โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.63K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
78) วันพักผ่อน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในทุกๆ เช้าอาเธอร์จะนั่งเกวียนออกไปนอกเมืองตามลำพัง แต่มีบางครั้งที่เขาติดเอาคนในครอบครัวมาด้วย ตอนนี้เขาเริ่มขุดหลุมลึกเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่พอสมควร เพื่อทำเป็นห้องใต้ดินไว้เก็บเสบียงและเตรียมไว้เผื่อมีมังกรมาเยี่ยมเยือน หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึงคนในบ้านคงไม่ถูกย่างสดจนสุก ใจหนึ่งก็อยากทำบ้านทรงดอกเห็ดเหมือนเช่นเคยทำที่ซีนายร์ แต่เขาไม่รู้จะไปหาหินมากมายอย่างนั้นมาจากที่ไหน ดินที่ขุดขึ้นมาได้เขาจัดการโกยไว้รอบๆ เพื่อยกตัวบ้านให้สูงขึ้น ในวันที่มีฟิโลโซเฟอร์ตามมาด้วย สองพ่อลูกจะช่วยกันขนซุงออกจากป่ามากองเตรียมไว้
หลังจากทำห้องใต้ดินเสร็จเขาก็ขุดเอาดินเลนที่ได้จากทะเลสาบหลังบ้าน ผสมเข้ากับเศษไม้เศษหญ้าแห้งแล้วเทราดลงบนพื้นเกลี่ยให้สม่ำเสมอทำเป็นพื้นบ้าน พอดินแห้งมันก็จะเรียบแน่นและแข็งแรงเมื่อพื้นที่ราดไว้แห้งดีแล้วเขาจึงจะเอาท่อนซุงมาเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นผนังยึดซุงไว้ด้วยตะปูเหล็กกล้า หนุ่มใหญ่ผู้เป็นอดีตทหารเมืองโอรีเวียทำงานอย่างหนัก ท่ามกลางอากาศเย็นจัดแม้จะมีแสงแดดส่องลงมา
ในคืนหนึ่ง มีหิมะตกลงมาอย่างหนักพื้นถนนหน้าบ้านหิมะสูงถึงเข่า โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดเด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียน มันจึงเป็นวันหยุดที่หดหู่ผู้คนก็ไม่อยากออกจากบ้าน
“ อาเธอร์คะ วันนี้หยุดงานสักวันก็ดีหรอก อย่าออกไปนอกเมืองเลยนะ ”
เสียงคาโลไรน์ดังมาจากในห้องครัวที่อบอุ่น
เมื่อเห็นว่าอาเธอร์เสร็จกิจจากการเก็บกวาดหิมะออกจากถนนหน้าบ้าน
แล้วยังเตรียมเกวียนจะออกไปข้างนอกอีก
“ ข้าไปคนเดียวก็ได้ อากาศแบบนี้ไม่คิดจะพาพวกเจ้าไปผจญความหนาวด้วยหรอก ”
อาเธอร์บอก
“ ตัวท่านเองก็ไม่ควรไป อากาศอย่างนี้ข้าเกรงว่าท่านจะแข็งตายท่ามกลางพายุเสียมากกว่า ”
“ อย่าห่วงไปเลยรีเวียไม่เคยเจอพายุหิมะมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ”
“ ถึงอย่างไรข้าก็อยากให้ท่านพักผ่อนบ้าง โหมงานหนักมาหลายวันแล้ว ”
เสียงของนางดุแกมบังคับ
“ ก็ได้ๆ วันนี้ข้าหยุดก็ได้ แต่ยังไงก็ขอไปเยี่ยมเพื่อนหน่อยแล้วกัน ไม่ได้เจอหลายวันไม่รู้มีข่าวใหม่ๆ อะไรเพิ่มหรือเปล่า ”
อาเธอร์ยอมแพ้
เขาย้อนกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นเติมถ่านหินเพิ่มลงในเตาผิง
แล้วหยิบกาต้มน้ำขึ้นมาแขวนบนตะขอเหนือเตา
คาโอเรียกำลังอ่านหนังสือว่าด้วยนิทานพื้นบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั้นสำรวจดูดาบไม้ที่ได้มาใหม่ด้วยความพึงพอใจ
เขาเพิ่งทำดาบเก่าหักไปเพราะเผลอฟาดกับแท่งเหล็กเข้าให้
ความร้อนจากเตาผิงกระจายมาถึงพวกเขาพอสบายตัว
อาเธอร์มองบุตรชายยิ้มๆ
“ ดูท่าเจ้าจะชอบดาบเอามากๆ เลยนะ ”
คนเป็นพ่อทัก
“ ตอนแรกข้านึกว่าจะสามารถเป็นนักแม่นธนูมือหนึ่งได้เสียอีก แต่ผลที่ได้ก็เหลวไม่เป็นท่า ตอนนี้เลยยังไม่แน่ใจว่าฟันดาบจะไปรอดหรือเปล่า ”
เด็กชายตอบแบบใสซื่อ
อาเธอร์ยิ้มให้กับคำพูดของบุตรชาย
“ ของอย่างนี้มันต้องอาศัยการฝึกฝน ถ้าเจ้ายังอยากยิงธนูอยู่ เอาไว้บ้านใหม่เสร็จเมื่อไหร่ข้าจะสอนให้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้าเรื่อยเปื่อย
อันที่จริงหลังจากดารีลมาช่วยสอนให้เขาก็ทำได้ดีขึ้นพอสมควร
แต่ก็ยังห่างชั้นกับคำว่ายอดฝีมือ
“ บ้านใหม่ใกล้จะเสร็จหรือยังคะ ”
คาโอเรียถามพลางวางหนังสือลง
นางยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้าและหิวโหย
วันนี้ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้ากันเลย
“ ตอนนี้กำลังทำโครงหลังคาอยู่ มันจะเป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ แน่นอนว่ามีห้องใต้หลังคาให้เจ้าด้วยนะฟิโลโซเฟอร์ คาโอเรียก็จะมีห้องส่วนตัวด้วย อาจจะคับแคบไปหน่อยแต่เราจะค่อยๆ ขยายมันออก ว่าอย่างไรพวกเจ้าชอบกันหรือเปล่า ”
อาเธอร์ว่าพลางลูบผมบุตรสาว
“ เราก็อยู่บ้านหลังเล็กมาตลอดไม่เห็นเป็นไรเลยนี่จ๊ะ ”
หลังอาหารมื้อเช้า อาเธอร์ก็ออกจากบ้านเขาย่ำเท้าลงบนหิมะหนาเตะมุ่งหน้าสู่โรงน้ำชาอันเป็นแหล่งรวมของผู้คนมากมายหลายถิ่น เขาอยากไปหาข่าวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เขากังวลใจ
ส่วนแคโลไรน์ออกไปตักน้ำจากตุ่มหลังบ้านเพื่อจะนำมาซักผ้า ขันตักน้ำกระทบเข้ากับแผ่นน้ำแข็งที่ปากโอ่งเสียงดังแต๊ก หลังจากออกแรงทุบไปสองสามทีมันก็แตกออก นางตักน้ำเทใส่ถังแล้วหิ้วเข้าในครัวนำไปตั้งไฟระหว่างที่รอน้ำเดือด จึงได้เลือกผ้าพื้นสีฟ้าขึ้นมาจากกล่อง ตัดผ้าออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วเย็บริมทั้งสี่ด้าน นางบอกจะใช้เป็นผ้าม่านของบ้านหลังใหม่
พอน้ำเดือดดีแล้วคาโลไรน์ก็เทน้ำลงกะละมังแช่ผ้า ผสมน้ำยาซักผ้าที่ทำจากไขสัตว์ลงไป ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้คาโอเรียเย็บผ้าม่านส่วนที่ทำค้างไว้ มีเสียงเคาะดังเบาๆ ขึ้นที่หน้าประตู ฟิโลโซเฟอร์อาสาเป็นคนไปเปิด
ฟีไลร่ายิ้มร่าเริงมาทีเดียว ดวงตากลมโตสีม่วงครามของนางทอประกายสดใส เบื้องหลังตามมาด้วยโลธอร์อีเลียสและเลโอน่า ทั้งหมดห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวหนา
“ พวกเราอยู่แต่ในโรงเรียนจนเบื่อ เลยชวนกันมาที่นี่ หวังว่าคงไม่ได้รบกวนอะไรใช่ไหม ”
นางว่า
“ ไม่หรอกรีบเข้ามาก่อนสิ ข้างนอกหนาวจะแย่ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
เขาหลบไปยืนข้างประตูก่อนจะปิดกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเพื่อนๆ ทยอยเข้ามาหมดแล้ว
เพื่อกันไม่ให้อากาศเย็นจากข้างนอกทะลักเข้ามา
“ พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยสงสัย
เพราะเขายังไม่เคยพาใครมาที่บ้านเลย
“ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้อีเลียสเขาล่ะ ”
โลธอร์ว่าพลางตบหลังเพื่อนร่างเล็ก
“ บ้านของตระกูลโอดีรุสเก่าหาไม่ยากนักหรอก ”
อีเลียสตอบพลางถอดเสื้อคลุม
“ ตอนแรกว่าจะไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ แต่เหมือนได้ยินข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งในอดีต ข้าเลยสุ่มมาที่นี่แทน และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ”
“ เรื่องนั้นเจ้ารู้ด้วยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์หัวเราะพลางช่วยพวกผู้หญิงถอดเสื้อคลุม
“ ตัวข้าเองกลับไม่ค่อยรู้เรื่องในครอบครัวเท่าไหร่ แต่ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญอะไรกับข้าหรอก ”
พวกเขาแขวนเสื้อผ้าไว้กับตะขอทองเหลืองริมประตู
“ มีใครมาหรือลูก ”
คาโลไรน์ถาม
นางเดินออกมาจากในครัวผ้ากันเปื้อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“ สวัสดีคุณผู้หญิง พวกเราเป็นเพื่อนๆ ของฟิโลโซเฟอร์ วันนี้ต้องขออนุญาตมารบกวนท่านแล้ว ”
เด็กๆ ต่างโค้งให้นางอย่างสุภาพ
“ งั้นหรือเข้ามาสิ มาที่โต๊ะนี่ ข้าจะหาของว่างให้ ”
คาโลไรน์ตอบรับอย่างยินดี
“ ต้องรบกวนคุณผู้หญิงแล้ว ”
เลโอน่าพูดขึ้นบ้าง
“ ทำอะไรอยู่หรือ ”
โลธอร์ถามคาโอเรีย
เขาย้ายตูดอ้วนๆ ไปหย่อนลงใกล้ๆ เด็กหญิงผมทอง
“ ผ้าม่านผืนใหม่อย่างไรเล่า ”
นางตอบ
“ แต่ผืนเดิมก็ยังดีอยู่เลยนะ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ หรือจะทำสำรองไว้เปลี่ยนทุกอาทิตย์ ”
“ ไม่ใช่หรอก สำหรับบ้านใหม่ต่างหาก พวกเรามีแผนจะย้ายออกไปนอกเมืองเร็วๆ นี้ ”
คำตอบของคาโอเรียทำเอาเพื่อนๆ อึ้งตะลึงตาค้าง
“ เอาจริงดิ ”
อีเลียสว่า
“ ทำไมล่ะฟิโลโซเฟอร์ไม่ได้เล่าให้ฟังแล้วหรอกหรือ ”
เด็กๆ ต่างมองหน้ากันเลิกลัก
“ พวกเราต้องบอกเขาหรือเปล่า ”
เลโอน่าทำเสียงกระซิบ
ฟิโลโซเฟอร์เห็นเพื่อนทำท่าทางประหลาดจึงขยับเข้ามาร่วมวงด้วย
“ มีความลับอะไรกันล่ะทำแบบนี้จะโดดเดี่ยวข้าหรืออย่างไร ”
เด็กชายว่า
“ นี่พวกเจ้าไม่ได้ยินข่าวเลยหรือ ”
อีเลียสถาม
“ ข่าวอะไรล่ะ มีข่าวให้ได้ยินเรื่อยๆ นั่นแหละโดยเฉพาะในปราสาทขาว ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ เมื่อวานเจ้าชายเอลานอสเสด็จกลับพระนคร ”
ฟีไลร่าบอก
พลางจ้องหน้าเขาเพื่อสังเกตอาการ
“ อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้ารู้แล้ว มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่ไม่เห็นต้องตื่นเต้น ”
“ มันไม่ใช่แค่นั้นสิ เจ้าไม่รู้เรื่องราวต่อจากนั้นหรือ ”
หลังจากทำห้องใต้ดินเสร็จเขาก็ขุดเอาดินเลนที่ได้จากทะเลสาบหลังบ้าน ผสมเข้ากับเศษไม้เศษหญ้าแห้งแล้วเทราดลงบนพื้นเกลี่ยให้สม่ำเสมอทำเป็นพื้นบ้าน พอดินแห้งมันก็จะเรียบแน่นและแข็งแรงเมื่อพื้นที่ราดไว้แห้งดีแล้วเขาจึงจะเอาท่อนซุงมาเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นผนังยึดซุงไว้ด้วยตะปูเหล็กกล้า หนุ่มใหญ่ผู้เป็นอดีตทหารเมืองโอรีเวียทำงานอย่างหนัก ท่ามกลางอากาศเย็นจัดแม้จะมีแสงแดดส่องลงมา
ในคืนหนึ่ง มีหิมะตกลงมาอย่างหนักพื้นถนนหน้าบ้านหิมะสูงถึงเข่า โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดเด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียน มันจึงเป็นวันหยุดที่หดหู่ผู้คนก็ไม่อยากออกจากบ้าน
“ อาเธอร์คะ วันนี้หยุดงานสักวันก็ดีหรอก อย่าออกไปนอกเมืองเลยนะ ”
เสียงคาโลไรน์ดังมาจากในห้องครัวที่อบอุ่น
เมื่อเห็นว่าอาเธอร์เสร็จกิจจากการเก็บกวาดหิมะออกจากถนนหน้าบ้าน
แล้วยังเตรียมเกวียนจะออกไปข้างนอกอีก
“ ข้าไปคนเดียวก็ได้ อากาศแบบนี้ไม่คิดจะพาพวกเจ้าไปผจญความหนาวด้วยหรอก ”
อาเธอร์บอก
“ ตัวท่านเองก็ไม่ควรไป อากาศอย่างนี้ข้าเกรงว่าท่านจะแข็งตายท่ามกลางพายุเสียมากกว่า ”
“ อย่าห่วงไปเลยรีเวียไม่เคยเจอพายุหิมะมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ”
“ ถึงอย่างไรข้าก็อยากให้ท่านพักผ่อนบ้าง โหมงานหนักมาหลายวันแล้ว ”
เสียงของนางดุแกมบังคับ
“ ก็ได้ๆ วันนี้ข้าหยุดก็ได้ แต่ยังไงก็ขอไปเยี่ยมเพื่อนหน่อยแล้วกัน ไม่ได้เจอหลายวันไม่รู้มีข่าวใหม่ๆ อะไรเพิ่มหรือเปล่า ”
อาเธอร์ยอมแพ้
เขาย้อนกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นเติมถ่านหินเพิ่มลงในเตาผิง
แล้วหยิบกาต้มน้ำขึ้นมาแขวนบนตะขอเหนือเตา
คาโอเรียกำลังอ่านหนังสือว่าด้วยนิทานพื้นบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั้นสำรวจดูดาบไม้ที่ได้มาใหม่ด้วยความพึงพอใจ
เขาเพิ่งทำดาบเก่าหักไปเพราะเผลอฟาดกับแท่งเหล็กเข้าให้
ความร้อนจากเตาผิงกระจายมาถึงพวกเขาพอสบายตัว
อาเธอร์มองบุตรชายยิ้มๆ
“ ดูท่าเจ้าจะชอบดาบเอามากๆ เลยนะ ”
คนเป็นพ่อทัก
“ ตอนแรกข้านึกว่าจะสามารถเป็นนักแม่นธนูมือหนึ่งได้เสียอีก แต่ผลที่ได้ก็เหลวไม่เป็นท่า ตอนนี้เลยยังไม่แน่ใจว่าฟันดาบจะไปรอดหรือเปล่า ”
เด็กชายตอบแบบใสซื่อ
อาเธอร์ยิ้มให้กับคำพูดของบุตรชาย
“ ของอย่างนี้มันต้องอาศัยการฝึกฝน ถ้าเจ้ายังอยากยิงธนูอยู่ เอาไว้บ้านใหม่เสร็จเมื่อไหร่ข้าจะสอนให้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้าเรื่อยเปื่อย
อันที่จริงหลังจากดารีลมาช่วยสอนให้เขาก็ทำได้ดีขึ้นพอสมควร
แต่ก็ยังห่างชั้นกับคำว่ายอดฝีมือ
“ บ้านใหม่ใกล้จะเสร็จหรือยังคะ ”
คาโอเรียถามพลางวางหนังสือลง
นางยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้าและหิวโหย
วันนี้ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้ากันเลย
“ ตอนนี้กำลังทำโครงหลังคาอยู่ มันจะเป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ แน่นอนว่ามีห้องใต้หลังคาให้เจ้าด้วยนะฟิโลโซเฟอร์ คาโอเรียก็จะมีห้องส่วนตัวด้วย อาจจะคับแคบไปหน่อยแต่เราจะค่อยๆ ขยายมันออก ว่าอย่างไรพวกเจ้าชอบกันหรือเปล่า ”
อาเธอร์ว่าพลางลูบผมบุตรสาว
“ เราก็อยู่บ้านหลังเล็กมาตลอดไม่เห็นเป็นไรเลยนี่จ๊ะ ”
หลังอาหารมื้อเช้า อาเธอร์ก็ออกจากบ้านเขาย่ำเท้าลงบนหิมะหนาเตะมุ่งหน้าสู่โรงน้ำชาอันเป็นแหล่งรวมของผู้คนมากมายหลายถิ่น เขาอยากไปหาข่าวอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เขากังวลใจ
ส่วนแคโลไรน์ออกไปตักน้ำจากตุ่มหลังบ้านเพื่อจะนำมาซักผ้า ขันตักน้ำกระทบเข้ากับแผ่นน้ำแข็งที่ปากโอ่งเสียงดังแต๊ก หลังจากออกแรงทุบไปสองสามทีมันก็แตกออก นางตักน้ำเทใส่ถังแล้วหิ้วเข้าในครัวนำไปตั้งไฟระหว่างที่รอน้ำเดือด จึงได้เลือกผ้าพื้นสีฟ้าขึ้นมาจากกล่อง ตัดผ้าออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วเย็บริมทั้งสี่ด้าน นางบอกจะใช้เป็นผ้าม่านของบ้านหลังใหม่
พอน้ำเดือดดีแล้วคาโลไรน์ก็เทน้ำลงกะละมังแช่ผ้า ผสมน้ำยาซักผ้าที่ทำจากไขสัตว์ลงไป ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้คาโอเรียเย็บผ้าม่านส่วนที่ทำค้างไว้ มีเสียงเคาะดังเบาๆ ขึ้นที่หน้าประตู ฟิโลโซเฟอร์อาสาเป็นคนไปเปิด
ฟีไลร่ายิ้มร่าเริงมาทีเดียว ดวงตากลมโตสีม่วงครามของนางทอประกายสดใส เบื้องหลังตามมาด้วยโลธอร์อีเลียสและเลโอน่า ทั้งหมดห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวหนา
“ พวกเราอยู่แต่ในโรงเรียนจนเบื่อ เลยชวนกันมาที่นี่ หวังว่าคงไม่ได้รบกวนอะไรใช่ไหม ”
นางว่า
“ ไม่หรอกรีบเข้ามาก่อนสิ ข้างนอกหนาวจะแย่ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
เขาหลบไปยืนข้างประตูก่อนจะปิดกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเพื่อนๆ ทยอยเข้ามาหมดแล้ว
เพื่อกันไม่ให้อากาศเย็นจากข้างนอกทะลักเข้ามา
“ พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยสงสัย
เพราะเขายังไม่เคยพาใครมาที่บ้านเลย
“ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้อีเลียสเขาล่ะ ”
โลธอร์ว่าพลางตบหลังเพื่อนร่างเล็ก
“ บ้านของตระกูลโอดีรุสเก่าหาไม่ยากนักหรอก ”
อีเลียสตอบพลางถอดเสื้อคลุม
“ ตอนแรกว่าจะไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ แต่เหมือนได้ยินข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งในอดีต ข้าเลยสุ่มมาที่นี่แทน และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ”
“ เรื่องนั้นเจ้ารู้ด้วยหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์หัวเราะพลางช่วยพวกผู้หญิงถอดเสื้อคลุม
“ ตัวข้าเองกลับไม่ค่อยรู้เรื่องในครอบครัวเท่าไหร่ แต่ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญอะไรกับข้าหรอก ”
พวกเขาแขวนเสื้อผ้าไว้กับตะขอทองเหลืองริมประตู
“ มีใครมาหรือลูก ”
คาโลไรน์ถาม
นางเดินออกมาจากในครัวผ้ากันเปื้อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“ สวัสดีคุณผู้หญิง พวกเราเป็นเพื่อนๆ ของฟิโลโซเฟอร์ วันนี้ต้องขออนุญาตมารบกวนท่านแล้ว ”
เด็กๆ ต่างโค้งให้นางอย่างสุภาพ
“ งั้นหรือเข้ามาสิ มาที่โต๊ะนี่ ข้าจะหาของว่างให้ ”
คาโลไรน์ตอบรับอย่างยินดี
“ ต้องรบกวนคุณผู้หญิงแล้ว ”
เลโอน่าพูดขึ้นบ้าง
“ ทำอะไรอยู่หรือ ”
โลธอร์ถามคาโอเรีย
เขาย้ายตูดอ้วนๆ ไปหย่อนลงใกล้ๆ เด็กหญิงผมทอง
“ ผ้าม่านผืนใหม่อย่างไรเล่า ”
นางตอบ
“ แต่ผืนเดิมก็ยังดีอยู่เลยนะ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ หรือจะทำสำรองไว้เปลี่ยนทุกอาทิตย์ ”
“ ไม่ใช่หรอก สำหรับบ้านใหม่ต่างหาก พวกเรามีแผนจะย้ายออกไปนอกเมืองเร็วๆ นี้ ”
คำตอบของคาโอเรียทำเอาเพื่อนๆ อึ้งตะลึงตาค้าง
“ เอาจริงดิ ”
อีเลียสว่า
“ ทำไมล่ะฟิโลโซเฟอร์ไม่ได้เล่าให้ฟังแล้วหรอกหรือ ”
เด็กๆ ต่างมองหน้ากันเลิกลัก
“ พวกเราต้องบอกเขาหรือเปล่า ”
เลโอน่าทำเสียงกระซิบ
ฟิโลโซเฟอร์เห็นเพื่อนทำท่าทางประหลาดจึงขยับเข้ามาร่วมวงด้วย
“ มีความลับอะไรกันล่ะทำแบบนี้จะโดดเดี่ยวข้าหรืออย่างไร ”
เด็กชายว่า
“ นี่พวกเจ้าไม่ได้ยินข่าวเลยหรือ ”
อีเลียสถาม
“ ข่าวอะไรล่ะ มีข่าวให้ได้ยินเรื่อยๆ นั่นแหละโดยเฉพาะในปราสาทขาว ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ เมื่อวานเจ้าชายเอลานอสเสด็จกลับพระนคร ”
ฟีไลร่าบอก
พลางจ้องหน้าเขาเพื่อสังเกตอาการ
“ อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้ารู้แล้ว มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่ไม่เห็นต้องตื่นเต้น ”
“ มันไม่ใช่แค่นั้นสิ เจ้าไม่รู้เรื่องราวต่อจากนั้นหรือ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ