โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

64) นอกกำแพงเมือง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อาเธอร์ได้ออกไปดูที่ดินที่อยู่นอกกำแพงเมืองอยู่บ่อยครั้ง   เขาขนไม้จากป่ามากองไว้ในที่ดินของเขา   ถึงแม้จะใกล้หน้าหนาวเต็มทีแล้ว   แต่อาเธอร์ก็ตัดสินใจจะสร้างบ้านเสียในตอนนี้   โอรีเวียไม่เคยต้องเจอกับภายุหิมะมาหลายปีแล้ว   อย่างน้อยก็ตั้งแต่เขาจำความได้เขาไม่เคยพบภายุหิมะในดินแดนแห่งนี้   แต่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเพราะดินแดนนี้อยู่ในเขตควบคุมของเหล่าผู้วิเศษ   ดินฟ้าอากาศในแถบนี้จึงไม่มีความรุนแรง
 
            ในวันที่อากาศสดใส   อาเธอร์พาคนในครอบครัวขึ้นเกวียนมุ่งหน้าออกนอกเมือง   ม้าเทียมเกวียนพาพวกเขาผ่านประตูเหล็กหนาออกไป   หัวหน้าผู้คุมยามหน้าประตูโบกมือทักทายเมื่อคณะเดินทางผ่านออกไป   แต่ประตูนี้คือประตูห้าเป็นทางออกคนละที่กับเมื่อครั้งแรกที่มาถึงโอรีเวีย   ถนนเส้นนี้ผู้คนพลุกพล่านกว่า   และทิวทัศน์ก็ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง   ฝั่งนี้คือด้านทิศตะวันตกของเมือง   เมืองหน้าที่เห็นเป็นเงาทะมึนก็คือป่าแดง   ส่วนสิ่งนั้นมันอยู่ไกลออกไปทางฝั่งซ้ายมือเห็นเป็นเงารางๆ   เทือกเขาเงาปีศาจ    
 
ฟิโลโซเฟอร์ยืนขึ้นเหนือเกวียน   เขามองดูม้าเทศพันธุ์ดีสองตัวที่วิ่งแข่งกันอยู่เบื้องหน้า  เป็นอย่างที่บอดาของเขาบอกจริงๆ ทุกสิ่งในเมืองนี้ล้วนถูกคัดสรรค์มาเป็นอย่างดีแล้ว   พวกเขาเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากกำแพงใหญ่นัก   ผู้คนในหมู่บ้านต่างใช้ชีวิตกันตามปรกติโดยไม่แยแสต่อผู้ที่สัญจรผ่านไปมา   มีเพียงสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่สองตัวเท่านั้นที่แสดงความสนใจพวกเขาโดยการวิ่งตามเห่าไล่หลัง  
 
อาเธอร์บอกคนในครอบครัวว่านี่คือหมู่บ้านนอกกำแพง   เป็นที่สำหรับผู้คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยภายในตัวเมือง   พวกเขาต้องมาสร้างบ้านที่ตรงนี้   คนในหมู่บ้านล้วนแต่ยากจนและเป็นที่รังเกียจของคนในเมือง   คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์   สิ่งนี้ทำให้พวกเขาถูกกดต่ำลงไปอีก   แต่พวกเขาก็อยู่อย่างสงบและสามัคคีกันเรื่อยมา
 
พ้นเขตหมู่บ้านคนจนนอกกำแพงเมือง   พวกเขาก็มุ่งหน้าไปตามถนนดินสายแคบๆ มีบ้านหลังเล็กๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจายในทุ่งหญ้า  พวกเขากำลังเดินทางไปทางทิศตะวันตก   เทือกเขาปีศาจตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ เบื้องหลังแนวเขาลึกลับทิ้งห่างพวกเขาออกไป   แต่กลิ่นความชั่วร้ายยังตามติดทุกฝีก้าว   คาโลไรน์เบือนหน้าหนีจากมันช่วงเวลาที่อยู่บนเขานั้น   มากเพียงพอแล้วสำหลับการจดจำ
 
            สายลมเย็นเยือกพัดผ่านพวกเขาไปแต่ท้องฟ้าก็ยังดูสดใส   ฟิโลโซเฟอร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้ง   ภาพของมังกรดำที่พุ่งทะยานสูงเทียมเมฆยังติดตาเขาไม่หาย   ที่ดินของพวกเขาตรงนี้ก็ไกลจากกำแพงเมืองเหลือเกิน   ถึงแม้ข่าวการบุกจู่โจมของเหล่ามังกรดำจะเริ่มซาไปบ้างแล้ว   แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะตัดใจเลิกบุกเมืองโอรีเวียไปจริงๆ หรือเปล่า   บิดาของเขาชี้ให้ดูบ้านที่กระจายอยู่ในทุ่งหญ้า   แล้วบอกว่าพวกมังกรไม่เคยบุกมาฝั่งนี้เลย   บ้านเหล่านั้นปรอดภัยมาตลอด   และเราก็เช่นกัน  
 
อาเธอร์ติดดาบมาด้วย   เขาจะหยิบมันติดมือมาทุกครั้งที่ต้องออกมานอกเมือง  ฟิโลโซเฟอร์วางธนูคันใหม่ไว้บนตัก   บิดาของเขาซื้อมาจากร้านค้าอาวุธชั้นดีแต่เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาใช้   ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบมัน   แต่เป็นเพราะฝีมือการยิงธนูของเขานั่นเอง   นับตั้งแต่เขาสูญเสียธนูของพ่อมดดีมีนไปความเชื่อที่ว่าตนเองเป็นนักธนูชั้นยอดก็มีอันพังพาบไปพร้อมกับธนูอันนั้น   เขาเริ่มเข้าใจคำสอนของพ่อมดแล้วว่าทำไมเขาต้องใช้ความสามารถของตัวเองดีกว่าไปหวังพึ่งสิ่งวิเศษ   หรือบางทีเขาน่าจะเปลี่ยนวิชาเรียนจากธนูมาเป็นฟันดาบแทน
 
            อาเธอร์บังคับม้าให้วิ่งออกจากถนนตัดผ่านไปตามทางเกวียนเล็กๆ มันเป็นรอยเกวียนทีเขาสร้างขึ้นมาใหม่   เกวียนหยุดนิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างข้างๆ กองไม้ขนาดใหญ่ที่อาเธอร์ขนมาจากป่าแดง   ท้องฟ้าเหนือหัวดูเวิ้งว้างว่างเปล่าพระอาทิตย์กลมโตโดดเดี่ยวอยู่บนนั้น 
 
หนุ่มใหญ่กำลังชี้ให้ภรรยาดูสุดเขตแดนของที่ดิน   เบื้องหน้าเขาคือบึงสีเงิน   ผิวน้ำต้องแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ  ควันไฟสีดำจากบ้านหลังใดหลังหนึ่งจากที่ไกลออกไปลอยอ้อยอิงขึ้นสู่ท้องฟ้า   ฟิโลโซเฟอร์นึกสงสัยว่าบ้านหลังนั้นจะมีรูปร่างเป็นดอกเห็ดหรือไม่   การที่ได้กลับมาอยู่ในทุ่งหญ้าทำให้เขาหลงคิดไปว่าที่นี่คือซีนาร์ย   และทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด
 
“ ที่ตรงนี้จะมีบ้านหลังเล็กๆ เกิดขึ้นหลังหนึ่ง   และมันคงจะเป็นได้แค่บ้านหลังเล็กๆ เท่านั้นแหละแต่เราจะมีวัวนม   ดูสิแคโลไรน์พื้นดินอุดมสมบูรณ์ทุ่งหญ้าก็เขียวสด   ถ้าเราต้องลงแรงกันอีกครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร   เราจะพลิกผืนดินที่รกร้าง   ให้กลายเป็นฟาร์มที่สมบูรณ์แบบ ”
 
อาเธอร์พูด
 
“ ขอแค่พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้า   จะที่ไหนข้าก็ไม่เกี่ยงแล้วตอนนี้   ข้าอยากเห็นบ้านเร็วๆ และข้าก็จะทำสวนผักเล็กๆไว้หลังบ้านเหมือนอย่างที่เคยทำ ”
 
“ แล้วก็มีต้นแอปเปิลต้นหนึ่งในสวนหลังบ้านด้วย ”
 
คาโอเรียบอกผมสีทองของนางสยายตามแรงลม
เพราะนางได้ถอดหมวกปีกกว้างของนางออกแล้ว 
 
ลูกระโดดผลุบเข้าไปในพงหญ้า   มันคงดีใจที่ได้กลับสู่ที่ๆ คุ้นเคยอีกครั้งอีกครั้ง   ใบหูสีขาวโผล่ให้เห็นเป็นบางครั้งเหนือยอดหญ้า   ฟิโลโซเฟอร์เดินตรงดิ่งไปยังบึงสีเงิน   หญ้าก้านธูปเบียดเสียดกันอยู่ริมบึงลำต้นสีเขียวเข้มปักจุ่มลงในน้ำ   เกสรสีขาวลอยฟุ้งไปในอากาศปลิวไปไกลแสนไกล   เด็กชายก้มลงกวักน้ำขึ้นดื่มเขาพบว่าน้ำนั้นเย็นเฉียบแต่ชื่นใจยิ่งนัก 
 
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ   ฟิโลโซเฟอร์อดคิดถึงเหล่ามังกรดำไม่ได้   เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองไปทางเทือกเขาอันดำมืด   เขาสงสัยว่ามังกรดำพวกนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่   แล้วความคิดของเขาก็ล่องลอยไปถึงดาบเล่มหนึ่งที่เขาเก็บไว้ในห้องใต้หลังคา
 
ฟิโลโซเฟอร์ย้อนกลับมายังที่จอดเกวียน   เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ กำลังช่วยกันถอนหญ้าออกเป็นบริเวณกว้างกันอยู่   จึงรีบเข้าไปช่วย
 
“ ท่านพ่อข้าอยากเรียนฟันดาบ ”
 
เด็กชายพูดขึ้น
 
“ ตามใจสิ   ถึงเวลาที่เขาให้สับเปลี่ยนวิชาเจ้าก็แจ้งทางโรงเรียนได้เลย   แต่ระดับพื้นฐานเขาให้ใช้ดาบไม้กันถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง   ดังนั้นเจ้าต้องถือดาบไม้ไปก่อน ”
 
อาเธอร์บอก
 
“ พี่ชายข้าไม่ชอบยิงธนูแล้วหรือ ”
 
คาโอเรียสงสัย
 
“ ให้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอกนะ   แต่ขืนเรียนต่อไปก็คงได้อายเขาเท่านั้น ”
 
เด็กชายตอบเลี่ยงๆ
 
“ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ”
 
คนน้องยังคงเซ้าซี้
 
“ ใช่สิก็ข้าไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้นี่   พอใจหรือยัง  ว่าแต่เจ้าล่ะการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ”
 
“ ตอนนี้เรียนเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน   มีเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนิมฟ์ด้วยละ  ข้าไม่คิดหรอกว่าพวกนี้จะมีตัวตนจริงๆ แต่ตามตำนานบอกว่า   พวกนางถือกำเนิดขึ้นหลังยุคของซาเวจลอร์ดเพียงเล็กน้อย ”
 
“ ดูเหมือนนิทานจะคาบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยู่นะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ให้ความเห็น
 
            ครั้นเมื่อพวกเขาถอนหญ้าออกเป็นบริเวณกว้างพอสมควรแล้ว   อาเธอร์ใช้จอบปรับหน้าดินให้เรียบ   เขานึกอยากให้ที่นี่มีหินมากมายเหมือนที่แม่น้ำคราย   เขาจะได้ทำบ้านดอกเห็ดเหมือนที่เคยทำ
 
พวกเขาวางผังบ้านแบบคร่าวๆ   อาเธอร์บอกว่าจำเป็นต้องขุดห้องใต้ดินให้ลึกและกว้างใหญ่พอสมควร   กันเอาไว้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น   พวกเขาจะได้มีที่หลบภัย
 
เด็กชายตัวน้อยช่วยงานสร้างบ้านอย่างแข็งขัน   เขารู้ดีว่าถ้าหากต้องอยู่ที่โอรีเวียต่อไปนานๆ ทองที่ท่านปู่มอบให้แม้ในยามนี้จะมากมายสุดท้ายก็จะต้องหมดลง   ทางออกเดียวของพวกเขาก็คือต้องทำไร่ทำนาเพื่อหาเลี้ยงชีพ   งานทั่วไปในโอรีเวียก็เต็มหมดแล้ว   เว้นแต่จะไปเป็นทหารรับจ้าง   ซึ่งมันก็ไม่ได้จำเป็นถึงเพียงนั้น  
 
            หลังจากวันนั้น   อาเธอร์ก็ขับเกวียนออกจากบ้านแทบทุกวัน   เพื่อมาสร้างบ้านในที่ดินรกร้างว่างเปล่าแห่งนี้   โดยมีบุตรชายตัวน้อยเดินทางมาด้วยในทุกครั้งที่มีโอกาส   บางครั้งเขาก็อดคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้  น้องชายของเขาเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง   ก็มีนิสัยแสนซนอีกทั้งยังติดเขาเอามากๆ  แต่อาเธอร์ก็จากบ้านมาโดยไม่ได้ล่ำลาใครสักคน   และในตอนนี้เขากลับมาแล้ว  กลับมาเพื่อพบว่าคนที่เขารักได้ทอดร่างนอนนิ่งสงบในสุสานกันเกือบหมดสิ้นแล้ว   ส่วนแอสเธอลาสก็ยังคงสูญหายอยู่เช่นเดิม  
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา