โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

63) หรือนี่คือทางเลือกของกาเอล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เด็กชายจ้องหน้าคู่สนทนาแสดงออกว่าสนใจมาก

 

“ ใครบางคนแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าต้องการทำลายอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ   นี่ข้าต้องอธิบายอย่างไรดี   เอาอย่างนี้   มันเกี่ยวกับคำสาปที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้   ว่ากันว่าควอซาร์ได้ร่ายคำสาปโดยอาศัยอำนาจจากของวิเศษหนึ่งในเจ็ด   ซึ่งมีข่าวลือว่าตอนนั้นเขาครอบครองอยู่   นั่นคือสาเหตุที่ทำไมจนป่านนี้ยังหาผู้ถอนคำสาปไม่ได้   และทางเดียวที่จะถอนคำสาปคือต้องหาของวิเศษดังกล่าวมาให้ได้   ของที่ว่านั้นกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ   และผู้ถือครองต่างปิดปากเงียบ   ข้าให้เจ้าเดา   ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ไหนมันออกจะชัดแจ้งขนาดนี้ ”

 

“ อย่าบอกนะว่า ”

 

เด็กชายตัวน้อยทำท่าตกตะลึงชี้มือกลับไปทางปราสาทขาว

 

“ ใช่   จึงเป็นที่มาของข่าวลือว่าเหตุใดต้องทำลายอนุสาวรีย์นั่น ”

 

“ แล้วคนผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร   เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงคำสาปย่อมสลายไป   เป้าประสงค์แห่งควอซาร์ก็ต้องสลายไปเช่นกัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ เรื่องราวของวิเศษทั้งเจ็ดนั้นเต็มไปด้วยเหตุนองเลือด   สุดท้ายผู้ที่เป็นเจ้าของได้เก็บซ่อนไว้   ความโกลาหลทั้งปวงจึงสงบลง   และเรื่องราวทั้งหมดก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่า   ข้าจึงบอกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองทาง   หนึ่งคือ  ใครบางคนต้องการปลุกเรื่องราวของวิเศษทั้งเจ็ดกลับมาอีกครั้ง   ผลต่อมาคือสงครามแย่งชิง   หรือสอง   เขาต้องการรวมของวิเศษทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งและตั้งตนเป็นซาเวจลอร์ดคนที่สอง   หากใครบางคนตั้งใจจะแก้แค้น   เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่รอดูคนค่อยๆ แก่ตายไปโดยไร้ทายาท   หรือเขาจะลงมือฆ่าอย่างโหดร้ายให้ตายอย่างทรมานและสิ้นหวัง ”

 

เด็กชายตัวน้อยได้ฟังแล้วก็อึ้งไป

 

“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทั้งสองทางที่ว่ามาล้วนไม่ก่อผลดีต่อใครทั้งนั้น   แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจเลือดเนื้อเชื้อไขเมืองคาเลผู้นั้น   ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวเมืองคาเลกระทำความผิดใดไว้   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาช่างน่าเศร้านัก   เพราะไม่ว่าผลของการต่อสู้จะเป็นอย่างไร      สุดท้ายเขาก็ไม่เหลืออะไรอยู่ดี ”

 

“ เช่นนั้น   ถ้าหากว่าเจ้าเป็นเขา   เจ้าจะทำอย่างไร ”

 

ดารีลถาม

 

“ คงไม่ทำอะไร   เพราะข้าคงไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากสงคราม   ว่าแต่ดารีล   พอมาคิดถึงคืนวันเฉลิมฉลองแล้ว   หากคืนนั้นเจ้าเผชิญหน้ากับเขา   จะเกิดอะไรขึ้น   หมายถึงเจ้าแน่ใจว่าสามารถรับมือเขาได้ ”

 

เด็กชายมีน้ำเสียงกังวล

 

หนุ่มน้อยร่างบางยืดตัวขึ้นแล้วพูดว่า

 

“ ข้าไม่สู้กับเขาหรอกวางใจได้   และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล   รีบเข้านอนไปเสียก่อนที่จะดึกมากไปกว่านี้ ”

 

เขาว่าพลางเดินไปที่หน้าต่างแล้วมุดกายออกไป

 

“ เดี๋ยวนี่คิดจะทำอะไรน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางคว้ามือเอาไว้

 

“ ก็กลับบ้านน่ะสิ ”

 

อีกฝ่ายตอบลำตัวยังค้างครึ่งอยู่กลางหน้าต่าง

 

“ กะจะโดดลงไปจากตรงนี้หรือไง   ไม่คิดว่ามันสูงไปหน่อยหรือ ”

 

“ ข้าจะปีนขึ้นหลังคาต่างหากล่ะ   แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปเลยข้าเคยทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก ”

 

ดารีลว่าแล้วตะกายขึ้นไปแต่เด็กชายก็ยังรั้งไว้

 

“ อะไรอีกล่ะ ”

 

พ่อมดน้อยตีหน้าฉงน

 

“ ขออีกคำถาม   ถ้าข้าอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองต้องทำอย่างไรบ้าง ”

 

คำคามนี้ทำเอาเจ้าตัวหยุดปีนป่าย

เขามุดกลับเข้ามาในห้อง

แต่ก็ยังนั่งค้างอยู่ที่หน้าต่าง

ใบหน้าที่สะท้อนกับแสงเทียนจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นจ้องเด็กชายเขม็ง

 

“ เหตุใดอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองล่ะ   หรือจะเอาอย่างน้องชายของบิดาเจ้า   เจ้าเก็บไปถามบิดาเจ้าเถอะเขาน่าจะรู้ดีกว่าข้า ”

 

“ ทำไมล่ะ   ทีเจ้ายังเป็นได้เลย ”

 

เด็กชายย้อน

 

“ เป็นความจริงที่ว่าตำแหน่งนี้วาลานยัดเยียดให้มา   ข้าไม่ได้ผ่านการฝึก   ภารกิจของผู้พิทักษ์หน้ากากทองล้วนแต่ลึกลับและเสี่ยงตาย   ส่วนข้าเพียงถือตำแหน่งนี้ไว้เท่านั้นไม่ต้องทำอะไร   ตัวเจ้ากล้าหาญก็จริงแต่ขาดซึ่งความทะเยอทะยาน   เกรงว่าต่อไปจะอายุไม่ยืนข้าว่าอย่าเสี่ยงเลยนะ ”

 

ดารีลอธิบาย

 

“ ถึงว่าท่านพ่อดูไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องนี้ ”

 

“ อย่าเพิ่งใจร้อนนักเลย   ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ายังไม่ปรากฏ   เอาไว้เจ้าอายุสิบแปดเมื่อไหร่ถ้ายังอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองอยู่   ข้าจะหาทางช่วย   แต่ตอนนี้ไปนอนได้แล้ว ”

 

พ่อมดน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“ แต่ข้ายังไม่ง่วงนี่นา ”

 

เด็กชายยังดื้อดึง

 

“ ให้ข้าช่วยหรือไม่ ”

 

ดารีลกล่าวพร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์

 

“ คิดจะวางยาข้าหรือ   ไม่มีทางซะล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางถอยออกมา

ดารีลจึงปีนผ่านหน้าต่างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

 

เด็กชายชะโงกหน้าตามไปดูก็ไม่พบตัวเขาแล้ว

ขณะมุดตัวกลับมาสายตาของเขาก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง

มันยืนนิ่งบนหลังคาตึกฝั่งตรงกันข้าม

 

ดวงตาสีแดงสดมองมาที่เขา

นกเรเวนตัวนั้น

 

ฟิโลโซเฟอร์กระโดดขึ้นไปบนเตียง

แต่ก็ยากที่จะข่มตาให้หลับ

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้วนเวียนอยู่ในหัวตลอด

โดยเฉพาะเรื่องราวของทายาทแห่งเมืองคาเล

 

เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ

ว่าวันหนึ่งคนผู้นี้จะเป็นคนพรากดารีลไปจากเขา

และเขาคงทนยอมรับไม่ได้

 

ดารีลแม้จะทำตัวประหลาด

แต่เขาก็ดีกับเด็กชายคนนี้ไม่น้อย

 

ฟิโลโซเฟอร์จึงเห็นเขาเป็นดังเพื่อนและพี่ชาย

และรักเขาดุจคนในครอบครัวคนหนึ่ง

 

ขณะความคิดกำลังลอยล่อง

เขาก็ได้กลิ่นหอมประหลาด

มันอบอุ่นละเมียดละมัยและให้ความรู้สึกปรอดภัย

 

เด็กชายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้เขาพยายามขัดขืน

โดยการฝืนลุกขึ้นนั่ง

แต่ก็ไม่เป็นผลเขาหลับไปในที่สุดโดยที่ไม่ฝันอะไรเลย

 

เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่

เมื่อแสงทองสาดส่องเข้ามาในห้อง

กลิ่นหอมประหลาดยังอบอวลแต่ทว่าจางลงไปมากแล้ว

 

ที่กลางห้องมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ข้างๆ เทียนไขเล่มใหญ่ที่ดับไปนานแล้ว

เขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน

ข้อความนั้นบอกว่า

 

‘ ข้าหายามาใส่แผลให้แล้ว   รุ่งเช้าเปิดออกดูได้   รับประกันว่าจะไม่ทิ้งไว้แม้รอยแผลเป็น ’

 

เด็กชายพลิกดูที่หลังมือพบว่าผ้าพันแผลเปลี่ยนเป็นสีขาว

ครั้นดึงผ้าออกก็เห็นว่ามีฝุ่นสีขาวเหมือนเถ้ากระดูกพอกอยู่

 

เขาจัดการปัดฝุ่นนั้นแล้วจึงเห็นว่าแผลนั้นหายไปจริงๆ

ไม่มีร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย

ราวกับเรื่องที่เกิดเมื่อวานเป็นเพียงความฝัน

 

เด็กชายหันหน้ากระสับกระส่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด

เขาหันไปหยิบดาบโบราณขึ้นมา

 

แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามันอาจจะอาบยาพิษ

เขาจึงวางมันลง

แล้วตัดสินใจเดินไปข้างล่าง

 

ตรงเข้าไปในครัว

ที่ๆ มีดของคาโลไรน์วางอยู่

 

แล้วหยิบมันขึ้นมา

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา