โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ณ ทุ่งเกล็ดมังกร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาโอเรียถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาแต่งตัวเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูตัวใหม่   มารดาของนางใช้หวีไม้อันใหญ่ค่อยๆ สางผมของนางอย่างนุ่มนวล    ผมที่หยักเป็นเคลื่อนของนางนุ่มลื่นดุจแพรไหมคาโลไรน์ถักเปียคู่ให้นางจนเรียบร้อยแล้วจึงผูกปลายผมด้วยเศษผ้าสีม่วง    แม้ใบหน้าจะดูง่วงงุนแต่ดวงตาของเด็กหญิงก็ส่องประกายสดใส   

 

คาโลไรน์สวมชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิตัวเสื้อรัดตึงเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจนกระโปรงยาวพลิ้วติดระบายสีขาว   นางรวบผมขึ้นสูงก่อนสวมทับด้วยหมวกปีกกว้าง   ถึงนางจะดูงดงามในชุดใหม่สะอาดแต่นางดูไม่สดใสเอาเสียเลยคิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา

 

“ ยอดดวงใจของข้าเหตุใดจึงเศร้านัก ”

 

อาเธอร์ทักขึ้นเขาเพิ่งกลับมาจากทำธุระในโรงนาในมือหิ้วถังโลหะใส่นมวัวมาด้วย

 

“ ข้าดูแย่มากเลยหรือ ”

 

นางถามพลางทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้  

อาเธอวางถังนมลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ไม่พูดไม่จา

 

“ เราจะไปจริงๆ หรือในเวลาแบบนี้ ”

 

คาโลไรน์พูดในสิ่งที่ทับอยู่ในใจออกมา

 

 

“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์เด็กๆ กำลังสนุกกันเจ้าก็รู้ว่าเรามีเวลาไม่มากอีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าเก็บเกี่ยวแล้ว   ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะยุ่งยากวุ่นวาย   พวกเขาควรได้เที่ยวเล่นในยามที่อากาศสดใสมิใช่หรือก่อนที่หิมะลูกแรกมาถึงลูกของเราต้องได้วิ่งในท้องทุ่งบ้าง ”

 

“ ท่านไม่ห่วงพวกเขาบ้างหรือเกิดพวกเขาป่วยขึ้นมา ”

 

คาโลไรน์ก้มหน้าน้ำตาคลอ

 

“ อย่ากังวลไปเลยไม่มีเด็กป่วยคนไหนได้ออกไปเดินเล่นในท้องทุ่ง   ลูกของเราไม่มีทางติดโรคแน่นอนมันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งหวาดวิตกหรือเอาแต่ขังพวกเขาไว้ในบ้านคาโลไรน์   เรื่องนี้มันต้องมีทางออกและเราต้องไม่รอคอยความหวังด้วยความกลัว ”  

 

           

คาโลไรน์จัดอาหารกลางวันใส่ตะกร้าหวายใบใหญ่ปิดทับด้วยผ้านวมลายดอกผืนเล็ก   

อาเธอร์หิ้วมันขึ้นไปไว้บนเกวียนข้างกระติกน้ำแล้วจึงหันมาอุ้มคาโอเรียขึ้นท้ายเกวียน

 

“ ไม่จ๊ะ! ไม่! เราแค่ไปเก็บผลไม้ป่ากันนะลูกเอาธนูไปเก็บเสียเถอะ ”

 

คาโลไรน์ร้องบอกเมื่อเห็นว่าฟิโลโซเฟอร์ถือธนูติดมือมาด้วย

 

“ ข้าแค่พกติดตัวไปเท่านั้นเองนะท่านแม่ข้าจะไม่ยิงอะไรเลย ”

 

เด็กชายยังคงต่อรอง

 

“ ไม่ได้หรอกที่นั่นมีคนมากมายเกิดลูกซนขึ้นมาคนอื่นอาจบาดเจ็บเอาได้ ”

 

 “ ทำตามแม่บอกสิฟิโลโซเฟอร์ ”

 

อาเธอร์ทำเสียงเข้มเด็กชายจึงต้องยอมเขาเดินก้มหน้าเอาธนูไปเก็บในบ้าน

 

“ ความจริงเจ้าไม่ต้องเข้มงวดกับเขาขนาดนั้นก็ได้เด็กผู้ชายก็ต้องมีซนบ้างเป็นธรรมดา ”

 

อาเธอร์พูดพลางพยุงนางขึ้นนั่งหน้าเกวียนเคียงข้างคนขับ

 

“ แต่ถ้าตามใจเขามากเกินไปโตขึ้นจะลำบากเอานะ ”

 

 

อาเธอร์รอจนฟิโลโซเฟอร์ปีนขึ้นไปนั่งท้ายเกวียนเคียงข้างน้องสาวเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงกระตุ้นม้าให้ออกเดินทาง   เกวียนพาวิ่งลงเนินมุ่งหน้าไปตามถนนอันคดเคี้ยวผ่านทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทอง   สายลมพัดต้นข้าวเอนราบไปกับพื้นก่อนดีดตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง   ไม่นานหลังจากนี้ชาวบ้านก็จะลงมือเก็บเกี่ยวผลผลิตกันแล้ว

 

ท้องฟ้ามีปุยเมฆกระจายบางเบา   อากาศกำลังสบายพวกเขายังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาออกไปก็เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี   ปศุสัตว์ฝูงใหญ่ยืนเล็มหญ้าอยู่เต็มทุ่งมีบางตัวที่ชะเง้อคอมองเมื่อเกวียนของพวกเขาขับผ่านไป   มันคงสงสัยว่าคนพวกนี้รีบเร่งไปไหนกันหนอ   หลังจากจ้องมองอยู่เป็นครู่ใหญ่มันจึงตัดสินใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมันฝูงปศุสัตว์เหล่านั้นจึงก้มหน้าก้มตาเล็มหญ้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

            อาเธอร์บังคับเกวียนเลี้ยวออกทางขวาเมื่อถึงทางแยกเกวียนวิ่งโขยกเขยกไปตามถนนทรายสีขาว   ฟิโลโซเฟอร์นั่งห้อยขาอยู่ท้ายเกวียนกระต่ายตัวน้อยของคาโอเรียโผล่หัวออกมาตรงช่องว่างของเด็กทั้งสอง   มันชะโงกหน้ามองปลายเท้าของเด็กชายแล้วเริ่มแหย่ขาหน้าตามลงไป   เด็กชายผลักหัวเจ้ากระต่ายน้อยกลับทันก่อนที่มันจะร่วงหล่นจากเกวียน

 

“ ไม่ฉลาดเลยนะทำแบบนี้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บ่นให้เจ้าลูกระต่ายแสนซน   สายลมปะทะผมสีน้ำตาลซีดๆ ของเด็กชายชาวทุ่งตัวน้อยปลิวกระจัดกระจาย   หมวกหนังที่สวมไว้ตกห้อยไปด้านหลังคาโอเรียมองพี่ชายอย่างตำหนิที่เขาไม่สนใจใส่หมวกให้เรียบร้อย   เสียงนกไนติงเกลดังมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ เด็กๆ ต่างเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจมันเป็นเสียงที่ไพเราะมาก   เหนือหัวพวกเด็กๆ ขึ้นไปสูงลิ่วหงส์สีขาวงามสง่าบินตัดท้องฟ้าไปทางทิศตะวันตก   ขนสีขาวบริสุทธิ์ทอประกายระยิบระยับในแสงแห่งดวงตะวัน

 

           

กระต่ายทุ่งออกมานั่งรับแดดกลางถนน   มันกระโดดหายเข้าไปในพงหญ้าทันทีที่เกวียนแล่นผ่านมาใกล้   กะว่าปรอดภัยดีแล้วจึงค่อยๆ โผล่หน้ากลมเล็กออกมาดูให้แน่ใจ   หลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็ออกมานั่งเต็มถนนเช่นเดิม   สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวสดพวกเขาเห็นบ้านดอกเห็ดตั้งขึ้นอย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะๆ   ทุ่งแห่งนี้หญ้าสูงเรียบเสมอกันบ้านเหล่านั้นก็เป็นเหมือนเห็ดสีส้มที่ผุดขึ้นกลางทุ่งหญ้า   

 

เด็กทั้งสองช่วยกันนับกระต่ายตามสองข้างทางจนลืมสังเกตไปว่าตามเส้นทางที่ผ่านมาเริ่มจะไม่มีบ้านคนให้เห็นแล้ว   ฟิโลโซเฟอร์สะกิดน้องสาวให้ดูกวางคู่หนึ่ง   พวกมันดูปราดเปรียวหูเล็กๆ ของพวกมันกระดิกเมื่อได้ยินเสียงสิ่งแปลกปลอมแล้วทันใดมันก็เงยหน้าขึ้น   ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนจ้องมาที่ฟิโลโซเฟอร์   เมื่อเด็กชายทำท่าจะยิงมันด้วยมือเปล่าเจ้ากวางน้อยเพียงแค่เอียงคอมองอย่างสนใจแล้วก้มลงเล็มหญ้าต่อ   คาโอเรียชี้ให้ดูจุดสีขาวตรงกลางหลังของมันแล้วบอกว่าเหมือนแตงที่สวนหลังบ้านแต่พี่ชายของนางแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน   เกวียนแล่นผ่านมาไกลแล้วแต่เด็กทั้งสองยังตกลงกันเรื่องลายจุดบนหลังกวางไม่ได้อยู่ๆ เกวียนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน   เด็กทั้งสองหน้าคะมำจนแทบตกจากเกวียนเสียงม้าแกลบดังขึ้นจากทางด้านหน้าเกวียนแล้วมีเสียงม้าอีกคู่ร้องตอบ   เด็กๆ ลุกขึ้นเกาะขอบเกวียนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น   ด้านหน้ามีเกวียมติดประทุนขนาดใหญ่จอดขวางอยู่

 

“ มีอะไรหรือพรรคพวก ”

 

อาเธอร์ร้องถาม   

ชายร่างอ้วนที่นั่งคร่อมอยู่หัวเกวียนยืดกายขึ้นพลางเปิดหมวกเผยให้เห็นหัวล้านเลี่ยน  

เขายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตรแต่ดวงตามีประกายคมกล้า

 

“ จากนี่ไปกัลป์ทีเรียข้าต้องใช้เส้นทางสายใดสหายข้า ”

 

 เมื่อเขาพูดเสียงเขากังวานเหมือนกลองก้นทะลุจนเด็กๆ อดขำสำเนียงนั้นไม่ได้

 

“ ตรงไปตามทางเส้นนี้เมื่อถึงทางแยกท่านต้องเลี้ยวลงใต้ ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ แต่ข้าได้ยินมาว่ามีทางลัดนี่นา ”

 

ชายคนนั้นแย้ง

 

“ ข้าว่าท่านไม่ใช้มันจะดีกว่าเพราะท่านเดินทางเพียงลำพังไม่อย่างนั้นท่านอาจติดอยู่ในป่าจนมืดค่ำ ”

 

“ ป่าเครปน่ะหรือ ”

 

“ ถูกแล้วมันมีถนนเล็กๆ ตัดผ่านป่าแต่ไม่นิยมใช้กันหรอกนะโดยเฉพาะในยามค่ำคืน ”

 

“ อืม....”

 

ชายหัวล้านมีท่าทีครุ่นคิด

 

“ ป่าเครปเมื่อก่อนข้าเคยชอบมันนะถ้ามันไม่ทำนิ้วของข้าหายไปซะก่อน ”

 

เขาชูนิ้วก้อยที่ขาดด้วนขึ้นอวดพลางหัวเราะร่วน

 

“ โธ่เอ๋ยข้าเองนึกว่ามีทางลัดอื่นเป็นอย่างนี้คงต้องไปทางเดิมอย่างเจ้าว่า ”

 

แล้วเขาก็เป่าปากปรี๊ด  

เหยี่ยวดำตัวใหญ่เหินลงมาจากท้องฟ้าตรงมาหาชายร่างอ้วน   

เขาพูดอะไรบางอย่างกับมันก่อนจะส่งมันบินล่วงหน้าไปก่อน

 

“ ขอบใจเจ้ามาก  เอ้าพวกคนหนุ่มทั้งหลาย  จงเร่งม้าไปให้ไกล  ทิ้งตะวันออกไว้  อย่าเข้าใกล้มัน  เมื่อเหมันมาถึง   ข้าจึงเข้าใจ   มุ่งสู่เมืองใหญ่   ค้าขายร่ำรวย ”

 

ชายคนนั้นร้องเป็นเพลงพลางแกว่งหมวกไปมา  

ม้าเทศตัวใหญ่เริ่มเคลื่อนจากไปอย่างช้าๆ เกวียนของเขาพาวิ่งตัดท้องทุ่งไปโดยไม่สนใจถนนแม้แต่น้อย

 

“ อะไรของเขาน่ะ ”

 

แคโลไรน์บ่น

ส่วนฟิโลโซเฟอร์มองตามด้วยความสนใจ

 

“ ใครกันจ๊ะพ่อ ”

 

คาโอเรียถาม

 

“ พวกพ่อค้าเร่น่ะนั่งลงซะลูกเดี๋ยวจะพลัดตกลงไป ”

 

“ เอ๋   เขาไม่เข้าไปขายของในเมืองซีนาร์ยแล้วหรือ ”

 

เด็กหญิงยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วด้วยความสงสัย

 

“ ถ้าเขาเลี้ยวออกนอกทางไปอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาไม่ไปแล้วล่ะว่าแต่เจ้าน่ะเมื่อไหร่จะนั่งเสียที ”

 

อาเธอร์เอี้ยวตัวมาบอกแต่ก็ช้ากว่าฟิโลโซเฟอร์  

เด็กชายฉุดน้องสาวจนนางล้มกลิ้งทับลงบนตัวของเขา 

คาโอเรียตะเกียกตะกายขึ้นนั่งพลางจ้องพี่ชายด้วยสายตาขุ่นเคืองเขามักแกล้งน้องแรงๆ เสมอ

 

“ อย่าสิลูกเดี๋ยวก็เจ็บตัวกันหรอก ”

 

คาโลไรน์เสียงดุแต่เด็กชายหัวเราะชอบใจ  

 

 

เกวียนวิ่งโขยกเขยกหนักขึ้นเมื่ออาเธอร์เลี้ยวออกนอกถนน   ม้าเทียมเกวียนพาพวกเขาตัดไปตามทุ่งหญ้า   รอบกายเต็มไปด้วยพุ่มหญ้าเขียวขจีประหนึ่งพรมผืนนุ่ม

 

“ เราจะไปไหนกันนี่ ”

 

คาโลไรน์สงสัย

 

“ พ่อค้าคนเมื่อครู่ทำข้าคิดได้ว่าเราต้องลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง   อย่างตอนนี้ข้ากำลังทำทางลัดไปทุ่งเกล็ดมังกรอย่างไรเล่า ”

 

“ โอ้  ข้าคิดว่ามันจะลำบากไปนะหรือโชคร้ายเราอาจหลงทาง ”

 

อาเธอร์ไม่ตอบได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ

 

“ แปลกจริงๆ เหตุใดเขาจึงลงใต้   ปรกติในฤดูกาลนี้กลุ่มพ่อค้าเร่จะมุ่งหน้าไปทางเหนือผ่านตัวเมืองซีนาร์ย   พวกเขาจะมุ่งขึ้นเหนือไปให้ถึงโอรีเวียก่อนที่ภายุหิมะลูกแรกจะมาเยือน   คนพวกนี้เขาเคยทำอย่างนี้จนเป็นประเพณีไปแล้วแต่ทุกวันนี้ข้าเห็นพ่อค้าเร่หลายคนมุ่งหน้าลงใต้   พวกเขาไปกัลป์ทีเรียเมืองเล็กๆ ที่ไม่เหมาะแก่การทำการค้าเลยสักนิด ”

 

อาเธอร์ละบายความข้องใจออกมา

 

 “ บางทีพวกเขาอาจจะอยากทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปก็ได้   จุดหมายปลายทางสุดท้ายอาจจะยังเป็นโอรีเวียเหมือนเดิมอยู่ใครจะรู้ ”

 

คาโลไรน์ให้ความเห็น

 

“ ไม่  คนพวกนี้เดินทางไปทุกที่พวกเขารู้อะไรหลายอย่างข้าอยากรู้นักว่าคนพวกนี้รู้อะไร ”

 

อาเธอร์ว่า

 

           

เกวียนพาพวกเขามาหยุดที่เนินดินแห่งหนึ่ง   กลิ่นดอกไม้ป่าหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ   ฝูงผึ้งและผีเสื้อหลากสีปลิวว่อนอยู่ในอากาศ   มีเกวียนและรถม้ามากมายจอดกระจายอยู่ตามริมเนินถัดๆ กันไปพวกเขาต่างมาด้วยจุดประสงอันเดียวกัน   อาเธอร์ปลดเกวียนออกจากหลังม้าเขาเทข้าวโอตใส่กระบะให้มัน   ความจริงแล้วแถบนี้มีหญ้าเหลือเฟือแต่ข้าวโอตจะล่อให้มันไม่ไปไกลจากเกวียน   อาเธอร์ส่งกระป๋องเล็กๆ ให้เด็กๆ ส่วนม้าของเขาจะปล่อยเอาไว้อย่างนั้นเมืองนี้ปลอดภัยจากขโมย   เว้นแต่ผู้ที่มาจากนอกเมือง

 

“ มีคนมาที่นี่มากเหลือเกิน ”

 

คาโอเรียเอ่ยขึ้น

 

“ อย่าห่วงไปเลยผลไม้ป่าของที่นี่มีเพียงพอสำหรับทุกคน ”

 

อาเธอร์บอกเขากำลังจัดเกวียนให้เข้าที่

 

“ ท่านพ่อข้าจะไปฝั่งโน้นตรงที่คนน้อยๆ จะได้ไม่ต้องแย่งกับคนอื่น ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง

เขาชี้มือไปทางฟากหนึ่งของเนินที่ห่างออกไป

 

“ เอาอย่างนั้นหรือ   ก็ได้   แล้วเจ้าจะพาน้องไปด้วยหรือเปล่า ”

 

“ ถ้านางอยากไปข้าจะห้ามได้รึ ”

 

เขาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแต่สายตานั้นเกเรยิ่งนัก

คาโอเรียจึงค้อนขวับเข้าให้

 

“ อย่าไปไกลนักนะลูก ”

 

คาโลไรน์กำชับด้วยความเป็นห่วง

 

“ ข้าจะพยายาม ”

 

เด็กชายตอบพลางจูงน้องออกวิ่ง

 

“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าอย่าซนนักนะแล้วก็ดูแลน้องให้ดีๆ ล่ะ ”

 

คาโลไรน์ตะโกนตามหลังนางมองลูกๆ วิ่งแข่งกันขึ้นเนิน

 

“ มาเถอะ ”

 

อาเธอร์แตะไหล่ภรรยาเมื่อเห็นนางยังละล้าละลัง

 

“ พวกเขาไม่เป็นไรหรอก ”

 

 

เนินดินแถบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายอย่างสวยงาม   ผู้คนเหล่านั้นต่างเก็บผลไม้ป่ากันอย่างสนุกสนาน   หญิงสาวกับชายหนุ่มจับคู่คุยกันท่าทางมีความสุข   มันเป็นช่วงเวลาที่ดีในวันที่อากาศดีของซีนาร์ยผู้คนมากมายจากมุมต่างๆ ของเมืองต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อเก็บผลไม้ป่าหลากหลายชนิด   ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดกับคนอื่นที่ไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้า   และเด็กๆ ได้เล่นกันสนุกสนานแต่ดูเหมือนปีนี้เด็กๆ คงไม่ได้สนุกกันอย่างที่เคย

 

“ ตามมาคาโอเรียเจ้าต้องวิ่งให้ทันพี่ไม่เช่นนั้นจะถูกหมีป่าจับตัวไป ”

 

“ แถวนี้ไม่มีหมีสักหน่อย ”

 

เด็กหญิงค้านเสียงแหลม

 

“ ปีที่แล้วมีเด็กคนหนึ่งถูกจับตัวไป ”

 

คนเป็นพี่ยังขู่ไม่เลิก

 

“ ไม่จริงหรอกข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ”

 

ถึงตอบไปแบบนั้นแต่เด็กหญิงก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น   

ฟิโลโซเฟอร์พาน้องตัดเนินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง   พวกเขาเดินผ่านผู้สูงอายุกลุ่มใหญ่ที่กำลังช่วยกันเก็บลูกแบล็คเบอร์รี่สีเข้มใส่ในถังไม้ใบเขื่อง   บางคนในกลุ่มนั้นหันมาส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้เด็กทั้งคู่ด้วย

 

“ นี่เราจะไปไหนกัน ”

 

คาโอเรียถามเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเดินห่างออกจากกลุ่มผู้คน

 

“ ข้าจำได้ว่ามันอยู่แถวๆ นี้แหละ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์กวาดตามองตามพื้น   เถาองุ่นรกครึ้มถูกปกคลุมด้วยใบดกหนาเขาค่อยๆเปิดใบไม้ออก   องุ่นฉ่ำน้ำพวงโตเบียดเสียดกันอยู่ใต้พื้น   คาโอเรียอุทานด้วยความตื่นเต้นพวกเขาช่วยกันเก็บองุ่นใส่กระป๋องจนเต็มในเวลาอันรวดเร็ว   แต่ก็ยังเหลือองุ่นอยู่อีกมากฟิโลโซเฟอร์เลือกเด็ดองุ่นลูกใหญ่สีสวยกินอย่างเอร็ดอร่อย   มีเสียงโห่ร้องของเด็กๆ ดังมาจากอีกฝั่งของเนินเด็กทั้งสองหันไปตามที่มาของเสียง

 

“ ฝั่งโน้นมีคนมากก็ต้องแย่งกันวุ่นวายน่าเบื่อออก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ แต่ที่นั่นมีผลไม้มากชนิดกว่านะ ”

 

คาโอเรียแย้ง

 

“ ก็ช่างปะไรข้าชอบกินองุ่น ”

 

เด็กชายล้มตัวลงนอนเหยียดยาว   เขาหย่อนองุ่นลูกหนึ่งเข้าปากแต่แล้วก็สำลักออกมา

 

“ องุ่นเปรี้ยว  โธ่! นึกว่าเลือกดีแล้วเชียว ”

 

คาโอเรียหัวเราะเข้าให้แล้วหันไปสนใจเลือกองุ่นต่อ

 

กระต่ายลูซุกหน้าลงบนกองใบไม้   ใช้สองเท้าหน้าตะกุยใบองุ่นเป็นพัลวัน   มันมุดหน้าลึกลงไปจนเห็นแค่หางโผล่ขึ้นมา

 

“ เมื่อปีก่อนเรามีกันสี่คน ”

 

คาโอเรียรำพึง

 

“ ตอนนี้ลีเดียกำลังทำอะไรอยู่นะ ”

 

“ แม่สาวผมดำจอมป่วนของเธอน่ะเหรอไม่มาก็ดีแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ แหม   เจ้าโรเซนของพี่ชายก็ดีตายล่ะ ”

 

เด็กหญิงขึ้นเสียง

 

“ โรเซนซุกซนจริงแต่เขาไม่เคยทำเรื่องวายป่วงให้คนอื่นตามแก้ ”

 

เด็กหญิงไม่ตอบแต่หันไปแลบลิ้นให้พี่ชาย

 

“ แบร่!... ”

 

“ นี่เถียงไม่สู้แล้วทำท่าน่าเกลียดหรือไง ”

 

เด็กๆ ยังคงถกเถียงกันอย่างจริงจัง   จนลืมสังเกตว่ามีเสียงกรอบแกรบดังมาจากทางด้านหลัง   ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ   คาโอเรียหวีดร้องขึ้นเมื่อมือข้างเอื้อมมาจับไหล่   

 

พวกเขาหันกลับไปมองแล้วต้องตกตะลึง   เบื้องหน้าที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กเก่าคร่ำคร่า   แต่สิ่งที่น่าสะพรึงคือใบหน้าส่วนที่พ้นจากเกราะนั้นเต็มไปด้วยแผลพุพองราวกับคนผู้นี้เคยถูกไฟคลอกมาอย่างหนัก  

 

“ ผี!   ที่นี่มีผี ”

 

คาโอเรียเสียงตระหนกนางพยายามถอยหนีแต่ก็สะดุดล้มลง   เจ้าของร่างนั้นโน้มต่ำลงมาคว้าข้อเท้าของนางเอาไว้   เด็กหญิงดิ้นรนสุดชีวิต   มือแข็งแกร่งนั้นกลับกำรวบแน่นขึ้น   กระต่ายลูที่หมอบอยู่ข้างๆ เผ่นพรวดเข้าไปในพงหญ้าทันที

 

ฟิโลโซเฟอร์ชันตัวพรวดขึ้นจากท่านอน   มือของเขาควานไปตามพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้   ในหัวคิดไปสารพัดเสี้ยวหนึ่งเขานึกถึงธนูที่เก็บไว้ที่บ้าน   ในบริเวณนั้นมีเพียงเถาองุ่นกับใบไม้ใบหญ้าเขากระชากเถาองุ่นแห้งออกมา   ของแบบนี้จะใช้ทำอะไรได้นอกจากใช้รัดคอตัวเองเด็กชายคิดอย่างท้อแท้

 

“ โปรดอย่าตกใจข้ามิได้มีเจตนาร้าย ”

 

น้ำเสียงเศร้าหมองของบุรุษปริศนาทำให้เด็กๆ หยุดชะงัก   เขาคนนั้นเป็นชายร่างสูงสวมเกราะของทหารสภาพมอมแมมเหมือนคนพเนจร   อะไรบางอย่างในแววตาของเขาทำไห้ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเวทนา   แต่เขาก็ยังไม่อาจวางใจได้   เด็กชายเคยได้ยินเรื่องคนป่าเถื่อนและพวกลักพาตัวเด็กมามากเหมือนกัน

 

“ ข้าจะเชื่อคำพูดนั้นได้อย่างไรในเมื่อท่านจับน้องสาวของข้าเอาไว้แบบนั้น ”

 

ฟิโลโซเฟอร์คำรามแต่น้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าที่ตั้งใจ

 

“ โอ้   อย่างนั้นหรือ ”

 

ชายคนนั้นว่าพลางปล่อยมือ

 

คาโอเรียรีบตะกายไปยืนหลบด้านหลังพี่ชายแล้วส่งเสียงกระซิบ

 

“ ฉวยโอกาสนี้วิ่งกันเถอะอย่าห่วงองุ่นพวกนี้เลย   ปีศาจร้ายตนนี้น่ากลัวนักจะจับพวกเรากินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ”

 

“ ข้าไม่ได้ห่วงของกินและเขาก็ไม่ได้เป็นปีศาจ ”

 

เด็กชายตอบเสียงรอดไรฟัน

 

“ จริงหรือ ”

 

“ แน่นอนแค่เป็นคนสติไม่ดีน่ะ ”

 

“ อ้อ   ฟังแล้วอุ่นใจขึ้นเยอะเลยแต่ข้าว่าเราวิ่งตอนนี้ยังทันนะ ”

 

เด็กหญิงเสนอแนวคิด

นางเกาะไหล่พี่ชายแล้วหดตัว

 

ฟิโลโซเฟอร์ส่ายหน้าให้เขาวิ่งคนเดียวอาจมีลุ้น   แต่ถ้าพ่วงเด็กหญิงที่สวมกระโปรงยาวลากพื้นวิ่งขึ้นเนินนั่นคืองานหนัก   ทางที่ดีลองหลอกล่อดูอาจมีทาง

 

“ ท่านนักรบผู้ยิ่งใหญ่ข้าเดาท่านคงหลงทาง   ที่นี่มีแต่ทุ่งนาและชาวบ้านชาวสวนธรรมดาหาใช่แดนสงครามไม่   บอกข้าทีว่าท่านต้องการไปที่แห่งใดบางทีข้าอาจชี้ทางสว่างแก่ท่านได้ ”

 

“ ข้ามาตามหาบุตรสาว ”

 

ชายผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงแห้งผากราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมเดือน 

เขายื่นมือข้างหนึ่งมาทางคาโอเรีย

เด็กหญิงสะดุ้งและห่อตัวเล็กลงอีก

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืดตัวขึ้นบังน้องสาวไว้   เขารู้สึกถึงความตระหนกแต่กระนั้นขาทั้งสองข้างก็ยังตั้งมั่น   ไม่มีท่าทีว่าจะถอยแม้สักก้าว

 

“ หยุดอยู่ตรงนั้น ”

 

เสียงเด็กชายเฉียบขาดจนน่าตกใจ

 

“ นางไม่ใช่บุตรสาวของท่านอย่าได้บังอาจแตะต้องนาง   เห็นแก่ว่าท่านบาดเจ็บหนักข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่ท่านทำเราแตกตื่น   แต่ท่านจงรีบไปให้พ้นเสียก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ ”

 

“ นี่ข้ากำลังคุยกับเด็กอยู่อย่างนั้นหรือ ”

 

เสียงนั้นเจือแววขบขัน

ถึงอย่างนั้นเขาก็หดมือกลับแต่โดยดี

 

“ ข้าทำเรื่องยิ่งใหญ่และเสียงอันตรายมามาก   ข้าปกป้องผู้คนมากมายพวกเขาต่างยกย่องข้า   แต่สุดท้ายข้าก็ไม่เหลืออะไร   ทุกสิ่งหลุดพ้นไปจากมือข้าเสียแล้ว   ดูสิแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ยังกล้าข่มขู่ข้า ”

 

ชายปริศนาหน้าตาอัปลักษณ์ก้มลงดูมือที่สั่นเทาของตัวเอง

เขายกมือขึ้นกุมศีรษะทำท่าเหมือนจะกรีดร้อง

 

“ เดี๋ยวๆ ใจเย็นก่อนจริงๆ ข้าแค่อยากบอกว่าท่านมาผิดทางแล้วบุตรสาวท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ ”

 

เด็กชายรีบพูด

กลัวว่าคนๆ นี่จะสติแตกแล้วทำอะไรน่ากลัว

เขาเห็นชัดแล้วว่าชายผู้นี้สะพายดาบเล่มใหญ่มาด้วย

 

“ ใช่แล้ว   ท่านคิดมากไปเองเราแค่พูดตามแบบของเรา ”

 

คาโอเรียว่าบ้างนางกระตุกชายเสื้อพี่ชายถี่ยิบเพื่อเตือนให้เขารีบตัดสินใจ

 

เหมือนว่าเสียงของเด็กหญิงไปกระตุ้นจิตใจของคนผู้นั้น   เขาร่ำไห้ออกมาเบาๆ

 

“ ท่านบอกมาสิว่าบุตรสาวของท่านอยู่ที่ไหนบางทีเราอาจชี้ทางท่านได้ ”

 

เด็กชายพยายามกล่อมไม่ให้เขาจิตหลุด

 

“ ใช่ๆ นางอยู่ที่ไหนล่ะที่ซีนาร์ยหรือเปล่าแล้วนางชื่ออะไรบางทีข้าอาจรู้ ”

 

คาโอเรียเสริมอีกแรงด้วยเสียงอันไม่มั่นคง  

นางมองเห็นดาบเล่มนั้นแล้วและรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

 

“ ไม่มีอีกแล้วข้าตามหามาทุกที่ไม่มีแม้แต่เงา   นางถูกช่วงชิงไปแล้ว ”

 

เขามองมาทางคาโอเรีย

“ อ้อ   ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงกลับบ้านไปเสีย   ที่นี่ไม่ใช่ที่ของท่านมีคนมากมายรอท่านอยู่ที่บ้าน   ท่านเดินหน้าต่อก็เสียแรงเปล่า   บางทีท่านอาจพบว่าคนที่ท่านตามหาแท้จริงแล้วไม่ได้จากไปไหนเลย ”

 

เด็กชายว่าพลางก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างมั่นคงสายตาจดจ้องแทบไม่กระพริบ

ชายแปลกหน้ารับรู้ถึงท่าทีคุกคามของเด็กชายตัวน้อยอย่างประหลาดใจ  

ถึงแม้ฟิโลโวเฟอร์จะพูดจาดีแต่กิริยานั้นบอกว่าพร้อมจะพุ่งเข้าใส่

 

ชายคนนั้นรู้สึกวุ่นวายสับสนใจหนึ่งอยากชิงเอาเด็กหญิงมาเป็นของตน   ใจหนึ่งก็ประทับใจกับคนเป็นพี่   มีหลายเสียงดังก้องในหัวให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้   ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรแน่   เขาได้แต่นิ่งอึ้งจ้องมองเด็กทั้งสองด้วยสายตาประหลาด

 

“ ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกเราอยู่นี่ ”

 

เด็กหญิงโบกมือให้กับชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินตัดเนินดินมา  

ชายแปลกหน้าเอื้อมมือไปที่ดาบแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

 

“ ความฝันที่งดงามพังทลายลงแล้วหลังจากพวกเราลืมตาขึ้นทุกสิ่งที่ปรากฏคือความจริงอันโหดร้าย ”

 

ชายคนนั้นพูดเสียงเบาหวิวแววตาเลื่อนลอย

 

“ อ้อ ”

 

เด็กชายว่าเขารู้สึกงุนงงกับคำพูดประหลาดนั้นจนหาถ้อยคำมาตอบโต้ไม่ได้

เขาเหลือบมองพ่อกับแม่ที่เดินตรงมาทางนี้แล้ว   ในใจก็นึกกังวลกับคนตรงหน้า

 

พลันคนผู้นั้นก็ขยับตัวอีกครั้ง

 

“ ข้าคือดาเรน  ใช่แล้วข้าคือดาเรน  อ้าตอนนี้ข้าอยู่ไหนนะ ”

 

เขามองไปรอบๆ ผ่านเลยเด็กทั้งสองไปราวกับมองไม่เห็น

 

“ ภารกิจยังไม่เสร็จพวกบ้านั่นไปหลบอยู่ที่ไหน   ให้ตายสิข้าคงต้องทำที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเอง   ตอนนี้ข้าทำอะไรอยู่นะหรือว่าหลงทาง   ที่นี่ไม่ถูกต้อง   ไม่สิที่นี่ต้องไม่ใช่แบบนี้ไม่อีกต่อไปแล้ว ”

 

ชายประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์บ่นงึมงำแล้วเดินลากขาผ่านเด็กทั้งสองไป

 

เด็กๆ ต่างเบี่ยงตัวหลบด้วยด้วยสีหน้าโล่งใจ

 

“ เขา   เป็นใคร ”

 

คาโอเรียถามเสียงหวาดๆ นางยังเกาะหลังพี่ชายแน่น

 

“ ชัดเจนเลยว่าเป็นคนบ้า ”

 

“ น่ากลัวชะมัด ”

 

“ ชีวิตเขาต้องพานพบอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากจึงกลายเป็นเช่นนี้   ก่อนหน้านั้นชายผู้นี้คงเป็นทหารเหตุการณ์อะไรนะที่ทำให้เขาเสียสติ   คิดแล้วก็น่าเศร้าข้าอยากพาเขากลับบ้านบางทีชีวิตของเขาอาจดีกว่านี้ ”

 

“ ไม่ล่ะ ”

 

คาโอเรียค้านพลางเหลียวมองด้านหลังของชายปริศนาที่กำลังเดินห่างออกไป

 

“ ปล่อยเขาไปน่ะดีแล้วว่าแต่เราจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ว่าอย่างไร ”

 

เด็กหญิงถามด้วยความกลัดกลุ้ม

 

“ ท่านแม่จะชอบใจหรือเปล่าที่มีคนบ้ามายุ่งกับเราข้ากลัวว่าต่อไปท่านแม่อาจจะไม่ยอมให้เราออกจากบ้าน ”

 

“ อย่าบอกอะไรถ้าพวกเขาไม่ถามเพราะนั่นจะทำให้เราอดเล่นสนุก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอกเสียงจริงจัง

เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าได้พาน้องสาวมาพบกับอะไร

 

 

            เมื่อสถานการณ์ไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด   ลูซึ่งวิ่งหนีไปในตอนแรกก็กลับมา   เด็กชายมองมันอย่างผิดหวัง    เขารู้สึกว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไร้ประโยชน์   กินก็ไม่ได้จะขายก็ไม่มีใครซื้อถึงมีคนซื้อใครบางคนก็คงไม่ยอมให้ขายอยู่ดี   รู้อย่างนี้จับหมาป่ากลับมาแทนยังจะดีกว่า   อย่างน้อยช่วยเห่าก็ยังดีนี่มีแต่กินกลับหนี

 

“ ทำอะไรกันล่ะทั้งสองคน ”

 

อาเธอร์ถามเขาก้มลงลูบผมบุตรทั้งคู่

 

“ ลูกไม่ควรออกห่างกลุ่มคนมากนัก   เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีคนรู้ช่วยเหลือได้ทัน   อ้อแล้วเมื่อกี้แม่เห็นมีใครอยู่กับลูกหรือ ”

 

“ คนเดินทางน่ะฮะเขาแค่สงสัยว่าพวกเรามาทำอะไรกันตรงนี้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบอึกอัก   

 

อาเธอร์มองเห็นถังองุ่นจึงชี้ให้ภรรยาดู

 

“ อ้อใช่   องุ่นสวยๆ ทั้งนั้นพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีองุ่นป่าอยู่แถวนี้   แต่ทีหลังถ้าจะออกมาไกลอย่างนี้ต้องบอกแม่ก่อน   รู้ไหมฝั่งทางโน้นมีคนเจอหมีตัวใหญ่ด้วย ”

 

นางชมไปขู่ไป

 

“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์ลูกเราโตเกินกว่าจะแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาหลอกได้แล้วนะ ”

 

“ ถ้ามีจริงก็ดีน่ะสิคราวหลังข้าจะได้ถือธนูมาด้วย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์บอก

 

“ ล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย   หมีตัวเต็มวัยน่ะตัวโตกว่าพ่อค้าเร่ที่เราพบระหว่างทางเมื่อกี้เสียอีกและพวกมันก็แข็งแรงมากด้วย   เจ้าไม่อาจเด็ดชีพมันด้วยธนูดอกเล็กๆ เพียงดอกเดียวหรอกนะ   สัตว์ร้ายเวลาบาดเจ็บมันจะดุร้ายมากถ้าเจ้าไม่ระวังพอนอกจากจะล่ามันไม่ได้ยังอาจจะถูกหมีสังหารเสียเอง ”

 

อาเธอร์เตือน

 

 

            หลังจากช่วยกันขนถังใส่ผลไม้ขึ้นไปไว้บนหลังเกวียนจนเรียบร้อยดีแล้ว   คาโลไรน์ก็ปูผ้าลงบนผืนหญ้าใกล้ๆ กับที่จอดเกวียนนั้น   ม้าแกลบเล็มหญ้าอยู่ถัดไปท่ามกลางแสงแดดอบอุ่น

 

“ หิวหรือยังล่ะแม่มีขนมปังกรอบปลาทอดและก็ไข่ต้มสำหรับทุกคน ”

 

นางพูดพลางแก้ห่ออาหารออก

 

“ นั่งกันได้แล้วดื่มน้ำก่อนมั้ยลูก ”

 

อาเธอร์ส่งกระติกน้ำให้เด็กทั้งสองที่กำลังเล่นสนุก

 

“ ทำไมจึงเรียกที่นี่ว่าทุ่งเกร็ดมังกรด้วยล่ะคะที่นี่ไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้นสักหน่อย ”

 

คาโอเรียถามมือทั้งสองยังวุ่นอยู่กับการจัดกระโปรงให้เรียบก่อนจะนั่งลง

 

คาโลไรน์มองความยับย่นนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้า

 

“ นานมาแล้วทุ่งแห่งนี้เต็มไปด้วยหญ้าชนิดหนึ่งใบของมันเป็นแผ่นแข็งๆ เหมือนเกล็ดมังกร   กิ่งก้านสาขาหนาแน่นและเต็มไปด้วยหนามแหลม   ทำให้พืชอย่างอื่นไม่สามารถงอกงามขึ้นมาได้   น่าแปลกที่หญ้าชนิดนี้ขึ้นปกคลุมเฉพาะที่นี่เท่านั้นเพราะถ้ามันแผ่ขยายออกไปคงทำให้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นพื้นที่รกร้าง   หญ้าพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไรจะทำลายก็ไม่ได้ไม่ว่าจะฟันขุดถอนทิ้งหรือจุดไฟเผาสุดท้ายมันก็งอกขึ้นมาใหม่อยู่ดี   หญ้าเกล็ดมังกรคงจะครองพื้นที่นี้ไปอีกนานถ้าหากวันนั้นไม่มีผู้วิเศษสองคนผ่านมาทางนี้   พวกเขาพักอยู่ในดงหญ้าที่เต็มไปด้วยหนามแหลมจนกระทั่งรุ่งเช้าพวกเขาจึงจากไป   และชาวเมืองซีนาร์ยก็พบว่าทุ่งเกล็ดมังกรได้กลายเป็นทุ่งที่เต็มไปด้วยไม้ผลนาๆ พันธุ์ให้ชาวเมืองได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันนับแต่นั้น   แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนส่วนจะจริงหรือไม่พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ”

 

อาเธอร์ตอบ

 

“ พ่อมดแม่มดนี่พวกเขาจิตใจดีกันทุกคนเลยนะคะ ”

 

เด็กหญิงพูดด้วยความใสซื่อ

 

“ ต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่ละต้นยังแผ่กิ่งก้านสาขาต่างกัน   ใดๆ ในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ลูกของพ่อสองคนยังไม่เหมือนกัน   เจ้าอย่าคาดหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้   จงเฝ้าดูและเรียนรู้ว่าสิ่งที่ตาเห็นแท้จริงแล้วแก่นแท้เป็นอย่างไร ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา