โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
138.17K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
50) โรงเรียนวันแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาโลไรน์เปิดประตูกว้างปล่อยให้ลมหนาวพรั่งพรูเข้ามา เด็กๆ รีบเดินออกไปยืนคอยริมทางเดิน ฟิโลโซเฟอร์หิ้วกระป๋องอาหารกลางวันไปด้วย แม้ว่าในโรงเรียนจะมีอาหารกลางวันขาย แต่คาโอเรียทานได้น้อยและฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่ถูกกับเครื่องเทศเอาเสียเลย
อาเธอร์นำรถม้าออกมาจากประตูใหญ่ข้างกำแพง ชายหนุ่มได้รถม้าคันนี้มาจากวอลค่อนมันเป็นรถคันเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อาเธอร์ส่งทุกคนขึ้นไปก่อนจะปิดประตูแม้ตัวรถจะเก่าแต่ผ้าม่านที่หน้าต่างนั้นเป็นของใหม่สีชมพูสดใส เบตตี้กับเบตเตอร์ดูร่าเริงเป็นพิเศษมันรู้ว่าวันนี้จะได้วิ่งคู่กันไปบนถนน
รถม้าสีน้ำตาลเทาพาพวกเขามุ่งไปตามถนนที่คับคั่ง คาโอเรียนั่งนิ่งเพราะรู้สึกตื่นกลัวที่ต้องไปรู้จักกับโรงเรียนใหม่และเพื่อนใหม่จากต่างเมือง ส่วนพี่ชายของนางก็นั่งอย่างสงบเหมือนกัน เขากำลังคาดหวังกับสิ่งที่จะต้องพบเจอในปราสาทขาว เมืองใหญ่มีเรื่องราวมากมายให้ต้องเรียนรู้ไม่จบสิ้น
คาโลไรน์เปิดผ้าม่านฝั่งคนขับแล้วชะโงกหน้าไปถาม
“ เราจะไปส่งพวกเขาที่โรงเรียนทุกเช้าหรือเปล่า ”
“ ไม่หรอก เด็กๆ เดินกันเองได้ เพราะมันไม่ไกลมากนัก หรือถ้าไม่อยากเดินฟิโลโซเฟอร์ก็สามารถพาน้องขึ้นรถม้าโดยสาร ทำแบบนี้ดีกว่าลูกของเราจะได้ปรับตัวเข้ากับคนในเมือง ”
เสียงอาเธอร์ตอบกลับมา
พวกเขาจอดรถม้าไว้ที่ข้างกำแพงสีขาว อาเธอร์ปล่อยเด็กๆ เดินฝ่าอากาศหนาวเย็นไปเข้าไปด้านในด้วยตัวเอง คาโลไรน์ชะโงกหน้าผ่านประตูรถโบกมือให้ทั้งคู่ คาโอเรียจ้องหน้าพี่ชายเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนก้าวผ่านรั้วประตูสู่ปราสาทขาว เด็กน้อยทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าโลกใบใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วและพวกเขาจะไม่สามารถหวนกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายดังเช่นในอดีตได้อีกต่อไป
ระหว่างทางเด็กๆ พบกับอาจารย์แก่ๆ และภารโรงหลายคนยืนรอต้อนรับ คนเหล่านั้นต่างชี้ทางให้นักเรียนมุ่งตรงไปปราสาทขาว ขณะเดินผ่านอนุสาวรีย์ฟิโลโซเฟอร์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองจนสุดปลายยอด มันสูงสง่าตั้งตระหง่านนานนับพันปี แต่กลับดูใหม่อย่างประหลาดราวกับเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อวาน เด็กชายหมุนกายไปรอบๆ เรื่องประหลาดในคืนนั้นยังฝังแน่นในความทรงจำ ทั้งกลิ่นเลือด เปลวเพลิงและความตาย ในวันนี้ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านไม่ทิ้งร่องรอยความน่าสะพรึงเอาไว้แม้แต่น้อย ประหนึ่งความฝันที่ผ่านแล้วก็เลยไป
คาโอเรียกระตุกแขนของพี่ชายให้เดินต่อไป เบื้องหน้าคือปราสาทสีขาวงดงามตระการตา มันคือที่ๆ ดารีลบอกให้เขาเข้าไปซ่อนตัว ในคืนนั้นเด็กชายตัวน้อยไม่ได้เห็นมันแต่ตอนนี้เขากำลังก้าวเข้าไป จากประตูด้านหน้าคือห้องโถงใหญ่เพดานสูง เด็กนักเรียนทั้งชายหญิงแออัดกันที่หน้าประตู บางคนมีผู้ปกครองมาด้วยพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในอาภรณ์ที่สวยงาม
ฟิโลโซเฟอร์พาน้องสาวแหวกผู้คนเข้าไปด้านใน เพราะพวกเขามากันแค่สองคนจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องยืนอยู่ด้านนอก เหมือนกับบางคนที่นัดเพื่อนเอาไว้
“ เราต้องทำอะไรบ้าง ”
คาโอเรียถามหวั่นๆ
“ ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าตามๆ เขาไปก่อน เดี๋ยวคงจะมีคนมาบอกให้เราไปยังห้องเรียน ใช้เวลาว่างตอนนี้หาเพื่อนสิ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ หาเพื่อน ”
คนเป็นน้องทำเสียงสูง
“ ในที่แบบนี้หรือ ได้ยังไงล่ะ ”
“ จะไปยากอะไร คนมากมายแหละดี เดินตรงดิ่งเข้าไปใครกล้าสบตาเจ้าก็ลากคอออกมาเลย ”
“ ทำแบบนั้นมันใช่หรือ ”
คาโอเรียรู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีบางคนกำลังส่งสายตาให้นางอยู่จริงๆ
“ ไปสิ ไปเลย ”
พี่ชายของนางกระตุ้น
คาโอเรียจึงเดินเข้าไปหาเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งพวกนางก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
ฟิโลโซเฟอร์ยืนกอดอกมองดูน้องสาวด้วยความภูมิใจ
ผู้หญิงเวลาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมักสดใสร่าเริงขึ้น
จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
หวังว่าจะพบใครสักคนที่รู้จักกัน
แล้วเขาก็มองเห็นเด็กชายผู้หนึ่งร่างอ้วนจ้ำม่ำ
เดินแทะน่องไก่ชิ้นโตแบบไม่สนใจโลก
เป็นเหตุให้เด็กคนนั้นชนโน่นชนนี่ตลอดทาง
ฟิโลโซเฟอร์กำลังนึกสงสัยว่าเด็กคนนี้จะเดินไปที่ไหน
ทันใดเขาก็พบว่าคาโอเรียยืนอยู่แถวนั้น
เด็กชายจึงได้แหวกผู้คนเข้าไปหาน้องสาว
เจ้าเด็กจอมแทะน่องไก่ดันสะดุดเท้าของเพื่อนนักเรียนเข้า
เขาเซถลาไปทางคาโอเรียที่กำลังยืนหันหลัง
ฟิโลโซเฟอร์พุ่งทะยานไปคว้าเอวน้องสาวดึงให้พ้นจากการปะทะ
กระป๋องอาหารจึงหลุดมือปลิวไป
เด็กร่างอ้วนล้มหลังกระแทกพื้นเสียงดัง แอ๊ก!
แต่ยังไม่วายคว้าเอากระป๋องโลหะของฟิโลโซเฟอร์ที่ลอยผ่านหน้ามากอดเอาไว้ได้
ขณะที่น่องไก่ชิ้นโปรดก็คาอยู่ในปากอย่างปรอดภัย
เด็กๆ ที่อยู่รายรอบพากันแตกตื่นถอยออกไปจากทั้งคู่
ครั้นเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพากันหัวเราะ
ฟิโลโซเฟอร์พยุงเด็กอ้วนคนนั้นให้ลุกขึ้น
เจ้าหนูนั่นเปิดดูข้างในกล่องโลหะแล้วพูดว่า
“ ของล้ำค่าจริงๆ ด้วยโชคดีที่ข้าไหวตัวทันไม่อย่างนั้นคงหล่นเสียหายหมด ”
“ ไม่ใช่ของมีราคาหรอกก็แค่กล่องอาหารกลางวัน เจ้าตาฝาดแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
“ ช่างไม่รู้อะไรคนเราไม่มีทองยังพอทนไหว แต่ไม่มีข้าวนี่ถึงตายเลยนะ ”
เด็กอ้วนว่าในขณะที่ปากยังเคี้ยวตุ่ยๆ
“ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าฉลาดที่สุดในหมู่คนทั้งหลาย ในขณะที่คนอื่นตัวเปล่าแต่เจ้าพกอาหารมาด้วย ข้าติดใจเจ้าแล้วเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ รอบคอบแบบนี้ไปกับเจ้าข้าคงไม่ต้องกลัวอดตาย ”
เขาว่าแก้วก้มลงสูดกลิ่นอาหาร
“ โห หอมขนาดนี้ต้องอร่อยมากอย่างแน่นอน ”
“ แน่อยู่แล้วล่ะ เรื่องปรุงอาหารเชื่อใจมารดาของข้าได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางดึงเอากระป๋องอาหารกลับ
“ อ้อ จริงสิเมื่อครู่เจ้าเกือบชนน้องสาวของข้าเข้าให้แล้ว ขอโทษนางเสีย ”
เขาดันคาโอเรียมาข้างหน้า
เจ้าเด็กหัวแดงร่างอ้วนเห็นดังนั้นก็ทำตาโต
“ อู๊ นางฟ้าข้าเคยได้ยินมาว่าที่เมืองโอรีเวียมีนางฟ้าอยู่ด้วย ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือนัก ”
เด็กนั่นโยนน่องไก่ทิ้ง
จัดการเช็ดมือกับชายเสื้อ
คาโอเรียเมื่อถูกชมซึ่งๆ หน้าก็อายจนแก้มแดง
นางยื่นมือไปให้จับแต่โดยดี
เจ้าเด็กร่างอ้วนคว้าหมับด้วยมือทั้งสองข้าง
ยังดีที่เขาเขย่าเบาๆ ไม่อย่างนั้นเด็กหญิงอาจหน้าทิ่มเพราะแรงดึง
“ ข้าเป็นเด็กใหม่นามว่าโลธอร์มาจากแถบเทือกเขาคีรีคาร์ เป็นเด็กบ้านนอกบ้านนาที่ไม่รู้กฎประเพณี ถ้าข้าทำอะไรผิดไปตักเตือนได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ”
ฟิโลโซเฟอร์ดึงมือน้องสาวออกมาจากการเกาะกุมนั้นแล้วพูดว่า
“ พวกเราก็เป็นเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาจากซีนาร์ย น้องสาวของข้าชื่อคาโอเรียส่วนข้าชื่อฟิโลโซเฟอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
“ ซีนาร์ยหรือ ”
เด็กนั่นทำตาปริบๆ
“ ที่ไหนกันซีนาร์ยไม่เห็นเคยได้ยิน แต่ช่างเถอะ ข้าชื่อโลธอร์ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ”
อาเธอร์นำรถม้าออกมาจากประตูใหญ่ข้างกำแพง ชายหนุ่มได้รถม้าคันนี้มาจากวอลค่อนมันเป็นรถคันเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อาเธอร์ส่งทุกคนขึ้นไปก่อนจะปิดประตูแม้ตัวรถจะเก่าแต่ผ้าม่านที่หน้าต่างนั้นเป็นของใหม่สีชมพูสดใส เบตตี้กับเบตเตอร์ดูร่าเริงเป็นพิเศษมันรู้ว่าวันนี้จะได้วิ่งคู่กันไปบนถนน
รถม้าสีน้ำตาลเทาพาพวกเขามุ่งไปตามถนนที่คับคั่ง คาโอเรียนั่งนิ่งเพราะรู้สึกตื่นกลัวที่ต้องไปรู้จักกับโรงเรียนใหม่และเพื่อนใหม่จากต่างเมือง ส่วนพี่ชายของนางก็นั่งอย่างสงบเหมือนกัน เขากำลังคาดหวังกับสิ่งที่จะต้องพบเจอในปราสาทขาว เมืองใหญ่มีเรื่องราวมากมายให้ต้องเรียนรู้ไม่จบสิ้น
คาโลไรน์เปิดผ้าม่านฝั่งคนขับแล้วชะโงกหน้าไปถาม
“ เราจะไปส่งพวกเขาที่โรงเรียนทุกเช้าหรือเปล่า ”
“ ไม่หรอก เด็กๆ เดินกันเองได้ เพราะมันไม่ไกลมากนัก หรือถ้าไม่อยากเดินฟิโลโซเฟอร์ก็สามารถพาน้องขึ้นรถม้าโดยสาร ทำแบบนี้ดีกว่าลูกของเราจะได้ปรับตัวเข้ากับคนในเมือง ”
เสียงอาเธอร์ตอบกลับมา
พวกเขาจอดรถม้าไว้ที่ข้างกำแพงสีขาว อาเธอร์ปล่อยเด็กๆ เดินฝ่าอากาศหนาวเย็นไปเข้าไปด้านในด้วยตัวเอง คาโลไรน์ชะโงกหน้าผ่านประตูรถโบกมือให้ทั้งคู่ คาโอเรียจ้องหน้าพี่ชายเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนก้าวผ่านรั้วประตูสู่ปราสาทขาว เด็กน้อยทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าโลกใบใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วและพวกเขาจะไม่สามารถหวนกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายดังเช่นในอดีตได้อีกต่อไป
ระหว่างทางเด็กๆ พบกับอาจารย์แก่ๆ และภารโรงหลายคนยืนรอต้อนรับ คนเหล่านั้นต่างชี้ทางให้นักเรียนมุ่งตรงไปปราสาทขาว ขณะเดินผ่านอนุสาวรีย์ฟิโลโซเฟอร์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองจนสุดปลายยอด มันสูงสง่าตั้งตระหง่านนานนับพันปี แต่กลับดูใหม่อย่างประหลาดราวกับเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อวาน เด็กชายหมุนกายไปรอบๆ เรื่องประหลาดในคืนนั้นยังฝังแน่นในความทรงจำ ทั้งกลิ่นเลือด เปลวเพลิงและความตาย ในวันนี้ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านไม่ทิ้งร่องรอยความน่าสะพรึงเอาไว้แม้แต่น้อย ประหนึ่งความฝันที่ผ่านแล้วก็เลยไป
คาโอเรียกระตุกแขนของพี่ชายให้เดินต่อไป เบื้องหน้าคือปราสาทสีขาวงดงามตระการตา มันคือที่ๆ ดารีลบอกให้เขาเข้าไปซ่อนตัว ในคืนนั้นเด็กชายตัวน้อยไม่ได้เห็นมันแต่ตอนนี้เขากำลังก้าวเข้าไป จากประตูด้านหน้าคือห้องโถงใหญ่เพดานสูง เด็กนักเรียนทั้งชายหญิงแออัดกันที่หน้าประตู บางคนมีผู้ปกครองมาด้วยพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในอาภรณ์ที่สวยงาม
ฟิโลโซเฟอร์พาน้องสาวแหวกผู้คนเข้าไปด้านใน เพราะพวกเขามากันแค่สองคนจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องยืนอยู่ด้านนอก เหมือนกับบางคนที่นัดเพื่อนเอาไว้
“ เราต้องทำอะไรบ้าง ”
คาโอเรียถามหวั่นๆ
“ ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าตามๆ เขาไปก่อน เดี๋ยวคงจะมีคนมาบอกให้เราไปยังห้องเรียน ใช้เวลาว่างตอนนี้หาเพื่อนสิ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ หาเพื่อน ”
คนเป็นน้องทำเสียงสูง
“ ในที่แบบนี้หรือ ได้ยังไงล่ะ ”
“ จะไปยากอะไร คนมากมายแหละดี เดินตรงดิ่งเข้าไปใครกล้าสบตาเจ้าก็ลากคอออกมาเลย ”
“ ทำแบบนั้นมันใช่หรือ ”
คาโอเรียรู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีบางคนกำลังส่งสายตาให้นางอยู่จริงๆ
“ ไปสิ ไปเลย ”
พี่ชายของนางกระตุ้น
คาโอเรียจึงเดินเข้าไปหาเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งพวกนางก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
ฟิโลโซเฟอร์ยืนกอดอกมองดูน้องสาวด้วยความภูมิใจ
ผู้หญิงเวลาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมักสดใสร่าเริงขึ้น
จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
หวังว่าจะพบใครสักคนที่รู้จักกัน
แล้วเขาก็มองเห็นเด็กชายผู้หนึ่งร่างอ้วนจ้ำม่ำ
เดินแทะน่องไก่ชิ้นโตแบบไม่สนใจโลก
เป็นเหตุให้เด็กคนนั้นชนโน่นชนนี่ตลอดทาง
ฟิโลโซเฟอร์กำลังนึกสงสัยว่าเด็กคนนี้จะเดินไปที่ไหน
ทันใดเขาก็พบว่าคาโอเรียยืนอยู่แถวนั้น
เด็กชายจึงได้แหวกผู้คนเข้าไปหาน้องสาว
เจ้าเด็กจอมแทะน่องไก่ดันสะดุดเท้าของเพื่อนนักเรียนเข้า
เขาเซถลาไปทางคาโอเรียที่กำลังยืนหันหลัง
ฟิโลโซเฟอร์พุ่งทะยานไปคว้าเอวน้องสาวดึงให้พ้นจากการปะทะ
กระป๋องอาหารจึงหลุดมือปลิวไป
เด็กร่างอ้วนล้มหลังกระแทกพื้นเสียงดัง แอ๊ก!
แต่ยังไม่วายคว้าเอากระป๋องโลหะของฟิโลโซเฟอร์ที่ลอยผ่านหน้ามากอดเอาไว้ได้
ขณะที่น่องไก่ชิ้นโปรดก็คาอยู่ในปากอย่างปรอดภัย
เด็กๆ ที่อยู่รายรอบพากันแตกตื่นถอยออกไปจากทั้งคู่
ครั้นเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพากันหัวเราะ
ฟิโลโซเฟอร์พยุงเด็กอ้วนคนนั้นให้ลุกขึ้น
เจ้าหนูนั่นเปิดดูข้างในกล่องโลหะแล้วพูดว่า
“ ของล้ำค่าจริงๆ ด้วยโชคดีที่ข้าไหวตัวทันไม่อย่างนั้นคงหล่นเสียหายหมด ”
“ ไม่ใช่ของมีราคาหรอกก็แค่กล่องอาหารกลางวัน เจ้าตาฝาดแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
“ ช่างไม่รู้อะไรคนเราไม่มีทองยังพอทนไหว แต่ไม่มีข้าวนี่ถึงตายเลยนะ ”
เด็กอ้วนว่าในขณะที่ปากยังเคี้ยวตุ่ยๆ
“ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าฉลาดที่สุดในหมู่คนทั้งหลาย ในขณะที่คนอื่นตัวเปล่าแต่เจ้าพกอาหารมาด้วย ข้าติดใจเจ้าแล้วเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ รอบคอบแบบนี้ไปกับเจ้าข้าคงไม่ต้องกลัวอดตาย ”
เขาว่าแก้วก้มลงสูดกลิ่นอาหาร
“ โห หอมขนาดนี้ต้องอร่อยมากอย่างแน่นอน ”
“ แน่อยู่แล้วล่ะ เรื่องปรุงอาหารเชื่อใจมารดาของข้าได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางดึงเอากระป๋องอาหารกลับ
“ อ้อ จริงสิเมื่อครู่เจ้าเกือบชนน้องสาวของข้าเข้าให้แล้ว ขอโทษนางเสีย ”
เขาดันคาโอเรียมาข้างหน้า
เจ้าเด็กหัวแดงร่างอ้วนเห็นดังนั้นก็ทำตาโต
“ อู๊ นางฟ้าข้าเคยได้ยินมาว่าที่เมืองโอรีเวียมีนางฟ้าอยู่ด้วย ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือนัก ”
เด็กนั่นโยนน่องไก่ทิ้ง
จัดการเช็ดมือกับชายเสื้อ
คาโอเรียเมื่อถูกชมซึ่งๆ หน้าก็อายจนแก้มแดง
นางยื่นมือไปให้จับแต่โดยดี
เจ้าเด็กร่างอ้วนคว้าหมับด้วยมือทั้งสองข้าง
ยังดีที่เขาเขย่าเบาๆ ไม่อย่างนั้นเด็กหญิงอาจหน้าทิ่มเพราะแรงดึง
“ ข้าเป็นเด็กใหม่นามว่าโลธอร์มาจากแถบเทือกเขาคีรีคาร์ เป็นเด็กบ้านนอกบ้านนาที่ไม่รู้กฎประเพณี ถ้าข้าทำอะไรผิดไปตักเตือนได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ”
ฟิโลโซเฟอร์ดึงมือน้องสาวออกมาจากการเกาะกุมนั้นแล้วพูดว่า
“ พวกเราก็เป็นเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาจากซีนาร์ย น้องสาวของข้าชื่อคาโอเรียส่วนข้าชื่อฟิโลโซเฟอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
“ ซีนาร์ยหรือ ”
เด็กนั่นทำตาปริบๆ
“ ที่ไหนกันซีนาร์ยไม่เห็นเคยได้ยิน แต่ช่างเถอะ ข้าชื่อโลธอร์ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ