกวียนของเขาในมือข้างหนึ่งถือมีดเล่มเล็ก   ครู่ต่อมาเด็กคนนั้นได้วิ่งลงจากเนินพุ่งตรงมาที่ถนน   อาเธอร์ที่ระวังอยู่แล้วจึงบังคับม้าให้หยุด   ม้าทั้งสองทะยานขึ้นก่อนกระแทกเท้าลงห่างจากที่เด็กชายยืนอยู่เพียงก้าวเดียว

 

“ โว้!   เจ้าหนูทำแบบนี้ไม่ได้นะมันอันตราย ”

 

อาเธอร์ทำเสียงดุ

 

“ จริงทีเดียว   คราวหน้าคราวหลังอย่าได้เที่ยวขวางหน้าม้าตัวที่กำลังวิ่งอีกล่ะ   ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเหตุใดจึงวิ่งพรวดพราดออกมาแบบนี้ ”

 

คาโลไรน์ถาม

 

“ ข้าจำม้าสองตัวกับเกวียนเล่มนี้ได้แม้มองจากที่ไกลๆ ”

 

เด็กชายตอบพลางหอบหายใจ   เขาเอามือกดซี่โคลงพลางนิ่วหน้าเพราะเหนื่อยจากความเร่งรีบ

 

“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าอยู่บนนั้นใช่หรือไม่   นี่เจ้าคิดจะจากไปโดยไม่ล่ำลาข้าเลยหรือ ”

 

เขาพูดด้วยเสียงอันดัง

 

ฟิโลโซเฟอร์กระโดดลงมาจากด้านท้ายของเกวียนตามด้วยคาโอเรีย

เด็กชายทั้งสองต่างโผเข้ากอดกัน

 

“ คงจะจริงอย่างที่ข้าหวาดกลัวสินะ   เจ้ากำลังจะทิ้งเมืองนี้ไปเหมือนคนพวกนั้น ”

 

เขาต่อว่าเมื่อคลายมือจากกันแล้ว

 

“ เรากำลังจะไปเยี่ยมญาติต่างหากล่ะ   ในเวลานี้อาจฟังดูประหลาดแต่ความจริงคือทั้งฟิโลโซเฟอร์และคาโอเรียยังไม่เคยเห็นบ้านเกิดของบิดา   นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา ”

 

คาโลไรน์พูดเสียงอ่อนโยน

 

“ หมายความว่าพวกเจ้าจะกลับมา   แต่เมื่อไหร่กันล่ะ ”

 

น้ำเสียงของเด็กชายคนนั้นบอกถึงความไม่เชื่อใจ   เขาได้เห็นความเป็นไปของเมืองนี้และเขารู้ว่านั่นคือการอพยพ   ผู้คนมากมายที่เขารู้จักพร้อมกับเกวียนบรรทุกของเต็มลำ   คนพวกนั้นต่างเดินทางขึ้นเหนือ

 

“ ข้าเองก็หวังว่าจะไปไม่นานน่ะโรเซน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบ

 

“ เอาเถอะข้าไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องเจ้าจะกลับมาหรือไม่   แต่ช่วยบอกหน่อยจุดหมายของเจ้าคือที่ใด ”

 

โรเซนถาม

 

“ โอรีเวีย ”

 

เด็กชายคนนั้นผงะทำตาโต

 

“ โห   ว้าวโอรีเวียข้าเคยได้ยินชื่อมันเป็นเมืองที่สุดยอด   เจ้าไปที่นั่นก็ดีแล้วข้าเองก็...    สักวันข้าก็จะไปที่นั่นถ้าหากพวกเจ้าไม่กลับมา ”

 

“ แล้วครอบครัวของเจ้าหล่ะไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นสักพักหรือ ”

 

อาเธอร์ถามขึ้นบ้าง

 

“ ตัวข้าคนเดียวสามารถพาท่านแม่ไปได้   แต่เราทิ้งท่านพ่อที่ป่วยหนักไม่ได้   แม้ท่านพ่อจะย้ำเตือนให้พวกเราหนีไปให้ไกล   แต่ข้ากับท่านแม่ทำไม่ลงจริงๆ ”

 

โรเซนตอบเสียงเศร้า

 

“ ไม่เป็นไรหรอกเมืองซีนาร์ยจะต้องปรอดภัยสภาแห่งโอรีเวียรู้เรื่องนี้แล้ว ”

 

อาเธอร์ปลอบ

 

“ เมื่อครู่ข้านั่งทำสิ่งนี้อยู่บนเนินข้ามั่นใจใจว่าถ้าพวกเจ้าจะไปต้องผ่านมาทางนี้ ”

 

เขายื่นตุ๊กตาไม้แกะสลักออกมา

 

“ นี่ให้ข้าหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามสีหน้าประหลาดใจเพราะดูมันไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย   เด็กผู้ชายกับตุ๊กตาไม้

 

“ ของคาโอเรียต่างหากข้าเห็นนางอยากได้   ตั้งใจทำให้นางตั้งนานแล้วแต่ดูเหมือนข้ามีเรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน   และข้าอยากจะบอกว่าวันนี้เจ้างดงามมากคาโอเรีย ”

 

ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงเบาหวิว

 

“ เจ้าทำนี่ด้วยตัวเองหรือ ”

 

เด็กหญิงถามสายตาจับจ้องที่ตุ๊กตาไม้มันถูกและขึ้นอย่างหยาบๆ และเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว

 

“ ข้านั่งทำตั้งแต่เย็นวานแล้วมันก็ยังไม่เสร็จเสียที   แต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วเจ้าก็รับไปเถอะ ”

 

คาโอเรียถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วส่ายหน้า

 

“ ข้าจะยังไม่รับจนกว่ามันจะเสร็จสมบูรณ์ ”

 

“ จริง   เจ้ามีเวลาถมเถน่าข้าบอกแล้วว่าข้าจะกลับมา   และเจ้าจะรออยู่ที่นี่เชื่อใจกันหน่อย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอกมือข้างหนึ่งวางบนไหล่เพื่อนชาย

 

“ ใช่เราจะต้องพบกันอีก   ข้าแค่ไปเที่ยวและจะมีของฝากมาให้เจ้าด้วย   ตอบแทนตุ๊กตาตัวนี้อย่างไรล่ะ   อ้อ! ข้าลืมบอกไปขลุ่ยไม้ที่เจ้าทำให้   ข้านำติดตัวไปด้วยแต่ยังเป่าไม่เป็นเลยเจ้าต้องเป็นอาจารย์ให้ข้าด้วยล่ะ ”

 

เด็กชายคนนั้นกำตุ๊กตาแน่นในมือข้างหนึ่ง

 

“ พวกเจ้าจะกลับมา ”

 

เขามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหดหู่

 

“ ใช่   พวกเจ้าคงได้กลับมาจริงๆ”

 

โรเซนพึมพำด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่สิ้นหวัง

 

“ ขอโทษด้วยนะโรเซนแต่พวกเราต้องไปกันแล้วทางข้างหน้ายาวไกลเหลือเกิน ”

 

คาโลไรน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ ครับ ”

 

ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่กลับดึงแขนฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ

 

“ ดูแลตัวเองด้วย ”

 

โรเซนกระซิบ

 

“ แน่นอนเจ้าเองก็เช่นกัน ”

 

“ ฝากดูแลนางด้วย ”

 

เขาลดเสียงลงอีกหางตาชำเลืองมองเด็กหญิงผมทองที่ปีนกลับขึ้นไปบนเกวียน

 

“ อ้า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางมองตามสายตาของเพื่อนมึนๆ งงๆ แต่แล้วก็เหมือนจะเข้าใจ

 

“ ไม่ต้องห่วงนางเป็นธุระของข้าอยู่แล้ว ”

 

เขาแยกเขี้ยวตอบ

 

เด็กชายคนนั้นใช้กำปั้นทุบไหล่ของฟิโลโซเฟอร์หนักๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้าไปนะ ”

 

โรเซนไม่ตอบเขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง  

เด็กชายตัวน้อยจึงเดินจากมาและปีนขึ้นบนเกวียน

 

“ ขอให้เทพแห่งแสงตะวันคุ้มครองพวกเจ้าไปจนสุดทาง ”

 

เพื่อนคนนั้นพูดมาพอได้ยินใบหน้าเศร้าหมองยังคงก้มดูพื้น

 

ฟิโลโซเฟอร์อ้าปากเหมือนจะพูดคำล้อเลียนแต่แล้วก็หุบปากลงรอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า

 

“ ขอบใจ ”

 

เขาพึมพำเบาๆ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเดินทางอย่างสนุกสนานแล้วแต่ดูท่าคงฝืนไม่ไหว   โรเซนเป็นเพื่อนที่เขาคุ้นเคยที่สุดในซีนาร์ย   เป็นคู่มือซ้อมดาบที่ดีมาก   พวกเขาเคยสัญญากันว่าวันหนึ่งจะเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน   แต่วันนี้คนหนึ่งต้องเดินทางไกลไม่รู้อนาคต   อีกคนยังอยู่ที่นี่อย่างไร้ชะตากรรม      

 

 

เกวียนยังมุ่งตรงไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปไม่ทำไห้ภูมิทัศเปลี่ยนไปเลย   ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่สภาพที่ตายซากความเสียหายนั้นกินบริเวณกว้าง   พวกเขาหยุดพักเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อรับประทานอาหารเท่านั้น   บรรยากาศรอบกายนิ่งสนิทราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวยกเว้นขบวนเกวียนของพวกเขา

   

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จอาเธอร์ก็เร่งออกเดินทางทันที   เขาไม่อยากติดอยู่ในสถานที่แบบนี้นานนักหรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปไกลที่สุด   ตลอดระยะเวลาการเดินทางพวกเขาแทบไม่พูดคุยกันเลย   บางครั้งพวกเขาก็นึกสงสัยว่าทั่วทุกแห่งอาจจะมีสภาพเหมือนซีนาร์ยคือเต็มไปด้วยการทำลายล้าง   

 

เกวียนลำน้อยมุ่งหน้าไปตามทุ่งร้างอันว่างเปล่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมากแล้ว   พวกเขาพ้นแนวชายแดนของซีนาร์ยมาได้สักระยะภูมิประเทศเริ่มจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น   ความเสียหายของพื้นดินที่พอมองเห็นได้ก็น้อยลงเหลือเพียงร่องรอยปลายเล็บมัจจุราชเท่านั้น

 

 

และแล้วการเดินทางของพวกเขาก็ได้มาถึงจุดปลายแห่งแสงสว่าง   ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีการกัดแทะของหนอนปีศาจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นเพียงรอยดำเล็กๆ ตามขอบใบพอให้มองเห็น   ม้าทั้งสองวิ่งฝ่าเข้าไปในดงหญ้าอย่างร่าเริงกลิ่นหญ้าสดหอมอ่อนๆ โชยมาแตะจมูก

  

ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้คาโอเรียดูดอกไม้สีเหลืองสดสวยที่ผุดขึ้นกลางกอหญ้า   ผีเสื้อหลากสีบินเรี่ยไปตามพื้นอย่างไม่รีบร้อนพวกเขาหยุดกลางทุ่งหญ้าเพื่อให้ม้าที่เหน็ดเหนื่อยได้พักเล็มหญ้าสดกันตามใจชอบ   อาเธอร์ถอนหญ้าออกเป็นวงกลมเพื่อให้ได้พื้นที่ในการก่อไฟ   แคโลไรน์ต้มถั่วเขียวจนเปื่อยแล้วปรุงรสด้วยเนื้อเค็มและน้ำส้ม   พวกเขารับประทานอาหารร่วมกันในหม้อเล็กๆ เพื่อจะได้ประหยัดน้ำในการล้าง

 

 

            อาเธอร์มองสำรวจภูมิประเทศรอบกาย   เขากำลังคิดหาเส้นทางที่จะมุ่งตรงสู่ตัวเมืองกัลป์ทีลอทได้เร็วที่สุด   ตั้งใจว่าถึงอย่างไรคืนนี้ต้องเข้าไปพักแรมในเมืองให้ได้   แม้ฟิโลโซเฟอร์อยากค้างแรมเสียที่นี่เพราะนานๆ ทีจะได้ออกมานอนกลางแจ้งแต่อาเธอร์ไม่เห็นด้วย   เขาเคยได้ยินมาว่าถิ่นนี้ยังมีหมาป่าหลงเหลืออยู่เขาจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของเขานอนอยู่ที่โล่งแจ้งในขณะที่มีสัตว์ร้ายเพ่นพ่านอยู่เป็นแน่

 

 

            พวกเขาเก็บของขึ้นเกวียนและพร้อมออกเดินทางในเวลาต่อมา   เกวียนเล่มน้อยฝ่าไปตามพงหญ้าที่สูงชันคาโอเรียยื่นคอออกไปมองหญ้าที่ล้มตัวลงตามทางเกวียนก่อนจะดีดตัวขึ้นอีกครั้ง   บรรยากาศรอบกายทำให้จิตใจที่เคยหดหู่กลับมาสดใสดังเดิม   แม้อากาศยามนี้จะเย็นยะเยือกแต่นั่นเป็นเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว   นางยืดตัวอยู่อย่างนั้นจนพี่ชายของนางต้องลากกลับเข้าไปข้างใน  

 

“ นั่งดีๆ สิถ้าเกิดหลับแล้วหล่นลงไปจะเป็นอย่างไร ”

 

เด็กชายบ่นอย่างมีอารมณ์

 

เกวียนยังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก   ความอึมครึมเริ่มโอบล้อมเข้ามาจากทุกด้าน   ในขณะที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง   อาเธอร์กำลังนึกสงสัยว่าเขาต้องขับเกวียนฝ่าพงหญ้าไปอีกนานเท่าใด   ถนนสายเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขารีบเลี้ยวไปตามถนนสายนั้นทันที

 

“ ตราบใดที่เราอยู่บนถนน   ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางไปไหนเลย   เพราะถนนจะพาเราไปสู่จุดหมายของมัน ”

 

อาเธอร์พูดขึ้นนั่นเป็นบทเพลงส่วนหนึ่งของพวกนักเดินทาง

 

“ แต่จุดหมายของมันจะเป็นที่ๆ เราปรารถนาจะไปหรือเปล่าล่ะ ”

 

คาโลไรน์กระทุ้งเบาๆ นางไม่ชอบที่ต้องเดินทางไปในที่แปลกใหม่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย   การที่ต้องเดินทางโดยไร้ซึ่งจุดหมายและไม่รู้ชะตากรรม   เป็นโชคชะตาที่น่าหวาดกลัวสำหรับสตรีนางหนึ่ง   ตามทุ่งหญ้าเริ่มมีต้นปาล์ม ผุดขึ้นมาให้เห็นบ้างประปราย   มันค่อยๆ เลื่อนผ่านพวกเขาไปในขณะที่เกวียนโขยกเขยกไปข้างหน้า   ท้องฟ้าสีเข้มขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะจมลงในท้องทุ่งอันไกลโพ้น   นกสีดำกลุ่มใหญ่บินตัดผ่านดวงอาทิตย์ไปพลางส่งเสียงร้องแกรกกรากฟิโลโซเฟอร์ได้แต่เฝ้ามองตามด้วยความสนใจ   นกพวกนั้นกำลังบินกลับรังนอนในยามอาทิตย์อัสดง   แต่เขากลับยังเคว้งคว้างกลางทุ่งหญ้าที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา