โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
63) หรือนี่คือทางเลือกของกาเอล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายจ้องหน้าคู่สนทนาแสดงออกว่าสนใจมาก
“ ใครบางคนแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าต้องการทำลายอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ นี่ข้าต้องอธิบายอย่างไรดี เอาอย่างนี้ มันเกี่ยวกับคำสาปที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ ว่ากันว่าควอซาร์ได้ร่ายคำสาปโดยอาศัยอำนาจจากของวิเศษหนึ่งในเจ็ด ซึ่งมีข่าวลือว่าตอนนั้นเขาครอบครองอยู่ นั่นคือสาเหตุที่ทำไมจนป่านนี้ยังหาผู้ถอนคำสาปไม่ได้ และทางเดียวที่จะถอนคำสาปคือต้องหาของวิเศษดังกล่าวมาให้ได้ ของที่ว่านั้นกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ และผู้ถือครองต่างปิดปากเงียบ ข้าให้เจ้าเดา ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ไหนมันออกจะชัดแจ้งขนาดนี้ ”
“ อย่าบอกนะว่า ”
เด็กชายตัวน้อยทำท่าตกตะลึงชี้มือกลับไปทางปราสาทขาว
“ ใช่ จึงเป็นที่มาของข่าวลือว่าเหตุใดต้องทำลายอนุสาวรีย์นั่น ”
“ แล้วคนผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงคำสาปย่อมสลายไป เป้าประสงค์แห่งควอซาร์ก็ต้องสลายไปเช่นกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ เรื่องราวของวิเศษทั้งเจ็ดนั้นเต็มไปด้วยเหตุนองเลือด สุดท้ายผู้ที่เป็นเจ้าของได้เก็บซ่อนไว้ ความโกลาหลทั้งปวงจึงสงบลง และเรื่องราวทั้งหมดก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่า ข้าจึงบอกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือ ใครบางคนต้องการปลุกเรื่องราวของวิเศษทั้งเจ็ดกลับมาอีกครั้ง ผลต่อมาคือสงครามแย่งชิง หรือสอง เขาต้องการรวมของวิเศษทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งและตั้งตนเป็นซาเวจลอร์ดคนที่สอง หากใครบางคนตั้งใจจะแก้แค้น เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่รอดูคนค่อยๆ แก่ตายไปโดยไร้ทายาท หรือเขาจะลงมือฆ่าอย่างโหดร้ายให้ตายอย่างทรมานและสิ้นหวัง ”
เด็กชายตัวน้อยได้ฟังแล้วก็อึ้งไป
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทั้งสองทางที่ว่ามาล้วนไม่ก่อผลดีต่อใครทั้งนั้น แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจเลือดเนื้อเชื้อไขเมืองคาเลผู้นั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวเมืองคาเลกระทำความผิดใดไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาช่างน่าเศร้านัก เพราะไม่ว่าผลของการต่อสู้จะเป็นอย่างไร สุดท้ายเขาก็ไม่เหลืออะไรอยู่ดี ”
“ เช่นนั้น ถ้าหากว่าเจ้าเป็นเขา เจ้าจะทำอย่างไร ”
ดารีลถาม
“ คงไม่ทำอะไร เพราะข้าคงไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากสงคราม ว่าแต่ดารีล พอมาคิดถึงคืนวันเฉลิมฉลองแล้ว หากคืนนั้นเจ้าเผชิญหน้ากับเขา จะเกิดอะไรขึ้น หมายถึงเจ้าแน่ใจว่าสามารถรับมือเขาได้ ”
เด็กชายมีน้ำเสียงกังวล
หนุ่มน้อยร่างบางยืดตัวขึ้นแล้วพูดว่า
“ ข้าไม่สู้กับเขาหรอกวางใจได้ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล รีบเข้านอนไปเสียก่อนที่จะดึกมากไปกว่านี้ ”
เขาว่าพลางเดินไปที่หน้าต่างแล้วมุดกายออกไป
“ เดี๋ยวนี่คิดจะทำอะไรน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางคว้ามือเอาไว้
“ ก็กลับบ้านน่ะสิ ”
อีกฝ่ายตอบลำตัวยังค้างครึ่งอยู่กลางหน้าต่าง
“ กะจะโดดลงไปจากตรงนี้หรือไง ไม่คิดว่ามันสูงไปหน่อยหรือ ”
“ ข้าจะปีนขึ้นหลังคาต่างหากล่ะ แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปเลยข้าเคยทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก ”
ดารีลว่าแล้วตะกายขึ้นไปแต่เด็กชายก็ยังรั้งไว้
“ อะไรอีกล่ะ ”
พ่อมดน้อยตีหน้าฉงน
“ ขออีกคำถาม ถ้าข้าอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองต้องทำอย่างไรบ้าง ”
คำคามนี้ทำเอาเจ้าตัวหยุดปีนป่าย
เขามุดกลับเข้ามาในห้อง
แต่ก็ยังนั่งค้างอยู่ที่หน้าต่าง
ใบหน้าที่สะท้อนกับแสงเทียนจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นจ้องเด็กชายเขม็ง
“ เหตุใดอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองล่ะ หรือจะเอาอย่างน้องชายของบิดาเจ้า เจ้าเก็บไปถามบิดาเจ้าเถอะเขาน่าจะรู้ดีกว่าข้า ”
“ ทำไมล่ะ ทีเจ้ายังเป็นได้เลย ”
เด็กชายย้อน
“ เป็นความจริงที่ว่าตำแหน่งนี้วาลานยัดเยียดให้มา ข้าไม่ได้ผ่านการฝึก ภารกิจของผู้พิทักษ์หน้ากากทองล้วนแต่ลึกลับและเสี่ยงตาย ส่วนข้าเพียงถือตำแหน่งนี้ไว้เท่านั้นไม่ต้องทำอะไร ตัวเจ้ากล้าหาญก็จริงแต่ขาดซึ่งความทะเยอทะยาน เกรงว่าต่อไปจะอายุไม่ยืนข้าว่าอย่าเสี่ยงเลยนะ ”
ดารีลอธิบาย
“ ถึงว่าท่านพ่อดูไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องนี้ ”
“ อย่าเพิ่งใจร้อนนักเลย ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ายังไม่ปรากฏ เอาไว้เจ้าอายุสิบแปดเมื่อไหร่ถ้ายังอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองอยู่ ข้าจะหาทางช่วย แต่ตอนนี้ไปนอนได้แล้ว ”
พ่อมดน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ แต่ข้ายังไม่ง่วงนี่นา ”
เด็กชายยังดื้อดึง
“ ให้ข้าช่วยหรือไม่ ”
ดารีลกล่าวพร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์
“ คิดจะวางยาข้าหรือ ไม่มีทางซะล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางถอยออกมา
ดารีลจึงปีนผ่านหน้าต่างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายชะโงกหน้าตามไปดูก็ไม่พบตัวเขาแล้ว
ขณะมุดตัวกลับมาสายตาของเขาก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง
มันยืนนิ่งบนหลังคาตึกฝั่งตรงกันข้าม
ดวงตาสีแดงสดมองมาที่เขา
นกเรเวนตัวนั้น
ฟิโลโซเฟอร์กระโดดขึ้นไปบนเตียง
แต่ก็ยากที่จะข่มตาให้หลับ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้วนเวียนอยู่ในหัวตลอด
โดยเฉพาะเรื่องราวของทายาทแห่งเมืองคาเล
เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ
ว่าวันหนึ่งคนผู้นี้จะเป็นคนพรากดารีลไปจากเขา
และเขาคงทนยอมรับไม่ได้
ดารีลแม้จะทำตัวประหลาด
แต่เขาก็ดีกับเด็กชายคนนี้ไม่น้อย
ฟิโลโซเฟอร์จึงเห็นเขาเป็นดังเพื่อนและพี่ชาย
และรักเขาดุจคนในครอบครัวคนหนึ่ง
ขณะความคิดกำลังลอยล่อง
เขาก็ได้กลิ่นหอมประหลาด
มันอบอุ่นละเมียดละมัยและให้ความรู้สึกปรอดภัย
เด็กชายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้เขาพยายามขัดขืน
โดยการฝืนลุกขึ้นนั่ง
แต่ก็ไม่เป็นผลเขาหลับไปในที่สุดโดยที่ไม่ฝันอะไรเลย
เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่
เมื่อแสงทองสาดส่องเข้ามาในห้อง
กลิ่นหอมประหลาดยังอบอวลแต่ทว่าจางลงไปมากแล้ว
ที่กลางห้องมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ข้างๆ เทียนไขเล่มใหญ่ที่ดับไปนานแล้ว
เขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน
ข้อความนั้นบอกว่า
‘ ข้าหายามาใส่แผลให้แล้ว รุ่งเช้าเปิดออกดูได้ รับประกันว่าจะไม่ทิ้งไว้แม้รอยแผลเป็น ’
เด็กชายพลิกดูที่หลังมือพบว่าผ้าพันแผลเปลี่ยนเป็นสีขาว
ครั้นดึงผ้าออกก็เห็นว่ามีฝุ่นสีขาวเหมือนเถ้ากระดูกพอกอยู่
เขาจัดการปัดฝุ่นนั้นแล้วจึงเห็นว่าแผลนั้นหายไปจริงๆ
ไม่มีร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย
ราวกับเรื่องที่เกิดเมื่อวานเป็นเพียงความฝัน
เด็กชายหันหน้ากระสับกระส่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด
เขาหันไปหยิบดาบโบราณขึ้นมา
แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามันอาจจะอาบยาพิษ
เขาจึงวางมันลง
แล้วตัดสินใจเดินไปข้างล่าง
ตรงเข้าไปในครัว
ที่ๆ มีดของคาโลไรน์วางอยู่
แล้วหยิบมันขึ้นมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ