โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ณ ทุ่งเกล็ดมังกร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาโอเรียถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาแต่งตัวเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูตัวใหม่ มารดาของนางใช้หวีไม้อันใหญ่ค่อยๆ สางผมของนางอย่างนุ่มนวล ผมที่หยักเป็นเคลื่อนของนางนุ่มลื่นดุจแพรไหมคาโลไรน์ถักเปียคู่ให้นางจนเรียบร้อยแล้วจึงผูกปลายผมด้วยเศษผ้าสีม่วง แม้ใบหน้าจะดูง่วงงุนแต่ดวงตาของเด็กหญิงก็ส่องประกายสดใส
คาโลไรน์สวมชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิตัวเสื้อรัดตึงเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจนกระโปรงยาวพลิ้วติดระบายสีขาว นางรวบผมขึ้นสูงก่อนสวมทับด้วยหมวกปีกกว้าง ถึงนางจะดูงดงามในชุดใหม่สะอาดแต่นางดูไม่สดใสเอาเสียเลยคิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา
“ ยอดดวงใจของข้าเหตุใดจึงเศร้านัก ”
อาเธอร์ทักขึ้นเขาเพิ่งกลับมาจากทำธุระในโรงนาในมือหิ้วถังโลหะใส่นมวัวมาด้วย
“ ข้าดูแย่มากเลยหรือ ”
นางถามพลางทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้
อาเธอวางถังนมลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ไม่พูดไม่จา
“ เราจะไปจริงๆ หรือในเวลาแบบนี้ ”
คาโลไรน์พูดในสิ่งที่ทับอยู่ในใจออกมา
“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์เด็กๆ กำลังสนุกกันเจ้าก็รู้ว่าเรามีเวลาไม่มากอีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าเก็บเกี่ยวแล้ว ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะยุ่งยากวุ่นวาย พวกเขาควรได้เที่ยวเล่นในยามที่อากาศสดใสมิใช่หรือก่อนที่หิมะลูกแรกมาถึงลูกของเราต้องได้วิ่งในท้องทุ่งบ้าง ”
“ ท่านไม่ห่วงพวกเขาบ้างหรือเกิดพวกเขาป่วยขึ้นมา ”
คาโลไรน์ก้มหน้าน้ำตาคลอ
“ อย่ากังวลไปเลยไม่มีเด็กป่วยคนไหนได้ออกไปเดินเล่นในท้องทุ่ง ลูกของเราไม่มีทางติดโรคแน่นอนมันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งหวาดวิตกหรือเอาแต่ขังพวกเขาไว้ในบ้านคาโลไรน์ เรื่องนี้มันต้องมีทางออกและเราต้องไม่รอคอยความหวังด้วยความกลัว ”
คาโลไรน์จัดอาหารกลางวันใส่ตะกร้าหวายใบใหญ่ปิดทับด้วยผ้านวมลายดอกผืนเล็ก
อาเธอร์หิ้วมันขึ้นไปไว้บนเกวียนข้างกระติกน้ำแล้วจึงหันมาอุ้มคาโอเรียขึ้นท้ายเกวียน
“ ไม่จ๊ะ! ไม่! เราแค่ไปเก็บผลไม้ป่ากันนะลูกเอาธนูไปเก็บเสียเถอะ ”
คาโลไรน์ร้องบอกเมื่อเห็นว่าฟิโลโซเฟอร์ถือธนูติดมือมาด้วย
“ ข้าแค่พกติดตัวไปเท่านั้นเองนะท่านแม่ข้าจะไม่ยิงอะไรเลย ”
เด็กชายยังคงต่อรอง
“ ไม่ได้หรอกที่นั่นมีคนมากมายเกิดลูกซนขึ้นมาคนอื่นอาจบาดเจ็บเอาได้ ”
“ ทำตามแม่บอกสิฟิโลโซเฟอร์ ”
อาเธอร์ทำเสียงเข้มเด็กชายจึงต้องยอมเขาเดินก้มหน้าเอาธนูไปเก็บในบ้าน
“ ความจริงเจ้าไม่ต้องเข้มงวดกับเขาขนาดนั้นก็ได้เด็กผู้ชายก็ต้องมีซนบ้างเป็นธรรมดา ”
อาเธอร์พูดพลางพยุงนางขึ้นนั่งหน้าเกวียนเคียงข้างคนขับ
“ แต่ถ้าตามใจเขามากเกินไปโตขึ้นจะลำบากเอานะ ”
อาเธอร์รอจนฟิโลโซเฟอร์ปีนขึ้นไปนั่งท้ายเกวียนเคียงข้างน้องสาวเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงกระตุ้นม้าให้ออกเดินทาง เกวียนพาวิ่งลงเนินมุ่งหน้าไปตามถนนอันคดเคี้ยวผ่านทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทอง สายลมพัดต้นข้าวเอนราบไปกับพื้นก่อนดีดตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่นานหลังจากนี้ชาวบ้านก็จะลงมือเก็บเกี่ยวผลผลิตกันแล้ว
ท้องฟ้ามีปุยเมฆกระจายบางเบา อากาศกำลังสบายพวกเขายังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาออกไปก็เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ปศุสัตว์ฝูงใหญ่ยืนเล็มหญ้าอยู่เต็มทุ่งมีบางตัวที่ชะเง้อคอมองเมื่อเกวียนของพวกเขาขับผ่านไป มันคงสงสัยว่าคนพวกนี้รีบเร่งไปไหนกันหนอ หลังจากจ้องมองอยู่เป็นครู่ใหญ่มันจึงตัดสินใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมันฝูงปศุสัตว์เหล่านั้นจึงก้มหน้าก้มตาเล็มหญ้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อาเธอร์บังคับเกวียนเลี้ยวออกทางขวาเมื่อถึงทางแยกเกวียนวิ่งโขยกเขยกไปตามถนนทรายสีขาว ฟิโลโซเฟอร์นั่งห้อยขาอยู่ท้ายเกวียนกระต่ายตัวน้อยของคาโอเรียโผล่หัวออกมาตรงช่องว่างของเด็กทั้งสอง มันชะโงกหน้ามองปลายเท้าของเด็กชายแล้วเริ่มแหย่ขาหน้าตามลงไป เด็กชายผลักหัวเจ้ากระต่ายน้อยกลับทันก่อนที่มันจะร่วงหล่นจากเกวียน
“ ไม่ฉลาดเลยนะทำแบบนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์บ่นให้เจ้าลูกระต่ายแสนซน สายลมปะทะผมสีน้ำตาลซีดๆ ของเด็กชายชาวทุ่งตัวน้อยปลิวกระจัดกระจาย หมวกหนังที่สวมไว้ตกห้อยไปด้านหลังคาโอเรียมองพี่ชายอย่างตำหนิที่เขาไม่สนใจใส่หมวกให้เรียบร้อย เสียงนกไนติงเกลดังมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ เด็กๆ ต่างเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจมันเป็นเสียงที่ไพเราะมาก เหนือหัวพวกเด็กๆ ขึ้นไปสูงลิ่วหงส์สีขาวงามสง่าบินตัดท้องฟ้าไปทางทิศตะวันตก ขนสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายระยิบระยับในแสงแห่งดวงตะวัน
กระต่ายทุ่งออกมานั่งรับแดดกลางถนน มันกระโดดหายเข้าไปในพงหญ้าทันทีที่เกวียนแล่นผ่านมาใกล้ กะว่าปรอดภัยดีแล้วจึงค่อยๆ โผล่หน้ากลมเล็กออกมาดูให้แน่ใจ หลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็ออกมานั่งเต็มถนนเช่นเดิม สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวสดพวกเขาเห็นบ้านดอกเห็ดตั้งขึ้นอย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะๆ ทุ่งแห่งนี้หญ้าสูงเรียบเสมอกันบ้านเหล่านั้นก็เป็นเหมือนเห็ดสีส้มที่ผุดขึ้นกลางทุ่งหญ้า
เด็กทั้งสองช่วยกันนับกระต่ายตามสองข้างทางจนลืมสังเกตไปว่าตามเส้นทางที่ผ่านมาเริ่มจะไม่มีบ้านคนให้เห็นแล้ว ฟิโลโซเฟอร์สะกิดน้องสาวให้ดูกวางคู่หนึ่ง พวกมันดูปราดเปรียวหูเล็กๆ ของพวกมันกระดิกเมื่อได้ยินเสียงสิ่งแปลกปลอมแล้วทันใดมันก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนจ้องมาที่ฟิโลโซเฟอร์ เมื่อเด็กชายทำท่าจะยิงมันด้วยมือเปล่าเจ้ากวางน้อยเพียงแค่เอียงคอมองอย่างสนใจแล้วก้มลงเล็มหญ้าต่อ คาโอเรียชี้ให้ดูจุดสีขาวตรงกลางหลังของมันแล้วบอกว่าเหมือนแตงที่สวนหลังบ้านแต่พี่ชายของนางแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน เกวียนแล่นผ่านมาไกลแล้วแต่เด็กทั้งสองยังตกลงกันเรื่องลายจุดบนหลังกวางไม่ได้อยู่ๆ เกวียนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เด็กทั้งสองหน้าคะมำจนแทบตกจากเกวียนเสียงม้าแกลบดังขึ้นจากทางด้านหน้าเกวียนแล้วมีเสียงม้าอีกคู่ร้องตอบ เด็กๆ ลุกขึ้นเกาะขอบเกวียนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านหน้ามีเกวียมติดประทุนขนาดใหญ่จอดขวางอยู่
“ มีอะไรหรือพรรคพวก ”
อาเธอร์ร้องถาม
ชายร่างอ้วนที่นั่งคร่อมอยู่หัวเกวียนยืดกายขึ้นพลางเปิดหมวกเผยให้เห็นหัวล้านเลี่ยน
เขายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตรแต่ดวงตามีประกายคมกล้า
“ จากนี่ไปกัลป์ทีเรียข้าต้องใช้เส้นทางสายใดสหายข้า ”
เมื่อเขาพูดเสียงเขากังวานเหมือนกลองก้นทะลุจนเด็กๆ อดขำสำเนียงนั้นไม่ได้
“ ตรงไปตามทางเส้นนี้เมื่อถึงทางแยกท่านต้องเลี้ยวลงใต้ ”
อาเธอร์บอก
“ แต่ข้าได้ยินมาว่ามีทางลัดนี่นา ”
ชายคนนั้นแย้ง
“ ข้าว่าท่านไม่ใช้มันจะดีกว่าเพราะท่านเดินทางเพียงลำพังไม่อย่างนั้นท่านอาจติดอยู่ในป่าจนมืดค่ำ ”
“ ป่าเครปน่ะหรือ ”
“ ถูกแล้วมันมีถนนเล็กๆ ตัดผ่านป่าแต่ไม่นิยมใช้กันหรอกนะโดยเฉพาะในยามค่ำคืน ”
“ อืม....”
ชายหัวล้านมีท่าทีครุ่นคิด
“ ป่าเครปเมื่อก่อนข้าเคยชอบมันนะถ้ามันไม่ทำนิ้วของข้าหายไปซะก่อน ”
เขาชูนิ้วก้อยที่ขาดด้วนขึ้นอวดพลางหัวเราะร่วน
“ โธ่เอ๋ยข้าเองนึกว่ามีทางลัดอื่นเป็นอย่างนี้คงต้องไปทางเดิมอย่างเจ้าว่า ”
แล้วเขาก็เป่าปากปรี๊ด
เหยี่ยวดำตัวใหญ่เหินลงมาจากท้องฟ้าตรงมาหาชายร่างอ้วน
เขาพูดอะไรบางอย่างกับมันก่อนจะส่งมันบินล่วงหน้าไปก่อน
“ ขอบใจเจ้ามาก เอ้าพวกคนหนุ่มทั้งหลาย จงเร่งม้าไปให้ไกล ทิ้งตะวันออกไว้ อย่าเข้าใกล้มัน เมื่อเหมันมาถึง ข้าจึงเข้าใจ มุ่งสู่เมืองใหญ่ ค้าขายร่ำรวย ”
ชายคนนั้นร้องเป็นเพลงพลางแกว่งหมวกไปมา
ม้าเทศตัวใหญ่เริ่มเคลื่อนจากไปอย่างช้าๆ เกวียนของเขาพาวิ่งตัดท้องทุ่งไปโดยไม่สนใจถนนแม้แต่น้อย
“ อะไรของเขาน่ะ ”
แคโลไรน์บ่น
ส่วนฟิโลโซเฟอร์มองตามด้วยความสนใจ
“ ใครกันจ๊ะพ่อ ”
คาโอเรียถาม
“ พวกพ่อค้าเร่น่ะนั่งลงซะลูกเดี๋ยวจะพลัดตกลงไป ”
“ เอ๋ เขาไม่เข้าไปขายของในเมืองซีนาร์ยแล้วหรือ ”
เด็กหญิงยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วด้วยความสงสัย
“ ถ้าเขาเลี้ยวออกนอกทางไปอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาไม่ไปแล้วล่ะว่าแต่เจ้าน่ะเมื่อไหร่จะนั่งเสียที ”
อาเธอร์เอี้ยวตัวมาบอกแต่ก็ช้ากว่าฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายฉุดน้องสาวจนนางล้มกลิ้งทับลงบนตัวของเขา
คาโอเรียตะเกียกตะกายขึ้นนั่งพลางจ้องพี่ชายด้วยสายตาขุ่นเคืองเขามักแกล้งน้องแรงๆ เสมอ
“ อย่าสิลูกเดี๋ยวก็เจ็บตัวกันหรอก ”
คาโลไรน์เสียงดุแต่เด็กชายหัวเราะชอบใจ
เกวียนวิ่งโขยกเขยกหนักขึ้นเมื่ออาเธอร์เลี้ยวออกนอกถนน ม้าเทียมเกวียนพาพวกเขาตัดไปตามทุ่งหญ้า รอบกายเต็มไปด้วยพุ่มหญ้าเขียวขจีประหนึ่งพรมผืนนุ่ม
“ เราจะไปไหนกันนี่ ”
คาโลไรน์สงสัย
“ พ่อค้าคนเมื่อครู่ทำข้าคิดได้ว่าเราต้องลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง อย่างตอนนี้ข้ากำลังทำทางลัดไปทุ่งเกล็ดมังกรอย่างไรเล่า ”
“ โอ้ ข้าคิดว่ามันจะลำบากไปนะหรือโชคร้ายเราอาจหลงทาง ”
อาเธอร์ไม่ตอบได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ
“ แปลกจริงๆ เหตุใดเขาจึงลงใต้ ปรกติในฤดูกาลนี้กลุ่มพ่อค้าเร่จะมุ่งหน้าไปทางเหนือผ่านตัวเมืองซีนาร์ย พวกเขาจะมุ่งขึ้นเหนือไปให้ถึงโอรีเวียก่อนที่ภายุหิมะลูกแรกจะมาเยือน คนพวกนี้เขาเคยทำอย่างนี้จนเป็นประเพณีไปแล้วแต่ทุกวันนี้ข้าเห็นพ่อค้าเร่หลายคนมุ่งหน้าลงใต้ พวกเขาไปกัลป์ทีเรียเมืองเล็กๆ ที่ไม่เหมาะแก่การทำการค้าเลยสักนิด ”
อาเธอร์ละบายความข้องใจออกมา
“ บางทีพวกเขาอาจจะอยากทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปก็ได้ จุดหมายปลายทางสุดท้ายอาจจะยังเป็นโอรีเวียเหมือนเดิมอยู่ใครจะรู้ ”
คาโลไรน์ให้ความเห็น
“ ไม่ คนพวกนี้เดินทางไปทุกที่พวกเขารู้อะไรหลายอย่างข้าอยากรู้นักว่าคนพวกนี้รู้อะไร ”
อาเธอร์ว่า
เกวียนพาพวกเขามาหยุดที่เนินดินแห่งหนึ่ง กลิ่นดอกไม้ป่าหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ฝูงผึ้งและผีเสื้อหลากสีปลิวว่อนอยู่ในอากาศ มีเกวียนและรถม้ามากมายจอดกระจายอยู่ตามริมเนินถัดๆ กันไปพวกเขาต่างมาด้วยจุดประสงอันเดียวกัน อาเธอร์ปลดเกวียนออกจากหลังม้าเขาเทข้าวโอตใส่กระบะให้มัน ความจริงแล้วแถบนี้มีหญ้าเหลือเฟือแต่ข้าวโอตจะล่อให้มันไม่ไปไกลจากเกวียน อาเธอร์ส่งกระป๋องเล็กๆ ให้เด็กๆ ส่วนม้าของเขาจะปล่อยเอาไว้อย่างนั้นเมืองนี้ปลอดภัยจากขโมย เว้นแต่ผู้ที่มาจากนอกเมือง
“ มีคนมาที่นี่มากเหลือเกิน ”
คาโอเรียเอ่ยขึ้น
“ อย่าห่วงไปเลยผลไม้ป่าของที่นี่มีเพียงพอสำหรับทุกคน ”
อาเธอร์บอกเขากำลังจัดเกวียนให้เข้าที่
“ ท่านพ่อข้าจะไปฝั่งโน้นตรงที่คนน้อยๆ จะได้ไม่ต้องแย่งกับคนอื่น ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง
เขาชี้มือไปทางฟากหนึ่งของเนินที่ห่างออกไป
“ เอาอย่างนั้นหรือ ก็ได้ แล้วเจ้าจะพาน้องไปด้วยหรือเปล่า ”
“ ถ้านางอยากไปข้าจะห้ามได้รึ ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแต่สายตานั้นเกเรยิ่งนัก
คาโอเรียจึงค้อนขวับเข้าให้
“ อย่าไปไกลนักนะลูก ”
คาโลไรน์กำชับด้วยความเป็นห่วง
“ ข้าจะพยายาม ”
เด็กชายตอบพลางจูงน้องออกวิ่ง
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าอย่าซนนักนะแล้วก็ดูแลน้องให้ดีๆ ล่ะ ”
คาโลไรน์ตะโกนตามหลังนางมองลูกๆ วิ่งแข่งกันขึ้นเนิน
“ มาเถอะ ”
อาเธอร์แตะไหล่ภรรยาเมื่อเห็นนางยังละล้าละลัง
“ พวกเขาไม่เป็นไรหรอก ”
เนินดินแถบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายอย่างสวยงาม ผู้คนเหล่านั้นต่างเก็บผลไม้ป่ากันอย่างสนุกสนาน หญิงสาวกับชายหนุ่มจับคู่คุยกันท่าทางมีความสุข มันเป็นช่วงเวลาที่ดีในวันที่อากาศดีของซีนาร์ยผู้คนมากมายจากมุมต่างๆ ของเมืองต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อเก็บผลไม้ป่าหลากหลายชนิด ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดกับคนอื่นที่ไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้า และเด็กๆ ได้เล่นกันสนุกสนานแต่ดูเหมือนปีนี้เด็กๆ คงไม่ได้สนุกกันอย่างที่เคย
“ ตามมาคาโอเรียเจ้าต้องวิ่งให้ทันพี่ไม่เช่นนั้นจะถูกหมีป่าจับตัวไป ”
“ แถวนี้ไม่มีหมีสักหน่อย ”
เด็กหญิงค้านเสียงแหลม
“ ปีที่แล้วมีเด็กคนหนึ่งถูกจับตัวไป ”
คนเป็นพี่ยังขู่ไม่เลิก
“ ไม่จริงหรอกข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ”
ถึงตอบไปแบบนั้นแต่เด็กหญิงก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ฟิโลโซเฟอร์พาน้องตัดเนินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านผู้สูงอายุกลุ่มใหญ่ที่กำลังช่วยกันเก็บลูกแบล็คเบอร์รี่สีเข้มใส่ในถังไม้ใบเขื่อง บางคนในกลุ่มนั้นหันมาส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้เด็กทั้งคู่ด้วย
“ นี่เราจะไปไหนกัน ”
คาโอเรียถามเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเดินห่างออกจากกลุ่มผู้คน
“ ข้าจำได้ว่ามันอยู่แถวๆ นี้แหละ ”
ฟิโลโซเฟอร์กวาดตามองตามพื้น เถาองุ่นรกครึ้มถูกปกคลุมด้วยใบดกหนาเขาค่อยๆเปิดใบไม้ออก องุ่นฉ่ำน้ำพวงโตเบียดเสียดกันอยู่ใต้พื้น คาโอเรียอุทานด้วยความตื่นเต้นพวกเขาช่วยกันเก็บองุ่นใส่กระป๋องจนเต็มในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ยังเหลือองุ่นอยู่อีกมากฟิโลโซเฟอร์เลือกเด็ดองุ่นลูกใหญ่สีสวยกินอย่างเอร็ดอร่อย มีเสียงโห่ร้องของเด็กๆ ดังมาจากอีกฝั่งของเนินเด็กทั้งสองหันไปตามที่มาของเสียง
“ ฝั่งโน้นมีคนมากก็ต้องแย่งกันวุ่นวายน่าเบื่อออก ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แต่ที่นั่นมีผลไม้มากชนิดกว่านะ ”
คาโอเรียแย้ง
“ ก็ช่างปะไรข้าชอบกินองุ่น ”
เด็กชายล้มตัวลงนอนเหยียดยาว เขาหย่อนองุ่นลูกหนึ่งเข้าปากแต่แล้วก็สำลักออกมา
“ องุ่นเปรี้ยว โธ่! นึกว่าเลือกดีแล้วเชียว ”
คาโอเรียหัวเราะเข้าให้แล้วหันไปสนใจเลือกองุ่นต่อ
กระต่ายลูซุกหน้าลงบนกองใบไม้ ใช้สองเท้าหน้าตะกุยใบองุ่นเป็นพัลวัน มันมุดหน้าลึกลงไปจนเห็นแค่หางโผล่ขึ้นมา
“ เมื่อปีก่อนเรามีกันสี่คน ”
คาโอเรียรำพึง
“ ตอนนี้ลีเดียกำลังทำอะไรอยู่นะ ”
“ แม่สาวผมดำจอมป่วนของเธอน่ะเหรอไม่มาก็ดีแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แหม เจ้าโรเซนของพี่ชายก็ดีตายล่ะ ”
เด็กหญิงขึ้นเสียง
“ โรเซนซุกซนจริงแต่เขาไม่เคยทำเรื่องวายป่วงให้คนอื่นตามแก้ ”
เด็กหญิงไม่ตอบแต่หันไปแลบลิ้นให้พี่ชาย
“ แบร่!... ”
“ นี่เถียงไม่สู้แล้วทำท่าน่าเกลียดหรือไง ”
เด็กๆ ยังคงถกเถียงกันอย่างจริงจัง จนลืมสังเกตว่ามีเสียงกรอบแกรบดังมาจากทางด้านหลัง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คาโอเรียหวีดร้องขึ้นเมื่อมือข้างเอื้อมมาจับไหล่
พวกเขาหันกลับไปมองแล้วต้องตกตะลึง เบื้องหน้าที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กเก่าคร่ำคร่า แต่สิ่งที่น่าสะพรึงคือใบหน้าส่วนที่พ้นจากเกราะนั้นเต็มไปด้วยแผลพุพองราวกับคนผู้นี้เคยถูกไฟคลอกมาอย่างหนัก
“ ผี! ที่นี่มีผี ”
คาโอเรียเสียงตระหนกนางพยายามถอยหนีแต่ก็สะดุดล้มลง เจ้าของร่างนั้นโน้มต่ำลงมาคว้าข้อเท้าของนางเอาไว้ เด็กหญิงดิ้นรนสุดชีวิต มือแข็งแกร่งนั้นกลับกำรวบแน่นขึ้น กระต่ายลูที่หมอบอยู่ข้างๆ เผ่นพรวดเข้าไปในพงหญ้าทันที
ฟิโลโซเฟอร์ชันตัวพรวดขึ้นจากท่านอน มือของเขาควานไปตามพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ ในหัวคิดไปสารพัดเสี้ยวหนึ่งเขานึกถึงธนูที่เก็บไว้ที่บ้าน ในบริเวณนั้นมีเพียงเถาองุ่นกับใบไม้ใบหญ้าเขากระชากเถาองุ่นแห้งออกมา ของแบบนี้จะใช้ทำอะไรได้นอกจากใช้รัดคอตัวเองเด็กชายคิดอย่างท้อแท้
“ โปรดอย่าตกใจข้ามิได้มีเจตนาร้าย ”
น้ำเสียงเศร้าหมองของบุรุษปริศนาทำให้เด็กๆ หยุดชะงัก เขาคนนั้นเป็นชายร่างสูงสวมเกราะของทหารสภาพมอมแมมเหมือนคนพเนจร อะไรบางอย่างในแววตาของเขาทำไห้ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเวทนา แต่เขาก็ยังไม่อาจวางใจได้ เด็กชายเคยได้ยินเรื่องคนป่าเถื่อนและพวกลักพาตัวเด็กมามากเหมือนกัน
“ ข้าจะเชื่อคำพูดนั้นได้อย่างไรในเมื่อท่านจับน้องสาวของข้าเอาไว้แบบนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์คำรามแต่น้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าที่ตั้งใจ
“ โอ้ อย่างนั้นหรือ ”
ชายคนนั้นว่าพลางปล่อยมือ
คาโอเรียรีบตะกายไปยืนหลบด้านหลังพี่ชายแล้วส่งเสียงกระซิบ
“ ฉวยโอกาสนี้วิ่งกันเถอะอย่าห่วงองุ่นพวกนี้เลย ปีศาจร้ายตนนี้น่ากลัวนักจะจับพวกเรากินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ”
“ ข้าไม่ได้ห่วงของกินและเขาก็ไม่ได้เป็นปีศาจ ”
เด็กชายตอบเสียงรอดไรฟัน
“ จริงหรือ ”
“ แน่นอนแค่เป็นคนสติไม่ดีน่ะ ”
“ อ้อ ฟังแล้วอุ่นใจขึ้นเยอะเลยแต่ข้าว่าเราวิ่งตอนนี้ยังทันนะ ”
เด็กหญิงเสนอแนวคิด
นางเกาะไหล่พี่ชายแล้วหดตัว
ฟิโลโซเฟอร์ส่ายหน้าให้เขาวิ่งคนเดียวอาจมีลุ้น แต่ถ้าพ่วงเด็กหญิงที่สวมกระโปรงยาวลากพื้นวิ่งขึ้นเนินนั่นคืองานหนัก ทางที่ดีลองหลอกล่อดูอาจมีทาง
“ ท่านนักรบผู้ยิ่งใหญ่ข้าเดาท่านคงหลงทาง ที่นี่มีแต่ทุ่งนาและชาวบ้านชาวสวนธรรมดาหาใช่แดนสงครามไม่ บอกข้าทีว่าท่านต้องการไปที่แห่งใดบางทีข้าอาจชี้ทางสว่างแก่ท่านได้ ”
“ ข้ามาตามหาบุตรสาว ”
ชายผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงแห้งผากราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมเดือน
เขายื่นมือข้างหนึ่งมาทางคาโอเรีย
เด็กหญิงสะดุ้งและห่อตัวเล็กลงอีก
ฟิโลโซเฟอร์ยืดตัวขึ้นบังน้องสาวไว้ เขารู้สึกถึงความตระหนกแต่กระนั้นขาทั้งสองข้างก็ยังตั้งมั่น ไม่มีท่าทีว่าจะถอยแม้สักก้าว
“ หยุดอยู่ตรงนั้น ”
เสียงเด็กชายเฉียบขาดจนน่าตกใจ
“ นางไม่ใช่บุตรสาวของท่านอย่าได้บังอาจแตะต้องนาง เห็นแก่ว่าท่านบาดเจ็บหนักข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่ท่านทำเราแตกตื่น แต่ท่านจงรีบไปให้พ้นเสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ ”
“ นี่ข้ากำลังคุยกับเด็กอยู่อย่างนั้นหรือ ”
เสียงนั้นเจือแววขบขัน
ถึงอย่างนั้นเขาก็หดมือกลับแต่โดยดี
“ ข้าทำเรื่องยิ่งใหญ่และเสียงอันตรายมามาก ข้าปกป้องผู้คนมากมายพวกเขาต่างยกย่องข้า แต่สุดท้ายข้าก็ไม่เหลืออะไร ทุกสิ่งหลุดพ้นไปจากมือข้าเสียแล้ว ดูสิแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ยังกล้าข่มขู่ข้า ”
ชายปริศนาหน้าตาอัปลักษณ์ก้มลงดูมือที่สั่นเทาของตัวเอง
เขายกมือขึ้นกุมศีรษะทำท่าเหมือนจะกรีดร้อง
“ เดี๋ยวๆ ใจเย็นก่อนจริงๆ ข้าแค่อยากบอกว่าท่านมาผิดทางแล้วบุตรสาวท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ ”
เด็กชายรีบพูด
กลัวว่าคนๆ นี่จะสติแตกแล้วทำอะไรน่ากลัว
เขาเห็นชัดแล้วว่าชายผู้นี้สะพายดาบเล่มใหญ่มาด้วย
“ ใช่แล้ว ท่านคิดมากไปเองเราแค่พูดตามแบบของเรา ”
คาโอเรียว่าบ้างนางกระตุกชายเสื้อพี่ชายถี่ยิบเพื่อเตือนให้เขารีบตัดสินใจ
เหมือนว่าเสียงของเด็กหญิงไปกระตุ้นจิตใจของคนผู้นั้น เขาร่ำไห้ออกมาเบาๆ
“ ท่านบอกมาสิว่าบุตรสาวของท่านอยู่ที่ไหนบางทีเราอาจชี้ทางท่านได้ ”
เด็กชายพยายามกล่อมไม่ให้เขาจิตหลุด
“ ใช่ๆ นางอยู่ที่ไหนล่ะที่ซีนาร์ยหรือเปล่าแล้วนางชื่ออะไรบางทีข้าอาจรู้ ”
คาโอเรียเสริมอีกแรงด้วยเสียงอันไม่มั่นคง
นางมองเห็นดาบเล่มนั้นแล้วและรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“ ไม่มีอีกแล้วข้าตามหามาทุกที่ไม่มีแม้แต่เงา นางถูกช่วงชิงไปแล้ว ”
เขามองมาทางคาโอเรีย
“ อ้อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงกลับบ้านไปเสีย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของท่านมีคนมากมายรอท่านอยู่ที่บ้าน ท่านเดินหน้าต่อก็เสียแรงเปล่า บางทีท่านอาจพบว่าคนที่ท่านตามหาแท้จริงแล้วไม่ได้จากไปไหนเลย ”
เด็กชายว่าพลางก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างมั่นคงสายตาจดจ้องแทบไม่กระพริบ
ชายแปลกหน้ารับรู้ถึงท่าทีคุกคามของเด็กชายตัวน้อยอย่างประหลาดใจ
ถึงแม้ฟิโลโวเฟอร์จะพูดจาดีแต่กิริยานั้นบอกว่าพร้อมจะพุ่งเข้าใส่
ชายคนนั้นรู้สึกวุ่นวายสับสนใจหนึ่งอยากชิงเอาเด็กหญิงมาเป็นของตน ใจหนึ่งก็ประทับใจกับคนเป็นพี่ มีหลายเสียงดังก้องในหัวให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรแน่ เขาได้แต่นิ่งอึ้งจ้องมองเด็กทั้งสองด้วยสายตาประหลาด
“ ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกเราอยู่นี่ ”
เด็กหญิงโบกมือให้กับชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินตัดเนินดินมา
ชายแปลกหน้าเอื้อมมือไปที่ดาบแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ ความฝันที่งดงามพังทลายลงแล้วหลังจากพวกเราลืมตาขึ้นทุกสิ่งที่ปรากฏคือความจริงอันโหดร้าย ”
ชายคนนั้นพูดเสียงเบาหวิวแววตาเลื่อนลอย
“ อ้อ ”
เด็กชายว่าเขารู้สึกงุนงงกับคำพูดประหลาดนั้นจนหาถ้อยคำมาตอบโต้ไม่ได้
เขาเหลือบมองพ่อกับแม่ที่เดินตรงมาทางนี้แล้ว ในใจก็นึกกังวลกับคนตรงหน้า
พลันคนผู้นั้นก็ขยับตัวอีกครั้ง
“ ข้าคือดาเรน ใช่แล้วข้าคือดาเรน อ้าตอนนี้ข้าอยู่ไหนนะ ”
เขามองไปรอบๆ ผ่านเลยเด็กทั้งสองไปราวกับมองไม่เห็น
“ ภารกิจยังไม่เสร็จพวกบ้านั่นไปหลบอยู่ที่ไหน ให้ตายสิข้าคงต้องทำที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเอง ตอนนี้ข้าทำอะไรอยู่นะหรือว่าหลงทาง ที่นี่ไม่ถูกต้อง ไม่สิที่นี่ต้องไม่ใช่แบบนี้ไม่อีกต่อไปแล้ว ”
ชายประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์บ่นงึมงำแล้วเดินลากขาผ่านเด็กทั้งสองไป
เด็กๆ ต่างเบี่ยงตัวหลบด้วยด้วยสีหน้าโล่งใจ
“ เขา เป็นใคร ”
คาโอเรียถามเสียงหวาดๆ นางยังเกาะหลังพี่ชายแน่น
“ ชัดเจนเลยว่าเป็นคนบ้า ”
“ น่ากลัวชะมัด ”
“ ชีวิตเขาต้องพานพบอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากจึงกลายเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นชายผู้นี้คงเป็นทหารเหตุการณ์อะไรนะที่ทำให้เขาเสียสติ คิดแล้วก็น่าเศร้าข้าอยากพาเขากลับบ้านบางทีชีวิตของเขาอาจดีกว่านี้ ”
“ ไม่ล่ะ ”
คาโอเรียค้านพลางเหลียวมองด้านหลังของชายปริศนาที่กำลังเดินห่างออกไป
“ ปล่อยเขาไปน่ะดีแล้วว่าแต่เราจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ว่าอย่างไร ”
เด็กหญิงถามด้วยความกลัดกลุ้ม
“ ท่านแม่จะชอบใจหรือเปล่าที่มีคนบ้ามายุ่งกับเราข้ากลัวว่าต่อไปท่านแม่อาจจะไม่ยอมให้เราออกจากบ้าน ”
“ อย่าบอกอะไรถ้าพวกเขาไม่ถามเพราะนั่นจะทำให้เราอดเล่นสนุก ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกเสียงจริงจัง
เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าได้พาน้องสาวมาพบกับอะไร
เมื่อสถานการณ์ไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด ลูซึ่งวิ่งหนีไปในตอนแรกก็กลับมา เด็กชายมองมันอย่างผิดหวัง เขารู้สึกว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไร้ประโยชน์ กินก็ไม่ได้จะขายก็ไม่มีใครซื้อถึงมีคนซื้อใครบางคนก็คงไม่ยอมให้ขายอยู่ดี รู้อย่างนี้จับหมาป่ากลับมาแทนยังจะดีกว่า อย่างน้อยช่วยเห่าก็ยังดีนี่มีแต่กินกลับหนี
“ ทำอะไรกันล่ะทั้งสองคน ”
อาเธอร์ถามเขาก้มลงลูบผมบุตรทั้งคู่
“ ลูกไม่ควรออกห่างกลุ่มคนมากนัก เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีคนรู้ช่วยเหลือได้ทัน อ้อแล้วเมื่อกี้แม่เห็นมีใครอยู่กับลูกหรือ ”
“ คนเดินทางน่ะฮะเขาแค่สงสัยว่าพวกเรามาทำอะไรกันตรงนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบอึกอัก
อาเธอร์มองเห็นถังองุ่นจึงชี้ให้ภรรยาดู
“ อ้อใช่ องุ่นสวยๆ ทั้งนั้นพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีองุ่นป่าอยู่แถวนี้ แต่ทีหลังถ้าจะออกมาไกลอย่างนี้ต้องบอกแม่ก่อน รู้ไหมฝั่งทางโน้นมีคนเจอหมีตัวใหญ่ด้วย ”
นางชมไปขู่ไป
“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์ลูกเราโตเกินกว่าจะแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาหลอกได้แล้วนะ ”
“ ถ้ามีจริงก็ดีน่ะสิคราวหลังข้าจะได้ถือธนูมาด้วย ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
“ ล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หมีตัวเต็มวัยน่ะตัวโตกว่าพ่อค้าเร่ที่เราพบระหว่างทางเมื่อกี้เสียอีกและพวกมันก็แข็งแรงมากด้วย เจ้าไม่อาจเด็ดชีพมันด้วยธนูดอกเล็กๆ เพียงดอกเดียวหรอกนะ สัตว์ร้ายเวลาบาดเจ็บมันจะดุร้ายมากถ้าเจ้าไม่ระวังพอนอกจากจะล่ามันไม่ได้ยังอาจจะถูกหมีสังหารเสียเอง ”
อาเธอร์เตือน
หลังจากช่วยกันขนถังใส่ผลไม้ขึ้นไปไว้บนหลังเกวียนจนเรียบร้อยดีแล้ว คาโลไรน์ก็ปูผ้าลงบนผืนหญ้าใกล้ๆ กับที่จอดเกวียนนั้น ม้าแกลบเล็มหญ้าอยู่ถัดไปท่ามกลางแสงแดดอบอุ่น
“ หิวหรือยังล่ะแม่มีขนมปังกรอบปลาทอดและก็ไข่ต้มสำหรับทุกคน ”
นางพูดพลางแก้ห่ออาหารออก
“ นั่งกันได้แล้วดื่มน้ำก่อนมั้ยลูก ”
อาเธอร์ส่งกระติกน้ำให้เด็กทั้งสองที่กำลังเล่นสนุก
“ ทำไมจึงเรียกที่นี่ว่าทุ่งเกร็ดมังกรด้วยล่ะคะที่นี่ไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้นสักหน่อย ”
คาโอเรียถามมือทั้งสองยังวุ่นอยู่กับการจัดกระโปรงให้เรียบก่อนจะนั่งลง
คาโลไรน์มองความยับย่นนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้า
“ นานมาแล้วทุ่งแห่งนี้เต็มไปด้วยหญ้าชนิดหนึ่งใบของมันเป็นแผ่นแข็งๆ เหมือนเกล็ดมังกร กิ่งก้านสาขาหนาแน่นและเต็มไปด้วยหนามแหลม ทำให้พืชอย่างอื่นไม่สามารถงอกงามขึ้นมาได้ น่าแปลกที่หญ้าชนิดนี้ขึ้นปกคลุมเฉพาะที่นี่เท่านั้นเพราะถ้ามันแผ่ขยายออกไปคงทำให้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นพื้นที่รกร้าง หญ้าพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรจะทำลายก็ไม่ได้ไม่ว่าจะฟันขุดถอนทิ้งหรือจุดไฟเผาสุดท้ายมันก็งอกขึ้นมาใหม่อยู่ดี หญ้าเกล็ดมังกรคงจะครองพื้นที่นี้ไปอีกนานถ้าหากวันนั้นไม่มีผู้วิเศษสองคนผ่านมาทางนี้ พวกเขาพักอยู่ในดงหญ้าที่เต็มไปด้วยหนามแหลมจนกระทั่งรุ่งเช้าพวกเขาจึงจากไป และชาวเมืองซีนาร์ยก็พบว่าทุ่งเกล็ดมังกรได้กลายเป็นทุ่งที่เต็มไปด้วยไม้ผลนาๆ พันธุ์ให้ชาวเมืองได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันนับแต่นั้น แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนส่วนจะจริงหรือไม่พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ”
อาเธอร์ตอบ
“ พ่อมดแม่มดนี่พวกเขาจิตใจดีกันทุกคนเลยนะคะ ”
เด็กหญิงพูดด้วยความใสซื่อ
“ ต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่ละต้นยังแผ่กิ่งก้านสาขาต่างกัน ใดๆ ในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ลูกของพ่อสองคนยังไม่เหมือนกัน เจ้าอย่าคาดหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ จงเฝ้าดูและเรียนรู้ว่าสิ่งที่ตาเห็นแท้จริงแล้วแก่นแท้เป็นอย่างไร ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ