โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  138.32K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) นกดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อยๆ กลางวันก็สั้นลงสั้นลง   สัตว์น้อยใหญ่พากันสะสมเสบียงและซ่อมแซมรังให้อบอุ่นเพื่อเตรียมต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังมาถึง   ช่วงนี้เป็นช่วงที่หมีอ้วนท้วนสมบูรณ์ที่สุดพวกมันต้องสะสมพลังงานเอาไว้ก่อนที่จะต้องจำศีลตลอดฤดูหนาว   และในช่วงเวลานี้เองชาวซีนาร์ยจะออกล่าสัตว์พวกเขาต้องมีเนื้อสัตว์มาตุนไว้   เพราะหากพายุลูกแรกมาถึงแล้วก็เป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะออกล่าสัตว์ได้สำเร็จ   พวกมันบางตัวอพยพไปไกลและบางตัวก็มุดอยู่ในรูทำให้หาตัวไม่เจอง่ายๆ   หากไม่มีเนื้อเก็บไว้พวกเขาคงต้องอดกินจนกว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง  
 
อาเธอร์เองก็ต้องออกล่าสัตว์แต่เขายังไม่พร้อมจะออกเดินทาง   จนกว่าพืชผลที่เขาลงทุนลงแรงมาตลอดทั้งปีจะถูกเก็บเกี่ยวให้เรียบร้อย   ข้าวเหลืองอร่ามดุจทองคำยังอยู่เต็มท้องทุ่ง   ฝักข้าวโพดก็ยังคาต้นอยู่ทั้งเขาและชาวเมืองต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตของปีนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
           
 
เมืองซีนาร์ยเป็นชนบทเล็กๆ ที่ผู้คนยังอาศัยยืมแรงงานเพื่อนบ้านมาช่วยงานในไร่หากงานในไร่มีมากเกินกว่าจะทำเองไหว   โดยพวกเขาจะผลัดกันไปช่วยงานไนไร่ของเพื่อนบ้านเพื่อพวกเขาจะได้ทำงานเร็วขึ้น   เวลานี้คาโลไรน์กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหาร   เพื่อเลี้ยงคนงานที่กำลังหิวโหยข้างกายยังมีมีคาโอเรียอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ   
 
ฟิโลโซเฟอร์ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ   เพราะปีนี้เป็นปีแรกที่เขาได้ช่วยงานในไร่อย่างเต็มตัว   แม้มารดาของเขาจะคัดค้านเพราะเห็นว่าเขายังตัวเล็ก   แต่หลังจากอาเธอร์ช่วยเกลี้ยกล่อมนางจึงยินยอมกระนั้นก็ยังมีข้อแม้ว่าเขาต้องไม่ทำงานหนักเกินไป  
 
ฟิโลโซเฟอร์ต้องการพิสูจน์ว่าเขาโตและแข็งแรงพอ   บางทีบิดาของเขาอาจจะเปลี่ยนใจยอมให้เขาไปล่าสัตว์ในฤดูกาลนี้ด้วยก็ได้   
 
เพื่อนบ้านที่จะมาช่วยงานในไร่เดินทางมาถึงตั้งแต่เช้า   คาโลไรน์เตรียมข้าวโอ๊ตต้มร้อนๆ ไว้ไห้พร้อมกับเนื้อบดปรุงเครื่องเทศรสจัด   ส่วนเครื่องดื่มนั้นนางจัดน้ำมะนาวมาเป็นพิเศษมะนาวไม่ได้หาซื้อได้ง่ายๆ ต้องสั่งจากพ่อค้าต่างเมืองอีกทีหนึ่ง   นางต้มน้ำตาลทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพอถึงเวลาจะรับประทานจึงฝานเนื้อมะนาวปนลงไป
 
 
            เนื่องจากว่ามีคนจำนวนมากทำให้ไม่สามารถตั้งโต๊ะอาหารได้   พวกเขาจึงล้อมวงกินกันบนพื้นบ้าน   คาโลไรน์จัดให้พวกผู้ชายกินกันก่อนเพราะพวกเขาต้องรีบออกไปทำงานในไร่   ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นอดทนรอไปก่อน  นางเองก็ยังไม่ได้กินเพราะคอยเติมอาหารให้กับคนอื่นๆ 
 
พวกคนงานชายกินกันพลางพูดคุยกันพลาง   พวกเขาต่างยินดีในความความอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุดในปีนี้นอกจากนี้แล้วยังวางแผนการของฤดูล่าสัตว์ล่วงหน้าอีกด้วย   ฟิโลโซเฟอร์นั่งฟังอย่างสนใจจนแทบจะลืมกินข้าวไปเลย   เด็กชายได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารร่วมกับคนงานได้เพราะเขาต้องออกไปทำงานกับคนเหล่านั้น   ในวงอาหารมีเรื่องเล่ามากมายพวกเขาผลัดกันเล่าเรื่องสนุกให้กันฟัง  
 
ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงได้มีบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้สึกตัว   แสงสว่างยามเช้าเริ่มหดหายไปอากาศที่เย็นอยู่แล้วกลับเย็นยะเยือกลงไปอีก   ความเงียบอันน่าสะพรึงล้อมรอบมาจากทุกด้าน   เสียงหัวเราะเงียบหายไปทันทีเมื่อพวกเขารับรู้ถึงความผิดปรกติ   สายตาทุกคู่จ้องไปทางประตูที่เปิดออกสู่ทางทิศตะวันออก   
 
ควันขนาดมหึมาพวยพุ่งขึ้นจากอีกฝากหนึ่งของแม่น้ำครายดินแดนที่เต็มไปด้วยป่ามืดครึ้ม   ควันสีดำแผ่ขยายไปในอากาศบดบังแสงอาทิตย์จนมืดสลัว   กลุ่มควันที่น่าสะพรึงนั้นข้ามผ่านแม่น้ำมาอย่างรวดเร็วราวกับกระแสลมพัด
           
เหล่าคนงานต่างวางอาหารของตนเองลง   พวกเขาออกมายืนออกันที่ขอบประตูเพื่อจับตาดูกลุ่มควันประหลาด   ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นเหนือฟากฟ้าพวกเขาถึงกับผงะถอยด้วยความตกใจ    อะไรบางอย่างในเสียงร้องนั้นย้ำเตือนให้นึกถึงคืนวันที่สิบสามของเดือนมีนาคมคืนที่คาโอเรียเกิด   คืนที่ยังเป็นฝันร้ายมาจนถึงทุกวันนี้   อาเธอร์รู้สึกหน้ามืดเขาได้ยินเสียงใครบางคนร้องเตือนจากที่ไกลๆ
 
“ นั่นมันล่ะเคอร์คารอล ”
 
ม้าในคอกพากันส่งเสียงร้องและเริ่มกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย   แม้แต้ลูกระต่ายป่าตัวน้อยของคาโอเรียยังแอบไปหลบในมุมมืดของครัว
           
อาเธอร์จ้องมองควันสีดำที่แผ่ขยายใกล้เข้ามาอย่างพรั่นพรึง   ไม่กี่อึดใจท้องฟ้าเหนือหัวก็มืดมิด   เงาดำเริ่มโค้งต่ำลงมาเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นดวงตาสีแดงอำมหิตและกรงเล็บแหลมคม   ที่แท้กลุ่มควันสีดำที่พวกเขามองเห็นมันคือฝูงนกดำจำนวนมหาศาล   อาเธอร์กระชากประตูปิดทันก่อนที่นกดำตัวแรกจะบินโฉบเข้ามามีเสียงกระแทกปังเข้าที่หน้าประตูและรอบๆ ตัวบ้าน   หน้าต่างทุกบานถูกปิดลงอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังมีบางตัวเล็ดลอดเข้ามาได้   พวกผู้ชายต่างช่วยกันไล่ฟาดมันจนตายแล้วโยนซากเข้าไปในกองไฟเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็กๆ
 
“ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ”
 
คนงานคนหนึ่งอุทานขึ้นแต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้เลย
           
 
เพียงชั่วเวลาไม่นานพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยปีกสีดำของนกประหลาด   มันใช้ปากแหลมคมของมันจิกกินทุกอย่างที่ขวางหน้า   ทุ่งข้าวสาลีหมอบราบลงทันทีที่พวกมันไปถึง   ชาวเมืองซีนาร์ยยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านทางกระจกหน้าต่างอย่างคนสิ้นหวัง   เดือนปีแห่งความพินาศกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
 
“ ตอนนี้มันกำลังเล่นงานไร่ข้าวโพด ”
 
อาเธอร์พูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงหดหู่
 
“ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและมันเกิดขึ้นได้อย่างไร   แต่ข้าพอจะรู้อยู่อย่าง   พวกมันต้องการทำลายเสบียงของเมืองนี้ให้สิ้นซาก ”
 
เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอก
           
 
หลังจากที่นั่งจับเจ่ากันอยู่นาน   พวกคนงานก็ตัดสินใจว่าจะกลับบ้านเพราะถึงอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร   อีกทั้งยังเป็นห่วงคนอื่นๆ ที่รออยู่ที่บ้านด้วย   พวกเขาสวมชุดคลุมอย่างมิดชิดดึงหมวกฟางลงต่ำเพื่อปิดป้องใบหน้า   
 
อาเธอร์แง้มประตูเพียงเล็กน้อยเพื่อให้พวกเขาเล็ดลอดออกไป   แต่คนเหล่านั้นออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องย้อนกลับมาพร้อมกับแผลจิกข่วนตามร่างกาย   ฟันของนกดำพวกนั้นแหลมคมกว่าที่คิด   อาเธอร์จึงลองให้พวกเพื่อนคนงานเหล่านั้นยืมหนังสัตว์ตากแห้งคลุมตัวออกไป   และได้ผลคนงานที่มาช่วยงานในไร่สามารถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
 
“ กินข้าวกันบ้างสิ ”
 
คาโลไรน์พยายามกระตุ้นเมื่อเห็นว่าทั้งอาเธอร์และเด็กๆ ต่างเฝ้าอยู่ริมหน้าต่างแทบทั้งวัน
 
“ ข้าว่าเราคงไม่ตายเพราะนกพวกนั้นหรอกแต่คงจะแห้งตายเพราะอดข้าวเสียมากกว่า ”
 
“ นกปีศาจนั่นคงทำลายพืชผลของเมืองนี้จนหมดสิ้นแล้ว   พวกเราจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไรถ้าไม่มีเสบียงเลย ”
 
เสียงของอาเธอร์ทั้งหดหู่และวิตกกังวลเขาไม่เคยผ่านปัญหาแบบนี้มาก่อน  
ตลอดสิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาตัดสินใจวางดาบเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น  
เขาทำงานในไร่ได้ผลผลิตดีทุกปี   วันเวลาผ่านไปอย่างง่ายดายและสงบร่มเย็น  
จะว่าไปแล้วเมืองซีนาร์ยนั้นไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้   พอมันเกิดขึ้นทุกอย่างจึงยากแก่การรับมือ
 
“ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะหาเสบียงอย่างอื่นมาทดแทนไม่ได้   อย่าลืมสิเรายังมีหัวเผือกหัวมันอยู่   นกพวกนั้นคงขุดดินลงไปไม่ได้แน่ ”
 
คาโลไรน์ปลอบ
 
“ จริงสิถ้าหากข้าล่าสัตว์ได้มากขึ้น   รวมกับเงินสะสมที่มีบางทีเราอาจหาซื้อแป้งจากพ่อค้าเร่ได้บ้าง   เมืองซีนาร์ยไม่เคยอดอยากนี่นะ   ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ผ่านหน้าหนาวไปได้สบายเลย ”
 
 “ ปีนี้คงต้องกระเบียดกระเสียรกันบ้างเชื่อเถอะพวกเราต้องอยู่กันได้   ชีวิตก็เป็นแบบนี้ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์ได้ตลอด   แม้ว่าเราจะสูญเสียบางสิ่งไปแต่เราย่อมหาสิ่งอื่นทดแทนได้เสมอ   ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะสลายไปหมดในคราวเดียว   เอาล่ะที่นี้มาดูซุบถั่วเสียหน่อยสิข้าต้มไว้ตั้งแต่เช้ามืดป่านนี้เปื่อยเป็นน้ำแล้วกระมัง   มากินกันตอนนี้เลยนะถือซะว่าฉลองให้กับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเริ่มก็แล้วกัน ”
 
นางเลื่อนชามถั่วมาตรงหน้าสามีอย่างเอาอกเอาใจ  
วันนี้มีอาหารเหลือเฟือเพราะนางเตรียมไว้สำหรับเลี้ยงคนงาน
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วพวกเขาจึงต้องกินกันเอง
           
 
สองวันแล้วที่พวกเขาขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน   ภายนอกนั้นฝูงนกปีศาจยังเกาะกลุ่มกันอยู่เต็มพื้นดิน   อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า   ฟิโลโซเฟอร์นั่งเกาะขอบหน้าต่างอยู่อย่างนั้นนานแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน   เขานึกสงสัยว่านกพวกนี้จะปักหลักอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด
 
เด็กชายไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อน   ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยขนหยาบๆ สีดำจะงอยปากสีเงินแข็งเหมือนเหล็ก   ดวงตาสีแดงคุเรืองในความมืด   คืนหนึ่งเขาพยายามชี้ชวนไห้คาโอเรียดูความน่าพิศวงของมันแต่คาโอเรียดูเหมือนจะสาบานไว้ว่าถึงอย่างไรจะไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้หน้าต่างอีกแล้ว
 
           
ในเวลานี้คงไม่มีหวังแล้วว่าพืชผักที่อยู่บนดินจะเหลือรอดมาได้   เด็กชายตัวน้อยยังคงเกาะขอบหน้าต่างจ้องมองดูการกระทำของพวกมันอย่างสนใจ   เขาทึ่งกับจำนวนนกที่มากมายเกล่านั้นเด็กชายอายุยังน้อยนักและเขายังไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน   สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขา
 
ฟิโลโซเฟอร์รู้ว่านกพวกนี้อพยพมาจากป่ามรณะแห่งแผ่นดินต้องสาป   นับตั้งแต่วันแรกที่มันมาพวกมันก็ไม่ทำอย่างอื่นเลยนอกจาก   กินๆๆ และก็กินจนกระทั่ง
 
“ ท่านพ่อ! มาดูอะไรนี่สิ ”
 
เด็กชายร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นนกเริ่มขับถ่ายออกมา   มูลของพวกมันไม่เหมือนนกธรรมดาเลยหากแต่เป็นตัวหนอนที่ห่อหุ้มด้วยเมือกเขียวขุ่น   หัวเล็กๆ ของมันบิดเป็นเกลียวแหลม   หลังจากที่นกขับถ่ายมันออกมากองบนพื้น   พวกมันก็เริ่มขยับตัวและกัดกินหญ้าจนหญ้าทั้งทุ่งเตียนโล่งไปในพริบตา   ลำตัวของมันค่อยๆ โตและอวบอ้วนขึ้นเมื่อมันกินมากขึ้น   เมื่อไม่มีพืชใดๆ หลงเหลืออยู่แล้วพวกมันก็เริ่มไชตัวลงไปในดิน   เพื่อกินหัวผักที่ฝังอยู่ข้างล่างพื้นดินจึงเต็มไปด้วยรูพรุนที่พวกมันมุดลงไป   หนอนขี้นกเหล่านั้นยังคงมุดอยู่ในดินพวกมันพ่นเมือกสีเขียวออกมาจากรูเป็นระยะๆ เหล่าชาวเมืองได้แต่เฝ้ามองด้วยความหวาดกลัวโดยไม่สามารถทำอะไรได้
 
 
            เช้าของวันที่สี่สายลมก็พัดโหมมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   ฝูงนกดำแตกฮือขึ้น   สายฟ้าฟาดเปรี้ยงหลายต่อหลายครั้งกวาดพวกมันไห้ถอยร่นกลับไป   ฝนที่เทลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมรูหนอน   พวกหนอนเมือกกระเสือกกระสนหนีน้ำขึ้นมา   สุดท้ายก็นอนบิดเร่าๆ อยู่ท่ามกลางสายฝนร่างกายเหี่ยวแห้งผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและแห้งตายไป   พื้นดินแห่งนี้จึงเกลื่อนไปด้วยซากหนอนพวกมันส่งกลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่ว   แต่ฝนที่ยังกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ ช่วยไห้กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนเจือจางลงได้
 
 
            ตะวันคล้อยบ่ายฝนจึงเริ่มซาลงบ้าง   อาเธอร์เปิดประตูออกมานั่งที่บันไดหิน   หนอนบางตัวไต่ขึ้นมาตายถึงหน้าบ้านเขาเขี่ยมันออกไปอย่างขยะแขยง   บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความหดหู่นี่เป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของซีนาร์ย   
 
เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วซีนาร์ยเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่   ในตอนนั้นสายน้ำไหลทะลักจากลำน้ำครายกวาดสรรพสิ่งหายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก   แต่หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงซีนาร์ยก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว   เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ   เมื่อถึงเวลามันก็จะสิ้นสุดไปเองเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างปรับสู่สมดุลอีกครั้ง   แต่ภัยร้ายในครั้งนี้หาได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่  
 
เป็นความโชคร้ายที่เมืองซีนาร์ยตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางความเคียดแค้น   เมืองต้องสาปอยู่ห่างออกไปแค่อีกฝั่งแม่น้ำ   พวกเขาไม่อาจรู้ล่วงหน้าเลยว่าสิ่งเลวร้ายจะประทุขึ้นอีกครั้งเมื่อใด 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา